5/28/2558

แกะรอยโจรใต้..ปะทะดับ 2 จับเป็น 4

อิมรอน
กรรมติดจรวดรวบทันควันโจรใต้ฟาตอนีพร้อมชี้จุดซ่อนอาวุธปืนสงคราม จับเป็น 4 ราย เกิดการปะทะเสียชีวิตจากการติดตามจับกุม 2 ราย ในพื้นที่ 2 จุด จังหวัดปัตตานี ขยายผลจากการซักถามติดตามจับกุมอีก 1 จุด ในพื้นที่จังหวัดยะลา

จากเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ติดตามจับกุม และเกิดการปะทะที่โรงเรียนดารุลบารอกะฮ์ หมู่ที่ 1 ตำบลบานา อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี เป็นเหตุให้ผู้ก่อเหตุรุนแรงเสียชีวิต 1 ราย คือ นายมาฮามะซู เจะหะ และสามารถควบคุมตัวสมาชิกผู้ก่อเหตุรุนแรงได้ 2 คน คือ นายแวสอเฮาะ  ดอเลาะ และนายสุริยา ตาฮา เมื่อ 2 พฤษภาคม 2558 นำตัวไปเข้าสู่กระบวนการซักถาม

ในเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบว่าสมาชิกผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ทำการเคลื่อนไหวในอำเภอทุ่งยางแดง และอำเภอมายอ คือนายนิอิดือเระ เจะแห และนายอาซิ ดาโอง และเมื่อ 12 พฤษภาคม 2558 ได้พบความเคลื่อนไหวบุคคลทั้งสองได้ออกจากแหล่งหลบซ่อนตัวบ้านชะมา หมู่ที่ 3 ตำบลน้ำดำ อำเภอทุ่งยางแดง จังหวัดปัตตานี ทำการเคลื่อนไหวก่อเหตุยิงอาสาสมัครรักษาดินแดนอำเภอมายอ ในพื้นที่บ้านน้ำใส หมู่ที่ 5 ตำบลลุโบะยิไร อำเภอมายอ และหลังก่อเหตุได้ไปหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่บ้านบูดน หมู่ที่ 1 ตำบลปะโด อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี

13 พฤษภาคม 2558 หลังสืบทราบแหล่งกบดานของสมาชิกผู้ก่อเหตุรุนแรงเจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังเข้าติดตามจับกุมเป้าหมาย และเกิดการปะทะขึ้น เป็นเหตุให้สมาชิกผู้ก่อเหตุรุนแรงเสียชีวิต จำนวน 1 ราย คือ นายนิอิดือเระ เจะแห และควบคุมตัวสมาชิกผู้ก่อเหตุรุนแรงได้ 1 คน คือนายอาซิ ดาโอง

นายอาซิ ดาโอง เจ้าตัวได้ให้การว่าหลังจากก่อเหตุยิงเจ้าหน้าที่อาสาสมัครรักษาดินแดนอำเภอมายอเสียชีวิตแล้ว ตนเองได้นำอาวุธปืนเล็กยาว M-16 จำนวน 3 กระบอก ที่ใช้ก่อเหตุดังกล่าว ไปทำการซุกซ่อนไว้ที่ริมทุ่งนาในพื้นที่บ้านบูดน หมู่ที่ 1 ตำบลปะโด อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี

15 พฤษภาคม 2558 เจ้าหน้าที่ได้จัดกำลังเข้าพิสูจน์ทราบแหล่งซุกซ่อนอาวุธปืนทันทีในพื้นที่บ้านบูดน หมู่ที่ 1 ตำบลปะโด  อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี ผลการปฏิบัติคว้าน้ำเหลวไม่พบอาวุธปืนแต่อย่างใด

หลังจากนั้น นายอาซิ ดาโอง ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าผู้ที่ทำหน้าที่เก็บรักษาอาวุธปืน คือนายจอร์แดน (ชื่อจัดตั้ง) ซึ่งจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่านายจอร์แดน ได้ใช้บุคคลชื่อว่า นางรอกิเยาะ เฮาะยา เป็นผู้จดทะเบียน ดำเนินการตรวจสอบพบว่า นางรอกิเยาะ เฮาะยา เป็นภรรยาของ นายอุสมาน ดิง จึงได้ให้นายอาชิ ดาโอง ทำการชี้ภาพถ่ายเพื่อยืนยันตัวบุคคล เมื่อมีการตรวจสอบจากแหล่งข่าวพบว่า นายอุสมาน ดิง เดินทางไปพักแรมอยู่ที่บ้านของภรรยาในพื้นที่บ้านปาแตรายอ หมู่ที่ 2 ตำบลเกะรอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา

23 พฤษภาคม 2558 เจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหาร จึงสนธิกำลังเพื่อเข้าติดตามจับกุมเป้าหมาย คือ นายอุสมาน ดิง หรือจอร์แดน ในพื้นที่บ้านปาแตรายอ หมู่ที่ 2 ตำบลเกะรอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลาทันที และได้นำตัวมาดำเนินกรรมวิธีซักถาม โดยนายอุสมาน ดิง ได้ให้การยอมรับสารภาพว่าทำหน้าที่เก็บอาวุธปืนเล็กยาว M-16 จำนวน 6 กระบอก แต่ได้มอบให้นายอาซิ ดาโอง ซึ่งถูกควบคุมตัว เมื่อ 13 พ.ค. 58 และนายนิอีดือเระเจะแห (เสียชีวิต จากการปะทะในที่เกิดเหตุ) ได้นำไปใช้ในการก่อเหตุลอบยิงนายดือนัน เจะโด อาสาสมัครรักษาดินแดนอำเภอมายอ เมื่อ 12 พฤษภาคม 2558 ที่ผ่านมา โดยปัจจุบันตนเองเก็บรักษาอาวุธปืนไว้เพียง 3 กระบอก  ซึ่งได้ซุกซ่อนไว้บริเวณทุ่งนาบ้านบือราแง หมู่ที่ 2 ตำบลน้ำดำ จำนวน 2 กระบอก และบริเวณศาลากุโบร์ บ้านปูลา หมู่ที่ 4 ตำบลน้ำดำ อำเภอทุ่งยางแดง จังหวัดปัตตานีอีก 1 กระบอก

ภายในวันเดียวกันเจ้าหน้าที่จึงรุดไปตรวจสอบพื้นที่ซุกซ่อนอาวุธปืนตามที่ นายอุสมาน ดิง ได้ให้การไว้ จำนวน 2 จุด ดังนี้
          จุดที่ 1 บริเวณทุ่งนา ในพื้นที่ บ้านบือราแง หมู่ที่ 2 ตำบลน้ำดำ อำเภอทุ่งยางแดงฯ ผลการตรวจสอบพบอาวุธปืน ปืนเล็กยาว M-16 จำนวน 2 กระบอก (สามารถพิสูจน์ทราบหมายเลขปืนได้ จำนวน 1 กระบอก คือ หมายเลข 9579241 ซึ่งจากการตรวจสอบไม่พบในฐานข้อมูล/บัญชีอาวุธปืนสูญหาย หรือถูกปล้น ส่วนอีก 1 กระบอก ไม่สามารถตรวจสอบได้เนื่องจากถูกลบเลือน)
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบบริเวณโดยรอบ พบเสื้อเกราะกันกระสุน จำนวน 2 ตัว และ ปุ๋ยยูเรีย บรรจุในแกลลอน ขนาดความจุ 5 ลิตร จำนวน 3 แกลลอน
          จุดที่ 2 บริเวณศาลากุโบร์ในพื้นที่ บ้านปูลา  หมู่ 4 ตำบลน้ำดำ อำเภอทุ่งยางแดงฯ  ผลการตรวจสอบไม่พบอาวุธปืน หรือสิ่งผิดกฎหมายแต่อย่างใด
ความเชื่อมโยงทางโทรศัพท์ของนายซอบือรี และนายมะฮามะซูเจะหะ กับสมาชิกผู้ก่อเหตุรุนแรงกลุ่ม อำเภอทุ่งยางแดง ยืนยันเครือข่ายการติดต่อสื่อสาร นำไปสู่การเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด

การติดตามจับกุมตัวนายนิอิดือเระ เจะแห และนายอาซิ ดาโอง ได้อย่างรวดเร็วหลังทำการก่อเหตุ ซึ่งผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ถูกจับกุมตัวได้ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการเปิดเผยข้อมูลอย่างรวดเร็ว เนื่องจากไม่ทันตั้งตัวนำไปสู่การขายผลชี้แหล่งซ่อนอาวุธปืน ซึ่งทุกขั้นตอนไม่มีการบังคับขู่เข็ญ ละเมิดสิทธิมนุษยชนแต่อย่างใด

การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในการติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุรุนแรง ถือได้ว่าปฏิบัติภายใต้กรอบของกฎหมาย มีการปฏิบัติเป็นขั้น เป็นตอนจากเบาไปหาหนัก หลีกเลี่ยงการปะทะนำไปสู่การสูญเสีย แต่เมื่อมีการขัดขืนไม่ยอมมอบตัวกลับทำร้ายเจ้าหน้าที่ที่แสดงตัวเข้าทำการจับกุม ทำให้มีผู้เสียชีวิตซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัยที่ใครๆ ต่างไม่อยากให้เกิดขึ้น

เหตุการณ์ทุกครั้งที่ผู้ก่อเหตุรุนแรงได้กระทำต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ มีการวางแผนเป็นอย่างดี เพื่อมุ่งหมายเอาชีวิตของผู้คน มีการปฏิบัติการที่โหดเหี้ยมซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับไม่ได้ การดำเนินการติดตามจับกุมตัวผู้ก่อเหตุรุนแรงได้อย่างทันควันถือได้ว่าได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนปาตานีต่อเจ้าหน้าที่รัฐในการนำตัวผู้กระทำความผิดมารับโทษทัณฑ์ตามกฎหมายต่อไป
-------------------------------




5/26/2558

เบื้องหลังการปลูกฝังให้เด็กเกลียดชัง ‘เจ้าหน้าที่รัฐ’

แบดิง โกตาบารู

กลุ่มขบวนการ BRN Co – ordinate ได้ดำเนินการปลูกฝังความคิด ความเชื่อ ต่อพี่น้องมลายูปาตานี เป้าหมายกลุ่มคนทุกเพศทุกวัย เพื่อต้องการให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้สนับสนุนงานการเมือง หรือเข้าร่วมเคลื่อนไหวเป็นสมาชิกแนวร่วมในการต่อสู้กับรัฐไทยมานานนับหลายปี มีการกำหนดแนวความคิดให้มวลสมาชิกใช้ความรุนแรง จนถึงเป้าหมายที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ออกไปตั้งเป็นรัฐเอกราช

มูลเหตุของความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความสอดคล้องกับเงื่อนไขการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ของขบวนการ BRN อย่างชัดเจนเพื่อนำไปสู่ปัจจัยที่ทำให้ก่อเกิดความคิดต่อสู้ต้องการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมี 8 ประการด้วยกันกล่าวคือ
          1. เกิดจากการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนในพื้นที่ค่อนข้างล้าหลัง ส่งผลให้คนที่มีความคิดชาตินิยมทางด้านเชื้อชาติบางส่วนรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกครอบงำทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรม คนกลุ่มนี้คือแกนนำสำคัญของขบวนการ BRN Co – ordinate
          2. เกิดจากการกระจุกตัวอย่างหนาแน่นของกลุ่มคนชาติพันธุ์มลายูที่มีวัฒนธรรมจำเพาะ แตกต่างจากคนไทยในสังคมใหญ่โดยทั่วไป
          3. พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีอาณาเขตติดต่อกับบางรัฐของประเทศมาเลเซีย และรัฐเหล่านั้นปกครองโดยกลุ่มคนชาติพันธุ์เดียวกันกับคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ลักษณะเช่นนี้เป็นลักษณะที่ทำให้มีโอกาสเกิดความคิดต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนสูงกว่าพื้นที่อื่นของประเทศ
          4. คนในพื้นที่โดยเฉพาะพี่น้องมลายูมุสลิมปาตานี มีความรู้สึกที่แรงกล้าต่ออัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์และศาสนาของตนเอง
          5. แรงจูงใจร่วมของคนในพื้นที่ที่รู้สึกว่าเขาได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่รัฐอย่างไม่เป็นธรรม
          6. ความสามารถของกลุ่มชาวมลายูมุสลิมเองที่จะปฏิบัติการทางการเมืองร่วมกัน ทั้งที่มาจากการสนับสนุนของมวลชนในพื้นที่ และกลุ่มองค์กรที่เป็นแนวร่วมจากต่างประเทศ
          7. เงื่อนไขทางการเมืองของสังคมใหญ่ที่เอื้ออำนวย เช่น การแตกแยกทางความคิดของกลุ่มสีต่างๆ ในสังคมใหญ่ อันเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มผลประโยชน์ต่อสู้แย่งชิงอำนาจทางการเมืองอย่างยืดเยื้อ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ถดถอย ความน่าเชื่อถือของประเทศโดยรวมลดลง และระบบราชการย่อหย่อนอ่อนแอ
          8. พลังสำนึกร่วมในประวัติศาสตร์ และบาดแผลของปาตานีในครั้งอดีต
เหตุปัจจัยทั้ง 8 ประการดังกล่าว พลังสำนึกร่วมในประวัติศาสตร์ปัตตานีเป็นปัจจัยปลุกเร้าที่กลุ่มขบวนการได้ใช้ในการปลูกฝัง ปลุกระดมมวลชนเชื้อสายมลายูเข้าร่วมในขบวนการต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนได้อย่างทรงพลังที่สุด ส่วนปัจจัยอื่นเป็นเพียงปัจจัยเสริม มีการสืบทอดส่งต่อความสำนึกร่วมดังกล่าวไปสู่คน รุ่นต่อรุ่นมานานนับร้อยปี

กลุ่มคนที่เข้าร่วมขบวนการต่อสู้กับรัฐไทยเหล่านี้ได้รับการปลูกฝังให้มีความรู้สึกเคียดแค้นชิงชังต่อคนไทย หรือสยามอย่างเข้ากระดูกดำ ปรากฏการณ์แบบนี้พบได้จากการปฏิบัติการอย่างโหดเหี้ยมฆ่าแล้วเผา การฆ่าตัดคอเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายของกลุ่มนักรบคอมมานโด หรือ RKK ของขบวนการ BRN Co – ordinate

ขบวนการ BRN Co – ordinate ได้ชี้นำทางความคิดในการปลุกระดมมวลชนให้เห็นว่าดินแดนที่เรียกว่าปาตานีแห่งนี้ถูกรุกรานและยึดครองโดยสยามมาเป็นเวลานับร้อยปี ในอดีตดินแดนแห่งนี้มีความรุ่งเรืองทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า และความบริสุทธิ์ของศาสนาอิสลาม ทุกคนจะต้องร่วมกันในการปลดปล่อยปาตานีดารุสลามและบังคับใช้ชารีอะห์ซึ่งเป็นกฎหมายที่อัลเลาะฮ์ประทานมาให้มนุษยชาติประกาศใช้บนแผ่นดินเป็น ฟัรดูอีน ปาตานี ไม่ใช่ ดารุลกุฟร์ หรือดินแดนของกาเฟร์ ชาวปาตานีถูกสยามกระทำย่ำยีอย่างทารุณ และจงใจทำลายจิตวิญญาณของมลายู และก่อให้ชาวมลายูปาตานีมีความหวาดกลัวในทุกวินาทีที่ต้องเผชิญกับกองกำลังทหารตำรวจที่ป่าเถื่อนและไม่เป็นธรรม

เยาวชนคนหนุ่มสาวปาตานีถูกล้างสมองด้วยระบบการศึกษาที่ถูกแทรกซึมด้วยความเป็นไทย พยายามทำลายศาสนาและวิถีชีวิตของประชาชนปาตานี อีกทั้งประชาชาติปาตานีไม่ได้เป็นผู้ยึดกุมทรัพยากรและเศรษฐกิจ ต้องสูญเสียอำนาจให้กับคนไทย มีการกดขี่ประชาชนปาตานีซึ่งๆ หน้า หรือเหตุการณ์ร่วมสมัยโดยไม่ต้องอาศัยประวัติศาสตร์ใดๆ มาคอยย้ำเตือน หนทางเดียวที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้คือการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราชของคนมลายูมุสลิมปาตานี

เป้าหมายที่ง่ายที่สุดในการชักนำของขบวนการ BRN Co – ordinate คือเด็ก เยาวชน ที่กำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชน มีการใช้ครูสอนศาสนา, อุสตาซ และเจ๊ะฆู ทำการปลูกฝัง ปลุกระดมแนวความคิดต่อต้านอำนาจรัฐให้กับเยาวชนนักเรียนเหล่านี้ด้วยแนวความคิดข้างต้น


รูปแบบในการปลูกฝังให้เด็กเกลียดชังเจ้าหน้าที่มีความหลากหลาย แต่วิธีหนึ่งที่มักจะได้ผลเสมอคือการเล่านิทานให้เด็กฟัง อย่างเช่นนิทานเรื่อง วอตอเป๊าะ ฮิญา, แอ๊ปเปิ้ลสีเขียว ในห้วงการเรียนการสอนวิชาศาสนาหรือห้วงเวลาอื่นที่เหมาะสม โดยเน้นให้มีทัศนคติ ความคิดต่อต้านเกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐ และต้องร่วมต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราชปาตานีเป็นประจำทุกวัน แน่นอนเด็กเหล่านี้ย่อมซึมซับรับรู้นำไปสู่พฤติกรรมที่น่าเป็นห่วงในเวลาต่อมา

