3/30/2558

จำคุกตลอดชีวิตมือระเบิด 7 ศพ ร้านข้าวต้มน้องเฟิร์น

อิมรอน

จากสถานการณ์ไฟใต้ในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นส่วนรวม ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินยังคงเป็นประเด็นลำดับต้นๆ ที่ทุกคนต่างโหยหา อยากจะให้เหตุการณ์สงบ นำพาสันติสุขกลับคืนมาในเร็ววัน แต่กลุ่มกระบวนการยังคงเดินหน้าทำการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ และเป้าหมายอ่อนแออยู่อย่างต่อเนื่อง
จะเห็นได้ว่าในระยะหลังๆ มานี้ประชาชนเริ่มเบื่อหน่ายต่อความรุนแรง เอือมระอาต่อการกระทำที่สุดโต่ง ไร้มนุษยธรรม ไม่มีความปราณีของผู้ก่อเหตุรุนแรงที่อ้างตัวว่าเป็นนักรบฟาตอนี RKK โดยจะเห็นได้ว่าประชาชนเริ่มให้ความร่วมมือในการแจ้งเบาะแสความเคลื่อนไหวของกลุ่ม ผกร. มากขึ้นตามลำดับส่งผลให้การติดตามจับกุมผู้ที่กระทำความผิดมาลงโทษได้จำนวนหลายสิบรายในห้วงที่ผ่านมา

การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐได้น้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา มาใช้ในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ อีกทั้งยังยึดหลักกฎหมาย หลักสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด
ในส่วนของการบังคับใช้กฎหมายยังคงมีมาตรการปฏิบัติเชิงรุกในการติดตามจับกุมผู้กระทำผิดเพื่อนำตัวมาลงโทษตามตัวบทกฎหมายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์และบังคับใช้กับผู้ที่ละเมิด และล่าสุดเมื่อ 27 มีนาคม 2558 ศาลจังหวัดปัตตานี ได้มีคำพิพากษาคดีก่อการร้าย เลขคดี 2374/57 โดยพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต นายมูฮำหมัดซอบรี หะยีมามุ


นายมูฮำหมัดซอบรี หยีมามุ ได้ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวเมื่อ 7 พฤษภาคม 2557 โดยเจ้าหน้าที่ทหาร ในพื้นที่ตำบลบางเขา อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี

พฤติกรรมของนายมูฮำหมัดซอบรีฯ เป็นผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการในการลอบวางระเบิด และเป็นบุคคลตามหมายจับ ป.วิอาญา ที่ 15/51 ลง 4 มกราคม 2551 สภ.เมืองปัตตานี ข้อหาร่วมกันฆ่า และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยร่วมกันทำให้เกิดระเบิด จากเหตุลอบวางระเบิดหน้าร้านข้าวต้มน้องเฟิร์น ส่งผลให้ประชาชนเสียชีวิต 7 คน เหตุเกิดในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2550

จากผลการซักถาม นายมูฮำหมัดซอบรีฯ ให้การยอมรับว่าระหว่างเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนเตรียมศึกษา ตนเองได้ทำการซูมเปาะ โดย อุซตาซ พร้อมกับผู้ก่อเหตุรุนแรงคนสำคัญหลายคน  อย่างเช่น นายมะซอเร ดือรามะ และได้ผ่านการฝึก RKK มาแล้ว


นายมูฮำหมัดซอบรีฯ ให้การยอมรับว่าตนเองก่อเหตุลอบวางระเบิดหน้าร้านข้าวต้มน้องเฟิร์นจริง โดยทำหน้าที่ขับรถจักรยานยนต์ประกอบระเบิดไปจอดยังที่เกิดเหตุ อีกทั้งยังให้การที่เป็นประโยชน์ ทำการซัดทอดผู้ร่วมก่อเหตุในครั้งนี้อีก 3 คนด้วยกัน คือ นายสุริยา พินนาคบุตร, นายอัสมีน กาเด็นมาตี และนายฮากีม ดอเลาะ ซึ่งบุคคลทั้งหมดที่ถูกซัดทอดเจ้าหน้าที่จับกุมตัวได้เมื่อ 6 ธันวาคม 2550
จากคำรับสารภาพของนายมูฮำหมัดซอบรีฯ ดังกล่าว หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 43 ได้ประสานพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองปัตตานีมาบันทึกคำให้การ ต่อหน้าทนายความและผู้นำทางศาสนา รวมถึงนำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพยังสถานที่เกิดเหตุ

ในเวลาต่อเจ้าหน้าที่ได้ออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ส่งตัวนายมูฮำหมัดซอบรีฯ ไปควบคุมตัวยังศูนย์พิทักษ์สันติฯ และในเวลาต่อมานายมูฮำหมัดซอบรีฯ ได้กลับคำให้การ และยังทำหนังสือร้องเรียนว่าตนเองโดนเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 43 ซ้อมทรมานจนกระทั่งตนเองต้องยอมรับสารภาพ แต่ศาลไม่รับคำฟ้อง

และในเวลาต่อมาพนักงานสอบสวนได้ส่งตัวนายมูฮัมหมัดซอบรีฯ ดำเนินคดีแต่เจ้าตัวยังคงให้การปฏิเสธในชั้นศาล จนกระทั่งศาลจังหวัดปัตตานีได้มีคำพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต นายมูฮำหมัดซอบรี หะยีมามุ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2557 ที่ผ่านมา

จากคำตัดสินของศาลจังหวัดปัตตานี ทุกขั้นตอนของกระบวนยุติธรรมมีความโปร่งใส ซึ่งได้ตัดสินกันไปตามพยานหลักฐานมาประกอบการพิจารณาคดี แต่ที่สำคัญคือการยอมรับสารภาพในขั้นตอนการซักถามของเจ้าหน้าที่ซึ่งได้มีการบันทึกคำให้การพร้อมกับบันทึกเทปไว้เป็นหลักฐานต่อหน้าทนายความและผู้นำทางศาสนาโดยไม่มีการบังคับขู่เข็นใดๆ ทั้งสิ้น ถึงแม้จะกลับคำให้การในตอนหลังเพื่อลบล้างการรับสารภาพก็ไม่เป็นผลใดๆ

การก่อเหตุของนายมูฮัมหมัดซอบรีฯ ในครั้งนั้น ส่งผลกระทบต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้ง 7 ราย มีหลายชีวิตซึ่งเป็นสมาชิกในครอบครัวต้องเจ็บปวด บ้างขาดเสาหลักขาดผู้นำในครอบครัวไป ที่สำคัญต้องมาสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ...คำพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตที่ศาลได้ลงอาญาเหมาะสมแล้วกับการกระทำ แต่ผู้เขียนคิดว่าศาลยังให้ความปราณีต่อผู้ต้องหาอยู่เมื่อเปรียบเทียบกับอีก 7 ชีวิตที่ตายจากน้ำมือการกระทำของเขา...

แล้วเมื่อไหร่ความสันติสุขที่ทุกคนใฝ่หาจะเป็นจริงสักที!!! ในเมื่อกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงยังคงเดินหน้าก่อเหตุสร้างสถานการณ์อยู่เช่นนี้ ผู้ที่เดือดร้อนคือประชาชนปาตานี ต้องมารับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องตกเป็นเหยื่อความรุนแรงของโจรใต้ฟาตอนีอยู่เนืองๆ อีกฝากฝั่งหนึ่งครอบครัวโจรใต้ฟาตอนีก็เช่นเดียวกันได้รับความเดือดร้อนไม่หยิ่งหย่อน และแตกต่างกับครอบครัวผู้ที่ถูกกระทำเท่าไหร่นัก!! 
เนื่องจากเกิดการปะทะถูกวิสามัญ บ้างถูกจับกุมโดนคุมขังในเรือนจำ ต่างได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้าต้องเป็นภาระของสังคม  แล้วถามโจรใต้ฟาตอนีเหล่านี้สิ!!! ทำไปเพื่ออะไร?...และเพื่อใคร? กันแน่...คนสั่งการเสวยสุขอยู่เมืองนอก ส่งลูกหลานตัวเองศึกษาต่อยังต่างประเทศ ย้อนกลับมามองครอบครัวสมาชิกแนวร่วมดูละกัน!!!..ทุกวันนี้ครอบครัวจะอยู่กันอย่างไร..ยิ่งผู้นำครอบครัวถูกคุมขังจะอยู่กันอย่างไร!!!..คุ้มค่าแล้วหรือที่ทุ่มเทเพื่อขบวนการ....

------------------------

3/23/2558

คำถาม? คาใจ..ปอเนาะนัฮอตุลอุลูมิดียะฮ์เกี่ยวข้องขบวนการหรือไม่!!!

