12/31/2559

10 เรื่องเด่น“ความจริงจากจังหวัดชายแดนใต้”ปี 59


10 เรื่องเด่นความจริงจากจังหวัดชายแดนใต้(Thailand South Situation) ซึ่งเผยแพร่ใน http://pulony.blogspot.com ที่ได้รับความนิยมจากคนอ่านมากที่สุดในรอบปี 2559 จากจำนวนผู้ติดตามกว่า 1,128,065 คน

กองบรรณาธิการข่าว บล็อกความจริงจากจังหวัดชายแดนใต้ ได้จัดอันดับ 10 ข่าวเด่น ที่มีผู้อ่านมากที่สุดในรอบปี 2559 ซึ่งพบว่าบทความที่มีผู้คนให้ความสนใจสูงสุด คือ บทความเรื่อง จุดจบ สันติ ดอเลาะ นักเลงคีบอร์ดซึ่งเขียนโดย แบมะ ฟาตอนี มากที่สุด รองลงมา บทความเรื่อง ใคร? คือจอมบงการโจรใต้ฟาตอนี เขียนโดย “Ibrahim” ซึ่งจากสถิติจัด Top Ten ดังนี้

อันดับ 1 บทความ เรื่อง จุดจบ สันติ ดอเลาะ นักเลงคีบอร์ด
มีจำนวนยอดผู้อ่าน 52,659 ครั้ง 
http://pulony.blogspot.com/2016/08/blog-post_22.html 
ทำการเผยแพร่เมื่อ 22 ส.ค.59 เขียนโดย “แบมะ ฟาตอนี”
เป็นเรื่องราวของนักเลงคีบอร์ดที่เคลื่อนไหวในสังคมออนไลน์สร้างความแตกแยก โดยใช้ชื่อใน Facebook ว่า สันติ ดอเลาะ และ พุทธควยสยามบาบีจนกระทั่งเจ้าหน้าที่สืบทราบตัวตน นายสันติ ดอเลาะ ตรวจยึดโทรศัพท์ จำนวน 2 เครื่อง และนายสันติ ดอเลาะ ได้ให้การยอมรับในการกระทำดังกล่าวจริง

อันดับ 2 บทความ เรื่อง ใคร? คือจอมบงการโจรใต้ฟาตอนี  
มีจำนวนยอดผู้อ่าน 44,314 ครั้ง 
http://pulony.blogspot.com/2016/10/blog-post.html
ทำการเผยแพร่เมื่อ 4 ต.ค.59 เขียนโดย "Ibrahim" 
นำเสนอเรื่องราวตั้งคำถามถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลัง และบงการให้สมาชิกแนวร่วมทำการก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

อันดับ 3 บทความเรื่องเปิดโปง องค์กรสุดโต่งช่วยเหลือผู้กระทำผิด 
มีจำนวนยอดผู้อ่าน 36,225 ครั้ง
http://pulony.blogspot.com/2016/10/blog-post_18.html  
ทำการเผยแพร่เมื่อ 18 ต.ค.59 เขียนโดย 'แบมะ ฟาตอนี' 
เป็นการนำเสนอให้สังคมคิด..ต่อพฤติกรรมขององค์กรภาคประชาสังคมบางองค์กรที่เคลื่อนไหวในลักษณะช่วยเหลือผู้กระทำความผิด

อันดับ 4 บทความ เรื่อง ยิงหญิงไทยพุทธท้องแก่ใกล้คลอดความรุนแรงที่คนร้ายตั้งใจ!!  
มีจำนวนยอดผู้อ่าน 22,810 ครั้ง
http://pulony.blogspot.com/2016/11/blog-post_27.html 
ทำการเผยแพร่เมื่อ 27 พ.ย.59 เขียนโดย "Ibrahim" 
ชี้ให้เห็นถึงความโหดเหี้ยมที่กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง จงใจทำการก่อเหตุยิงราษฎรที่กำลังท้องแก่เสียชีวิต สร้างความรู้สึกที่สลดหดหู่และสะเทือนใจต่อพี่น้องประชาชนชาวไทยทั่วประเทศ

อันดับ 5 บทความ เรื่อง น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผอ.มูลนิธิผสานวัฒนธรรม กับโจรใต้เป็นอะไร? กัน 
มีจำนวนยอดผู้อ่าน19,286 ครั้ง http://pulony.blogspot.com/2016/10/blog-post_22.html 
ทำการเผยแพร่เมื่อ 22 ต.ค.59 เขียนโดย แบมะ ฟาตอนี 
เป็นเรื่องราวตั้งข้อสงสัยต่อพฤติกรรมของ น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผอ.มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ว่าเป็นอะไรกันกับกลุ่มขบวนการโจรใต้ ทุกครั้งที่มีการจับกุมผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายบ้านเมือง น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ จะออกมาเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยออกรับหน้าแทนแทบทุกครั้ง

อันดับ 6 บทความ เรื่อง ถอดรหัสปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้!!” 
มีจำนวนยอดผู้อ่าน 19,050 ครั้ง  
http://pulony.blogspot.com/2016/11/3_24.html
ทำการเผยแพร่เมื่อ 24 พ.ย.59 ถอดเทปคำต่อคำ...เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา สาเหตุรากเหง้าปัญหาไฟใต้มาจากสาเหตุอะไร? อีกทั้งมีกลุ่มนักการเมือง ประเทศมหาอำนาจอยู่เบื้องหลัง โดยใช้ประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศในการเป็นฐานบ่งการการก่อเหตุ

อันดับ 7 บทความ เรื่อง ศาลฎีกาสั่งจำคุกตลอดชีวิต มือระเบิด 7 ศพ ร้านข้าวต้มน้องเฟิร์น    
มีจำนวนยอดผู้อ่าน 15,256 ครั้ง 
http://pulony.blogspot.com/2016/10/7.html 
ทำการเผยแพร่เมื่อ 20 ต.ค.59 เขียนโดย แบมะ ฟาตอนี 
ชี้ให้เห็นการใช้กระบวนการยุติธรรมแก้ไขปัญหาไฟใต้ ใครกระทำความผิดจะต้องได้รับโทษทัณฑ์ตามกฎหมาย อย่างเสมอภาค เท่าเทียม ไม่มีการเลือกปฏิบัติ กรณี ศาลจังหวัดปัตตานี ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา พิพากษาจำคุกตลอดชีวิต นายมูฮำหมัดซอบรี หรือ เต๊ะโซ๊ะ หรือซัน หะยีมามุ ในฐานความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย อั่งยี่ ซ่องโจร ลอบวางระเบิด  7 ศพ ร้านข้าวต้มน้องเฟิร์น ในอำเภอเมืองปัตตานี

อันดับ 8 บทความ เรื่อง ตบหน้า PerMAS เมื่อนายตาลมีซี โต๊ะตาหยง รับสารภาพเตรียมก่อเหตุระเบิด 5 จุด กทม. 
มีจำนวนยอดผู้อ่าน 13,249 ครั้ง 
http://pulony.blogspot.com/2016/10/permas-5.html
ทำการเผยแพร่เมื่อ 18 ต.ค.59 เขียนโดย 'แบดิง โกตาบารู' 
เป็นเรื่องราวจากการซักถาม นายตาลมีซี โต๊ะตาหยง รับว่าเป็น 1 ในผู้เตรียมการก่อเหตุระเบิดใน กทม. โดยเดินทางมาจาก อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส ซึ่งก่อนหน้านี้ นายฮากิม พงติกอ ผู้ประสานงาน เครือข่ายพลเมืองปาตานีนอกมาตุภูมิ (ประจำประเทศอินเดีย) ได้ออกมาเคลื่อนไหวชี้นำสังคมต่อการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่จับโดยไม่รู้จักชื่อ ไม่มีข้อหาด้วยซ้ำ และเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวบุคคลต้องสงสัยทั้งหมดที่ถูกควบคุมตัว