ครูสอนศาสนา, อุสตาซ และเจ๊ะฆู ยังคงเดินหน้าย้อมสีผ้าขาวที่บริสุทธิ์เหล่านี้ให้เปรอะเปื้อนอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ยืนยันผลงานของบุคคลากรทางการศึกษาโรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชน คือการแสดงออกของเด็กนักเรียนที่เป็นผลผลิตทางการศึกษาด้วยการขีดเขียนบนโต๊ะเรียน บอร์ดกระดาน ฝาผนัง และห้องน้ำ ด้วยข้อความที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ยังไม่นับรวมถึงการแสดงออกในสื่อสังคมออนไลน์ที่เด็กๆ เหล่านี้ได้เข้าถึง

ตัวอย่างที่มีให้เห็นอย่างชัดเจนในพื้นที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี คือฝาผนังห้องน้ำโรงเรียนสายบุรีอิสลามวิทยา มีการเขียนข้อความภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ว่า นักรบฟาตอนี fathoni Darussalam”

ส่วนโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ยังคงมีการแสดงออกของนักเรียนด้วยการขีดเขียนข้อความ “FATONI MERDIKA 30” (การปลดปล่อยรัฐปัตตานี) และข้อความ “RKK” ในสถานที่สาธารณะของโรงเรียนดังกล่าว

จังหวัดนราธิวาส โรงเรียนมะหัดดารุลมูฮายีรีน ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านบาโงสะโต ตำบลบาโงสะโต อำเภอระแงะ มีการเขียนในกระดาษข้อความภาษาไทยว่า นักรบฟาตอนีดารุสลาม มีเครื่องหมายลูกศรชี้ไปที่คำว่า “RKK” และอีกข้อความ จาก RKK ดารุสลามนักรบฟาตอนี ส่วนกระดาษอีกแผ่นมีการวาดรูปปืน และมีข้อความภาษาไทยทับศัพท์ว่า บาบีอายิง แปลว่า หมูหมา

นอกจากนี้บนแผ่นไม้ชั้นวางหนังสือเรียนในศาลาเอนกประสงค์ มีการเขียนข้อความเป็นภาษาไทยว่า กูรักฟาตอนี มีรูปสัญลักษณ์กริช และซองกริช โดยมีข้อความไว้บนซองกริชว่า ฟาตอนี

โรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชนหลายแห่ง นอกจากครูสอนศาสนา, อุสตาซ และเจ๊ะฆู เป็นผู้ปลูกฝังแนวความคิดให้กับเด็กนักเรียนแล้วยังมี โต๊ะครู บาบอ เจ้าของโรงเรียน เจ้าของสถาบันเป็นผู้ยุยง ส่งเสริมให้นักเรียนไม่พอใจ และเกลียดชังเจ้าหน้าที่อีกด้วย ซึ่งจากหลักฐานการเขียนข้อความในที่สาธารณะภายในบริเวณโรงเรียนเป็นสิ่งยืนยัน

ที่กล่าวมาข้างต้นชี้ให้เห็นว่าขบวนการ BRN Co – ordinate ยังคงมีการใช้โรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชน ปลูกฝังแนวความคิดให้แก่เด็ก เยาวชนคนรุ่นใหม่ รวมไปถึงสมาชิกขบวนการ เป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์ การยกเอาคำสอนทางศาสนามาเบี่ยงเบนและบิดเบือนให้ดูเสมือนจริง เนื่องจากคำสอนศาสนาล้วนเป็นคำสอนสากล

ตราบใดที่การแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ปล่อยให้ขบวนการ BRN Co – ordinate ปลูกฝังแนวความคิดที่ผิดๆ ให้แก่เด็กและเยาวชนในสถานศึกษาต่อไป มีการสืบทอดส่งต่อความสำนึกร่วมไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน ความสงบสุขที่ทุกคนต่างเรียกหาก็ยังไม่เกิด ผู้คนต้องบาดเจ็บล้มตายอีกกี่ศพ แต่อย่างน้อยผู้เขียนพยายามสื่อให้เห็นถึงเบื้องลึกเบื้องหลังการปลูกฝังความเกลียดชังต่อเจ้าหน้าที่รัฐ รวมไปถึงรัฐไทยมีการปูพื้นมาตั้งแต่เล็กในโรงเรียนสอนศาสนาที่ยากต่อการตรวจสอบ เพราะฉะนั้นถึงเวลาหรือยัง!! ที่จะต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุด้วยการจัดระบบโรงเรียนเหล่านี้ที่มีอยู่หลายพันโรงกระจายเต็มพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สามารถตรวจสอบได้ และมีความโปร่งใสตอบโจทย์ต่อสังคมได้โดยไม่มีข้อกังขา!! ว่าเป็นแหล่งบ่มเพาะของขบวนการ BRN Co – ordinate

-----------------------------------------

5/14/2558

กระเทาะเปลือกแถลงการณ์ ‘LEMPAR'

แบดิง โกตาบารู


ตูแวดานียา ตูแวแมแง ร้อนอกร้อนใจอดรนทนไม่ไหวเมื่อมีผู้อื่นวิเคราะห์ตัวเองบ้าง ถึงกับรีบออกแถลงการณ์ในนามส่วนตัวครั้งที่ 1: เรื่อง กรณีบล็อกความจริงจากจังหวัดชายแดนภาคใต้นำเสนอข้อมูลเท็จต่อสาธารณะ ในเว็บไซต์ deepsouthwatch.org ปั่นราคาให้กับตนเองปัดความรับผิดชอบทุกกรณี

อาจจะเป็นกลยุทธ์ของ นายตูแวดานียา ปลุกกระแสเพื่อต้องการขายหนังสือ PATANI MERDEKA บนท้องถนน#2 ดูจะเป็นอีกหนึ่งบทบาทหนึ่งในนามนักเขียนที่มักแฝงอยู่ในอุดมการณ์จอมปลอมนอกเหนือจากการขายเสื้อ ขายสติ๊กเกอร์ ขายธง และอื่นๆ ตามเวทีที่ตระเวนออกไปยังสถานที่ต่างๆ กับวาทะกรรม เอกราชบนท้องถนนซึ่งเป็นการต่อสู้ตามแนวทางวิถีประชาธิปไตยที่ควรยกย่อง แต่สำหรับนายตูแวดานียา องค์กร LEMPAR ตลอดจนทัพหน้าอย่าง PerMAS เป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ เพราะมีการปิดบัง ซ่อนเงื่อน คงจะเป็นได้แค่เพียงขอทานบนท้องถนนกระมัง!! เนื่องจากมีการแอบอ้างพี่น้องประชาชนปาตานีในการทำมาหากิน...มาโดยตลอด

จั่วหัวแถลงการณ์ว่าเป็นเรื่องส่วนตัว แต่พอเอาเข้าจริงกลับกลายลงท้ายด้วยคำว่า นายตูแวดานียา ตูแวแมแง ผู้อำนวยการสำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา (LEMPAR) เอ๊ะ!! ชักจะยังไงกันแน่ แถลงการณ์ในนามส่วนตัว แต่เอาตำแหน่งผู้อำนวยการ LEMPAR มาการันตีกลัวใครไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใหญ่...