อิมรอน

ปอเนาะนัฮฎอตุลอุลูมิดีนียะฮ์ หรือปอเนาะประตูช้างมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการหรือไม่? ยังคงเป็นปัญหาคาใจหลังจากเจ้าหน้าที่ทหารบุกค้นถึงสองวันเต็มได้ของกลางเพียบ


ก่อนหน้านี้อาเยาะ(Ahli jawattan kerja kampong) หรือหมู่บ้านจัดตั้งของกลุ่มขบวนการที่โจรใต้ฟาตอนีใช้เป็นที่หลบซ่อน กำบัง และอำพรางตัวให้รอดพ้นจากการติดตามจับกุมของเจ้าหน้าที่หลังจากการก่อเหตุ กลุ่มขบวนการยังใช้อาเยาะเป็นสถานที่ปลุกระดมบ่มเพาะแนวความคิดให้กับมวลชน เพื่อไว้คอยสนับสนุนช่วยเหลือนักรบ RKK ในการก่อเหตุสร้างเหตุการณ์ในพื้นที่

นอกจากอาเยาะที่กลุ่มขบวนการได้ใช้เป็นแหล่งบ่มเพาะแล้ว หน่วยงานความมั่นคงยังประเมินและตกผลึกว่ากลุ่มขบวนการยังมีการใช้สถาบันปอเนาะและโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาเป็นแหล่งบ่มเพาะทางความคิดให้กับเยาวชนที่อยู่ในวัยเรียนต่อต้านอำนาจรัฐ จึงไม่น่าแปลกใจที่ยังคงมีนักรบรุ่นใหม่ถูกผลิตออกมาทำการเคลื่อนไหวก่อเหตุเย้ยกฎหมายรัฐบาลไทยมาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา

จาก...ข่าวครึกโครมโด่งดังครั้งแล้วครั้งเล่าที่มีการติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุรุนแรงที่อาศัยสถาบันปอเนาะเข้าไปหลบซ่อนตัว ซึ่งในบางครั้งได้เกิดการปะทะนำไปสู่การสูญเสีย

และล่าสุดเจ้าหน้าที่ทำการตรวจค้นสถาบันปอเนาะนัฮฎอตุลอุลูมิดีนียะฮ์ ซึ่งตั้งอยู่หมู่ที่ 5 บ้านอาโห ตำบลสะดาวา อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 18, 19 กุมภาพันธ์ 2558

ซึ่งการปิดล้อมปอเนาะ สืบเนื่องมาจากได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่า นายอับดุลเลาะ สาแม บุคคลเป้าหมาย ป.วิอาญา ได้เข้ามาหลบซ่อนพักพิงภายในสถาบันปอเนาะ นัฮฎอตุลอุลูมิดีนียะฮ์ (ปอเนาะประตูช้าง) หน่วยปฏิบัติการพิเศษร่วม ช่วยส่วนรวม และหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 22 จึงได้เข้าติดตามจับกุมและบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งบุคคลเป้าหมายอาจจะไหวตัวทันได้ทำการหลบหนีไปก่อนที่เจ้าหน้าที่เข้าทำการติดตามจับกุม

ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่กลุ่มโจรใต้ฟาตอนีใช้สถาบันปอเนาะเป็นแหล่งซ่องสุมกำลัง ใช้เป็นที่หลบซ่อนตัว ซ่อนอาวุธที่ใช้ในการก่อเหตุ พอเรื่องอื้อฉาวขึ้นมาถูกกระชากหน้ากากที่แท้จริงให้สังคมรับรู้ กลับมาตีโพยตีพายโดนกลั่นแกล้งจากเจ้าหน้าที่รัฐ



การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในการเข้าติดตามจับกุมโจรใต้ฟาตอนีในสถาบันปอเนาะประตูช้างไม่ได้สูญเปล่าจากคว้าน้ำเหลวบุคคลเป้าหมายได้ไหวตัวหลบหนีไปเสียก่อน แต่เมื่อมีการขยายผลพิสูจน์ทราบกลับพบอาวุธปืนสงคราม และอุปกรณ์ประกอบระเบิด รวมทั้งสิ่งของต้องสงสัยจำนวนทั้งสิ้น 95 รายการด้วยกัน จากการเข้าตรวจสอบ 8 จุด

เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยจำนวน 8 คน หลังดำเนินการซักถามหาข้อเท็จจริงได้ปล่อยตัวไป 5 คน และได้ออกหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 3 คน เพื่อทำการขยายผลซักถามหาข้อมูลความเชื่อมโยง


มาฟังกันชัดๆ จากปากของผู้ต้องสงสัยที่ยอมสารภาพยืนยันว่าผู้ก่อเหตุรุนแรงได้ใช้สถาบันปอเนาะประตูช้างเป็นแหล่งหลบซ่อนตัว ขอให้ประชาชนร่วมเป็นผู้ตัดสินว่าปอเนาะนัฮอตุลอุลูมิดียะฮ์ หรือปอเนาะประตูช้างของท่านบาบอมะรอบีมีส่วนเกี่ยวข้องขบวนการหรือไม่!!!

นายอับดุลเล๊าะ สตาปอ ได้ให้การว่า นายซอบือรี เจะหะ ผู้ก่อเหตุรุนแรงหัวหน้าชุดปฏิบัติการ RKK ได้เข้ามาหลบซ่อนตัวภายในห้องพักของนายมะ (ไม่ทราบชื่อ/สกุลจริง) ภายในปอเนาะประตูช้าง

นายอับดุลเล๊าะฯ  และนายมะรอยี  เจะสะมาแอ ได้ยืนยันตรงกันว่าเคยพบเห็นนายอับดุลเลาะ สาแม เดินป้วนเปี้ยนในสถาบันปอเนาะประตูช้าง พร้อมทั้งมาซื้อของใช้ส่วนตัวในร้านสหกรณ์ และได้พักอาศัยภายในปอเนาะ

ส่วนนายสับรี  บาเหะ ยอมรับสารภาพว่ากล้องเล็งปืนที่ตรวจค้นเจอในห้องพักเป็นของตนจริง แต่ได้ถูกขโมยไป มีการออกตัวว่าสิ่งของที่ค้นเจอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถาบันปอเนาะแต่อย่างใด

ของกลางทั้งหมดที่ทำการตรวจยึดเจ้าหน้าที่ได้นำส่งไปยังศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 เพื่อทำการตรวจสอบหาหลักฐานความเชื่อมโยงทางวิทยาศาสตร์ ผลการตรวจสอบสิ่งของและอาวุธปืนที่ตรวจยึดได้พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความรุนแรงและปัญหาความมั่นคงในพื้นที่ดังนี้


สิ่งบอกเหตุที่สำคัญกรณีหมวกแก๊ปเจ้าหน้าที่ EOD ซึ่งมีรหัสประจำหมวกพบว่าเป็นหมวกของ จ.ส.ต.ณรงค์ศักดิ์ เกตุแดง ซึ่งได้สูญหายจากเหตุ นางเบญจพร เกื้อตุ้ง ภรรยา ถูกลอบยิงและถูกเผาเสียชีวิต คนร้ายได้แย่งชิงรถยนต์ไปด้วย (หมวกแก๊ปอยู่ภายในรถยนต์คันดังกล่าว) เหตุเกิดเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2558 และเมื่อ 10  กุมภาพันธ์ 2558 ได้ตรวจพบรถยนต์ในพื้นที่อำเภอเมืองปัตตานี


ส่วนการตรวจสอบอาวุธปืน AK-102 จำนวน 2 กระบอก ผลการตรวจสอบที่มากลับพบว่ามีประวัติที่ใช้ในการก่อเหตุมาอย่างโชกโชน

อาวุธปืน AK-102 กระบอกที่ 1 หมายเลขปืน 101162410 แย่งชิงมาจากเหตุลอบยิงเจ้าหน้าที่ อส.อำเภอยะหริ่ง เสียชีวิต 3 นาย เหตุเกิดเมื่อ 8 ตุลาคม 2555 และเคยใช้ก่อเหตุมาแล้ว 3 ครั้ง

อาวุธปืน AK-102  กระบอกที่ 2 หมายเลขปืน 1011622573 แย่งชิงจากเหตุลอบยิง อส.ซุลกิฟลี ตาเฮ เจ้าหน้าที่ อส.อำเภอเมืองปัตตานี เสียชีวิต เหตุเกิดเมื่อ 23 เมษายน 2555 เคยก่อเหตุมาแล้ว 5 ครั้ง

บาบอมะรอบีโต๊ะครูสถาบันปอเนาะนัฮฎอตุลอุลูมิดีนียะฮ์ได้ให้สัมภาษณ์ นสพ.ผู้จัดการออนไลน์ภาคใต้ ASTV เนื้อหามีการกล่าวถึงการปิดล้อมตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ในประเด็นต่างๆ ซึ่งสื่อมวลชนได้นำมาเขียนข่าวทำการขยายผล และที่สำคัญสำนักข่าวอิศรา ที่ได้มีการเขียนข่าวเอนเอียงสนับสนุนกลุ่มขบวนการมาโดยตลอดได้มีการเขียนบทความในลักษณะกระแหนะกระแหน พร้อมได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่าเป็นผลงานชิ้นโบแดงสะท้อนความสำเร็จของฝ่ายความมั่นคง โดยเป็นเพียงข้อมูลด้านเดียวซึ่งเจ้าหน้าที่เป็นผู้เปิดเผย และอยากฟังความข้างโต๊ะครู