อันดับ 9 บทความ เรื่อง เบื้องหลังความชั่ว อัสมีน กาเต็มมาดี มือระเบิดตำรวจดับเดือนรอมฏอน  
มีจำนวนยอดผู้อ่าน 11,945 ครั้ง 
http://pulony.blogspot.com/2016/08/blog-post_12.html
ทำการเผยแพร่เมื่อ 3 ส.ค.59 เขียนโดย "Ibrahim" 
เปิดโปงพฤติกรรม นายอัสมีน กาเต็มมาดี มือระเบิด เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตในเดือนรอมฎอน บริเวณม้าหินอ่อนระหว่างหน้าร้านศรีปุตรีเยื้องมัสยิดกลางปัตตานี และในเวลาต่อมาศาลจังหวัดปัตตานีได้ออกหมายจับ นายอัสมีน กาเต็มมาดี อีกทั้งมีความเชื่อมโยงคดีระเบิดร้านข้าวต้มน้องเฟิร์น ในอำเภอเมืองปัตตานีอีกด้วย

อันดับ 10 บทความ เรื่อง เหตุผลที่โจรใต้มอบตัว...คืออะไร?” 
มีจำนวนยอดผู้อ่าน 11,728 ครั้ง 
http://pulony.blogspot.com/2016/11/blog-post_15.html  
ทำการเผยแพร่เมื่อ 15 พ.ย.59 เขียนโดย แบดิง โกตาบารู 
แฉชีวิตความเป็นอยู่ของโจรใต้ฟาตอนี นายสาการียา แวกาจิ ได้เปิดเผยว่า หลังจากตนได้ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีเกี่ยวกับความมั่นคง ถูกเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายออกไล่ล่าติดตามจับกุมตัว แต่ตนเองได้หลบหนีออกนอกพื้นที่ ไปอาศัยอยู่กับเพื่อนๆ ต้องทนทุกข์ต่อความยากลำบากอยู่ตลอดเวลา อยู่แบบอดมื้อกินมื้อ เพราะต้องคอยหลบซ่อน หลบหนีการจับกุม

กองบรรณาธิการ บล็อก ความจริงจากจังหวัดชายแดนใต้ (Thailand South Situation) http://pulony.blogspot.com ขอขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่าน ที่ติดตามเรื่องราวและให้กำลังใจด้วยดีเสมอมา..และหวังอย่างยิ่งว่าในปี 2560 จะยังคงติดตามเรื่องราวข่าวสารและให้แรงใจต่อนักเขียนของเราต่อไป..และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสถานการณ์ความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในปี 2560 คงจะมีทิศทางที่ดีขึ้น หาทางออกด้วยการพูดคุย คืนพื้นที่ปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชน ให้ทุกภาคส่วน ทุกองค์กรมีส่วนร่วมกำหนดทิศทางการแก้ปัญหาเพื่อคืนความสงบสุข สันติ เป็นของขวัญปีใหม่แด่ลูกหลานของเรา..... 
*************

12/29/2559

อินเดียแบนเอ็นจีโอ 20,000 องค์กร! ย้อนมอง‘เอ็นจีโอชายแดนใต้’

"RANIA"



เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2559 ได้มีการเผยแพร่ข่าวสารรัฐบาลอินเดียเพิกถอนใบอนุญาตองค์กรพัฒนาเอกชน หรือเอ็นจีโอราว 20,000 กลุ่ม ที่รับเงินทุนสนับสนุนจากต่างประเทศ หวั่นแอบแฝงบ่อนทำลายเศรษฐกิจของประเทศ

โฟกัสกลุ่มเอ็นจีโอในประเทศไทยเราจะมีกี่กลุ่มกี่องค์กรไม่สามารถทราบได้ แต่ที่สามารถยืนยันจำนวนเอ็นจีโอที่เคลื่อนไหวเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ ปัจจุบันนี้มีมากกว่า 520 องค์กร ซึ่งถือได้ว่าจำนวนได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

เหตุผลที่รัฐบาลอินเดียเพิกถอนใบอนุญาตเอ็นจีโอ 20,000 กลุ่มนั้น มีการกล่าวอ้างว่า มีการใช้เงินบริจาคต่างชาติในทางที่ผิด เพื่อทำลายการเจริญเติบโตระบบเศรษฐกิจประเทศ แล้วในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยเราล่ะ!! หลายองค์กรหมิ่นแหม่เคลื่อนไหวไปในทางปลุกระดมทางความคิด สร้างความแตกแยก ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติยิ่งกว่าการทำลายระบบเศรษฐกิจในประเทศอินเดียเสียอีก แต่หน่วยงานที่รับผิดชอบกลับนิ่งเฉย หรือกำลังเก็บรวบรวมข้อมูลไม่สามารถคาดเดาได้

โฆษกกระทรวงมหาดไทยของอินเดีย นาย เค.เอส. ธัทวาเลีย เปิดเผยว่า กลุ่มเอ็นจีโอทั้ง 20,000 กลุ่มจะถูกห้ามเป็นเวลา 1 ปีครึ่ง เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามบรรทัดฐานของ กฎหมายว่าด้วยการให้เงินช่วยเหลือของต่างชาติ หรือ เอฟซีอาร์เอ ขณะยื่นคำร้องขอต่อใบอนุญาต

เมื่อไม่มีใบอนุญาต กลุ่มเอ็นจีโอจะไม่สามารถรับเงินบริจาคจากต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานรายวัน แต่กลุ่มเอ็นจีโอที่ถูกเพิกถอน ก็สามารถยื่นขอใบอนุญาตจากกระทรวงมหาดไทยใหม่ได้


ความเคลื่อนไหวนี้ ทำให้อินเดียมีเอ็นจีโอเหลืออยู่เพียงแค่ 13,000 กลุ่ม แต่ทุกกลุ่มโดยเฉพาะที่มีต่างชาติสนับสนุนเงินทุน เช่น กรีนพีซ จะถูกทางการควบคุมและตรวจสอบเข้มงวดมากขึ้น นับตั้งแต่นายกรัฐมนตรีชาตินิยมฮินดู นายนเรนทรา โมดี ขึ้นครองอำนาจในปี 2557
การกวาดล้างครั้งใหญ่ เริ่มเมื่อต้นเมื่อปี 2558 หลังจากรายงานข่าวกรองบ่งชี้ว่า เอ็นจีโอหลายกลุ่ม เช่น กรีนพีซ กำลังทำลายเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการรณรงค์ต่อต้านโครงการพัฒนาสำคัญหลายโครงการ และรัฐบาลอินเดียเพิกถอนใบอนุญาตเอ็นจีโอหลายพันกลุ่มนับจากนั้น โดยอ้างการใช้เงินบริจาคต่างชาติในทางที่ผิด เพื่อทำลายการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ

ฝากไปถึงกลุ่มเอ็นจีโอ 520 กว่าองค์กรที่เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งรับเงินสนับสนุนจากแหล่งเงินทุนต่างประเทศ ไม่อยากทุบหม้อข้าวตัวเอง โดนตัดน้ำตัดไฟ ตัดท่อน้ำเลี้ยง และถูกเพิกถอนใบอนุญาต การกระทำที่ส่อไปในทางสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติ หยุดเถอะค่ะ!! มิเช่นนั้นคงจะมีชะตากรรมดั่งเช่นเอ็นจีโออินเดีย 20,000 องค์กรที่ถูกแบน.

-----------------

12/28/2559

มุมมองของ NGOs ต่างประเทศ ต่อการแก้ปัญหา จชต.