ตูแวดานียา ตูแวแมแง ได้กล่าวว่าบล็อกความจริงจากจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือ Thailand South Situation ได้นำเสนอข้อมูลในลักษณะบทความเชิงรายงานและวิเคราะห์ ได้พาดพิงข้าพเจ้าในลักษณะให้ข้อมูลเท็จต่อสาธารณะ
การรีบออกมาแถลงการณ์ในนามส่วนตัวของ นายตูแวดานียา ย่อมมีนัย และยอมรับความจริงไม่ได้ในการนำเสนอเนื้อหาต่อสาธารณชน คุณดีแต่วิเคราะห์ผู้อื่น อีกทั้งยังแสดงความคิดเห็นไปยังบทบาทการเมืองของไทย ฟาดงวงฟาดหางคนโน้นทีคนนี้ทีจนได้ใจ ใช้สถานะตำแหน่ง ผอ.สำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา ที่ใหญ่โตคับฟ้าเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
คุณแสดงท่าทีและไม่เห็นด้วยกับการใช้อำนาจรัฐ ในการติดตามจับกุมผู้ก่อเกตุรุนแรงหลายครั้ง ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่าท่านและบรรดาลิ่วล้อเป็นปีกการเมืองของกลุ่มขบวนการ BRN น่าจะมีมูลความจริง

เหตุการณ์หลายๆ ครั้งที่ขบวนการโจรใต้ได้ทำการก่อเหตุฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ เป้าหมายอ่อนแอ เด็ก สตรี และคนชรา ขบวนการโจรนักศึกษานำโดยกลุ่ม PerMAS ภายใต้การประสานงานโดย LEMPAR ซึ่งส่วนใหญ่สมาชิกภายในกลุ่มแทบเป็นเนื้อเดียวกัน จะมีความคิดที่สุดโต่ง ออกแถลงการณ์แสดงบทเสียใจต่อเหตุการณ์แต่แฝงด้วยเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิง มุ่งให้ร้ายกับฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ อีกทั้งยังแสดงความเคลือบแคลงสงสัยต่อเหตุการณ์ หากใครได้อ่านแถลงการณ์ LEMPAR: กรณีพลเรือนถูกฆ่าแล้วเผาในพื้นที่ตำบลบาเจาะ อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา จะถึงบางอ้อ

ผู้เขียนขอนำข้อเรียกร้อง 4 ข้อ ของสำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา หรือ LEMPAR มาแกะเปลือกเพื่อให้เห็นแก่นแท้ที่แอบแฝงไว้ข้างในที่ฉาบด้วยยาพิษ องค์กรเหล่านี้อาศัยความตายของประชาชนในพื้นที่ด้วยการออกแถลงการณ์ แต่มิวายยังหาประโยชน์ใส่ตน...

          1.ขอให้รัฐจัดตั้งกลไกตรวจสอบข้อเท็จจริงที่มีความเป็นกลางซึ่งหมายถึงเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ทำหน้าที่สืบสวนสอบสวนและชี้แจงต่อสาธารณะด้วยข้อมูลที่อิงกับพยานหลักฐาน เพื่อลดกระแสและท่าทีการแสดงความรู้สึกกันไปมาของสาธารณะ อย่างน้อยๆ จะได้ลดความตึงเครียดและยับยั้งวงจรการเอาคืนและล้างแค้น
          2.ขอเรียกร้องให้สาธารณะจงใช้วิจารณญาณที่มีวุฒิภาวะทางการเมืองในการสรุปว่าใครคือคนร้ายตัวจริงเพราะในสถานการณ์รบแบบมีการใช้การลับลวงพรางสูงนั้น บางทีความจริงอาจจะเป็นความเท็จและความเท็จอาจจะเป็นความจริงก็เป็นได้
          3.ขอเรียกร้องให้รัฐเร่งการดำเนินคดีกับกลุ่มคนร้ายและต้องมีความรัดกุมรอบคอบเพื่อให้ได้มาซึ่งคนร้ายตัวจริง
          4.หากขั้นตอนของการตามหาคนร้ายจำเป็นที่จะต้องใช้ยุทธการปิดล้อมตรวจค้นหมู่บ้านเป้าหมาย ขอเรียกร้องให้รัฐใช้ความระมัดระวังอย่างสูงในการปฏิบัติการเพื่อไม่ให้ชาวบ้านได้รับผลกระทบถึงแก่ชีวิตและทรัพย์สินเฉกเช่นกรณีของเหตุการณ์โต๊ะชูดที่ผ่านมา

ผู้เขียนอ่านทบทวนหลายรอบยังไม่เห็นเลยว่าแถลงการณ์ของ LEMPAR มีการประณามการกระทำของคนร้าย หรือเรียกร้องไม่ให้มีการก่อเหตุที่รุนแรงต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์แต่ประการใด มีแต่กลัวว่าจะมีการเอาคืน ผู้ที่เสียชีวิตโดนฆ่าตายแล้วเผายังจะมีการเรียกร้องให้ใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ มีการชี้นำว่า มีการใช้การลับลวงพราง ความจริงอาจจะเป็นความเท็จและความเท็จอาจจะเป็นความจริงโดยเฉพาะข้อที่ 4 มิวายนำเหตุการณ์โต๊ะชูดมาเปรียบเทียบ ซึ่งเป็นยุทธวิธีขององค์กรเหล่านี้อยู่แล้วที่คอยแว้งกัดเมื่อประสบโอกาส
มันช่างแตกต่างกับเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ติดตามจับกุม หรือกรณีมีเหตุปะทะวิสามัญจนนำไปสู่การเสียชีวิตของ ผกร. เสียเหลือเกิน กลุ่มขบวนการโจรใต้นักศึกษา กลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมสนับสนุนโจรใต้จะรีบกุลีกุจอออกมาแสดงบทบาทอย่างเข้มแข็ง มีการวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐในแง่ลบ มีการกดดันให้ปล่อยตัวผู้ต้องสงสัยอย่างไม่มีเงื่อนไข หรือมีการยื่นหนังสือไปยังหน่วยงานต่างๆ เพื่อทำการประท้วง

สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี (PerMAS), สำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา (LEMPAR) รวมทั้งนักวิชาการที่มีบทบาทชี้นำทางความคิด และองค์กรภาคประชาสังคมที่สวมหน้ากากกระทำตัวเป็นนักบุญ แต่มีการแอบอ้างบิดเบือนและทำลายความพยายามในการสร้างความเข้าใจของภาครัฐโดยใช้เงื่อนไขความแตกต่างทางอัตลักษณ์ ศาสนา ภาษา และวัฒนธรรมจัดกิจกรรมในลักษณะเวทีเสวนา ปลุกเร้าให้ประชาชนเข้าใจว่ากำลังอยู่ภายใต้การกดขี่ข่มเหง และต้องการแยกตัวเป็นเอกราช

จึงขอเรียกร้องไปยังสำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา (LEMPAR) และขบวนการโจรใต้ปาตานี (BRN) หยุดใช้เยาวชนนักเรียน นิสิตนักศึกษาเป็นเครื่องมือ ยุติพฤติกรรมการใส่ร้ายป้ายสีเจ้าหน้าที่รัฐ และบิดเบือนความจริงในสื่อสังคมออนไลน์ทุกรูปแบบ หากยังมีการแถลงการณ์ซ่อนเร้น แอบแฝง ชี้นำทางความคิดสร้างความสับสนเคลือบแคลงสงสัย ก็อย่าพยายามอีกเลยครับเพราะมีคนรู้เท่าทัน หากยังดื้อดึงมีแต่สร้างความเสื่อมเสียให้กับองค์กรของท่าน และควรมีความจริงใจมากกว่านี้ อย่ากระทำตนสองมาตรฐาน ตรงไปตรงมา ไม่ลับลวงพรางพฤติกรรมเสมือนไม่บริสุทธิ์ใจ และไม่ให้เกียรติกับประชาชนชาวปาตานี

------------------------------------

5/10/2558

PerMAS กับข้อกล่าวหา ‘ปีกการเมือง’ ขบวนการ BRN

แบดิง โกตาบารู

เมื่อ 7 พฤษภาคม 2558 เว็บไซต์ prachatai.com ได้นำเสนอข่าวกลุ่ม PerMAS เรียกร้องรัฐเลิกคุกคามนักศึกษา และสื่อมวลชนต้องรับผิดชอบต่อกรณีออกข่าวเท็จป้ายสีเป็นปีกการเมืองขบวนการ BRN
เมื่อวันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม 2558 สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนเยาวชนปาตานี (PerMAS) ได้จัดเวทีสาธารณะของคนที่รักในแนวทางสันติวิธี ณ ห้องประชุม ชั้น1 โรงแรมอิมพีเรียล ถนนพิชิตบำรุง ตำบลบางนาค อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส โดยมีกิจกรรมเสวนาแลกเปลี่ยนความคิด การอ่านแถลงการณ์ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสื่อสาธารณะ

นายสูไฮมี ดูละสะ ประธาน PerMAS วอนรัฐหยุดคุกคามนักศึกษา ด้านผู้อำนวยการสำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา (LAMPAR) นายตูแวดานียา ตูแวแมแง ชี้ขบวนการนักศึกษาโดยส่วนใหญ่ทั่วโลกรณรงค์ให้เปิดพื้นที่ทางการเมืองและพื้นที่ประชาธิปไตย ทำให้เป็นที่ยอมรับและถูกคาดหวังสูงจากประชาชน

นายอาฟิต ยะโกะ กรรมการ PerMAS สาขาจังหวัดนราธิวาส กล่าวว่า "การจัดกิจกรรมของนักศึกษาภายใต้อำนาจกฎอัยการศึก แสดงถึงจุดยืนของสหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนเยาวชนปาตานีต่อกระบวนการสันติภาพปาตานี"

