6/29/2562

กะเทาะเปลือก PerMAS กับ“ประชาธิปไตยสู่สันติภาพปาตานี”



เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2562 สหพันธ์นิสิตนักศึกษา นักเรียนและเยาวชน ปาตานี (PerMAS) จัดเวทีแลกเปลี่ยน "ประชาธิปไตยสู่สันติภาพปาตานี" ณ. Patani Art Space โดยมีผู้ร่วมเสวนาแลกเปลี่ยน ประกอบด้วย ณัฎฐา มหัทธนา นักกิจกรรมทางการเมืองประชาธิปไตย สูไฮมี ดูละสะ รองผู้อำนวยการ The Patani และ ฮาฟิส ยะโกะ ประธานสหพันธ์นิสิต นักศึกษา นักเรียน และเยาวชนปาตานี (PerMAS)

หัวข้อในการเสวนา "ประชาธิปไตยสู่สันติภาพปาตานี" มีการตั้งวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอข้อมูล แลกเปลี่ยนความเห็น ถึงประเด็นความสำคัญของระบอบประชาธิปไตยในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในปาตานี นำมาสู่สันติภาพที่ยึดโยงกับประชาชน

          เนื้อแท้จริงแล้วในการจัดกิจกรรมแทบทุกครั้งของ PerMAS ใครๆ ต่างรู้ดีว่ามีจุดประสงค์อะไร? ครั้งนี้ก็เช่นกันคงไม่มีอะไรแปลกแตกต่างจากครั้งก่อนๆ ที่ต้องการปลุกระดมโดยใช้วาทกรรม และแอบอ้างประชาชน

          การจัดกิจกรรมสาเหตุมาจาก สน.ปทุมวัน ออกหมายเรียก นายสุไฮมี ดูละสะ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร กลุ่ม The Patani อดีตประธานสหพันธ์นิสิตนักศึกษา นักเรียน และเยาวชนปาตานี หรือ PerMAS คดีเดียวกับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจในข้อหาก่อให้เกิดความปั่นป่วน-กระด้างกระเดื่องและชุมนุมเกิน 10 คน

          การยึดโยงปัญหาทางการเมืองจากส่วนกลางกับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แนวคิดและอุดมการณ์ทางการเมืองของคนในพื้นที่กับส่วนกลางที่มันแตกต่างกัน ซึ่งถูกต้องตามที่ นายสุไฮมี ได้กล่าวไว้ แนวคิดของ PerMAS หรือกลุ่มอื่นๆ ที่แตกกิ่งก้านสาขาในการเคลื่อนไหวมีแนวทางชัดเจนที่มุ่งไปสู่เอกราช แต่กลับสร้างวาทกรรมปิดบังซ่อนเร้นเลี่ยงบาลี หรือแม้กระทั่ง The Patani เองซึ่งเป็นศูนย์รวมอดีตแกนนำนักศึกษา PerMAS โดยเนื้อแท้แล้วยังทำงานขับเคลื่อนแยกกันเดินร่วมกันตีเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายที่วาดฝันไว้

          ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เกิดขึ้นและยืดเยื้อมาจนกระทั่งในปัจจุบัน เกิดจากกลุ่มผู้คิดต่างจากรัฐที่ใช้ความรุนแรงในการก่อเหตุ แทนการแก้ปัญหาด้วยแนวทางสันติวิธี เมื่อมีการก่อเหตุสร้างสถานการณ์เป็นเรื่องของความมั่นคง รัฐบังคับใช้กฎหมายต่อผู้ที่กระทำผิด เป็นคดีอาญา อั้งยี่ ซ่องโจร นำตัวบุคคลเหล่านั้นเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแต่กลับถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน

          การกล่าวอ้างประชาธิปไตยเชื่อมโยงในเรื่องสิทธิมนุษยชนและสันติภาพเข้าด้วยกัน การเลือกตั้งที่ผ่านมาสดๆ ร้อนๆ ไม่ใช่ประชาธิปไตยหรอกหรือ!! ส่วนเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ตะแบงว่ามีการละเมิด มีการก้าวล่วงว่าถูกลิดรอนสิทธิ์ กลับพบว่าเป็นปัญหาของกลุ่มคนหน้าเดิมๆ ไม่ได้กระทบกับคนส่วนใหญ่ ส่วนวาทกรรมสันติภาพที่มีการใช้อย่างพร่ำเพรื่ออยู่ทุกวันนี้ แท้จริงแล้วกลุ่มและองค์กรไม่ได้ต้องการสันติภาพหรอก!! เบื้องลึกแล้วมีความทะเยอทะยานมากกว่านั้น หรือไม่จริง!! เคยถามคนส่วนใหญ่ในพื้นที่มั๊ย!! ว่าต้องการอะไร? ที่เป็นปัญหาอยู่ทุกวันนี้ เอกราช หรือ สันติสุขที่เค้าต้องการ!!
--------------------

6/23/2562

ลงทะเบียน 2 แชะอัตลักษณ์ ใครได้-ใครเสีย?