"Ibrahim"


อัญชนา หีมมิน๊ะ ประธานกลุ่มด้วยใจ โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัว เกี่ยวกับความท้าทายของกระบวนการสันติภาพในระดับรากหญ้า ระดับพื้นที่ และชุมชนว่าสภาวะแวดล้อมที่เอื้อให้คนมีความปลอดภัย และมีเจตนารมณ์ร่วมกันในการสร้างพื้นที่ปลอดภัยดังนั้น พื้นที่ปลอดภัย ผู้ที่มีอำนาจ ผู้ที่ถืออาวุธจะต้องพิจารณาให้รอบด้าน มองในหลายมิติ สื่อสารกันให้มาก รับฟังความคิดเห็นของประชาชนในชุมชนให้มาก

แต่ She มิวายที่จะแขวะการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ในการติดตามจับกุมบุคคลต้องสงสัยกรณีเหตุระเบิดในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบนกับการใช้กฎหมายพิเศษ


การแสดงความคิดเห็นของอัญชนา หีมมิน๊ะประธานกลุ่มด้วยใจ เกี่ยวกับ การสร้างพื้นที่ปลอดภัยที่ทุกฝ่ายกำลังตื่นตัวและเรียกร้องในระดับเวทีการพูดคุยสันติสุข และเรียกร้องให้รับฟังความคิดเห็นให้มาก

ในมุมมองของผู้เขียนอัญชนา หีมมิน๊ะยังมีเรื่องที่ค้างคาใจอยู่หลายประเด็น เกี่ยวกับพฤติกรรมที่ผ่านมา โดยเฉพาะการนำประเด็นที่สำคัญมาบิดเบือน เช่นประเด็น การซ้อมทรมานกล่าวหา เจ้าหน้าที่รัฐกระทำการทารุณกรรม ที่จริงไม่อยากจะฟื้นฝอยหาตะเข็บสักเท่าไหร่  กล่าวถึงเรื่องนี้ทีไรบอกได้เลยคำเดียว She เป็นพวก Ultras BRN (ยิ่งกว่า BRN) ก็สมควรแล้วที่หน่วยงานความมั่นคงฟ้องร้องเอาผิดกับองค์กรเหล่านี้ ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม

องค์กรภาคประชาสังคมที่มีมากกว่า 520 องค์กร ที่เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ จชต. หากคิดดีทำดีจิตบริสุทธิ์ ช่วยกันคิดช่วยกันแก้ไขปัญหาไฟใต้ก็สมควรยกย่อง แต่ในขณะเดียวกันมีกลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมจำนวนไม่น้อยในพื้นที่ จชต. ที่มีแนวความคิดตรงข้ามกับภาครัฐ คอยจับผิดซ้ำเติมข้อผิดพลาดจากการปฏิบัติงาน  นำไปขยายผลรายงานไปยังองค์กรต่างประเทศ เสมือนหนึ่งไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้วกลับคอยราดน้ำมันลงในกองเพลิง เพื่ออะไร? มิทราบ ซึ่งมีองค์กรที่มีพฤติกรรมเช่นนั้นจริง และหนึ่งในนั้นคือ กลุ่มด้วยใจของ อัญชนา หีมมิน๊ะและ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ของ พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ

นอกจากนี้ยังมีองค์กรประเภทอีแอบ คอยจัดเวทีเสวนาโน่นนี่ ซึ่งรูปแบบการจัดกิจกรรมก็จะเป็นไปในลักษณะปิดลับ โดยเฉพาะที่ผ่านมา วิทยาลัยประชาชน ซึ่งมี นายอิสมาแอล แนแซ เป็นผู้อำนวยการ จะมีพฤติกรรมเยี่ยงนี้ ไม่ได้เชิญบุคคลทั่วไปเข้าร่วมมีการจำเพาะเจาะจงผู้ที่มีอุดมคติเดียวกัน และที่สำคัญไม่ได้เชิญเจ้าหน้าที่รัฐเข้าร่วมแต่อย่างใด? แต่ก็มีบางองค์กรที่สามารถทำงานร่วมกับภาครัฐได้อย่างลงตัวเพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหา จชต.อย่างแท้จริง

อยากจะให้ อัญชนา หีมมิน๊ะ ดูแบบอย่าง NGOs ที่ดีอย่างเช่น “Miss Cynthia Petrigh” ผู้ก่อตั้ง Beyond Peace, French และ International Monitoring yeam in Mindanao ซึ่งเป็นองค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานร่วมกับภาครัฐและทหารที่ทำงานร่วมกันทั่วโลก ซึ่งองค์กรนี้มีแนวความคิดที่ค่อนข้างจะเป็นกลาง และพร้อมรับฟังข้อเสนอแนะ พูดแบบชาวบ้านคือใจกว้าง ไร้อคติเอนเอียง

ส่วนกรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐ ติดตามจับกุมบุคคลต้องสงสัยกรณีเหตุระเบิดในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน โดยใช้กฎหมายพิเศษ She ได้กล่าวพาดพิง ไม่อยากให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดหรือไร? ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศชาติไม่สามารถประเมินค่าได้ อีกทั้งในเรื่องความมั่นใจของนักการค้า การลงทุนต้องหดหาย นี่มันอะไรกันจะปล่อยให้คนชั่วลอยนวลทำการก่อเหตุได้ตามอำเภอใจ ต้องการแบบนั้นหรือ?

การรายงานข้อเท็จจริงขององค์กรภาคประชาสังคมไปยังต่างประเทศก็เช่นกัน มีการตกแต่งบิดเบือนข้อมูล เป็นข้อมูลด้านเดียวจนกระทั่งฝรั่งต่างชาติมองปัญหา จชต.ติดลบ ขอยกคำพูดของ Miss Cynthia Petrigh ที่ได้มีโอกาสเดินทางเข้ามาในพื้นที่ จชต. ครั้งแรก และได้ลงไปเยี่ยมเยียนสัมผัสรับรู้ปัญหาจริงๆ ถึงกับกล่าวว่า สถานการณ์ จชต. มิได้ย่ำแย่ตามที่เป็นข่าว แปลกใจที่เคยได้ยินเรื่องปัญหาจากประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม แต่แปลกใจเมื่อตนลงพื้นที่กลับพบว่าประชาชนที่นี่ได้รับครบถ้วนมิได้ขาด ในเรื่องการประกอบศาสนกิจไม่ว่าจะเป็นการคลุมฮิญาบ หรือการละหมาด

นั่นคือมุมมององค์ภาคประชาสังคมต่างประเทศที่ทำงานร่วมกับรัฐ และทหารทั่วโลก ที่องค์กรนี้ไปตั้งสำนักงานอยู่ประเทศไหนก็จะยึดแนวความคิดที่เป็นกลาง และพร้อมรับฟังข้อเสนอแนะ หันกลับมามององค์กรภาคประชาสังคมในประเทศไทยเรา!!  โดยเฉพาะองค์กรที่เคลื่อนไหวในพื้นที่ จชต. เคยทำประโยชน์ และตอบแทนบุญคุณผืนแผ่นดินเกิดหรือยัง!! หรือมีแต่คอยบิดเบือนข้อมูลทำลายประเทศชาติให้ฉิบหายต่อไป...
-------------


12/27/2559

ใคร? ฆ่า อส.ทุ่งยางแดง ในขณะที่ทุกฝ่ายต้องการ ‘พื้นที่ปลอดภัย’

"Ibrahim"


ทุ่งยางแดง ซึ่งเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดปัตตานี เป็นพื้นที่ที่เกิดเหตุบ่อยครั้ง กลุ่มขบวนการมักฉวยโอกาสทีเผลอลอบทำร้ายผู้บริสุทธิ์ จงใจก่อเหตุสร้างความเดือดร้อนให้ผู้คนในพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเป้าหมายอ่อนแอไม่มีแม้อาวุธปกป้องตนเองต้องตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง แต่มิได้หมายความว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะไม่ตกเป็นเป้าของกลุ่มขบวนการ