ส่วน นายอัศวมิน บินยูโซะ อาจารย์มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ได้แสดงความคิดเห็นว่าการคุกคามในรูปแบบนี้มันมีมาตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อเราแล้ว จนถึงทุกวันนี้มันก็ยังเหมือนเดิม พลังการขับเคลื่อนของสังคมเป็นหน้าที่ของนักศึกษาที่ต้องขับเคลื่อนต่อสู้ในด้านสันติวิธี

หากเราประมวลการเคลื่อนไหวของนักศึกษากลุ่ม PerMAS ที่ผ่านๆ มา นักศึกษาเหล่านี้คิดอะไรอยู่ และกำลังทำอะไร? กรรมคือตัวบ่งบอกถึงการกระทำ เพราะฉะนั้นที่ผ่านมาย่อมประจักษ์ชัดแจ้งแล้วว่ากลุ่มนักศึกษากลุ่มนี้ทำการเคลื่อนไหวเพื่อต้องการให้มีการลงประชามติเพื่อกำหนดใจตนเอง นำไปสู่การแบ่งแยกดินแดนเป็นเอกราชจากรัฐไทย ซึ่งจุดหมายปลายทางย่อมไม่แตกต่างกับขบวนการ BRN เลย แต่วิธีการและแนวทางการต่อสู้ต่างหากที่แตกต่างกัน ขบวนการมีกำลังติดอาวุธใช้กำลังทางทหารในการสร้างสถานการณ์ทำการเข่นฆ่าประชาชนสร้างความปั่นป่วน ยั่วยุให้เจ้าหน้าที่ใช้กำลังนำไปสู่เงื่อนไขเพื่อให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาแทรกแซงเช่นเดียวกับติมอร์ตะวันออก ส่วนกลุ่ม PerMAS เคลื่อนไหวในการปลุกระดมมวลชน เพื่อสนับสนุนงานการเมืองให้บรรลุเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้

แต่มีอยู่หลายครั้งด้วยกันที่มวลสมาชิกกลุ่มนักศึกษา PerMAS นอกจากเคลื่อนไหวในนามนักศึกษาแล้วยังเป็นสมาชิกผู้ก่อเหตุรุนแรงอีกด้วย ร่วมก่อเหตุสร้างสถานการณ์พร้อมๆ กับการเคลื่อนไหวงานมวลชน จึงไม่น่าแปลกใจเมื่อเกิดเหตุขึ้นมา นายสูไฮมี ดูละสะ ประธาน PerMAS จะออกมาดิ้นเหมือนปลาช่อนถูกทุบหัวทุกครั้งที่มีการติดตามจับกุมผู้ต้องสงสัยเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมจะรีบออกมากล่าวหาว่าถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งในนามส่วนตัวผู้เขียนเชื่อว่า กลุ่มนักศึกษา PerMAS กับขบวนการ BRN มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง มีการเชื่อมโยงเป็นเนื้อเดียวกันอย่างชนิดแยกกันไม่ออกไหนนักศึกษาไหนโจร..แต่ถึงกระนั้นยังมีความพยายามสร้างภาพว่าไม่เกี่ยวข้องกัน มีอิสระในการเคลื่อนไหวดั่งสโลแกน ร่วมกันเดิน แยกกันตี ยุทธวิธีต่างกัน..แต่เป้าหมายเดียวกัน

นายตูแวดานียา ตูแวแมแง ผอ.สำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา (LAMPAR) กล่าวอ้างว่าขบวนการนักศึกษาโดยส่วนใหญ่ทั่วเป็นที่ยอมรับและถูกคาดหวังสูงจากประชาชน แต่เมื่อกลับมามองพฤติกรรมของนักศึกษา PerMAS ที่ทำการเคลื่อนไหวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย จะให้ยอมรับได้อย่างไรโดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ จชต. และคิดว่าทั่วโลกคงจะยอมรับไม่ได้กับพฤติกรรมแย่ๆ ต่อการเคลื่อนไหวเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชของนักศึกษาโจรกลุ่มนี้ อีกทั้งยังสุ่มเสี่ยงต่อข้อหากบฏแบ่งแยกดินแดนอีกด้วย

นายอัศวมิน บินยูโซะ อาจารย์มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ กล่าวว่า พลังการขับเคลื่อนของสังคมเป็นหน้าที่ของนักศึกษา
หน้าที่ของอาจารย์ คือ สั่งสอนให้บรรดาศิษย์เป็นคนดีของสังคม รักประเทศชาติ รักผืนแผ่นดินไทย มีความสำนึกรักษ์บ้านเกิด ทดแทนคุณแผ่นดิน อย่าลืมว่าเงินเดือนที่คุณกินอยู่ทุกวันนี้เป็นภาษีของประชาชนทั้งประเทศ เป็นหยาดเหงื่อแรงงานของคนหาเช้ากินค่ำที่ร่วมกันจ่ายภาษีให้กับคุณ..หรือว่าคุณรับเงินเดือนจากขบวนการ BRN ถึงได้เนรคุณกับประชาชนผู้เป็นนายจ้างของคุณ

ส่วนนักศึกษา มีหน้าที่ในการศึกษาเล่าเรียน เป็นอนาคตของประเทศชาติ ไม่ใช่ทำลายชาติ และเคลื่อนไหวแบ่งแยกดินแดนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ หรือกลุ่มนักศึกษา PerMAS เป็นความหวังเดียวปาตานี เป็นเครื่องมือของกลุ่มขบวนการ BRN ที่หมดหนทางต่อสู้ในการใช้กำลังทหาร จึงได้อาศัยยืมมือนักศึกษาทำการเคลื่อนไหว

การประชุมภาคประชาสังคมอาเซียน และเวทีภาคประชาชนอาเซียน (ACSC/APF) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีการจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21 - 24 เมษายน 2558 ที่ผ่านมา องค์กรภาคประชาสังคม และกลุ่ม PerMAS ได้รับคำชมจาก นายกามาลุดดีน  ฮานาฟี แกนนำกลุ่ม BIPP ซึ่งได้ย้ำว่าประชาชนทุกคนและทุกกลุ่ม มีบทบาทและหน้าที่ต้องรับผิดชอบในการแสดงท่าทีให้กับนานาชาติรับทราบปัญหาในปาตานี ในอนาคตปาตานีจะกลับมาเป็นของพวกเราทุกคน นั่นแสดงให้เห็นว่าทุกส่วนต่างหวังในการแยกตัวเป็นเอกราชจากรัฐไทย เป็นสิ่งที่ยืนยันชัดเจนว่ามีความร่วมมือกันทั้งในส่วนกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน กลุ่มนักศึกษา และองค์กรภาคประชาสังคม ในการกำหนดแนวทาง วางแผนยุทธศาสตร์ และยุทธวิธีในการต่อสู้เพื่อนำไปสู่จุดหมายร่วมกัน

คงจะไม่ผิดหรอกที่สื่อมวลชนมีการนำเสนอข่าวว่ากลุ่ม PerMAS เป็นปีกการเมืองของกลุ่มขบวนการ BRN ความจริงย่อมเป็นความจริงเพราะการเคลื่อนไหวที่ผ่านมามีความสอดคล้อง เหมาะเจาะลงตัวทุกอย่าง ขบวนการฆ่าคน – เจ้าหน้าที่รัฐจับกุม - PerMAS เรียกร้องกดดันให้เจ้าหน้าที่ปล่อยตัว นี่คือโมเดลในการเคลื่อนไหวของนักศึกษาที่ได้ชื่อว่าปัญญาชน แต่กลับโง่งมงายยอมขายตัวถวายชีวีให้กับขบวนการโจรใต้....

----------------------------------------

5/08/2558

ความพยายามของ PerMAS กับการช่วยเหลือผู้กระทำผิด

อิมรอน

การเคลื่อนไหวของสหพันธ์นิสิตนักศึกษา นักเรียนและเยาวชนปาตานี หรือ PerMAS ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนงานการเมืองของกลุ่มขบวนการ BRN ในห้วงที่ผ่านมาได้สร้างแรงกระเพื่อมต่อหน่วยงานความมั่นคงพอสมควร มีความพยายามทำลายความน่าเชื่อถือของเจ้าหน้าที่รัฐในรูปแบบต่างๆ หากโอกาสได้เอื้ออำนวยเปิดช่องโหว่ให้โจมตีโดยอาศัยสถานะความเป็นนักเรียน นักศึกษาเรียกร้องความสนใจจากบุคคลทั่วไปอย่างได้ผล