ขอให้ประชาชนคิดอย่างมีสติ และจงเข้าใจ.....กรณีการตรวจค้นสถาบันปอเนาะของเจ้าหน้าที่ในวันนั้น หากไม่มีข้อมูลไม่มีใครกล้าเสี่ยงหรอกครับ และพยานหลักฐานที่ทำการตรวจยึดได้ก็ชัดเจน อีกทั้งคำสารภาพของผู้ต้องสงสัยที่ได้มีการเชิญตัวมาซักถามก็ยืนยันว่าปอเนาะประตูช้างเป็นแหล่งพักพิงหลบซ่อนตัวของโจรใต้ฟาตอนีจริง

บาบอมะรอบีในฐานะเจ้าของปอเนาะปัดความรับผิดชอบไม่ได้หรอกครับ แต่หากดูท่าทีของท่านบาบอแล้วกลับไม่พอใจกับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เสมือนหนึ่งว่าตนเองบริสุทธิ์ต้องการจะบอกกับประชาชนว่า...เจ้าหน้าที่ได้พยายามกล่าวหา และยัดเยียดความเลวร้ายให้กับตนและสถาบันปอเนาะ

โจรใต้ฟาตอนีที่มีหมายจับ ป.วิอาญา มีอิสระเข้าออกตามอำเภอใจในสถาบันปอเนาะของท่าน แล้วจะให้สังคมคิดอย่างไร อาวุธปืนที่ตรวจยึดได้ในวันนั้นอยู่ห่างจากปอเนาะไม่เกิน 200 เมตร ซึ่งกับการออกมากล่าวว่าตัวเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ เลย...เหตุผลฟังไม่ขึ้น วัตถุพยานหลักฐาน และคำสารภาพของผู้ต้องสงสัยคือสิ่งบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าสถาบันปอเนาะยังคงเป็นแหล่งบ่มเพาะของกลุ่มขบวนการ และมีความพยายามจากบุคคลบางกลุ่มได้เคลื่อนไหวไม่ให้เจ้าหน้าที่ไปเตะต้องสถาบันปอเนาะ มีความอ่อนไหวต่อความรู้สึกเพราะเกี่ยวข้องกับศาสนา เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่กล้าเข้าทำการตรวจสอบกลุ่มขบวนการจะใช้เป็นที่หลบซ่อนตัว ซุกซ่อนอาวุธได้ตามอำเภอใจ ในเมื่อ..รู้อย่างนี้แล้วคิดว่าสถาบันปอเนาะนัฮฎอตุลอุลูมิดีนียะฮ์หรือสถาบันปอเนาะอื่นๆ อีกหลายโรงมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการหรือไม่? ผู้เขียนคิดว่าท่านผู้อ่านน่าจะมีคำตอบอยู่แล้วในใจกันแล้วนะครับ…

------------------------------------

3/21/2558

โจรใต้ฟาตอนี...ผู้ร้ายตัวจริงที่ทำร้ายประชาชน

อิมรอน


จากเหตุการณ์คนร้ายจุดชนวนรถจักรยานยนต์บอมบ์ หน้าสถานีรถไฟรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส ของเช้าวันที่ 8 มีนาคม 2558 ที่ผ่านมา ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ทหารพราน และชาวบ้านได้รับบาดเจ็บ จำนวน 9 ราย และในเวลาต่อมา ส.อ.ทวีวัฒน์ อ่อนขวัญเพชร สังกัดกรมทหารพรานที่ 11 หนึ่งใน 9 รายที่ได้รับบาดเจ็บซึ่งถูกส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลศูนย์ จังหวัดยะลา ได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา


หลังการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ระบุว่าคนร้ายได้ใช้ระเบิดน้ำหนัก 10 กิโลกรัม ประกอบใส่ถังแก๊สปิคนิค จุดชนวนด้วยวิทยุสื่อสาร คนร้ายนำรถคันดังกล่าวมาจอดปะปนกับรถชาวบ้านบริเวณทางเข้า-ออกตลาดสดรือเสาะ หน้าสถานีรถไฟรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส

ส่วนอีกเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2558 เวลาประมาณ 20.20 น. คนร้ายไม่ทราบจำนวนได้ทำการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ มุ่งก่อกวนสร้างความปั่นป่วนด้วยการลอบวางเพลิงจำนวน 6 จุด ในพื้นที่จังหวัดปัตตานี

ซึ่งในเวลาต่อมาสื่อสังคมออนไลน์ที่สนับสนุนกลุ่มขบวนการ ผกร. ได้ออกมาชี้ว่าเหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์ถือได้ว่าเป็นความสำเร็จของกลุ่มขวนการโจรใต้ที่สามารถทำการก่อเหตุในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยที่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถระงับยับยั้ง และให้การดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินกับประชาชนได้


ย้อนไปกับเหตุคาร์บอมบ์ในเขตเทศบาลเมืองนราธิวาสเมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2558 มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 13 คน และมีผู้บาดเจ็บสาหัส 1 คน บ้านเรือนเสียหายกว่า 20 หลัง การก่อเหตุลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์ในเขตอำเภอเมืองนราธิวาส มีการวางแผน และเตรียมการมาเป็นอย่างดี รอก่อเหตุอย่างใจเย็นนับตั้งแต่รถยนต์ที่ใช้ประกอบระเบิดถูกปล้นสังหารไปจากคนขับรถรับ - ส่ง นักเรียนในพื้นที่จังหวัดสงขลา ซึ่งต่อมาใช้ก่อเหตุในการกราดยิง และวางระเบิดเทศบาลตำบลมะกรูดจนทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย และบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง.....ซึ่งผู้เสียชีวิตและได้รับผลกระทบทั้งหมดที่ถูกโจรใต้สังหารเป็น "ผู้บริสุทธิ์"....

การเลือกเป้าหมายพื้นที่จังหวัดนราธิวาสในการก่อเหตุของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ด้วยการลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์ซึ่งเป็นลูกแรกของปี 58 กลุ่ม ผกร. ยังคงมุ่งเป้าโจมตีไปยังกลุ่มชาวไทยพุทธ ชุมชนที่อยู่อาศัยและแหล่งประกอบอาชีพ ซึ่งมีผลทางจิตวิทยาทันทีหลังเกิดเหตุ

การเลือกพื้นที่ก่อเหตุในเขตเมือง ย่านเศรษฐกิจ คือวัตถุประสงค์หลักของระดับแกนนำสั่งการให้สมาชิกแนวร่วมลงมือก่อเหตุ แต่ประเด็นที่น่าสนใจตรงที่เป็นการเลือกจังหวะและโอกาสที่เหมาะสม เป็นช่วงเทศกาลตรุษจีน และมีกิจกรรมสำคัญโครงการ เดินสานใจสู่สันติ ซึ่งได้มีการจัดเวทีอยู่ไม่ไกลกับสถานที่เกิดเหตุมากนัก ซึ่งในงานดังกล่าวมีสื่อมวลชนสื่อกระแสหลัก ทีวีแทบทุกช่องจากส่วนกลางมาทำข่าวอยู่ จึงไม่น่าแปลกใจเลยหลังเกิดเหตุมีการนำเสนอข่าวคาร์บอมบ์นราธิวาสแทบทุกสื่อเป็น ความบังเอิญ หรือ จงใจ

ก่อนหน้านี้หน่วยงานความมั่นคงได้วิเคราะห์สถานการณ์การเกิดเหตุในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในภาพรวมซึ่งได้คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น สถิติการเกิดเหตุรุนแรงปรับลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนๆ ในห้วงเวลาเดียวกัน

มีสื่อหลายสำนักนำข้อมูลสถิติการเกิดเหตุที่ลดลง นำคำให้สัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงไปเสนอข่าวกัน อย่างเช่นสำนักข่าวอิศราได้นำเสนอบทความภาคใต้บ้านเรา วันนี้ดีขึ้นแจะเป็นเพียงภาพลวงตาหรือจะเป็นจริงต่อจากนี้ไปคงจะต้องมาพิสูจน์กัน

เกจิอาจารย์จากหลายสำนักสื่อได้วิเคราะห์สาเหตุการปรับตัวลดลงของการก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มากมายหลายความคิด ซึ่งผู้เขียนเองขอร่วมคิดวิเคราะห์และนำเสนอให้กับผู้อ่านได้เป็นข้อมูล อาจจะมีมุมมองที่แปลกแตกแยกออกไปจากนักเขียนท่านอื่นๆ ซึ่งผู้เขียนคิดว่าสาเหตุที่สถิติการก่อเหตุของกลุ่ม ผกร. ปรับตัวลดลงอาจจะมาจากปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้

          ประการที่ 1 อาจจะมาจากสภาวะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลง อีกทั้งรัฐบาลชุดปัจจุบันได้มีนโยบายปรับลดราคาน้ำมันเพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับประชาชน ได้ส่งผลดีให้กับผู้บริโภค ผู้ใช้รถ ได้มีโอกาสใช้น้ำมันในราคาถูก
          ซึ่งจากผลดังกล่าวทำให้ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้รับผลกระทบอย่างจัง ซึ่งจากการนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชนในห้วงที่ผ่านมากลุ่มพ่อค้าน้ำมันเถื่อนหัวใสได้มีการประกาศลดราคาน้ำมันลงเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลแต่ก็ไม่เป็นผล ทำให้รายได้ที่ได้จากการค้าน้ำมันเถื่อนหดหาย ซึ่งเงินที่ได้จากการค้าน้ำมันเถื่อนทุกคนต่างทราบดีว่าเป็นแหล่งเงินทุนที่ใช้สนับสนุนกลุ่มขบวนการ BRN ในการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ไฟใต้