ล่าสุดเมื่อ 26 ธ.ค.59 กรณีเหตุคนร้ายประกบยิง นายมะโซ๊ะ เจ๊ะแว ซึ่งเป็นคนขับรถนายอำเภอทุ่งยางแดง อีกทั้งยังเป็นเจ้าหน้าที่ อส.ทุ่งยางแดง ในขณะที่ นายมะโซ๊ะฯ ขับรถจักรยานยนต์คู่ชีพเพื่อเดินทางกลับบ้านช่วงหัวค่ำ ขณะขับมาตามเส้นทางถนนภายในหมู่บ้าน บ้านบาลูกาลูวะ หมู่ที่ 1 ต.น้ำดำ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี คนร้ายได้ขับรถกระบะยี่ห้อมาสด้า แบบตอนครึ่ง สีขาว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ตามประกบและใช้อาวุธปืนสงครามกราดยิง นายมะโซ๊ะ เจ๊ะแว กระสุนถูกบริเวณศีรษะและลำตัวได้รับบาดเจ็บสาหัส พลเมืองดีนำส่งรักษาตัวเพื่อยื้อชีวิต แต่ทนพิษบาดแผลและคมกระสุนไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมา ณ โรงพยาบาลทุ่งยางแดง

หลังก่อเหตุคนร้ายใช้ความชำนาญเส้นทางในพื้นที่ขับรถยนต์หลบหนีไป จากการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ พบปลอกกระสุนปืน ขนาด 5.56 มม. จำนวน 4 ปลอก ตกอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ

ในขณะที่ทุกฝ่ายกำลังตื่นตัวกับวาทกรรม การสร้างพื้นที่ปลอดภัย มีการผลักดันในเวทีพูดคุยสันติสุขให้เกิดเป็นรูปธรรม แต่ความเป็นจริงในพื้นที่กลับใช้ความรุนแรงยังปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง

การฆ่าคน ทุกศาสนาได้บัญญัติและสอนไว้ว่าเป็นบาปจะต้องพึงละเว้น ไม่มีศาสนาไหนสอนให้ การฆ่าคน เป็นวาญิบสิ่งที่ควรทำ หรือทำแล้วได้บุญ แต่กลุ่มขบวนการ BRN ยังเดินหน้าปลิดชีวิตของผู้คนโดยไม่เกรงกลัวต่อบาป

ใคร? คือผู้ก่อเหตุ

เหตุร้ายรายวันที่ซัยตอนอาละวาดเข่นฆ่าผู้คน คอยเติมเชื้อไฟใต้ไม่ให้มอดดับเป็นฝีมือของกลุ่มขบวนการ BRN และส่วนหนึ่งมาจากปัญหาในเรื่องส่วนตัว ขัดแย้งผลประโยชน์ ปัญหายาเสพติดน้ำมันเถื่อน สินค้าลักลอบหนีภาษี  ที่ผ่านมาหลายๆ เหตุการณ์มักจะอาศัยสถานการณ์ทำการก่อเหตุ เพื่อเบี่ยงเบนให้เห็นว่าเป็นคดีความมั่นคงไม่ใช่ประเด็นส่วนตัว
เพราะฉะนั้นในปัจจุบันนี้หน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ มีการนำหลักนิติวิทยาศาสตร์มาใช้ในการปฏิบัติงาน มีการเก็บหลักฐานส่งตรวจพิสูจน์เพื่อหาความเชื่อมโยงของคดีในสารบบ ซึ่งกระบวนการมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของสากล

ผลของการกระทำ

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม? สิบกว่าปีที่ผ่านมาเหตุไฟใต้ สถิติสะสมของเด็กกำพร้าพ่อและแม่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ถึงได้พุ่งสูงขึ้น ไม่นับรวมผู้ที่ได้รับผลกระทบอีกเป็นจำนวนมาก รัฐต้องเสียงบประมาณในการเยียวยาด้วยวงเงินที่สูง ทั้งครอบครัวของประชาชนผู้บริสุทธิ์ ครอบครัวของกลุ่มขบวนการ BRN เองตลอดจนครอบครัวของเจ้าหน้าที่รัฐต่างได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า

การเป็นเด็กกำพร้า ลูกหลานมุสลิมอย่าเข้าใจผิดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบ หรือจะไม่เกิดขึ้น อย่าคิดว่าหลีกเลี่ยงได้ ความเป็นเด็กกำพร้า ได้ถูกยัดเยียดจากกลุ่มขบวนการ BRN ซึ่งอยู่ในคราบซัยตอน กลุ่มขบวนการนี้ทำการก่อเหตุโดยไม่แยกแยะเป้าหมายแม้กระทั่งผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามด้วยกันเองก็ไม่เว้น

การฆ่า นายมะโซ๊ะ เจ๊ะแว ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ กลุ่มขบวนการกระทำผิดหลักศาสนา ผู้ที่เสียชีวิตมีครอบครัว มีลูกมีเมียที่จะต้องรับผิดชอบเลี้ยงดู ประกอบอาชีพหาเงินมาดูแลครอบครัวด้วยความสุจริต การเป็นเจ้าหน้าที่อาสาสมัครักษาดินแดนทุ่งยางแดง ผิดด้วยหรือ? ถึงได้มาพรากชีวิต หรือเพื่อสนองตัณหาของแกนนำบางคนที่นั่งสั่งการอยู่บนฟูก แล้วครอบครัวของพี่น้องมุสลิมที่ได้รับผลกระทบล่ะ!! เมื่อขาดเสาหลักของครอบครัวไป การดำเนินชีวิตจะเป็นเช่นไร?

นี่หรือ!! คือ..วิธีการแก้ปัญหาของกลุ่มขบวนการ BRN ที่ใช้อาวุธในการเข่นฆ่าผู้คน เพื่อหาทางออกของความขัดแย้ง เสพติดความรุนแรง นิยมความป่าเถื่อน..สุดโต่ง..!!
-------------------

12/23/2559

สังคมพหุวัฒนธรรมสิ่งที่ BRN กลัวยิ่งกว่าอาวุธ...

"Ibrahim"

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าสิ่งที่กลุ่มขบวนการ BRN กลัวยิ่งกว่าอาวุธไหนๆ คือความรักความสามัคคี การที่พี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ร่วมกันภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม (MULTICULTURAL-SOCIETY) หรือ สังคมที่มีวัฒนธรรมที่หลากหลาย หลายท่านอาจจะไม่เห็นด้วย และคัดค้านตั้งคำถามอยู่ในใจว่าจริงหรือ? ฉะนั้นเรามาดูเหตุและผลกันว่าทำไม? BRN ถึงได้กลัวกันค่ะ

ย้อนกลับไปก่อนที่จะมีการ จุดคบไฟใต้ โดยกลุ่มขบวนการ BRB เมื่อต้นปี 2547 หากยังจำกันได้พี่น้องในพื้นที่ 3 จชต.และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ภายใต้ความแตกต่างด้านอัตลักษณ์ เชื้อชาติ และศาสนา รวมไปถึงขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมที่มีความหลากหลาย ช่วยเหลือซึ่งกันแบ่งปันถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน

แต่หลังจากเหตุการณ์ วันเสียงปืนแตก กลุ่มขบวนการ BRN ทำการปล้นปืนกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายปิเหล็ง การใช้ชีวิตอย่างสงบสุขของพี่น้องใน จชต.ได้แปรเปลี่ยนไป

สิ่งที่กลุ่มขบวนการ BRN กลัวที่สุดคือ การอยู่ร่วมกันแบบสังคมพหุวัฒนธรรมเพราะฉะนั้น หากสังเกตพฤติกรรมที่ผ่านมาสังคมพหุวัฒนธรรมเป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ  ที่กลุ่มขบวนการมุ่งทำลายควบคู่กับการก่อเหตุสร้างความหวาดกลัวหวาดระแวงในหมู่ประชาชนด้วยกันเอง