วิวัฒนาการที่สำคัญของการเคลื่อนไหวคงหนีไม่พ้นการหยิบยกประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นตัวชูโรงในการขับเคลื่อน มีการปลุกกระแสปาตานีนำอัตลักษณ์วัฒนธรรมท้องถิ่นที่กำลังสูญหายให้สังคมกลับย้อนคืนสู่วิถีอิสลาม แล้วใส่ร้ายป้ายสีว่ารัฐไทยเป็นผู้ทำลาย จุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกจุดหนึ่งคือ การแปลอัลกุรอ่านให้เป็นภาษาไทย หลังจากนั้นจะมีการเคลื่อนไหวกดดันเรียกร้องในสิ่งที่ต้องการโดยการกล่าวอ้างศาสนา อย่างเช่นการเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดเสรีภาพในการคลุมญีฮาบในไทย โดยในยุคปัจจุบันมีการพัฒนานำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ในการเคลื่อนไหวมากยิ่งขึ้น

ล่าสุด นายฟัรดี ซาและ เลขาธิการกลุ่ม PerMAS ได้ทำการโฆษณาชวนเชื่อด้วยการเผยแพร่ข้อมูลเป็นภาษาไทย และภาษามลายูว่าการถูกคุกคามของนักศึกษาปาตานี ระหว่างเดือนมกราคม – เมษายน 2558 ซึ่งจะเป็นการเฝ้าติดตาม ตรวจค้น เพื่อปฏิบัติตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐ จำนวน 10 เหตุการณ์ ด้วยกัน อาทิเช่น สำนักงานกลุ่ม PerMAS จังหวัดยะลา, หอพักนักศึกษาในจังหวัดนราธิวาส, บ้านเช่าย่านบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง กทม. และการจัดกิจกรรมของนักศึกษา PerMAS ในพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งกรณี นสพ.ไทยรัฐ นำเสนอข่าวสารมีนัยว่า กลุ่ม PerMAS มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล สมุย โดยการเผยแพร่ภาษามลายูเพื่อต้องการสื่อไปยังสมาชิกกลุ่ม และเครือข่ายในต่างประเทศ


ซึ่งข้อมูลทั้งหมดที่ นายฟัรดี ซาและ เลขาธิการกลุ่ม PerMAS ได้นำมาเผยแพร่ต่อสาธารณชนตั้งใจสื่อให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่มีการคุกคามนักศึกษา มีการใช้วาจาก้าวร้าวในลักษณะบีบบังคับนักศึกษา และมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ความจริงย่อมเป็นความจริงถึงแม้ว่ากลุ่ม PerMAS จะทำการโฆษณาชวนเชื่อชี้นำให้ประชาชนชาวปาตานีหรือประชาชนทั่วไปให้เห็นคล้อยตามกับการบิดเบือนข้อเท็จจริง แต่ตราบใดที่เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมาไม่มีการเลือกปฏิบัติถึงแม้จะถูกกดดันการปฏิบัติหน้าที่จากองค์กรภาคประชาสังคมแนวร่วมขบวนการ หรือแม้แต่กลุ่ม PerMAS ที่ทำการเคลื่อนไหวทุกครั้งที่มีการติดตามจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยหรือผู้กระทำความผิดมาเข้าสู่กระบวนยุติธรรม

อย่างเช่นกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารได้สนธิกำลังร่วมทำการติดตามจับกุมและปฏิบัติตามกฎหมายต่อผู้ต้องสงสัยเหตุลอบวางระเบิดแสวงเครื่องบริเวณ ถนน ณ นคร อำเภอเมืองจังหวัดนราธิวาส จำนวน 4 เป้าหมาย คือ หอพักบริเวณเยื้องโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์, หอพักนักศึกษาบริเวณกำปงตาโก๊ะ, หอพักนักศึกษาบริเวณวิทยาลัยสารพัดช่าง และหอพักนักศึกษาซอยนรากุล ได้นำตัวผู้ต้องสงสัยเข้าสู่กระบวนการซักถาม

และในเวลาต่อมาได้ปรากฏว่ากลุ่ม PerMAS ซึ่งเป็นปีกการเมืองของขบวนการ BRN ได้ออกมาเคลื่อนไหวกดดันการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่รัฐในทันทีโดยการออกแถลงการณ์ เรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน และคุกคามเยาวชนนักศึกษา อ้างว่าการติดตามจับกุมและปฏิบัติตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่บริเวณหอพักนักศึกษา นักกิจกรรม รวมทั้งควบคุมตัวเยาวชนนักศึกษาเกิดขึ้นหลายครั้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

นายมูฮัมหมัด เซาฟีร อาแซ ผู้ช่วยผู้ประสาน PerMAS พร้อมนักศึกษา ม.รามคำแหงร่วมแถลงการณ์ให้มีการยกเลิกการใช้กฎอัยการศึก และปล่อยตัวนักศึกษาทั้งหมดทันที, เครือข่ายนักศึกษามุสลิมอยุธยา Ayutthaya Muslim Student Network ได้รวมตัวถือป้ายปล่อยตัวเพื่อนเรา“Free Patani Student”คืนอิสรภาพแก่นักศึกษา หยุดคุกคามนักศึกษา แด่สันติภาพปาตานี เช่นเดียวกับนักศึกษา มอ.ปัตตานี ออกแถลงการณ์คัดค้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการคุกคามการทำกิจกรรมของนักศึกษา

กระแสเรียกร้องของกลุ่มองค์กรต่างๆ ที่เกิดขึ้น เป็นความพยายามของกลุ่ม PerMAS ในการปลุกเร้าในเครือข่ายสังคมออนไลน์ อีกทั้งมีการประสานงานกับกลุ่มนักศึกษาสถาบันต่างๆ ให้มีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันเพื่อกดดันในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ อีกทั้งมีความพยายามให้มีการยกเลิกการใช้กฎหมายพิเศษในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

แต่ในเวลาต่อมาคำสารภาพของผู้ที่ถูกจับกุมตัวได้ฉีกหน้า PerMAS โดยผลการซักถาม นายอัมรีย์ วรรณมาตร ได้ให้การยอมรับว่าตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ลอบวางระเบิดแสวงเครื่อง บริเวณถนน ณ นคร ตำบลบางนาค อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส

นายรีดวน สุหลง ให้การยอมรับว่าเคยผ่านพิธีสาบานตน (ซุมเปาะห์) และเป็นผู้นำรถจักรยานยนต์ซุกซ่อนระเบิดแสวงเครื่องเข้าไปก่อเหตุที่ ถนน ณ นคร ส่วนนายอิสมาแอ เจ๊ะโซะ ยอมรับทำหน้าที่เป็นคนนำชุดระเบิดชนิดขว้างเข้าไปในร้านต้นท้อน แต่โชคดีระเบิดไม่ทำงาน

คำสารภาพทั้งหมดของผู้ต้องสงสัยที่กลุ่ม PerMAS พยายามปกป้องเรียกร้องว่าเจ้าหน้าที่มีการคุกคามนักศึกษา น่าสมเพชสิ้นดี นี่หรือผู้บริสุทธิ์...สุดท้ายคือโจรใต้ฟาตอนี..เป็นความจงใจวางแผนอย่างแยบยลยืมมือสะอาดของนักศึกษากลุ่มอื่นๆ ให้ออกมาร่วมเคลื่อนไหวจนเป็นแฟชั่น

อีกเหตุการณ์หนึ่งซึ่ง นายฟัรดี ซาและ เลขาธิการกลุ่ม PerMAS ได้กล่าวถึงคือการตรวจค้นบ้านเช่าย่านบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง กทม. ของเจ้าหน้าที่

สืบเนื่องมาจากการก่อเหตุได้มีคนร้ายลอบวางระเบิดบริเวณปากซอยรามคำแหง 43/1 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 7 ราย เมื่อ 26 พฤษภาคม 2556

หลังจากนั้นได้มีการแกะรอยคนร้ายจากกล้องวงจรปิดจนกระทั่งทราบว่าคนร้ายที่ทำการก่อเหตุวันดังกล่าวเป็นกลุ่มคนร้ายจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ นายอิดริส สะตาปอ, นายอัฟฟาฮัม สะอะ, นายคัมภีร์ ลาเต๊ะ, และนายนายอิบรอเฮง แวแม ยังหลบหนีการจับกุมอีกหนึ่งคนคือ นายฮาเล็ม มะลี

เมื่อ 20 มีนาคม 2558 ศาลอาญากรุงเทพ ได้พิพากษาตัดสินจำเลย 4 คน ให้จำคุกตลอดชีวิตแต่ให้การยอมรับสารภาพ คงลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 66 ปี 8 เดือน และปรับคนละ 60 บาท  โดยโทษจำคุกให้คงเหลือ 50 ปี