     

จากกรณี ที่มีการเคลื่อนไหวของเพจบางเพจในสื่อโซเซียล   ไม่เห็นด้วยกับการลงทะเบียนซิมโทรศัพท์  การสแกนใบหน้าและอัตลักษณ์ ในพื้นที่ จชต.   ว่ามีความสุ่มเสี่ยงที่จะเข้าข่ายการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยอ้างรัฐธรรมนูญ ข้อกฎหมายมาตรานั้น มาตรานี้  จนถึงขั้นเชิญชวนพี่น้อง ประชาชน ร่วมลงชื่อสนับสนุนคว่ำบาตรการดำเนินการดังกล่าว ในเวบเพจ change.org นั้น
      ในข้อเท็จจริง โครงการนี้ เริ่มดำเนินการ จริงจัง ตั้งแต่ ธ.ค.60 ซึ่งเป็นการขอความร่วมมือประชาชนทั้งประเทศ มาลงทะเบียนซิมโทรศัพท์  ซึ่งไม่ได้บังคับใช้ เฉพาะพื้นที่ใด พื้นที่หนึ่ง การออกมาเรียกร้องของคนกลุ่มหนึ่ง จึงเป็นที่น่าสงสัยว่า ใครได้ - ใครเสียประโยชน์ จากการดำเนินการนี้ ซึ่ง พวกเรา พอจะร่วมวิเคราะห์ ได้ว่า
       ผู้ได้ประโยชน์ คือ 1.พี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์  เพราะสามารถคุ้มครองสิทธิประโยชน์ต่างๆของบุคคลด้วยระบบอัตลักษณ์   ป้องกัน การขโมยตัวตนบุคคลอื่นไปทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมายทางการเงิน การก่อเหตุรุนแรงต่างๆ ในพื้นที่  ผกร. ไม่สามารถสวมอัตลักษณ์ ซื้อซิมโทรศัพท์มาก่อเหตุ ทำให้เกิดความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น  2.เจ้าหน้าที่รัฐ สามารถบังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มก่อเหตุ ผู้ให้การสนับสนุนและแนวร่วมจาก อัตลักษณ์ที่บ่งชี้ ได้อย่าง มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
       ผู้เสียประโยชน์ คือ 1.กลุ่มก่อความไม่สงบ และแนวร่วม  ซึ่งมักใช้เบอร์ซิมการ์ดที่จดทะเบียนด้วยบัตรประชาชนผู้อื่น หรือสั่งซื้อซิมการ์ดผ่านอินเตอร์เน็ตจากนอกพื้นที่และประเทศเพื่อนบ้าน มาก่อเหตุ ภายหลังจากที่ลงทะเบียนซิมแล้ว กลุ่มคนร้าย จะถูกสืบสวน เพื่อจับกุมดำเนินคดีได้ โดยง่าย จะไม่สามารถอ้างได้ว่าเบอร์โทรศัพท์หาย หรือ ไม่ได้เป็นผู้ใช้งาน  2.กลุ่มธุรกิจผิดกฎหมาย กลุ่มมิจฉาชีพ ซึ่งใช้โทรศัพท์ ทำธุรกรรมด้านมืด หากินบนความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนมานาน  เมื่อถูก จนท.ตรวจสอบหรือติดตามความเคลื่อนไหว  จนนำไปสู่การถูกกวาดล้าง ทั้งเครือข่าย อาจเข้าไปนอนในคุก หมดอิสระภาพ
       สำหรับ กรณีการใช้ข้อมูลโทรศัพท์เคลื่อนที่ในพื้นที่ จชต. ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พบว่า กระทบกระเทือน เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของพี่น้องประชาชน ทั้งนี้ มีหลักฐานเชิงประจักษ์ ชัดเจน  การเชิญร่วมลงทะเบียนซิมการ์ด จึงเป็นการดำเนินการโดยสมควร เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน ความมั่นคงของประเทศ หรือ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ หรือเพื่อป้องกันประโยชน์สาธารณะ อีกด้วย
       ปัจจุบันตามร้านซื้อ-ขายโทรศัพท์  มีคนมาเปิดเบอร์ใหม่ทุกวัน และทุกคน ก็ต้องการให้สแกนใบหน้าเพื่อป้องกันผู้สวมสิทธิ์ ไปก่อคดีความต่างๆ ไม่มีใครขัดข้อง ไม่ยอมให้สแกนใบหน้า คงที่จะมีแค่ในพื้นที่ จชต. ที่พวกองค์กรภาคประชาสังคม องค์กรสิทธิ กลุ่มผู้มีอิทธิพล และกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง รวมถึง Muhummadrusdy, Romadon Panjor ,Anchana Heemmina และRosidah ออกมาดิ้นพล่าน เหมือนไส้เดือน โดนน้ำร้อนลวก..จึงสงสัยว่า คนพวกนี้ อยู่กลุ่มไหน?