          ประการที่ 2 เหตุผลทางการเมืองเนื่องจากการเข้ายึดอำนาจของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) และในเวลาต่อมาได้มีการจัดตั้งรัฐบาลเดินหน้าปฏิรูปประเทศในทุกๆ ด้าน มีผลต่อนักการเมืองอาชีพที่จะต้องหยุดกิจกรรมลง ไม่มีการเลือกตั้งในทุกระดับเนื่องจากรอประกาศใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่รอวันคลอดอย่างเป็นทางการ
          เมื่อไม่มีการเลือกตั้งการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองในทุกระดับ โดยเฉพาะการเมืองในท้องถิ่นที่มีการแข่งขันสูงไม่มีการจัดการเลือกตั้ง เป็นสุญญากาศทางการเมือง ปลอดความขัดแย้ง ไม่ต้องใช้กำลังเข้าห้ำหั่นลงทุนจ้างมือปืนทำการเข่นฆ่าคู่แข่งทางการเมือง ซึ่งในหลายพื้นที่กลุ่มขบวนการได้หนุนหลังเพื่อให้คนของตัวเองเข้ามามีอำนาจ

ที่กล่าวมาเป็นแค่แง่ความคิดของผู้เขียนเอง ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้สถานการณ์ไฟใต้ลดลงอาจจะมาจากสาเหตุอื่นๆ อีกก็เป็นได้ แต่ถือได้ว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดีที่สถิติการก่อเหตุได้ลดลง ความสงบ สันติสุขจะได้เกิดขึ้นเสียทีต่อจากนี้ไป จะชั่วคราวหรือถาวรหรือไม่นั่นค่อยมาติดตามความคืบหน้าในเวทีการพูดคุยเพื่อสันติสุขชายแดนใต้ของรัฐบาลไทยกับกลุ่มผู้คิดต่างจากรัฐกันว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่?...อย่างไร?

แต่มีสิ่งหนึ่งที่หน่วยงานความมั่นคงได้ประกาศไว้อย่างชัดเจนถึงแนวทางการปรับลดกำลัง จะมีการใช้กองกำลังในพื้นที่ซึ่งเป็นลูกหลานพี่น้องมลายูปาตานีแทนกองกำลังทหารต่างถิ่น เพื่อเข้ามาปฏิบัติภารกิจดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับพี่น้องด้วยกันเอง และขั้นตอนต่อจากนั้นจะมีการถอนกำลังกลับที่ตั้งปกติทันทีหากเหตุการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ หากไม่มีการก่อเหตุร้ายรายวันซึ่งเป็นเหตุการณ์ความรุนแรงที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ

ณ ปัจจุบันนี้ประชาชนมลายูปาตานี เริ่มรู้แล้วว่าใคร? คือผู้ทำลายสันติสุข ใคร? คือผู้สร้างความแตกแยกในสังคม เหตุร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นซึ่งมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน วิถีชีวิตที่แปรเปลี่ยนไปเพราะถูกทำลายการอยู่ร่วมกันอย่างพหุวัฒนธรรมของพี่น้องต่างศาสนิก ต่างเชื้อชาติที่อยู่ร่วมกันได้ภายใต้ความแตกต่างมาอย่างช้านาน

ซึ่งรูปแบบในการโฆษณาชวนเชื่อจะมีการปล่อยข่าวลือตามร้านน้ำชา การเคลื่อนไหวผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ชี้นำทางความคิดให้เห็นว่าพี่น้องมลายูปาตานีถูกกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐ มีการลงมือก่อเหตุสร้างสถานการณ์เพื่อดึงงบประมาณ เข่นฆ่า ทารุณกรรม รังแกประชาชนทุกรูปแบบ ซึ่งไม่ใช่ฝีมือของนักรบฟาตอนีแต่ประการใด แต่ ณ เวลานี้ วันนี้ ความผิด ความชั่วร้าย ความสุดโต่งที่กลุ่มขบวนการ ผกร.ได้ปกปิดไว้ ไม่สามารถตบตาพี่น้องประชาชนมลายูปาตานีได้อีกต่อไป ประชาชนรู้แล้วว่า ผู้ร้ายตัวจริง ที่แฝงตัวอยู่ในมุมมืด อาศัยโล่ห์เกราะกำบังจากพี่น้องประชาชนแล้วลอบทำร้าย ลอบกัดไม่กล้าสู้ซึ่งๆ หน้า ไม่ใช่ใครที่ไหนนักรบ RKK” หรือนักรบหน้าตัวเมียที่กลุ่มขบวนการยกย่องนักหนา และมักชอบแอบอ้างอยู่เสมอว่าเป็นนักรบของประชาชนเพื่อทำการปลดปล่อยปาตานีเป็นเอกราช...

---------------------

3/19/2558

3 RKK มายอ-ทุ่งยางแดงจนมุมเชื่อมโยงก่อเหตุคดีสำคัญ

อิมรอน


ในระยะนี้ถึงแม้ว่าเหตุการณ์จะเบาบางลง แต่การปฏิบัติงานเชิงรุกของเจ้าหน้าที่ได้มีการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องในการติดตามจับกุมบังคับใช้กฎหมายต่อผู้ก่อเหตุรุนแรงในหลายพื้นที่ด้วยกัน เพื่อนำตัวบุคคลที่กระทำความผิดเหล่านั้นมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมลงโทษตามกฎหมายบ้านเมือง

การประกาศใช้กฎหมายพิเศษในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อำนวยความสะดวกต่อเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน กรณีการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยไปดำเนินกรรมวิธีซักถามสืบหาความเชื่อมโยงแหล่งซุกซ่อนตัวผู้ก่อเหตุกระทำความผิด และอาวุธปืนอุปกรณ์ประกอบระเบิด เพื่อตัดไฟแต่ต้นลมจำกัดเสรีการเคลื่อนไหวของผู้ก่อเหตุรุนแรงไม่ให้ลงมือกระทำต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์

ห้วงที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ได้ติดตามจับกุมและบังคับใช้กฎหมายต่อผู้ก่อเหตุรุนแรงที่เคลื่อนไหวในพื้นที่สำคัญอย่างเช่น ในพื้นที่อำเภอทุ่งยางแดง และอำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี ได้ตัวบุคคลเป้าหมายจำนวนหลายราย โดยเฉพาะ RKK ที่มีประวัติในการก่อเหตุคดีสำคัญ อีกทั้งยังได้จับกุมตัวแนวร่วมที่มีหน้าที่ในการส่งกำลังบำรุงให้แก่ผู้ก่อเหตุรุนแรง หรือ Logistik และแทบทุกครั้งในการติดตามจับกุมเจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ อุปกรณ์ประกอบระเบิดได้เป็นจำนวนมากอีกด้วย

ผลการดำเนินกรรมวิธีซักถามผู้ต้องสงสัยดังกล่าวส่วนใหญ่จะให้การยอมรับสารภาพโดยไม่มีการบีบบังคับและซ้อมทรมานจากเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่มีการวิเคราะห์ และพัฒนาเป้าหมายก่อนการเข้าติดตามจับกุม ได้มีการกระทำอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้จับกุมผู้ต้องสงสัยได้ไม่ผิดพลาดถูกต้องและแม่นยำ

หน่วยงานความมั่นคงที่รับผิดชอบงานด้านการข่าวได้มีรวบรวมวิเคราะห์และนำไปสู่การจัดทำโครงสร้าง การจัดกำลังฝ่ายทหารของ Compi ของอำเภอยะรัง ซึ่งรับผิดชอบเคลื่อนไหวทำการก่อเหตุในพื้นที่อำเภอทุ่งยางแดงอีกด้วย

ซึ่งจากข้อมูลที่เป็นประโยชน์ซึ่งได้จากการซักถามผู้ถูกจับกุมได้มีการพัฒนาสู่เป้าหมายเครือข่าย Logistik ในพื้นที่อำเภอมายอ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2558 พบว่ามีความเคลื่อนไหวของสมาชิกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง Logistik  ได้เข้ามาพักพิงหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ตำบลกระเสาะ อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี

จากนั้นวันที่ 17 มีนาคม 2558 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และหน่วยที่เกี่ยวข้องได้สนธิกำลังเพื่อเข้าทำการพิสูจน์ทราบและติดตามจับกุมบุคคลเป้าหมายในพื้นที่ ตำบลกระเสาะ และตำบลเกาะจัน อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานีทันที ซึ่งมีการติดตามจับกุมพร้อมๆ กันในพื้นที่จำนวน 3 เป้าหมายด้วยกัน

ผลการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวบุคคลเป้าหมายได้จำนวน 3 ราย คือ นายอับดุลมานะห์ ดือราซอ (มะ/เปาะลี), นายซุลกีฟลี กาซอ (ลัง/ไหล/บาเรน) และนายมะสักรี มะยิ จากการตรวจค้นไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึกฯ นำตัวส่งให้หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 43 เพื่อดำเนินกรรมวิธีซักถามต่อไป