ที่กล่าวมาเป็นแค่สองเหตุการณ์ที่ยกตัวอย่างให้เห็น ซึ่งทั้งสองเหตุการณ์ นายฟัรดี ซาและ เลขาธิการกลุ่ม PerMAS ได้พยายามเผยแพร่ข้อมูลเป็นภาษาไทย และภาษามลายูกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่คุกคามนักศึกษาปาตานี ซึ่งจะเห็นได้ว่าจากการติดตามจับกุมผู้ต้องสงสัยในการก่อเหตุของเจ้าหน้าที่เพื่อนำตัวเข้าสู่กระบวนการซักถาม เป็นการปฏิบัติภายใต้กรอบของกฎหมายทุกประการ ไม่มีการซ้อมทรมาน ไม่มีการบังคับขู่เข็ญใดๆ ทั้งสิ้น ที่สำคัญที่สุดคือผู้ต้องสงสัยยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุสร้างสถานการณ์ต่อหน้าพ่อแม่ และผู้นำศาสนา

เป็นความพยายามของกลุ่ม PerMAS ที่มีการประสานงานไปยังกลุ่มนักศึกษาสถาบันต่างๆ ทั่วประเทศเพื่อให้ออกมาทำการเคลื่อนไหวเพื่อช่วยเหลือผู้กระทำผิด ซึ่งแน่นอนบุคคลที่กลุ่ม PerMAS ช่วยเหลือคือพวกเดียวกันเป็นสมาชิกแนวร่วม RKK ภายใต้การสั่งการของขบวนการ BRN ส่วนกลุ่ม PerMAS ทำงานการเมืองมีหน้าที่ในการปลุกระดมมวลชนหาแนวร่วม และยังทำหน้าที่อีกอย่างหนึ่งในปัจจุบันนี้คือหลอกกลุ่มนักศึกษาให้ทำการเคลื่อนไหวกดดันการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ต่อกรณีมีการติดตามจับกุมบุคคลเป้าหมาย หรือผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ทำการก่อเหตุ พร้อมเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวโดยไม่มีเงื่อนไข...นี่คือหน้ากากที่แท้จริงของกลุ่ม PerMAS ที่ใครๆ ต่างคิดว่าเคลื่อนไหวเพื่อชาวปาตานี...แท้จริงกระทำเพื่อกลุ่มขบวนการ BRN….
----------------------------


5/05/2558

หนังไตรภาค‘บันนังกูแวเลือด’ ตอน แผนจองเวรฮากิม

อิมรอน

บันนังกูแว คือหมู่บ้านหนึ่งในตำบลบันนังสตา อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา ตามตำนานเล่าว่าที่ตั้งบ้านบันนังกูแว พื้นที่เดิมส่วนมากเป็นทุ่งนา และมีต้นกูแว (ต้นกก) อยู่เป็นจำนวนมากชาวบ้านใช้ในการจักสานเสื่อไว้ใช้สอยในครัวเรือน หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านอื่นๆ การเดินทางไปมาระหว่างหมู่บ้านจะใช้ทุ่งนาเป็นทางสัญจร ซึ่งจะมีการเรียกชื่อหมู่บ้านว่าบือแนกูแวจนกระทั่งในปัจจุบันได้มีการเรียกชื่อจนผิดเพี้ยนกลายมาเป็นบันนังกูแว

ในอดีตหมู่บ้านบันนังกูแว ผู้คนในหมู่บ้านมีความรักใคร่กลมเกลียวสามัคคีกัน สมาชิกในหมู่บ้านส่วนใหญ่มีจิตใจเอื้ออารีย์ ถ้อยทีถ้อยอาศัยช่วยเหลือซึ่งกัน มีการพูดคุยปัญหาปรึกษาหารือซึ่งกันและกัน อีกทั้งผู้น้อยยังเคารพเชื่อฟังคำสั่งสอนของคนเฒ่าคนแก่

บันนังกูแวปัจจุบันนี้ได้แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากอดีตที่ผู้คนเคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขกลับมีความหวาดระแวงต้องระวังภัยไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นกับตนเองตอนไหน สถานการณ์ไฟใต้ที่ก่อเกิดได้ลุกลามทำลายความสุขของประชาชนจนหมดสิ้น กลุ่มขบวนการมุ่งสร้างความแตกแยกของผู้คนในสังคม ทำลายล้างผู้ที่ไม่เห็นด้วยไม่ให้ไปสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่หันหลังให้กับขบวนการ จะถูกตามฆ่าและทำลายชีวิตของคนครอบครัว

หากย้อนรอยมาดูเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับบ้านบันนังกูแวแห่งนี้ ชนวนเดือดละเลงด้วยเลือดผู้คนต้องสังเวยชีวิต คนแล้วคนเล่าต้องล้มหายตายจากโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดว่าสาเหตุเกิดจากอะไรกันแน่!!..
วันที่ 23 ธันวาคม 2556 เวลาประมาณ 19.45 น. คนร้ายได้ลงมือก่อเหตุกราดยิงชาวบ้านบริเวณหน้ามัสยิดบ้านบันนังกูแว เป็นเหตุให้ชาวบ้านเสียชีวิตทันที 1 ราย บาดเจ็บจำนวน 3 ราย มีเด็ก อายุ 12 ปี คนชราอายุ 70 ปี รวมอยู่ในนั้นด้วย

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2557 เวลาประมาณ 13.45 น. ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นบริเวณทางโค้งในหมู่บ้าน เหตุการณ์ครั้งนั้นส่งผลให้ อส.อับดุลฮากิม ดาราเซะ (ฮากิม) เจ้าหน้าที่อาสาสมัครรักษาดินแดนอำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา พร้อมน้องชายและเพื่อนได้รับบาดเจ็บ

23 กุมภาพันธ์ 2557 เวลาประมาณ 01.00 น. คนร้ายใช้รถกระบะเป็นยานพาหนะ กราดยิงแล้วเผาบ้าน 2 หลัง เป็นเหตุให้สองสามีภรรยา นายดอเลาะ-นางมารีแย ผดุง เสียชีวิต บ้านเรือนได้รับความเสียหายรถยนต์โดนเผา 3 คัน

วันที่ 20 เมษายน 2557 เวลาประมาณ 15.25 น. คนร้ายได้ใช้อาวุธปืนยิงราษฎรเสียชีวิต 3 รายและได้รับบาดเจ็บ 1 ราย ขณะขับรถยนต์กระบะอยู่บนถนนสาย 410 บ้านบันนังกูแว ผู้เสียชีวิตคือ นายดอรอแม ดาราเซะ, นางอาอีเสาะ เฮงดาดา, และ เด็กหญิงนูรอีมาน ดาราเซะ (อายุ 2 ปี 8 เดือน) ผู้ได้รับบาดเจ็บ เด็กชายสุไลมาน ขอสวัสดิ์ (อายุ 12 ปี 2 เดือน) ซึ่งบุคคลทั้งหมดเป็นสมาชิกในครอบครัวของฮากิม


และล่าสุดวันที่ 2 พฤษภาคม 2558 เวลา 20.30 น. เจ้าหน้าที่อาสาสมัครรักษาดินแดนบันนังสตา ชุดสิงห์ดำ และเจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านบันนังกูแว ถูกคนร้ายลอบยิงได้รับบาดเจ็บจำนวน 6 ราย ซึ่งทุกคนล้วนเป็นเพื่อนสนิทของฮากิม  

ตั้งแต่ปลายปี 56 จนถึงปัจจุบันบ้านบันนังกูแวได้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรง มีผู้เสียชีวิตไปแล้วถึง 6 ราย ได้รับบาดเจ็บ 11 ราย ที่สำคัญผู้ก่อเหตุไม่มีการแยกแยะยังคงมุ่งก่อเหตุกระทำต่อเด็กซึ่งเป็นเป้าหมายอ่อนแอต้องมารับเคราะห์กรรมถึงแก่ชีวิตและได้รับบาดเจ็บถึง 3 รายด้วยกัน

นี่คือหนังไตรภาคเรื่องยาวบันนังกูแวเลือดอำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งสนธยาของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นในพื้นที่บ้านบันนังกูแว หรือเหตุการณ์อื่นๆ นอกพื้นที่ จะมีชื่อบุคคลผู้หนึ่งเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ด้วยแทบทุกครั้งไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม คือนายอับดุลฮากิม ดาราเซะ หรือฮากิม อดีตอาสาสมัครรักษาดินแดนอำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา ซึ่งแทบทุกครั้งที่เกิดเหตุมีใบปลิวแอบอ้างการกระทำเพื่อแก้แค้นตอบโต้รัฐ ที่ปล่อยให้ฮากิมระรานชาวบ้าน

ฮากิมคือใคร? ทำไมเขาถึงถูกตามจองล้างจองผลาญจากกลุ่มขบวนการด้วยการลอบวางระเบิดรอดตายอย่างหวุดหวิดพร้อมน้องชายและเพื่อน มีการทิ้งใบปลิวกล่าวหาฮากิมระรานชาวบ้าน กระทำต่อพ่อแม่ และหลานวัยแค่ 2 ขวบ ของฮากิมต้องถูกขบวนการฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม!! และล่าสุดเพื่อนสนิทถูกลอบยิงบาดเจ็บถึง 6 ราย