การสร้างความหวาดกลัว ความหวาดระแวงจึงเริ่มต้นขึ้น ผู้คนในชุมชนที่เคยมีความรักความสามัคคีกลมเกลียวกันค่อยๆ ถูกทำลายทีละน้อยทีละนิดจนกระทั่งเริ่มเลือนหายไปจากสังคม การแบ่งเค้าแบ่งเรา แบ่งฝักแบ่งฝ่ายมีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง รูปแบบการก่อเหตุของกลุ่มขบวนการจงใจมุ่งเป้าไปที่คนต่างศาสนา ศพแล้วศพเล่า  เริ่มถี่ขึ้นๆ เพื่อสร้างแรงกดดัน ความเกลียดชัง ของผู้ที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม มีการก่อเหตุย่ำยีจิตใจของผู้นับถือศาสนาพุทธ ด้วยการเข่นฆ่าพระภิกษุสงฆ์ขณะกำลังบิณฑบาต มีการทำลายพระพุทธรูป และโกฐเก็บกระดูกของบรรพบุรุษเพื่อสร้างความโกรธแค้นบีบคั้น

กลุ่มขบวนการ BRN ต้องการให้เกิด สังคมวัฒนธรรมเดียว (Monoculural society) ไม่ใช่ สังคมพหุวัฒนธรรม( Multicultural society หรือ สังคมที่มีวัฒนธรรมหลากหลาย ไม่มีการเปรียบเทียบสังคมชาวไทยพุทธ ชาวไทยมุสลิม ชาวไทยเชื้อสายจีน ทั้งที่ความเป็นจริงคาบมหาสมุทรมลายูแห่งนี้เป็นสังคมที่มีความหลากหลาย เพราะประกอบไปด้วย คนจีน มลายู และไทย ที่อยู่ร่วมอาศัยมาตั้งแต่ในอดีตกาล

ในเมื่อกลุ่มขบวนการกลัวสังคมพหุวัฒนธรรมการเสี้ยมก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคมจึงอุบัติขึ้น มีการยุแหย่สร้างเรื่องสร้างประเด็นกล่าวหารัฐบาลไทยคือ ตัวการทำลายอัตลักษณ์ ตัวตนความเป็นมลายู ถูกกลืนกินด้วยการยัดเยียดให้มีการเรียนการสอนภาษาไทยจนเยาวชนมลายูมุสลิมอ่านคัมภีร์อัลกุรอานไม่ออก

น่าแปลกใจที่สังคมสมัยใหม่โลกได้ก้าวไกลไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว หลายประเทศซึ่งไม่มีการเรียนการสอนวิชาภาษามลายู หรือแม้แต่ภาษาอาหรับแต่กลับชนะเลิศเมื่อมีการแข่งขันการอ่านคัมภีร์อัลกุรอาน นักกอรีที่เป็นมุสลิมภาคกลางในประเทศไทยเรา ซึ่งไม่ใช่มลายูมุสลิม 3 จชต.ก็เคยชนะมาแล้ว

ที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงข้ออ้างของกลุ่มขบวนการเพื่อต้องการทำลายในสิ่งที่ขบวนการกลัวคือ สังคมพหุวัฒนธรรมไม่ต้องการให้พื้นที่แห่งนี้สงบสุขและอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เพราะเมื่อไหร่ที่สังคมเข้มแข็ง ผู้คนมีความรักความสามัคคี ชุมชนสามารถดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับคนในชุมชนและครอบครัวตนเองได้ เมื่อนั้นสังคมจะโดดเดี่ยวกลุ่มขบวนการ และไม่สามารถทำการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ได้

คัมภีร์อัลกุรอาน แปลเป็นไทยแล้วมีความหมายว่า สังคมต้องการมิตรภาพและสันติภาพ ซึ่งเชื่อว่ามวลมนุษย์ทุกคนในโลกใบนี้เป็นพี่น้องกัน สามารถที่จะร่วมกันสร้างมิตรภาพ และสันติภาพให้เกิดขึ้นในพื้นที่ทุกแห่งหนได้

ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีการเกิดไฟใต้ กลุ่มขบวนการ BRN ได้ทำลายกำแพงกั้นสังคมพหุวัฒนธรรมให้แตกสลาย สร้างความหวาดกลัวหวาดระแวงไปทั่วทุกหย่อมหญ้า รัฐบาล เร่งทำพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้แห่งนี้ให้มี ความปลอดภัย สงบสันติพัฒนาการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายในพื้นที่ ให้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาของทุกฝ่าย

เราจะต้องมุ่งให้สังคมไทย และสังคมในพื้นที่ จชต.ยอมรับและเห็นคุณค่าของการอยู่ร่วมกันภายใต้ สังคมพหุวัฒนธรรม และร่วมกันแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ อีกทั้งจะต้องพัฒนาศักยภาพของคน สังคม และเศรษฐกิจเพื่อดึงนักลงทุนมาประกอบการในพื้นที่ สร้างความเชื่อมั่นและหลักประกันความต่อเนื่องของกระบวนการพูดคุยสันติสุข และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นต่อสังคม ทั้งในและต่างประเทศ
เมื่อรัฐบาลให้ความสำคัญของการอยู่ร่วมกันภายใต้ สังคมพหุวัฒนธรรม สร้างเกราะคุ้มกันสร้างกำแพงป้องกันมิให้กลุ่มขบวนการทำลาย สนับสนุนให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในทุกระดับอย่างเป็นรูปธรรม ให้ประชาชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มทั้งในและนอกพื้นที่บนหลักพื้นฐานของความไว้วางใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะ การสร้างพื้นที่ปลอดภัยอีกไม่นานดอกสันติภาพจะเบ่งบานนำพาสันติสุขผลิดอดออกผล ณ ดินแดนปลายด้ามขวานแห่งนี้.
-----------------------




12/21/2559

กลุ่มขบวนการ...ที่ไม่ยอมเปิดเผยตัวตน!

"Ibrahim"


กลุ่มขบวนการที่ไม่ยอมเปิดเผยตัวตน ทำไม? จึงปิดบังซ่อนเร้นอำพรางตัวตน ไม่กล้าสู้ซึ่งหน้า หรือเป็นได้แค่อีแอบที่ดีแต่หลอกใช้คนหาเช้ากินค่ำทำการก่อเหตุ ส่วนตัวเองนั่งเสวยสุขบัญชาการอยู่เมืองนอก....