เมื่อมีการตรวจสอบความเชื่อมโยงผู้ก่อเหตุรุนแรงพบว่า นายอับดุลมานะห์ ดือราซอ เคยถูกเจ้าหน้าที่จับกุมพร้อมพวก รวม 16 คน เมื่อ 22 ตุลาคม 2548 ณ ปอเนาะระดูวอ อำเภอปานาเระจังหวัดปัตตานี เนื่องจากต้องสงสัยว่ามีส่วนร่วมก่อเหตุฆ่าพระ และเผาวัดพรหมประสิทธิ์ ผลการซักถามนายอับดุลมานะห์ฯ ได้ให้การปฏิเสธจึงได้รับการปล่อยตัวในเวลาต่อมา

ย้อนกลับไปช่วงกลางดึกย่างเข้าสู่วันที่ 16 ตุลาคม 2548 หรือเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หลายคนคงยังจำเหตุการณ์สะเทือนใจต่อความรู้สึกของชาวพุทธทั่วทั้งประเทศได้เป็นอย่างดี เมื่อมีคนร้ายไม่ทราบจำนวนบุกเข้าไปในวัดพรหมประสิทธิ์ หมู่ 2 บ้านเกาะ ตำบลบ้านนอก อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี โดยคนร้ายได้ลงมือฆ่าเผาพระ-เด็กวัด ก่อนจุดไฟเผากุฏิทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย

โดยเหยื่อความรุนแรงในครั้งนั้น คือพระแก้ว โกสโร อายุ 78 ปี ซึ่งถูกคนร้ายใช้ไม้ตี และใช้มีดพร้าฟันจนมรณภาพพร้อมจุดไฟเผา, นายหาญณรงค์ คำอ่อง อายุ 17 ปี และนายสถาพร สุวรรณรัตน์ อายุ 15 ปี ซึ่งทั้งคู่เป็นเด็กวัด ถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิง ใช้มีดพร้าฟัน รวมถึงใช้ไม้ตีจนเสียชีวิต จากนั้นนำศพไปไว้บนกุฏิ แล้วใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงจุดไฟเผาทำลายกุฏิ และกลุ่มคนร้ายยังใช้ท่อนไม้ ก้อนหิน มีดพร้า และอาวุธปืน ทำลายข้าวของภายในโบสถ์ รวมถึงรูปหล่อหลวงพ่อพรหมที่ประดิษฐานอยู่ในโบสถ์จนได้รับความเสียหาย

หน่วยงานความมั่นคงเชื่อว่าผู้ที่ถูกจับกุมพร้อมกับนายอับดุลมานะห์ฯ ทั้ง 16 คน และในเวลาต่อมาศาลจังหวัดปัตตานีได้ออกหมายจับผู้ต้องสงสัยคดีฆ่าพระและเผาวัดพรหมประสิทธิ์ 9 คน และศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งตัดสิน ประหารชีวิต จำนวน 5 คน และศาลพิพากษายกฟ้อง 4 คน ซึ่งคาดว่าผู้ที่ถูกจับกุมทั้งหมดรวมถึงนายอับดุลมานะห์ฯ มีส่วนรู้เห็นหรือมีส่วนร่วมในการก่อเหตุในครั้งนั้น แต่ไม่มีหลักฐานที่จะยืนยันมัดตัวเอาผิดมาลงโทษตามกฎหมายได้


จากผลการซักถามผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่อำเภอมายอ 2 คน ซึ่งปัจจุบันฝากขังเรือนจำกลางจังหวัดปัตตานี ได้ให้การซัดทอดว่า นายอับดุลมานะห์  และนายซุลกีฟลี กาซอ ผู้ที่ถูกจับกุมครั้งนี้ อยู่ในเครือข่าย Logistik อำเภอมายอซึ่งเครือข่ายนี้ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมไปแล้ว 2 คน ซึ่งเหตุการณ์ที่ผู้ต้องสงสัยทั้งสองคนให้การสนับสนุน จากผลการซัดทอดมี 2 เหตุการณ์ที่สำคัญ คือ

เหตุการณ์ที่ 1 เหตุการณ์คนร้ายขว้างระเบิดใส่ร้านขายอาหารมีผู้บาดเจ็บ จำนวน 5 ราย และได้ทำการลอบวางระเบิดโดยทำการติดตั้งในรถจักรยานยนต์ (เจ้าหน้าที่สามารถเก็บกู้ไว้ได้) เหตุเกิดบริเวณตลาดมายอ อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี เมื่อ 5 สิงหาคม 2556
ผู้ที่ให้การซัดทอดคือ นายอัสมัน เจ๊ะนิ และนายมาหามะ เจะและ ซึ่งทั้งสองคนให้การยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้แต่งกายชุดฮียาฟเลียนแบบผู้หญิงมุสลิม ตามภาพวงจรปิดที่บันทึกไว้ได้ โดยนายมาหามะฯ ทำหน้าที่ขว้างระเบิด และนายอัสมันฯ ทำหน้าที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ประกอบระเบิดไปจอดในที่เกิดเหตุ
และหลังจากก่อเหตุตนได้นำชุดฮียาฟที่สวมใส่ ,อาวุธปืน และรถจักรยานยนต์ ส่งคืนให้กับนายอับดุลมานะห์ ฯ และนายซุลกีฟลีฯ เพื่อจัดเก็บบริเวณริมคลองในพื้นที่บ้านถนนตก ตำบลถนน อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี

เหตุการณ์ที่ 2 เหตุลอบวางเพลิงโรงเรียนบ้านกระเสาะ ตำบลกระเสาะ อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี เมื่อ 12 ตุลาคม 2558 จากผลการซัดทอดสรุปมีผู้ร่วมก่อเหตุลอบวางเพลิงจำนวน 14 คน ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมแล้ว 7 คน ยังคงหลบหนีการจับกุม 7 คน
ซึ่งทั้งสองคนถูกซัดทอดว่าเป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์คนละคัน ทำหน้าที่รับผู้ก่อเหตุจากที่รวมพลขั้นต้นไปส่งใกล้ที่หมาย และต่อจากนั้นผู้ก่อเหตุจึงได้เดินเข้าไปลอบวางเพลิงโรงเรียนกระเสาะ

สำหรับผู้ที่ถูกจับกุมคนที่สาม คือนายมะสักรี มะยิ จากแหล่งข่าวได้เปิดเผยว่ามีความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนกับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงเครือข่ายอำเภอมายอ, อำเภอยะหริ่ง และอำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี

ในปัจจุบันจากความเจริญของเทคโนโลยี ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์การยืนยันตัวบุคคลด้วยการตรวจหาสารพันธุกรรม หรือที่เราเรียกว่า นิติวิทยาศาสตร์ ได้มีบทบาทในการมีส่วนช่วยในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นอย่างมาก อีกทั้งกล้องวงจรปิดตามสถานที่สำคัญต่างๆ จะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในการมัดตัวส่งฟ้องศาล หากผู้หลงผิดยังคงก่อเหตุไม่ยอมหันหลังให้กับขบวนการไม่วันใดก็วันหนึ่ง ประตูเรือนจำ พร้อมเปิดอ้าต้อนรับคนชั่วได้เข้าไปชดใช้เวรกรรม

การดำเนินการติดตามจับกุมตัวผู้ก่อเหตุรุนแรงของเจ้าหน้าที่ได้มีการปฏิบัติเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งหน่วยงานภาครัฐได้เปิดช่องทางและเปิดโอกาสให้กับผู้หลงผิดในการเข้าร่วม โครงการกลับบ้าน หันหลังให้กับขบวนการกลับมารายงานตัวแสดงตนกับเจ้าหน้าที่ เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม อยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุขไม่ต้องหลบซ่อนตัวหนีการจับกุมจากเจ้าหน้าที่รัฐ...

----------------------------

3/12/2558

ขดดะรี บินเซ็น กับภารกิจปกป้องโรงเรียนสอนศาสนา

อิมรอน

การจัดการศึกษาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะมีสถานศึกษาอยู่ 3 ระดับด้วยกัน คือ โรงเรียนตาดีกา หรือศูนย์อบรมจริยธรรมในมัสยิด มีจำนวน 2,230 แห่ง ดูแลเด็กช่วงอายุ 4-12 ปี, สถาบันปอเนาะ จำนวน 427 แห่ง จะมุ่งเน้นการเรียนการสอนด้านศาสนา เพื่อให้จบมาเป็นบุคลากรทางศาสนาในพื้นที่ และโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม จำนวน 360 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่ยกระดับมาจากสถาบันปอเนาะ สอนสายสามัญเหมือนโรงเรียนปกติของรัฐ แต่จะมีการสอนศาสนาควบคู่กันไปด้วย

นายขดดะรี บินเซ็น ประธานสมาพันธ์โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษ "ทีมข่าวอิศรา" จวกรัฐบาลว่ามองโรงเรียนสอนศาสนาในแง่ลบมาตลอด ทำไมเมื่อเกิดเหตุความไม่สงบทีไรมักจะโยนผิดให้กับโรงเรียนเหล่านี้ทุกที แต่เวลามีนักการเมืองคอรัปชั่น ทำไม? ไม่โทษสถาบันที่พวกเขาเคยเรียนบ้าง