---------------------

Siapakah yang membunuhkan keluarga penghulu kampung Bandang Kuwae.



Dalam era moden ini, kemajuan didalam teknologi moden yang sentiasa berubah ia telah memainkan peranan yang penting didalam kehidupan harian kita dan seolah-olah Media Sosial itu menjadi saluran komunikasi yang paling berkuasa kerana menjadi saluran yang dapat menyampaikan maklumat dan berita dan memberikan pendapat dengan bebas. Oleh itu, media yang bersatu dengan pihak yang mempunyai pendapat yang berbeza daripada kerajaan itu telah menggunakanlah mereka itu akan saluran ini untuk menyampaikan perasaan dan membuatkan motivasi dan menggoda dan membimbingkan idea-idea dengan tujuannya untuk membuat "Perikatan baru” untuk bersetuju dengan maklumat yang dibentangkan dia yang membawakan kepada kebencian akan pegawai kerajaan.

Operasi membunuh keluarga penghulu kampung Bandang Kuwae. Di sebalik motif membunuhkan itu, hanya Hasan Ni Sain sahaja yang tahu dengan baik. Dan jika kes ini menjadikan daripada operasi penyamun selatan maka dianggapkan sebagai rencang tindakan yang sangat realistis untuk mewujudkan unsur-unsur peristiwa untuk semua orang telah memandangkan ia akan bahawasanya ialah tindakkan pegawai kerajaan yang merupakan pekerjaan yang pandai bagi penyamun patani yang merupakan pelaburan yang berbaloi kerana satu tembakan bahkan boleh dua ekor burung ..


-----------------

6/18/2562

อยากรู้ไหม? ทำไมถึงต้องจับกุม นายสะการือนอง ชายชราวัย 68 ปี


จากกรณีที่ จนท. 3 ฝ่าย สนธิกำลังเข้าบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่หมู่ 2 บ้านบัวทอง ต.บ้านแหร อ.ธารโต จ.ยะลา และได้ควบคุมตัวชายสูงวัย คือ นายสะการือนอง บินมะดีเย๊าะ อายุ 68 ปี ซึ่งเป็นคณะกรรมการประจำมัสยิดในหมู่บ้านดังกล่าว เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา
          กลายเป็นประเด็นให้สื่อฝ่ายแนวร่วมฯ และภาคประชาสังคม หยิบยกออกมาโจมตี การทำงานของ จนท.รัฐ โดยการใส่สีตีไข่ บิดเบือนข้อเท็จต่างๆ ว่า จนท.ปิดล้อมหมู่บ้าน จับชายชราแก่ผู้น่าสงสาร ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เลยว่าไปทำอะไรผิดมา...  
          หลายท่านคงยังจำเหตุการณ์เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2562 ได้ดีในความอุกอาจและโหดร้ายของผู้ก่อเหตุ จากกรณีที่คนร้ายใช้อาวุธปืนยิง ร.ต.ท.อดุลย์ รักษ์ปราช และ ร.ต.ต.แวรอมลี แวฮามะ จนท.ตร. สังกัด ตชด.44 ขณะประกอบพิธีละหมาดอยู่ภายในมัสยิดนูรูลฮีบาดะห์ (บ้านมายอ) หมู่ 6 ต.ธารโต อ.ธารโต จ.ยะลา เป็นเหตุให้เสียชีวิตทั้งสองนาย
จากผลการตรวจพิสูจน์เครื่องกระสุนปืนของศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 (ศพฐ.10) ที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุพบว่า “อาวุธปืนของคนร้ายที่ใช้ยิง 2 ตชด. มีความเชื่อมโยงกับคดีที่คนร้ายใช้ก่อเหตุมาแล้ว 5 คดี มีผู้เสียชีวิตรวม 4 ราย และบาดเจ็บ 1 ราย” ซึ่งคดีทั้งหมดชี้ชัดว่าเป็นฝีมือกลุ่ม ผกร. ที่เคลื่อนไหวทำการก่อเหตุในพื้นที่ อ.บันนังสตา, อ.ธารโต จ.ยะลา
จากนั้นเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2562 จนท.ได้เชิญตัวผู้ต้องสงสัยหลายรายมาดำเนินกรรมวิธีซักถาม ณ ฉก.ทพ. 41 อ.รามัน จ.ยะลา โดย นายมะกอเซ็ง ลีอะละ บุคคลเป้าหมายหนึ่งในนั้นยอมเปิดปากให้การยอมรับสารภาพว่าร่วมก่อเหตุยิง จนท.ตำรวจเสียชีวิต 2 นาย ขณะละหมาดในมัสยิดนูรูอีบาดะห์ โดยทำหน้าที่ดูต้นทาง และต่อมาเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2562 เจ้าหน้าที่ได้นำตัว นายมะกอเซ็ง ทำแผนประกอบคำรับสารภาพชี้จุดในการก่อเหตุ จำนวน 6 จุดด้วยกัน
จากการจับกุม นายมะกอเซ็ง ทำให้ทราบตัวกลุ่มผู้ร่วมก่อเหตุ จนนำไปสู่การออกหมายจับอีกหลายรายด้วยกัน  หนึ่งในนั้นคือ นายสะการือนอง บินมะดีเย๊าะ ผู้อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุดังกล่าว ซึ่งทั้งหมดนี้น่าจะตอบข้อสงสัยของใครหลายๆ คนว่า...ทำไม? จนท.ถึงต้องจับกุมชายชราวัย 68 ปีคนนี้ เข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย 
การก่อเหตุในครั้งนั้นถึงแม้จะกระทำต่อ จนท.ก็ตาม ทำให้เราคิด และสงสัยมาโดยตลอดว่า...คนแบบไหนกันที่ฆ่าคนในมัสยิด ที่เปรียบเสมือนบ้านของพระเจ้าได้? คนแบบไหนกันที่ก่อเหตุเสร็จแล้ว กลับไปใช้ชีวิตปกติสุข เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น? และคนแบบนี้หรอกเหรอ ที่ทำเพื่อศาสนา และสมควรยกย่องเยี่ยงวีรบุรุษ?  