เขาเป็นใคร..?
ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยืดเยื้อมานานสิบกว่าปี เจ้าหน้าที่ทหารตำรวจที่ถูกดักซุ่มทำร้ายด้วยการลอบยิง ลอบวางระเบิด หรือไม่เว้นแม้กระทั่งพี่น้องประชาชนที่ต้องตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มขบวนการ (ซึ่งในที่นี้มีหลากหลายกลุ่ม) แต่เป็นที่น่าสังเกตไม่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกี่ครั้งต่อกี่ครั้งไม่เคยมีกลุ่มไหนยืดอกออกมารับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าวแต่อย่างใด
ตกลงเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ ปัจจุบันนี้ สู้รบปรบมืออยู่กับใคร? (เพราะกลุ่มขบวนการเหล่านี้แฝงตัวอยู่ในที่มืด)

เรารู้หรือไม่?..ว่าใครเป็นหัวหน้า
คำถามที่คนทั่วไปมักชอบสงสัย และตั้งคำถามอยู่บ่อยๆ คือแกนนำใหญ่ที่คอยสั่งการบัญชาการคนนั้นเป็นใคร? รูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร? แต่จนแล้วจนรอดตลอดระยะเวลาสิบกว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีใครได้ล่วงรู้เลยว่าใครเป็นหัวหน้ากลุ่มขบวนการ นี่หากนำคำกล่าวของ ซุนวูตามหลักตำราพิชัยที่กล่าวไว้ว่า สงครามรู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งหากขยายความ การชนะร้อยทั้งร้อยมิใช่วิธีการอันประเสริฐแท้ แต่ชนะโดยไม่ต้องรบเลย จึ่งถือว่าเป็นวิธีอันวิเศษยิ่ง ซึ่ง หากรู้เขารู้เรา แม้นรบกันตั้งร้อยครั้งก็ไม่มีอันตรายอันใด ถ้าไม่รู้เขาแต่รู้เพียงตัวเรา แพ้ชนะย่อมก้ำกึ่งอยู่ หากไม่รู้ในตัวเขาตัวเราเสียเลย ก็ต้องปราชัยทุกครั้งที่มีการยุทธ์นั้นแลสรุปการต่อสู้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้เข้าหลักเกณฑ์ใดของ ซุนวู ท่านผู้อ่านลองคิดและวิเคราะห์กันดู

เรารู้หรือไม่ว่าเขาทำไปเพื่ออะไร..?
การก่อเหตุสร้างสถานการณ์รายวันที่เป็นอยู่ กลุ่มขบวนการมีวัตถุประสงค์อะไร? การจัดซื้อหาอาวุธ อุปกรณ์ประกอบระเบิด ข้าวปลาอาหารสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นได้มาจากไหน ใคร? สนับสนุน น่าคิดนะ!!

เราได้อะไร..? จากเขา
เรา ในที่นี้หมายถึงประชาชนที่ใช้ชีวิตเสี่ยงตายอยู่กับกลิ่นควันปืน และเสียงระเบิดที่แผดก้องอยู่บ่อยครั้ง แล้วเราได้อะไรบ้างจากการก่อเหตุของกลุ่มขบวนการ ฝนตกน้ำท่วมเคยมีมั๊ย!! ที่กลุ่มขบวนยื่นมือมาช่วยเหลือ เพราะลำพังสมาชิกแนวร่วมที่ได้รับความเดือดร้อนเองยังเอาตัวแทบไม่รอดต้องโดนทอดทิ้งอดมื้อกินมื้อมีหลายรายทนไม่ไหวต้องยอมเข้ามอบตัวกับทางการ ในขณะที่แกนนำใหญ่ (ไม่รู้ตัวตนว่าเป็นใคร?) กลับเสวยสุขอยู่เมืองนอก สั่งการให้ระดับล่างๆ ทำการเคลื่อนไหวอยู่อย่างยากลำบากไร้การเหลียวแล

วาญิบเป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องกระทำหรือ..?
โดยหลักการ ฟิกฮฺ หรือข้อบัญญัติ ทางศาสนานั้น แบ่งระดับการบังคับใช้ออกเป็น 5 ประเภทกว้าง ๆ คือ วาญิบ (จำเป็น) คือ สิ่งที่ทำแล้วได้บุญ ถ้าละทิ้งมีบาป, สุนัต(ควรทำ) คือ สิ่งที่ทำแล้วได้บุญ ถ้าละทิ้งไม่มีบาป, หะรอม (เป็นบาป) คือ สิ่งที่ทำแล้วมีบาป ถ้าละทิ้งได้ผลบุญ, มักรูหฺ (น่าตำหนิ) สิ่งที่ทำแล้วไม่มีบาป ถ้าละทิ้งได้ผลบุญ และญาอิซฺหรือ "หะโรส" (สิ่งอนุญาต) คือ สิ่งที่ทำหรือไม่ทำก็ไม่เกี่ยวกับบาป บุญ
เพราะฉะนั้นการก่อเหตุฆ่าคนบริสุทธิ์ที่กลุ่มขบวนการได้พยายามบิดเบือนให้สมาชิกกระทำเป็นวาญิบ (จำเป็น) คือ สิ่งที่ทำแล้วได้บุญ ถ้าละทิ้งมีบาปเช่นนั้นหรือ?

หากเราตายไปในการก่อเหตุเป็นการตายชะฮีดหรือ?
การเสียชีวิตของสมาชิกกลุ่มขบวนการที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ผู้ที่เสียชีวิตหลายราย มีการละทิ้งการอาบน้ำศพและการละหมาดให้แก่ศพ หากเราพิจารณาถึงสถานการณ์ความไม่สงบใน  3  จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว ก็จะพบว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เป็นการทำสงครามเพื่อปกป้องศาสนาและเทิดทูนพระดำรัสของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ให้สูงส่งเนื่องจากขาดองค์ประกอบหลักในเรื่องการญิฮาดในรูปสงคราม ถึงแม้ว่าผู้ก่อความไม่สงบจะอ้างว่าเป็นการญิฮาดก็ตาม

สุดท้ายใคร? เดือดร้อน
ปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า วังวนความชั่วร้ายที่แกนนำกลุ่มขบวนการได้เปลี่ยนแนวความคิดความเชื่อของผู้คน บิดเบือนหลักคำสอนศาสนา บิดเบือนประวัติศาสตร์ชักจูงให้คนหลงผิด จับอาวุธปืน ลอบวางระเบิดเข่นฆ่าผู้คนเหมือนผักปลา แล้วเป็นไง? เมื่อเจ้าหน้าที่รู้ตัวผู้กระทำผิดมีการออกหมายจับของศาล ต้องหนีหัวซุกหัวซุนไม่มีแผ่นดินอยู่ ต้องอดมื้อกินมื้อ ยามเจ็บป่วยไม่มีแม้หยูกยารักษา เกิดการปะทะถึงตายหรือถูกควบคุมตัวติดคุกติดตาราง คนที่เดือดร้อนตัวจริงคือลูกเมีย ต้องไม่พ้นหน่วยงานรัฐที่ต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือเยียวยา แล้วแกนนำกลุ่มขบวนการล่ะ!! ไปซุกหัวอยู่ที่ไหน?

ทำไม..? เราต้องเป็นทาสเขา
ก่อนที่สมาชิกจะเข้าสู่วังวนความชั่วร้าย และกลายร่างเป็นซัยตอนชั่ว กลุ่มขบวนการได้หลอกให้หลงเชื่อด้วยการโน้มน้าวในเรื่องต่างๆ จนเราคล้อยตาม หลังจากนั้นจะมีการ ซูมเปาะห์สาบานตนเพื่อเข้าสู่ขบวนการอย่างเต็มตัวในการกระทำความชั่ว

ถามว่าสมาชิกเหล่านี้รู้จักหรือไม่? ว่าแกนนำสั่งการใหญ่คือใคร? และทำไปเพื่ออะไร? สมาชิกได้อะไรจากการก่อเหตุ ในเมื่อเราไม่รู้จักเขา..แล้วทำไม? เราต้องยอมกระทำตาม และตกเป็นทาสเขา ผู้เขียนได้เพียงแค่ฝากข้อคิดให้ผู้หลงผิด เครือญาติ ครอบครัว หรือบุคคลทั่วไปได้ทบทวนว่าปัญหาที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ที่เราเดือดร้อนเป็นน้ำมือใคร? และเราพอใจที่จะทนอยู่เช่นนี้หรือ?

---------------

12/20/2559

Self Determination เป็นแค่ข้ออ้างแบ่งแยกดินแดน และปกครองตนเอง คือเป้าหมายหลัก!!