นายขดดะรีฯ ยังชี้ต่ออีกว่าเหตุการณ์แต่ละเหตุที่เกิดขึ้นมีประเด็นคำถามซ้อนกันอยู่ 2 ประเด็น ซึ่งเป็นเงื่อนแง่ย้อนแย้งกัน และต่างฝ่ายต่างนำมาปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารตอบโต้ซึ่งกันและกัน คือ
   1.ทำไมฝ่ายรัฐจึงต้องเข้าไปกระทำความรุนแรงในสถานบันปอเนาะ หรือสถาบันการศึกษาที่มีความเชื่อมโยงกับวิถีอิสลามและวิธีคนมลายูมุสลิม
  2.เหตุใดสถาบันการศึกษาเหล่านี้บางแห่งจึงยังถูกใช้เป็นสถานที่หลบซ่อนตัว ซ่อนอาวุธ หรือแม้แต่บ่มเพาะแนวคิดต่อต้านรัฐโดยใช้ความรุนแรง

ทั้งสองประเด็นเป็นความจริงที่ยากจะปฏิเสธ และจะต้องหาทางออกร่วมกันของทุกฝ่าย ซึ่งการที่นายขดดะรี บินเซ็น ประธานสมาพันธ์โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ ออกมาเคลื่อนไหวปกป้องถือได้ว่ามีความกล้าเป็นอย่างยิ่ง

แต่ถ้าจะให้ดีไปกว่านี้ในฐานะประธานสมาพันธ์ฯ จะต้องมีมาตรการในการควบคุมดูแลโรงเรียนสมาชิกในสังกัดไม่ให้โรงเรียนเหล่านั้นใช้สถาบันที่เด็กเคารพบูชาเป็นแหล่งบ่มเพาะของกลุ่มขบวนการ เพื่อให้โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาเกิดการยอมรับจากทุกฝ่าย ที่สำคัญหน่วยงานภาครัฐพร้อมให้ความร่วมมือ แต่ก่อนที่จะให้คนอื่นยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ ถามตัวเองก่อนว่ากล้าพอเปิดประตูโรงเรียนเผยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่ปิดบังซ่อนเร้นเป็นแดนลึกลับสนธยาเหมือนดั่งเช่นที่ผ่านมาหรือไม่?

 โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ซึ่งมีสมาชิกมากถึง 300 กว่าโรง มีสถานศึกษาบางแห่งในพื้นที่เข้าไปเกี่ยวข้องหรือเป็นแหล่งพักพิงบ่มเพาะกลุ่มก่อความไม่สงบจริง แต่ต้องเข้าใจว่าเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น นี่คำกล่าวที่ นายขดดะรี บินเซ็น ยอมรับว่ามีอยู่จริง

และการยอมรับดังกล่าวข้างต้นคือหลักฐานชิ้นสำคัญที่ไม่ต้องมานั่งถกเถียงกันให้เสียเวลาต่อไปอีกแล้ว ในเมื่อประธานสมาพันธ์โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้การันตียืนยันว่าโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มขบวนการจริง

นายขดดะรี บินเซ็น ได้กล่าวถึง "เรื่องผู้ก่อการร้าย อย่าพูดลอยๆ ว่าอยู่กับโรงเรียนเอกชน ขอให้นำข้อมูลมาให้พวกผม แล้วผมจะไปเอาตัวมาส่งให้ ไม่ต้องเอากำลังมาปิดล้อม หรือบุกเข้ามา จนทำให้เด็กๆ ตกใจ บางคนแค้นใจ เพราะไปบุกรุกสถานที่ที่เขาเคารพบูชา"

เจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้เป็นผู้ที่สร้างรอยด่างให้กับสถาบันสอนศาสนาของท่านหรอกครับ ถามจริงๆ เถอะว่าการที่กลุ่มขบวนการใช้สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามเป็นแหล่งบ่มเพาะ ใช้เป็นแหล่งหลบซ่อนตัวซุกซ่อนอาวุธ อีกทั้งบางแห่งใช้เป็นแหล่งในการผลิตวัตถุระเบิดท่านไม่มีข้อมูลรายละเอียดเลยหรือ!!


ตัวอย่างสถาบันปอเนาะที่ถูกสั่งปิดเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการสถาบันการศึกษาเอกชนสอนศาสนา เนื่องจากการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่พบอุปกรณ์ผลิตวัตถุระเบิด และใช้สถาบันปอเนาะเป็นที่พักพิง มีการซ่องสุมกำลังของผู้ก่อเหตุรุนแรง จำนวน 2 โรงด้วยกัน คือ โรงเรียนญิฮาดวิทยา หรือปอเนาะญิฮาด อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี และปอเนาะสะปอม หรือโรงเรียนอิสลามบูรพาอำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส

ในเวลาต่อมา ปปง. มีมติให้ยึดทรัพย์โรงเรียนอิสลามบูรพาชั่วคราว เนื่องจากมีการใช้สถานที่ของโรงเรียนเป็นสถานที่สนับสนุนการก่อการร้าย อีกทั้งอายัดทรัพย์สินที่ดินโรงเรียนปอเนาะญิฮาดวิทยา อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ซึ่งมีเนื้อที่กว่า 14 ไร่ มูลค่ากว่า 600,000 บาท ภายหลังตรวจสอบพบว่ามีการใช้สถานที่แห่งนี้สนับสนุนการก่อความไม่สงบของกลุ่มผู้ก่อการร้าย โดยใช้เป็นสถานที่ปลูกฝังแนวคิด ฝึกวิชาทหารและอาวุธ เพื่อเป็นกองกำลังของผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงถือเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542


9 มกราคม 2558 เจ้าหน้าที่ได้ทำการปิดล้อมตรวจค้นบ้านหลังหนึ่ง บริเวณโรงเรียนยุวอิสลาม บ้านน้ำใส ตำบลลุโบะยิไร อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี เจ้าหน้าที่พยายามใช้ความนุ่มนวลเลี่ยงการใช้ความรุนแรง มีการเกลี้ยกล่อมโดยเจ้าหน้าที่เอง ผู้นำศาสนาในพื้นที่ และบาบอเจ้าของโรงเรียน เวลาผ่านไป 9 ชั่วโมง มีผู้ออกมามอบตัวกับเจ้าหน้าที่เพียงแค่ 3 คน แต่ที่เหลือภายในบ้านกลับประกาศกร้าวจะต่อสู้ไม่ยอมมอบตัว พร้อมได้ขว้างลูกระเบิดและยิงใส่เจ้าหน้าที่ ในวินาทีต่อมาจึงเกิดการปะทะกันขึ้นทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่ไม่อยากจะทำ หลังสิ้นเสียงปืนเมื่อเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจสอบพบว่าผู้ก่อเหตุรุนแรงเสียชีวิตจำนวน 3 ราย คือนายมะรูดิน ตาเฮ ผกร. ระดับหัวหน้า Kompi มีหมายจับ ป.วิอาญา จำนวน 5 หมาย, นายปาตะ ลาเต๊ะ ผกร.ระดับปฏิบัติการมีหมายจับ ป.วิอาญา จำนวน 3 หมาย และนายมาหะมะซาบรี ดอเล๊าะ ผกร. ระดับปฏิบัติการ เพื่อนของนายบัดรุดีน แจ๊ะแว ลูกชายของบาบอโรงเรียนปอเนาะยุวอิสลามวิทยามูลนิธิ แต่ยังมีผู้ก่อเหตุรุนแรงอีก 2 ราย ได้อาศัยความชุลมุนตอนเกิดเหตุปะทะสามารถหลบหนีไปได้


18 กุมภาพันธ์ 2558 หน่วยปฏิบัติการพิเศษร่วมช่วยส่วนรวม ได้รับแจ้งจากประชาชนผู้หวังดีในพื้นที่ว่านายอับดุลเลาะ สาแม ผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการในพื้นที่ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี และเป็นบุคคลตามหมายจับ ป.วิอาญา ได้เข้ามาหลบซ่อนพักพิงภายในสถาบันศึกษาปอเนาะนัฮฏอตุลอุลูมิดดีนียะฮ์ (ปอเนาะประตูช้าง) ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านอาโห หมู่ 5 ตำบลสะดาวา อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี

ผลการเข้าตรวจสอบเจ้าหน้าที่ตรวจยึดอาวุธปืน AK-102 ได้ จำนวน 2 กระบอก และอุปกรณ์อื่นๆ อีกหลายรายการ ได้แก่ ศูนย์ปรับระยะแบบพับได้ติดปืนยาว จำนวน 1 ชุด, กล้องช่วยเล็งติดปืน จำนวน 1 ชุด, หมวกแก๊ป เจ้าหน้าที่ EOD, สายไฟ 1 ม้วน ยาวประมาณ 800 เมตร, ดีเลย์สวิต ( คล้ายอุปกรณ์ใช้กดระเบิดแสวงเครื่อง 2 ตัว ) และปุ๋ยยูเรีย ประมาณ 0.5 กิโลกรัม
การปลูกฝังแนวความคิดบิดเบือนประวัติศาสตร์ การปลุกกระแสความรักชาติปาตานี ในลักษณะบิดเบือนภายในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม หรือโรงเรียนปอเนาะ ตาดีกา เพื่อให้เยาวชนมุสลิมมีความเกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐ และชาวไทยพุทธยังคงดำเนินต่อไป อย่างเช่นสถาบันศึกษาปอเนาะมะหัดดารุล มูฮายีรีน บ้านสวนซิก ม.4 (บ้านย่อยบ้านบละแต) ตำบลบาโงสะโต อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส มีการขีดเขียนข้อความด้วยปากกาที่โต๊ะภายในห้องเรียน, ห้องละหมาด ข้อความว่า กูเป็นนักรบฟาตอนี, กูฟาตอนี, RKK,  กูรักฟาตอนีไปอยู่ฟาตอนีไลปีๆ