......................................................

6/17/2562

กลุ่ม/ขบวนการ สั่งระเบิดไม่เลือกว่า มลายู หรือ สิแย

           จากกรณีเกิดเหตุสะเทือนขวัญ  คนร้ายได้ลอบวางระเบิด บริเวณตลาดนัดบ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และได้รับบาดเจ็บ 22 ราย เหตุเกิดเมื่อ 27 พ.ค. 2562 ที่ผ่านมา   ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว   ได้เกิดกระแสต่อต้านจากสังคมอย่างกว้างขวาง
           ในขณะที่ หน่วยงานข่าว ยังพบความเคลื่อนไหวกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง เตรียมการก่อเหตุ โดยจะพัฒนารูปแบบการก่อเหตุ เพื่อให้เกิดความสูญเสียต่อเป้าหมายในวงกว้าง  ไม่ว่าจะเป็นข่าวกลุ่มกาปิเยาะแดง (กลุ่มรบพิเศษของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง) ที่เข้าไปเคลื่อนไหว เพื่อเตรียมก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ บ้านช้างเผือก หมู่ที่ 7 ต.ช้างเผือก อ.จะแนะ จ.นราธิวาส  หรือการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับสั่งการ ในพื้นที่ ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ได้สั่งการให้แนวร่วม เคลื่อนย้ายวัตถุระเบิดแสวงเครื่อง จำนวน ๒ ลูก เพื่อเตรียมก่อเหตุต่อเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่   
          การก่อเหตุสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน พี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างกว้างขวาง  ในขณะที่ คนสั่งการนั่งเสพสุขบนความเดือดร้อนเพื่อนมนุษย์ คนก่อเหตุ รับเงินแล้วหนีกบดานในป่า ในเขา เมื่อถูกจับดำเนินคดี ครอบครัวไม่มีที่พึ่ง ดำเนินชีวิตอย่างยากไร้ ผู้เคราะห์ร้ายต้องสังเวยชีวิต เสียเลือด เสียเนื้อ ดังเช่น คดีลอบวางระเบิดห้างบิ๊กซี อ.เมือง จว.ป.น. เมื่อ 9  พ.ค.60   คดีระเบิดตลาดนัดบ่อทอง ที่ผ่านมา ฯลฯ
          จะเห็นได้ว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง วางแผนก่อเหตุทุกพื้นที่ โดยไม่เลือกวัน เวลา สถานที่ ไม่เลือกว่า มลายู หรือ สิแย  มุ่งทำเพื่ออุดมการณ์จอมปลอม เท่านั้น