ฮากิมเคยเข้าร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่มขบวนการ จุดเปลี่ยนนำไปสู่จุดแตกหัก!! เมื่อมีการสั่งการให้ฆ่าพ่อแม่ของตัวเองฮากิมเลยตัดสินใจหันหลังให้กับขบวนการ นำมาซึ่งความไม่พอใจของระดับแกนนำที่เคลื่อนไหวในพื้นที่บ้านบันกูแว และหลังจากนั้นฝันร้ายได้ตามหลอกหลอนฮากิมต้องนอนผวาแทบทุกคืน

เขาถือว่าผมสกปรกแล้ว มีอะไรเกิดขึ้นก็มาโยนใส่ กล่าวหาว่าผมเป็นคนทำทั้งหมด นี่คือคำกล่าวของฮากิม ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา และทุกเหตุการณ์ถูกโยงมาถึงตัวเขา
ฮากิมถูกระบุว่าเกี่ยวพันกับเหตุคนร้ายบุกยิง นายดอเลาะ ผดุง และนางมารีแย ผดุง สองสามีภรรยาจนเสียชีวิตในบ้านบันนังกูแว หลังจากฮากิมโดนระเบิดแค่เพียงหนึ่งสัปดาห์

นายดอเลาะ ผดุง มีพฤติกรรมเป็นแกนนำแนวร่วมตั้งแต่ปี 2553 หลังจากนายมะยาหะรี อาลี ซึ่งเป็นแกนนำในพื้นที่บ้านบันนังกูแว ได้ถูกคนร้ายลอบยิงเสียชีวิต จึงได้ก้าวขึ้นมาทำหน้าที่แทน

นางมารีแย ผดุง ภรรยานายดอเลาะฯ เป็นแกนนำฝ่ายสตรีเคลื่อนไหวในพื้นที่ ทำหน้าที่ปลุกระดมมวลชน ชักชวนให้ราษฎรออกมาชุมนุมต่อต้านการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่บ้านบันนังกูแว ส่วนนายอาแซ (ซัน) ผดุง บุตรชายเป็นสมาชิกระดับปฏิบัติการ จบการศึกษาชั้น 10 จากโรงเรียนธรรมวิทยา ในระหว่างกำลังศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา ได้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุลอบวางระเบิด 7 จุด ภายในเขตเทศบาลนครยะลา

บันนังกูแวเป็นบ้านเกิดของฮากิมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสองสามีภรรยามุสลิมวัยชราเป็นเรื่องที่คนในพื้นที่รับไม่ได้ และหลังจากนั้นชื่อของเขาก็ไปปรากฏในใบปลิวใบแล้วใบเล่า เช่นเหตุขว้างระเบิดเข้าไปในร้านขายก๋วยจั๊บ ในตัวเมืองยะลา เมื่อวันจันทร์ที่ 3 มีนาคม 2557 แต่โชคดีที่ระเบิดไม่ทำงาน, เหตุสังหาร ด.ต.เอกพงษ์ ศักดายุทธ อดีตตำรวจสันติบาลวัย 65 ปี เสียชีวิตคาปั๊มน้ำมันใน อำเภอยะหา จังหวัดยะลา เมื่อวันจันทร์ที่ 17 มีนาคม 2557

รวมถึงเหตุสังหารหมู่ 3 ศพ คณะผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านกาสังใน ตำบลตาเนาะปูเต๊ะ อำเภอบันนังสตา เมื่อบ่ายวันพุธที่ 2 เมษายน 2557 โดยหนึ่งในสามเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหญิงถูกคนร้ายตัดคออย่างโหดเหี้ยม

ข้อความใบปลิวไม่ได้กล่าวหาว่าฮากิมเป็นคนกระทำ แต่อ้างว่าเป็นการกระทำต่อผู้บริสุทธิ์อีกศาสนาหนึ่ง เพื่อแก้แค้นตอบโต้พฤติกรรมของฮากิมที่ถูกอ้างว่ากระทำต่อผู้บริสุทธิ์ในศาสนาอิสลาม...ศาสนาเดียวกับเขา

ฮากิมถูกกลุ่มขบวนการโจรใต้ตามล่าด้วยการลอบวางระเบิดหวังสังหารเขากับน้องชายและเพื่อน ขณะขับรถยนต์อยู่ในพื้นที่บ้านบันนังกูแว แต่กลับรอดหวุดหวิด ถัดจากนั้น 7 วันสองสามีภรรยาตระกูลผดุงก็ถูกสังหาร และมีกระแสข่าวว่าเป็นการกระทำของเขาเพื่อแก้แค้นที่ถูกลอบวางระเบิด

กระทั่ง 20 เมษายน 2557 ครอบครัวของ ฮากิมคือ นายดอรอแม ดาราเซะ พ่อวัย 54 ปี นางอาอีเสาะ เฮงดาดา แม่วัย 49 ปี และ เด็กหญิงนูรอีมาน ดาราเซะ หลานสาววัยเพียง 2 ขวบ ก็ถูกคนร้ายยิงตายคารถทั้ง 3 คน บนถนนสาย 410 ที่เชื่อมระหว่างบันนังสตากับเมืองยะลา

ฮากิมเคยประกาศแตกหักกับขบวนการต่อหน้าชาวบ้านบันนังกูแว....
หากต้องการอย่างนั้นก็ได้ ทุกคนไม่ว่าใครก็รักชีวิตของตัวเอง คุณก็รักชีวิตคุณ ผมก็รักชีวิตผม หากใครอยากได้ชีวิตผมก็เข้ามา ถ้าพวกคุณได้พวกคุณก็ชนะ ถ้าผมได้ผมก็ชนะ

ซึ่งหลังจากนั้นฮากิมถูกตามไล่ล่าจากกลุ่มขบวนการโจรใต้ซึ่งถูกคนของขบวนการติดตามลอบทำร้ายมาตลอด ทั้งไล่ยิงรถ ซึ่งเกิดขึ้นถึง 4 ครั้ง และลอบวางระเบิดรถยนต์ เกิดขึ้น 2 ครั้ง ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวตามที่ปรากฏเป็นข่าว

หลังเกิดเหตุหน่วยงานความมั่นคงได้ลงพื้นที่บันนังกูแว เพื่อแก้ปัญหาข้อขัดแย้งภายในท้องถิ่น ซึ่งต่อมามีบทสรุปเบื้องต้นว่า เหตุรุนแรงดังกล่าวเป็นการแก้แค้นกันของคนสองตระกูลในบันนังสตา ผดุง – ดาราเซะ แต่หลายคนเชื่อว่าน่าจะมีอะไรที่สลับซับซ้อนมากกว่านั้น! เหตุลอบยิงเจ้าหน้าที่อาสาสมัครรักษาดินแดนชุดสิงห์ดำซึ่งเป็นเพื่อนสนิทฮากิม และเจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านบันนังกูแว เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2558 ย่อมประจักษ์ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าไม่ใช่การแก้แค้นส่วนตัว

บันนังกูแวอำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา ยังคงเป็นดินแดนแห่งสนธยาของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป ตราบใดที่การแก้ปัญหาความขัดแย้งยังไม่บรรลุผลนำไปสู่สันติสุขอย่างแท้จริง ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาของกลุ่มขบวนการยังคงมีการใช้กระสุนและระเบิดทำลายชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์อยู่อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างอำนาจในการต่อรองกับฝ่ายรัฐ ที่สำคัญสมาชิกแนวร่วมที่หันหลัง หรือไม่สนับสนุนกลุ่มขบวนการกลับถูกระรานติดตามหมายเอาชีวิตอย่างไม่ละเว้น เป็นสิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่ากลุ่มขบวนการ BRN นอกจากจะมีความโหดร้ายป่าเถื่อนสุดโต่งแล้ว ยังมีการบังคับขืนใจพี่น้องมลายูปาตานีให้เข้าร่วมขบวนการโดยไม่มีข้อแม้ ใครตีตัวออกห่างจะถูกลงโทษด้วยการฆ่าทิ้งในทันที...
------------------------
อ่านบทความประกอบที่เกี่ยวข้อง

-เหตุเกิดที่บันนังกูแว บันนังสตา http://pulony.blogspot.com/2014/03/3-socail-media-2556-23-19.html
-ย้อนรอยความจริงเหตุยิงราษฏรบันนังกูแว http://pulony.blogspot.com/2014/03/blog-post_5617.html
-บันนังกูแวเลือดฆ่าล้างครัวดาราเซะhttp://pulony.blogspot.com/2014/04/blog-post_22.html
-เมื่ออับดุลอากิม ดาราเซะประกาศแตกหักกับขบวนการ http://pulony.blogspot.com/2014/06/blog-post_19.html