นอกจากนี้ยังมีบอร์ดหน้าห้องฝ่ายวิชาภาษาอังกฤษโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ ตำบลสะเตง อำเภอเมือง จังหวัดยะลา มีแผ่นป้ายโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐติดอยู่ เป็นที่น่าสังเกตว่าทำไมจึงมีการติดแผ่นป้ายดังกล่าว อาจจะเป็นไปได้ว่าฝ่ายวิชาภาษาอังกฤษจะต้องรับรู้เรื่องการติดแผ่นป้ายข้อความ หรืออาจจะไม่กล้ายุ่งกับแผ่นป้ายโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐเนื่องจากผู้บริหารของโรงเรียนรู้เห็นเป็นใจ

รัฐบาลไทยไม่เคยมองสถาบันการศึกษาด้านศาสนาในแง่ลบทั้งหมด ซึ่งโรงเรียนที่ดีมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปก็มีให้เห็น ไม่ได้เหมารวมตามที่นายขดดะรี บินเซ็น กล่าวอ้าง สถาบันการศึกษาสอนศาสนามีคุณูปการมากมายต่อพี่น้องมลายูปาตานี ในแง่ของความคิด ความเชื่อ แต่กลับกลายเป็นว่ามีการยุยงปลุกปั่นให้ประชาชนในพื้นที่มองว่ารัฐใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ รวมทั้งชี้นำให้เห็นว่ามีการลบหลู่ในสิ่งที่พี่น้องมุสลิมเคารพศรัทธา

ทั้งหมดทั้งสิ้นที่นายขดดะรี บินเซ็น ประธานสมาพันธ์โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้สัมภาษณ์พิเศษ "ทีมข่าวอิศรา"(สื่อที่เอนเอียงเสนอข่าวสารสนับสนุนกลุ่มขบวนการ) ได้บ่งชี้จุดยืนของเขาผู้นี้อย่างชัดเจนในการออกมาปกป้องโรงเรียนในสังกัดสมาพันธ์ โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาข้าใครอย่าเตะ!!!”แล้วบ้านนี้เมืองนี้จะเดินหน้าแก้ปัญหาไฟใต้กันอย่างไร นี่คือวิสัยทัศน์ของประธานสมาพันธ์ ที่คิดถึงแต่เรื่องผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ได้คิดช่วยแก้ปัญหาองค์รวมให้กับโรงเรียนสอนศาสนาส่วนใหญ่ที่เป็นโรงเรียนที่ดี....อย่างนี้ปลาตายตัวเดียวเหม็นทั้งเข่งครับ...พ่อแม่พี่น้องผู้ปกครองที่ฝากอนาคตบุตรหลานไว้กับสถาบันปอเนาะอื้อฉาว ลองคิดแยกแยะวิเคราะห์กันเอาเอง...ว่าบุตรหลานท่านมีความสุ่มเสี่ยงที่จะตกเป็นเป้าหมายในการบ่มเพาะในสถาบันสอนศาสนา..ให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกผู้ก่อเหตุรุนแรงหรือไม่?.....

-----------------------------

3/09/2558

9 คำถาม PerMAS กับคำตอบที่คาใจประชาชน

อิมรอน

ามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีกลุ่มนิสิตนักศึกษา นักเรียน ในพื้นที่กลุ่มหนึ่งได้เคลื่อนไหวกิจกรรมสนับสนุนงานการเมืองของขบวนการ BRN ภายใต้ชื่อกลุ่ม “PerMAS”  ซึ่งย่อมาจาก Persekutuan Mahasiswa Anak muda dan Siswa Patani (สหพันธ์นิสิตนักศึกษา นักเรียน และเยาวชนปาตานี) มีการจัดเวทีเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ปลุกระดม กล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐละเมิดสิทธิมนุษยชนทั้งในเวทีภายในประเทศ และต่างประเทศ ตลอดจนเรียกร้องความเป็นธรรมต่างๆ ให้กับสมาชิกแนวร่วมกลุ่มขบวนการ ซึ่งกลุ่ม “PerMAS”  ถือได้ว่าเป็น คู่กรณี โดยตรงกับรัฐและฝ่ายความมั่นคง โดยมีสงครามแย่งชิงมวลชนชายแดนใต้เป็นฉากหลัง!!!

ที่ผ่านมามีนักศึกษาที่เป็นสมาชิกแนวร่วมขบวนการ BRN แต่ในอีกบทบาทหนึ่งมีหน้าที่ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองในร่มเงาของ “PerMAS” ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีความสัมพันธ์กันในทุกมิติของการเคลื่อนไหว จากกรณีกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงบุกเข้าโจมตีฐานนาวิกโยธินกองทัพเรือในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส คือตัวอย่างชัดเจน และผลในวันนั้นปรากฏว่ามีผู้เสียชีวิต 16 ราย เนื่องจากถูกตอบโต้จากเจ้าหน้าที่ แต่ที่ฮือฮามากกว่านั้นคือการเสียชีวิตของ นายมะรอโซ จันทรวดี อดีตกลุ่มนักศึกษา PNYS อีกมิติหนึ่งเป็นแกนนำสมาชิก BRN และในจำนวนผู้ที่เสียชีวิตอีกรายที่น่าสนใจเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังในจังหวัดยะลา อีกทั้งเป็นสมาชิก “PerMAS” รวมอยู่ด้วย

ป็นที่ทราบกันดีว่า “PerMAS” เป็นองค์กรนักศึกษาที่มีเบื้องหลังไม่ธรรมดาเลย ทั้งกลุ่มที่ปรึกษาและผู้สนับสนุนล้วนเป็นผู้ที่กระทำความผิดกฎหมาย หมิ่นเหม่ต่อปัญหาความมั่นคงของชาติแทบทั้งสิ้น อีกทั้งบางรายมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดในพื้นที่ ที่สำคัญกิจกรรมที่กลุ่ม “PerMAS” ได้จัดขึ้นมีความท้าทายต่ออำนาจรัฐ และเปราะบางต่อภัยความมั่นคงของประเทศเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกิจกรรมเวที Bicara Patani ที่มุ่งปลุกระดมให้พี่น้องประชาชนปาตานีลุกขึ้นมาเรียกร้องในการกำหนดชะตากรรมของตนเองด้วยการลงประชามติ (The Principle of  Rights to Self-Determination)

บุคคลที่เคลื่อนไหวทั้งเป็น ตัวเปิด และ หลังฉาก(อีแอบ) ของกลุ่ม “PerMAS” เป็นการขับเคลื่อนใน ปีกการเมือง เพื่อเป้าหมาย ปลดปล่อยปาตานี โดยสอดรับประสานกับอีกปีกหนึ่ง คือ ปีกการทหารของขบวนการ BRN ที่เคลื่อนไหวก่อเหตุเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์

ที่ผ่านมากลุ่ม “PerMAS”  และภาคีเครือข่ายได้ออกมาตอบโต้กล่าวหาว่าฝ่ายความมั่นคงมีความพยายามบ่อนทำลายองค์กรและแกนนำ ด้วยการแฉประวัติด้านลบและพฤติกรรมของแกนนำบางคนผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ เพจเฟซบุ๊คไม่ระบุตัวตน หรือที่เรียกว่า เพจผี ซึ่งหากไม่มีมูลหรือพฤติกรรมที่ส่อไปในทางประพฤติมิชอบในการแสวงหาประโยชน์ด้วยการกระทำผิดกฎหมาย ไม่มีประวัติที่ด่างพร้อย ด้วยการนำเงินเหล่านั้นมาทำการเคลื่อนไหวก็คงจะไม่มีใครออกมาแฉอย่างแน่นอน!!!!