***********************************

6/16/2562

หาประโยชน์จากพลังอัตลักษณ์ สวมเขาให้เยาวชน

 การรวมตัวของบรรดาเยาวชนชาย-หญิง ภายใต้คอนเซป อนุรักษ์วัฒนธรรมมลายู เพื่อเสริมสร้างความสามัคคีของเยาวชน เมื่อวันที่ 7 - 8 มิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ในช่วงวันเฉลิมฉลอง วันฮารีรายออีดิ้ลฟิตรี  ฮ.ศ.1440 ที่จัดขึ้น  ณ  มัสยิด กรือเซะ จ.ปัตตานี และตามสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ในสามจังหวัดชายแดนใต้  มีวัตถุประสงค์เพื่อ ฟื้นฟู อนุรักษ์ วัฒนธรรมมลายู พร้อมกับเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรม มากกว่า 3,000 คน โดยกิจกรรมหลักในงาน จะมีการถ่ายรูปหมู่ ในขณะสวมใส่ชุดรายอ การฟังบรรยายประวัติศาสตร์จากวิทยากรที่มีความรู้ การบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ โดยการเก็บขยะตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ
การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เป็นที่น่าชื่นชมกับกลุ่มเยาวชนที่ออกมาแสดงออกถึงอัตลักษณ์ในพื้นที่ การบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ต่อชุมชน ทำให้ผู้เขียน เกิดความสงสัยและอยากรู้ขึ้นมาว่า...ใครเป็นผู้ริเริ่มการจัดกิจกรรมในครั้งนี้?  
หัวเรือใหญ่ในการจัดกิจกรรมก็ คือ นายฮาซัน ยามาดีบุ ประธานสำนักบุหงารายา และนายมูฮำหมัดอาลาดี เด็งนิ ประธานมูลนิธินูซันตารา เพื่อเด็กกำพร้า เป็นที่น่าเคลือบแคลงใจว่า...การจัดกิจกรรมในครั้งนี้มีอะไรที่แอบแฝงหรือไม่ ซึ่งเรามาย้อนดูประวัติและวีรกรรมของท่านประธานทั้งสองกันเล็กน้อย
          นายฮาซัน ยามาดีบุ ประธานสำนักบุหงารายา เคยเป็นข่าวฉาวว่า ผลิตเสื้อและสกรีนภาพบนเสื้อที่สื่อไปทางแนวความคิดแบ่งแยกดินแดนจนเป็นข่าวดัง ก่อนจะออกมาแก้ต่างว่า เป็นแค่การโปรโมทเสื้อตาดีกาจังหวัดชายแดนใต้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม นายฮาซัน เป็นพี่ชายของ นายซีระฮารี ยามาดีบุ ซึ่งเป็นสมาชิกแนวร่วมอาร์เคเค ที่ร่วมก่อเหตุยิงแล้วเผา ส.อ.จักรพงษ์  โพนเงิน อายุ 37 ปี และ อส.ธวัชชัย มณีแสง อายุ 31 ปี สังกัดกองร้อยทหารพรานที่ 4404 กรมทหารพรานที่ 44 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2550
การเคลื่อนไหวของกลุ่มบุหงารายา    มักจะเคลื่อนไหวในเชิงสัญลักษณ์  การแบ่งแยกดินแดนอยู่บ่อยครั้ง บังหน้าด้วยมูลนิธิที่ดูจะแสนดี แต่แอบขับเคลื่อนแนวทางแบ่งแยกดินแดน หรือการกำหนดใจตนเอง (RSD) นายฮาซัน มักจะออกมาพร้อมกับกลุ่ม NGO ที่เคลื่อนไหวในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ที่คอยจ้องโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐ และปกป้องกลุ่มแนวร่วมฯ   ล่าสุด นายฮาซันออกมาเคลื่อนไหว กรณีการปะทะ ที่ บ้านกาตอง อ.ยะหา จ.ยะลา เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 2 นาย และคนร้ายซึ่งเป็นแกนนำรายสำคัญ มีหมายจับ ป.วิอาญา 6 หมาย ถูกวิสามัญเสียชีวิต  โดยในขณะเจรจาได้เกิดเพลิงไหม้บ้านหลังเกิดเหตุ เสียหายทั้งหลัง แต่นายฮาซัน กลับเผยแพร่คลิป ปกป้องโจรใต้ และเจ้าของบ้านที่ให้ที่พักพิงเป็นภาษามาเลย์ บิดเบือนข้อเท็จจริงว่า บ้านหลังที่เกิดไฟไหม้ เป็นเพราะเจ้าหน้าที่ทหารของไทย จำนวน 500 นาย ได้ยิงอาวุธปืน M79 เข้าใส่ จำนวน 7 ลูก