"Ibrahim"
ทำไม? จึงพูดเช่นนี้ หรือไม่ต้องการให้ประชาชนกำหนดชะตาชีวิตตัวเอง!!
หากคิดวิเคราะห์ปัจจัยและสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในความเป็นจริงแล้วรัฐบาลไทย ไม่ได้กลัวเรื่อง Self Determination แต่กลัวเรื่องการทำประชามติอย่างไม่ยุติธรรมมากกว่า และขาดข้อมูลข้อเท็จจริงรอบด้านที่เพียงพอต่างหาก 

หากติดตามผลการสำรวจในหลายๆ ครั้งจะพบว่า ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ในพื้นที่เค้าไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงอยู่แล้ว และไม่ได้มีความต้องการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองใดๆ เลย  เพราะหากย้อนไปในอดีต ผู้คนต่างเชื้อชาติและศาสนาสามารถอยู่ร่วมกันได้ภายใต้พหุวัฒนธรรม การใช้ดำเนินชีวิตประจำวันเป็นไปอย่างเรียบง่ายอยู่กันอย่างสงบสุขดีอยู่แล้ว แต่ก็มีพวกไม่หวังดีบางพวกบางกลุ่ม พยายามสร้างกระแสว่าคนที่นี่ส่วนใหญ่อยากได้เอกราช ซึ่งจากการปลุกกระแสดังกล่าวได้ผิดเพี้ยนไปจากข้อเท็จจริง กับความต้องการของประชาชนเป็นอย่างมาก แต่หากใครไม่เคยติดตามเรื่องราวข่าวสาร หรือลงมาสัมผัสในพื้นที่จริงๆ อาจจะหลงเชื่อได้ตามคำโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มผู้ไม่หวังดีดังกล่าวได้

สมมติว่าหากมีการทำประชามติเกิดขึ้นจริงๆ แต่อยู่ในสภาวการณ์เช่นนี้ ที่ผู้คนในพื้นที่ก็ต้องลงมติด้วยความหวาดกลัว  ในขณะที่ใครไม่เห็นด้วยกลับกลุ่มขบวนการยังต้องโดนถูกทำร้ายถูกข่มขู่อยู่อย่างต่อเนื่องและตลอดเวลา และยังไม่รวมถึงการโฆษณาชวนเชื่อในประเด็นต่างๆ ด้วยการปลุกกระแสว่า 3 จชต. มีทรัพย์กรน้ำมันมากมาย หากปกครองแล้วสามารถขุดเจาะออกมาขายและเลี้ยงทุกคนได้โดยไม่ต้องทำงานเหมือนตะวันออกกลาง

ลองหลับตาวาดภาพหากมีการลงประชามติกำหนดใจตนเอง คนในพื้นที่ส่วนใหญ่ต้องการกำหนดชะตากรรมตนเอง นำไปสู่กลุ่มขบวนการ BRN ชนะ รัฐบาลไทยถอนทหารออกจากพื้นที่กลับเข้าสู่กรมกอง การเคลื่อนไหว การใช้อาวุธ ความรุนแรงต่างๆ อาจจะหยุดก็จริง แต่ความเป็นอยู่ของพี่น้องในพื้นที่จะต้องยากลำบากกว่าเดิมอย่างแสนสาหัสแน่!!  ตัวชี้วัดดูได้จากสภาพปัญหาเศรษฐกิจของ จชต. หากเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ แล้วยังล้าหลัง ยังไม่นับรวมถึงนโยบายการปกครองที่อาจจะใช้ความหวาดกลัวในการปกครอง  เหมือนอย่างเช่น BRN กระทำอยู่กับพี่น้องในพื้นที่อยู่ในขณะนี้

ในทางกลับกันหากกลุ่มขบวนการ BRN แพ้ละ!! เจ้าหน้าที่ตำรวจทหารก็ยังคงต้องอยู่ดูแลพื้นที่เพื่อรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับพี่น้องประชาชนต่อไป และไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่า BRN จะยุติความรุนแรง เพราะพฤติกรรมที่ผ่านมาแสดงให้เห็นแล้วว่ากลุ่มขบวนการ BRN ไม่เคยเคารพกฎหมายใดๆ เลยอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Human Right หรือ Rule of Law  แน่นอนว่ากลุ่มนี้ก็ต้องใช้ความรุนแรงต่อไปเพื่อหาโอกาสช่องทางอื่น ทุกอย่างก็ต้องดำเนินไปอย่างเช่นเหมือนในปัจจุบัน ดังนั้นหากใครมีสมองที่คิดเองได้ก็จะรู้ว่า หากมีการทำประชามติ หรือ Self Determination ในสถานการณ์เช่นนี้ กลุ่ม BRN ก็มีแต่ได้กับได้ ส่วนฝ่ายไทย และพี่น้องใน จชต.ก็มีแต่เสมอตัวหรือเสียเปรียบเท่านั้นเอง

เหตุผล!! ทำไมกลุ่มขบวนการ BRN จึงไม่กล้าทำให้สถานการณ์สงบก่อนสักปีสองปี เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนส่วนใหญ่ได้เรียนรู้ และรับทราบข้อมูลข้อเท็จจริงต่างๆ อย่างเต็มที่ เพื่อที่พวกเขาจะได้ตัดสินใจได้อย่างถูกต้องกับสิ่งที่เค้าต้องการจริงๆ และสามารถลงมติได้อย่างเต็มใจและโปร่งใส  ไม่ใช่ลงมติเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือเพราะความหวาดกลัว คำตอบคือ สิ่งที่ BRN กลัวก็คือ "ความจริง" และสิ่งที่เค้าใช้มากที่สุดก็คือ "ความกลัว" จากพี่น้องประชาชนใน 3 จชต. นี่แหล่ะครับ!!

---------------------

12/19/2559

เรื่องเล่า‘เหตุทำลายพระพุทธรูป’ในวัดถัมภาวาสที่ปะเสยะวอ

"Ibrahim"

จากกรณีเมื่อช่วงบ่ายวันนี้ 12 ธ.ค.59 เกิดเหตุสะเทือนใจสำหรับชาวพุทธ เมื่อมีมือดีบุกเข้าทำลายพระพุทธรูป และทำลายโกศใส่กระดูก ภายในวัดถัมภาวาส ต.ปะเสยะวอ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ได้รับความเสียหาย
        ทันทีที่ข่าวนี้ได้แพร่กระจายออกไปได้มีการแชร์ต่อกันในวงกว้าง ผู้คนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นาๆ บางรายถึงกับประณามการกระทำดังกล่าว และโกรธแค้นกลุ่มเยาวชนที่ทำการก่อเหตุดังกล่าว เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องศาสนา ที่มีต่อความคิดความเชื่อ ซึ่งมีผลต่อความรู้สึกของผู้นับถือพุทธศาสนา
      ในเวลาต่อมาได้มีการสืบทราบว่ามือทำลายพระพุทธรูป และทำลายโกศใส่กระดูก ภายในวัดถัมภาวาส เป็นเยาวชนในหมู่บ้าน เหตุที่ทำเพราะจดจำพฤติกรรมจากสื่อ และรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ผู้หลักผู้ใหญ่มุสลิมในหมู่บ้าน ได้ออกมากล่าวขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขอให้คนชาวไทยพุทธที่โกรธแค้นให้อภัยแก่เยาวชนเหล่านี้ เพราะเป็นลูกหลานชาวปะเสยะวอด้วยกัน เคยอยู่ร่วมกันแบบพหุวัฒนธรรมกันมาช้านาน และจะอบรบบ่มนิสัยให้เยาวชนเหล่านี้อยู่ในลู่ทางที่ดี และขอให้ทุกฝ่ายเรียนรู้การให้อภัยจดจำเป็นบทเรียน เป็นอุทาหรณ์สอนใจ ไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกซ้ำรอยอีก!