สำนักข่าวอิศรา ได้มีการนำเสนอบทความและชี้ให้เห็นว่า “PerMAS” มีพื้นที่ในสื่อกระแสหลักค่อนข้างน้อย และคนนอกพื้นที่ไม่ค่อยรู้จักพวกเขา ศูนย์ข่าวภาคใต้ สำนักข่าวอิศรา จึงเก็บข้อมูลเกี่ยวกับ “PerMAS” และถ่ายทอดผ่านบทสัมภาษณ์ 9 คำถามกับประธาน “PerMAS” คนปัจจุบัน คือ นายสุไฮมี ดูละสะ ให้เป็นที่รู้จักเพื่อจุดประสงค์อะไร? ทั้งๆ ที่องค์กรนี้มีการเคลื่อนไหวในการแบ่งแยกดินแดนให้เป็นอิสระจากรัฐไทย

ถือได้ว่าเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ศูนย์ข่าวภาคใต้ สำนักข่าวอิศราได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง ซึ่งก่อนหน้านี้ ปกรณ์ พึ่งเนตร ได้เขียนในคอลัมน์ คุยกับบรรณาธิการ เรื่อง ไอโอล้ำเส้น ที่ชายแดนใต้เป็นผู้ตั้งวาทะเด็ด เพจผีและกล่าวหาว่าเป็นเพจของฝ่ายความมั่นคงโดยไม่มีการกล่าวถึง เพจโจรใต้ฟาตอนีของแนวร่วมขบวนการที่ได้มีการปลุกระดม บิดเบือน สร้างความขัดแย้งใดๆ เลย

ารออกมากล่าวหาฝ่ายความมั่นคงน่าจะมีนัยอะไรแอบแฝงซ่อนเร้นหรือไม่!! ยากที่จะคาดเดา แต่ที่แน่ๆ ได้บ่งบอกถึงความสัมพันธ์เชิงลึกอย่างแนบแน่นของสำนักข่าวอิศรากับกลุ่ม “PerMAS”  เป็นแค่เหตุบังเอิญ หรือแค่ต้องการขายข่าว
          1. “PerMAS” คือใคร?
          PerMAS (Persekutuan Mahasiswa Anak muda dan Siswa Patani) หมายถึง สหพันธ์นิสิตนักศึกษา นักเรียน และเยาวชนปาตานี ที่มีการแอบอ้างเสียงนักศึกษาส่วนใหญ่ในการดำเนินจัดกิจกรรมเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตน และมุ่งสนับสนุนกลุ่มขบวนการ BRN ในงานการเมือง

          2.พันธกิจของ PerMAS
          กลุ่ม PerMAS มีพันธกิจ 2 ประการ คือ Peace destroying กับ Struggle for BRN หมายถึงเป็นผู้ทำลายสันติภาพ และต่อสู้เพื่อ BRN เมื่อแปรสู่การปฏิบัติก็คือ 1) เป็นกระบอกเสียงและปีกการเมืองให้กับขบวนการ BRN 2) เป็นองค์กรกลางหนุนการสร้างความรุนแรง 3) เป็นแกนนำทางการเมืองของนักศึกษา นักเรียน และเยาวชนปาตานี ในการแบ่งแยกดินแดนเพื่อเอกราชจากรัฐบาลไทย

          3.การทำงานของ“PerMAS”
          วิสัยทัศน์ของกลุ่ม PerMAS เพื่อเรียกร้องความเสมอภาคให้กับโจรใต้ฟาตอนี และความยุติธรรม มีเป้าหมายหลักเพื่อเอกราช รองลงมาก็เพื่อจัดขบวนและเพิ่มศักยภาพบทบาทนักศึกษา นักเรียน เยาวชนปาตานี มียุทธศาสตร์ในการเปิดพื้นที่ทางการเมืองเพื่อการกำหนดชะตากรรมตนเอง

          4.จุดยืนของ“PerMAS”
          จุดยืนที่แท้จริงของกลุ่ม เมื่อ “PerMAS”  มีความพึงพอใจต่อสันติภาพอย่างไร ประชาชนก็มีความพึงพอใจต่อสันติภาพอย่างนั้น สรุปคือ “PerMAS”  เป็นใหญ่ทางความคิดสามารถชี้นิ้วสั่งประชาชนขวาหันซ้ายหันได้ตามที่ใบสั่งของขบวนการ BRN

          5.พัฒนาการของ“PerMAS”
          สถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานและยืดเยื้อและไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลง ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งไทยพุทธและมลายูปาตานีมุสลิม กลุ่ม PerMAS จึงได้อาศัยสถานการณ์สร้างภาวะความหวาดระแวงให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนโดยใช้ศาสนา เชื้อชาติเป็นเครื่องมือ เพื่อผลนำไปสู่ความแตกแยกในสังคมตามที่ต้องการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขบวนการ BRN อยากให้เกิดขึ้น

          6. “PerMAS” ในปัจจุบันมีโครงสร้างอย่างไร
          “PerMAS”  รุ่นที่ 3 มีแผนงานและความรับผิดชอบของคณะกรรมการแต่ละฝ่ายก็จริงแต่ในความเป็นจริงตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้งนั้นเป็นแค่ตุ๊กตาไม่มีอำนาจในการตัดสินใจในองค์กรอย่างแท้จริง
          อย่างเช่น นายสุไฮมี ดูละสะ ประธาน “PerMAS”  คนปัจจุบัน ไม่ได้มีอำนาจใดๆ เลย ผู้ที่มีอำนาจและมีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังในการเคลื่อนไหว คือนายอาเต็ฟ โซ๊ะโก อีกทั้งนายอาเต๊ฟฯ ยังเป็นผู้หาแหล่งเงินทุนที่ได้จากการค้ายาเสพติดมาสนับสนุนในการเคลื่อนไหวทำกิจกรรมของ “PerMAS” มาโดยตลอด เนื่องจากมีพ่อตา ญาติพี่น้องอยู่ในแวดวงนักค้ายาเสพติดตัวยง
          ส่วนตำแหน่งอื่นๆ แค่เป็นโครงสร้างที่ตั้งขึ้นมาจอมปลอมในเมื่อประธานไม่ใช่ตัวจริงแล้วอย่าไปหวังให้ยากกับระดับรองๆ ลงมา ทุกครั้งที่สมาชิกแนวร่วมขบวนการเสียชีวิตผู้ที่อยู่เบื้องหลังและมีอิทธิพลจะมีการเดินหมากทางการเมืองแย่งชิงมวลชนด้วยการสั่งให้สมาชิกลงพื้นที่หาข้อมูลในพื้นที่เกิดเหตุแล้วกลับมาบิดเบือนข่าวสารกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้กระทำ  

          7.มุมมอง“PerMAS” ต่อรัฐไทย
          สำหรับมุมมองของ “PerMAS” ที่มีต่อรัฐบาลไทย ไม่เคยมีอะไรเป็นบวกในสายตาของคนกลุ่มนี้ รัฐไทยคือผู้รุกรานดินแดนปาตานี รังแกพี่น้องมลายูปาตานี ละเมิดสิทธิเสรีภาพของของโจรใต้ฟาตอนี

          8.ทำไม“PerMAS” มองรัฐในแง่ลบ
          เนื่องจากการปลูกฝังอุดมการณ์ การบ่มเพาะทางความคิดที่ผิดๆ ในสถาบันการศึกษาปอเนาะ ตาดีกา จากผู้นำศาสนา ผู้นำทางความคิด และระดับแกนนำขบวนการ ให้นักเรียนเยาวชนเหล่านั้นเกลียดชังคนต่างศาสนา รวมถึงเจ้าหน้าที่ และรัฐบาลไทย ถึงแม้ว่ารัฐบาลไทยมีความจริงใจในการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้กลับมาสันติสุขก็ตามที ก็จะถูกขัดขวางทุกรูปแบบ

          9.เป้าหมายสุดท้ายของกระบวนการสันติภาพและ “PerMAS” ต้องการเอกราช ปกครองพิเศษ หรือประชามติกำหนดใจตนเอง
          “PerMAS” ได้ตั้งเป้าหมายสุดท้ายของกระบวนการสันติภาพ จะต้องจบลงด้วย เอกราช หรือ ออโตโนมี (ปกครองตนเอง) เท่านั้น เป็นแผน แยกกันเดินร่วมกันตีกับขบวนการ BRN
          “PerMAS” จึงไม่เห็นด้วยกับการเดินหน้าพูดคุยเพื่อสร้างสันติสุขชายแดนใต้ของรัฐบาลชุดปัจจุบัน จึงได้มีการเดินหน้าเคลื่อนไหวคัดค้านและทำลายแนวทางสันติวิธีทุกรูปแบบ และกลับสนับสนุนแนวทางความรุนแรงของกลุ่มขบวนการ BRN เพื่อยั่วยุให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้กำลังเข้าดำเนินการปราบปราม ซึ่งเป็นแนวทางที่กลุ่ม “PerMAS” ต้องการเพื่อสื่อไปยังต่างประเทศว่ารัฐบาลไทยมีการใช้กำลัง ละเมิดสิทธิมนุษยชน ต้องการให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซง สุดท้ายนำไปสู่การลงประชามติ (right to self determination) เพื่อกำหนดใจตนเองแยกตัวเป็นเอกราชต่อไป

นี่คือ 9 คำถาม “PerMAS” กับคำตอบที่คาใจประชาชน ประชาชนเป็นใหญ่เป็นเจ้าของพื้นที่มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิด หรือกลุ่ม“PerMAS”?เป็นผู้ชักนำ....แต่ผู้เขียนขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า หาก “PerMAS” พึงพอใจต่อสันติภาพอย่างไร ประชาชนก็พอใจต่อสันติภาพอย่างนั้น....เพราะพฤติกรรมที่ผ่านมาได้บอกกล่าวถึงสันดานขององค์กรกลุ่มนี้อย่างชัดเจน...จึงไม่น่าแปลกใจที่มีการเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลทุกรูปแบบ แทบทุกครั้งที่มีการจัดเวทีพูดคุยสันติภาพที่ผ่านมา และการเดินหน้าพูดคุยสันติสุขในปัจจุบัน....

-----------------------------