ประธานท่านที่สอง นายมูฮำหมัดอาลาดี เด็งนิ ประธานมูลนิธินูซันตารา เพื่อเด็กกำพร้า เป็นที่ปรึกษากลุ่มนักศึกษา PerMAS กลุ่มเยาวชนที่เคลื่อนไหวเรื่อง  การแบ่งแยกดินแดน มูฮำหมัดอาลาดี เด็งนิ หรือ แบดี เป็นแกนนำกลุ่มภาคประชาสังคมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้   เป็นพี่เขยนายอัมรีย์ วรรณมาตร (สกุลเดิม/หะยีอาแซ)/ยี       ซึ่งยอมรับว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับ เหตุการณ์ลอบวางระเบิด บริเวณถนน  ณ  นคร อ.เมือง จ.นราธิวาส เมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2558 ซึ่งนายอัมรีย์ วรรณมาตร เป็นลูกชายของนายวาเหะ หะยีอาแซ สมาชิกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ระดับแกนนำ นายมูฮำหมัดอาลาดี แต่งงานกับยุสรีนา ลูกสาวของนายวาเหะ ซึ่งต่างก็รู้ว่าคนในครอบครัวนี้ ทำอะไร จุดประสงค์ใด การตบตาเจ้าหน้าที่รัฐ โดยการเปิดมูลนิธิเพื่อเด็กกำพร้า บังหน้า และขอรับเงินทุนจากต่างชาติ  โดยอ้างว่า  เป็นมูลนิธิเพื่อเด็กกำพร้า  ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งภายในประเทศ และแสวงประโยชน์ โดยการสอนเด็ก  ปลุกระดม ให้มีความเกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐ และมีแนวความคิดแบ่งแยกดินแดน
ด้วยความอยากรู้ของผู้เขียนว่า ในกิจกรรมดังกล่าว มีการบรรยายอะไรที่เป็นที่น่าสนใจบ้าง? จึงได้สอบถามเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรม ณ มัสยิดกรือเซ๊ะ ทำให้รู้ว่า... การบรรยายประวัติศาสตร์ของวิทยากรที่มีความรู้ กับการสอดแทรกด้วยบาดแผลในอดีต ชี้นำทางความคิดในการปลุกระดมมวลชน ให้เห็นว่าดินแดนที่เรียกว่า ปาตานีแห่งนี้ถูกรุกรานและยึดครอง  โดยสยามมาเป็นเวลานับร้อยปี และความเกลียดชังระหว่างรัฐปาตานีกับรัฐไทย  ประสมโรงด้วยความรู้สึกส่วนตัว
อีกทั้งเยาวชนบางกลุ่มที่เข้าร่วมงานถูกคัดมาจากโรงเรียนตาดีกาที่ถูกบ่มเพาะ และปลูกฝังอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนแล้ว ส่วนเยาวชนคนอื่นๆ ก็ถูกเชิญชวนผ่านสื่อโซเซียล ซึ่งบางคนยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า ถูกหลอกมาเป็นเครื่องมือและเป็นตัวประกอบในงาน 
การจัดกิจกรรม อนุรักษ์วัฒนธรรมมลายู เพื่อเสริมสร้างความสามัคคีของเยาวชน เพื่อเฉลิมฉลอง วันฮารีรายออีดิ้ลฟิตรี ฮ.ศ.1440 เป็นกิจกรรมดีๆ ที่น่าส่งเสริม แต่กลับถูกแสวงประโยชน์จากกลุ่มขบวนการ สร้างวาทกรรม เพื่อสนองอุดมการณ์จอมปลอม เท่านั้นเอง