        ขอพูดแบบเป็นกลางถึงสื่อสังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเพจมุสลิมหลายๆ เพจ ที่นำเสนอความรุนแรง ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นในพม่า ซีเรีย หรือ ISIS ควรนำเสนอให้เหมาะสมและให้ข้อคิดแก่เยาวชน มิเช่นนั้นปัญหาแบบนี้ตามมา เพราะสื่อสังคมออนไลน์เข้าถึงง่าย เยาวชนจดจำพฤติกรรมและเลียนแบบโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์


เรื่องเล่าของคนใกล้วัด


        บ้านในปัจจุบันของผมอยู่ตรงข้ามวัด ซึ่งคือวัดถัมภาวาส ตำบลปะเสยะวอ ที่กำลังเป็นข่าวเด็กไปทุบพระพุทธรูปกับโกศใส่กระดูก วัดแห่งนี้ตั้งอยู่มานมนานแล้ว แวดล้อมด้วยชุมชนมุสลิม ตอนเด็กๆ เด็กชายมุสลิมอย่างผมก็วิ่งเล่นกับเพื่อนในวัดเนี๊ยแหละ!! ตาผมก็เป็นครูโรงเรียนวัดที่นั้น บ้านพักตาผมก็อยู่ในรั้ววัด บ้านย่าผมก็อยู่ข้างวัด จะเรียกผมเด็กวัดก็ไม่ผิด เพราะบริเวณวัดคือที่วิ่งเล่นของผมทั้งวันเล่นสนุกกันในวัด แค่ไม่ได้กินข้าววัดเท่านั้นเอง

          อยากได้ตังซื้อขนม ก็ไปดักจับแย้ในวัดพอได้มาก็เอาไปขายที่บางตะโล๊ะ (ชุมชนชาวพุทธ) แลกค่าขนม ถึงฤดูเล่นปืนแก๊ป เราก็ซุกซนน่ะเอาปืนไปยิงหมาในวัด บางครั้งซุกซนจนเกินเลย ยิงโน่นยิงนี่ในวัดไปเรื่อย ด้วยเพียงเพราะยังเยาว์วัย พวกผมวิ่งหนีเจ้าอาวาสเกือบทุกวัน บางวันท่านก็แท็กทีมกับเปาะจิเมาะจิขาประจำที่มานั่งเสวนาจิบชาในศาลาวัด ไล่ต้อนพวกผมแก๊งเด็กซนที่มาก่อกวนในวัด ตอนนั้นเนื่องจากพวกเรายังเป็นเด็กแยกไม่ออกหรอกว่า วัด คืออะไร? มัสยิด คืออะไร? ที่ไหนที่เราเล่นสนุกได้มันคือที่ที่ของเรา พวกผมเข้าวัดบ่อยกว่าเพื่อนชาวพุทธบางคนเสียด้วยซ้ำ ตอนนั้นเราก็อยู่กันอย่างนี้แหละ!! ปัจจุบันอาจจะเปลี่ยนไปบ้าง ตอนยังเด็กกำแพงรั้ววัดไม่เคยเป็นอุปสรรคในการจะข้ามไปเล่น แต่ตอนนี้รู้สึกมันสูงมาก จนมองไม่เห็นคนที่อยู่หลังกำแพง ประตูวัดที่เข้าออกเป็นว่าเล่น ตอนนี้กลับรู้สึกไม่คุ้นเคย เพราะมีคนที่ไม่คุ้นพูดสำเนียงอีสานบ้างสำเนียงใต้ตอนบนบ้าง สวมชุดดำ ยืนหน้าประตูวัดในมือถืออาวุธหนัก มีรั่วหนามล้อมรอบ ยืนต้อนรับ แต่ก็ดีที่ผมยังมีความทรงจำดีๆ ว่าที่นี้ก็เคยเป็นสนามเด็กเล่นของผม

        กลับมาเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกรณีเด็กๆ ที่ก่อนเหตุ ทุบทำลายโกฐใส่กระดูกและพระพุทธรูป ผมก็เคยเห็นหน้าเห็นตาส่วนใหญ่ก็เป็นประถมปลาย หลายๆ ครั้งก็มาซุกซนในรั้วบ้านผม ตามประสาเด็ก ตอนนี้ก็รู้ตัวเด็กๆ ที่ก่อเหตุกันทุกคน ด้วยการที่กลัวผลของการกระทำความผิดของตัวเองเด็กมีอาการตื่นกลัวเป็นอย่างมาก ถามอะไรบอกหมดพอถามว่าทำไม? ทำอย่างนี้ และรู้ได้อย่างไรว่าในนั้นมีเงิน เด็กๆ ก็บอกว่าดูจากละคร ก็ว่ากันไปผิดกว่าด้วยผิดคนชุมชุมที่นั้นก็คงมีวิธีการจัดการในแบบของเขา ก็คงควรเป็นเรื่องของคนในมากกว่าคนนอก ส่วนพี่น้องชาวไทยพุทธที่นั้นจะโกรธแค้นใจ ก็ไม่ผิดแต่ผมก็เชื่อพอเขาได้รู้ว่าเด็กๆเป็นลูกเป็นหลานคนในชุนชนที่รู้จักเป็นผู้ก่อเหตุอารมณ์ความโกรธก็คงลดลงบ้าง และก็คงให้อภัยกัน ส่วนต่อไปก็ควรเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ในชุมชนมาพูดคุยมาเยียวยาจิตใจกัน เหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้ไม่ว่าจะเป็นชุมชนชาวไทยพุทธหรือชุมชนชาวไทยมุสลิมเราก็ควรเรียนรู้การให้อภัยซึ่งกันเช่นกัน


หน่วยงานต่างๆ เร่งสร้างความเข้าใจฟื้นเสริมสร้างการอยู่ร่วมพหุสังคม
        หลังจากเหตุการณ์เยาวชนมุสลิมเข้ามาทำลายพระพุทธรูปและโกศเสียหาย เมื่อวันที่17.ธ.ค.59 ชาวบ้านในพื้นที่ทั้งชาวไทยพุทธ และชาวไทยมุสลิมมาช่วยกันบูรณะวัด เสริมสร้างความรักแบบพหุสังคม

     ซึ่งในการทำกิจกรรมในครั้งนี้ได้มี นายโอม เชื้อแหลม นายอำเภอสายบุรี พร้อมด้วย ผบ.ฉก.ทพ.44 ผู้แทน ผกก.สภ.สายบุรี กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตำบลปะเสยะวอ เจ้าอาวาสวัดถัมภาวาส และชาวปะเสยะวอ ได้ร่วมกันเสริมสร้างการอยู่ร่วมสังคมพหุวัฒนธรรมนำสู่สันติสุข ร่วมกันพัฒนาทำความสะอาดบริเวณวัด ทาสีกำแพงวัดและซ่อมแซมรั้วให้มีความมั่นคงแข็งแรง โดยมีคณะครูและนักเรียนโรงเรียนวัดถัมภาวาสเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย


       ส่วนเด็กนักเรียนที่ทำการก่อเหตุรู้สึกสำนึกผิดและจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตัวเอง จะไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จากเหตุการณ์ที่พวกตนได้ทุบที่เก็บอัฐิและพระพุทธรูปในวัดถัมภาวาสจนได้รับเสียหาย เพราะคิดว่าข้างในเก็บของมีค่าและต้องการเอาเงินไปซื้อขนม

       นั่นคือเรื่องราวที่เกิดขึ้น และเรื่องเล่าในวัดถัมภาวาสที่ปะเสยะวอของการอยู่ร่วมสังคมพหุวัฒนธรรมที่มีมาตั้งแต่ครั้งในอดีต เมื่อมีการกระทบกระทั่งกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก หรือเรื่องใหญ่ทางออกของปัญหาที่ดีที่สุดคือการพูดคุยสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน การให้อภัยซึ่งกันและกันซึ่งจะนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ลดความขัดแย้งความหวาดระแวงต่อกันของการอยู่ร่วมของผู้คนในสังคม
----------------