.........................................

6/15/2562

ความรู้สึกของภรรยาเมื่อ นายอิสมาแอ มอซู ถูกจับ

           เมื่อ 14  มิ.ย.62 ,1130 ในขณะที่  ร้อย.ทพ.4315 ตั้งด่านตรวจ หน้าฐานปฏิบัติการ บ.นิคมโคกโพธิ์ ต.โคกโพธิ์ จว.ป.น. พบบุคคลต้องสงสัย ขับขี่ รถ จยย.ใส่หมวกกันน๊อคเต็มใบ จาก อ.เทพา มุ่งหน้า อ.โคกโพธิ์ เมื่อใกล้ถึงด่าน  ได้วนรถกลับทางเดิม   ผบ.ร้อย.ทพ. 4315 เห็นชายดังกล่าว มีพิรุธ  จึงได้ขับรถยนต์กระบะ ไล่ติดตาม และสามารถสกัดจับไว้ได้ ในพื้นที่ บ.ตาแปด อ.เทพา จว.ส.ข. จึงได้ควบคุมตัวมายัง ฐานปฏิบัติการ ร้อย.ทพ.4315  พบว่า ผู้ต้องสงสัย คือ นายอิสมาแอล มอซู   ซึ่งเป็นชาว ต.ท่าม่วง  อ.เทพา  จว.ส.ข. เป็นเป้าหมายสำคัญ ที่ นปพ.ร่วม จว.ป.น./ฉก.ทพ.43  ติดตามตัวมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมตรวจยึด รถ จยย. ของใช้ส่วนตัว หลายรายการ โดยพฤติกรรม นายอิสมาแอ  มอซู : ผกร./ปฏิบัติการ เป็น บุคคลตามหมายจับ ป.วิอาญา 4 หมาย ดังนี้
          1.หมาย ป.วิอาญา ที่ 759/51 ลง 20 ก.ย.51 ร่วมกันยิงนายจำนงค์ เจียมจันทร์ เสียชีวิต ที่ถนนลำไพล-สะบ้าย้อย ม.1 ต.ลำไพล อ.เทพา  จว.สงขลา เมื่อ 20 เม.ย.49 เวลาประมาณ 07.50 น.
         2.หมาย ป.วิอาญา ที่ 761/51  ลง 20 ก.ย.51 ร่วมกันยิงนายสมศักดิ์ รักชาติ ปลัดอำเภอ เสียชีวิต ที่ถนนลำไพล-เทพา ม.3 ต.ลำไพล อ.เทพา  จว.สงขลา เมื่อ 9 ม.ค.48  เวลาประมาณ 16.30 น.
         3.หมายจับที่ 339/60  ลง  15 พ.ค.60  เหตุลอบวางระเบิดห้างบิ๊กซี อ.เมือง จว.ป.น. เมื่อ 9  พ.ค.60 เนื่องจากถูกซัดทอดว่า  เป็นผู้ลวงนายนุสนธิ์ ขจรคำ มาฆ่า แล้วชิงรถไปประกอบระเบิด  
        4.หมายจับที่ 167/2560  ลงวันที่  20 พ.ย.60  คดี ตรวจยึดอาวุธปืนสงคราม พื้นที่ อ.ควนโดน จ.สตูล เมื่อ 16  พ.ย.60
        ระหว่างขยายผลตรวจค้นบ้าน น.ส.นุรฮูดา มะดีเมาะ ภรรยา นาย อิมาแอ มอซู (ผู้ถูกจับกุม) ปัจจุบันเป็น นักวิชาการศึกษา สำนักงานการศึกษาเอกชน อ.โคกโพธิ์ มีลูกด้วยกัน 3 คน ในพื้นที่ ต.ท่าม่วง อ.เทพา จว.ส.ข. ระหว่างที่ทำการตรวจค้น บ้านของนาย อิสมาแอ จึงเชิญ ภรรยา มาเป็นพยาน ซึ่งภรรยาได้ต่อว่า จนท. ปรักปรำ ใส่ร้ายสามีตนเอง มาโดยตลอด จึงต้องหลบๆซ่อนๆ มาถึงทุกวันนี้  เพื่อให้ภรรยาเข้าใจถึงข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว  จึงได้เชิญตัวมา ณ ฉก.สงขลา เพื่อรับฟังคำสารภาพ ในคลิปวิดีโอ   โดยมี ผญบ.ร่วมเป็นพยานด้วย หลังจากดูคลิปคำสารภาพ นั้น   ภรรยาของนาย อิสมาแอฯ ถึงกับ ร้องไห้ โฮ ออกมา.....ด้วยความเสียใจ

       ช่วยเหลือขบวนการ  ทุ่มเทเพื่อขบวนการ  แล้วครอบครัว “ฉัน”  โจรใต้ นั้น คงดูแล....ให้?


******************

6/12/2562

ความจริงที่ถูกบิดเบือน เหตุระเบิดตลาดนัดบ่อทอง


           สถานการณ์ชายแดนใต้ช่วง 10 วันสุดท้ายของเดือนรอมฏอน ฮิจเราะห์ศักราช 1440 สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดและไม่ต้องการให้เกิดขึ้นในเดือนแห่งบุญ แต่แล้วได้เกิดเหตุสะเทือนขวัญคนร้ายลอบวางระเบิด จยย.บอมบ์ในตลาดนัดบ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี แรงระเบิดทำลายชีวิตเด็กชายวัยเพียง 14 ปี และหญิงสาวดับคาที่ และยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนหลายราย เหตุการณ์ดังกล่าวมีการประณามต่อต้านและเรียกร้องให้ยุติความรุนแรงเป็นวงกว้าง ถือเป็นความพยายามของกลุ่มขบวนการสุดโต่งที่มุ่งสังหารหมู่ผู้บริสุทธิ์ในเดือนรอมฎอน
           หลังเกิดเหตุหน่วยงานด้านความมั่นคงเร่งรัดคลี่คลายคดีเพื่อนำคนร้ายมาลงโทษ และเรียกความเชื่อมั่นของประชาชนให้กลับคืนมาโดยเร็ว ซึ่งจากการรวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถทราบกลุ่มคนร้าย โดยเมื่อวันที่ 9 มิ.ย.62 เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัว นายอาชิ มีนา และรถ จยย.ที่ใช้ก่อเหตุ 1 คัน รับสารภาพว่าร่วมก่อเหตุจริงโดยทำหน้าที่เป็นคนขับรถ จยย.ไปรับคนขับรถระเบิดที่ตลาดบ่อทอง นายอาชิ ซัดทอดไปยังผู้ร่วมก่อเหตุอีก 2 คน คือ นายอับดุลกอเดร์ สะตาปอ ทำหน้าที่ขับรถระเบิด (หลบหนี) นายอับดุลรอเซะ ลลาวะ ทำหน้าที่เป็นคนกดระเบิด พร้อมรถ จยย.คันที่ใช้ก่อเหตุ 1 คัน รับสารภาพว่าร่วมก่อเหตุจริง นอกจากนี้ยังควบคุมบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุเพิ่มเติมอีก 1 คน คือนายมะรอกิ ดอเลาะหมิ
           จากการตรวจสอบ รถ จยย.ที่นายอับดุลกอเดร์ สะตาปอ ได้จอดทิ้งไว้บริเวณที่ทำงาน ซึ่งเป็นร้านกาแฟที่กำลังก่อสร้าง พบว่าเป็น รถ จยย.ยี่ห้อซูซูกิ รุ่นเอฟดี 125X สีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน กยง 949 ยะลา ผู้ครอบครองคือ น.ส.สีดีฮาวอ สะตาปอ อยู่บ้านเลขที่ 42 ม.7 ต.ปากล่อ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ทั้งนี้ นายอับดุลกอเดร์ สะตาปอ ได้ให้การยืนยันว่าเป็นรถคันที่ตนเองใช้ในการก่อเหตุลอบวางระเบิดตลาดนัดบ่อทอง
           ถอดบทเรียนเหตุระเบิดตลาดนัดบ่อทอง กับการบิดเบือนข่าวสาร มีคนบางกลุ่มชี้นำให้เห็นว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ประเด็นที่น่าสนใจต่อการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ของกลุ่ม ผกร. ในเดือนรอมฎอน มีผลต่อความคิดความเชื่อ
           ประการแรก คนมุสลิมเข่นฆ่าพี่น้องมุสลิมด้วยกันเอง เพียงเพื่อต้องการสร้างสถานการณ์ โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้คนส่วนใหญ่ที่ต้องการสันติสุข อีกทั้งเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น BRN เป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการวางแผนเตรียมการก่อเหตุสังหารหมู่ประชาชนผู้บริสุทธิ์
           ประการที่สอง การใช้โรงเรียนปอเนาะบ้านควนดิน ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ซึ่งพบหลักฐานว่าถูกใช้เป็นสถานที่วางแผนก่อเหตุและหลบหนี ตอบคำถามข้อถกเถียงได้อย่างชัดเจนอีกครั้ง ทำไมเจ้าหน้าที่ทหารต้องเข้าโรงเรียน และตอบข้อสงสัยก่อนหน้านี้ กรณีเจ้าหน้าที่ตรวจค้นสถานศึกษาปอเนาะมัดรอลาดุลฟาละห์ ม.4 ต.ถนน อ.มายอ จ.ปัตตานี ขณะฝึกต่อสู้ด้วยมือเปล่า จับ 39 คน ส่งตัวซักถามและตรวจ DNA
           ประการที่สาม BRN ออกแถลงการณ์ได้หยุดการปฏิบัติการทางอาวุธในช่วงรอมฎอนเพื่อให้ประชาชนได้ทำอีบาดัต แต่ก็มีความพยายามก่อสถานการณ์จากฝ่ายสยาม BRN ไม่โจมตีในพื้นที่ที่มีประชาชนมลายูมุสลิม เหตุระเบิดตลาดนัดบ่อทอง มอเตอไซค์ที่นำไปประกอบระเบิดนั้น เป็นรถที่ จนท. ยึดจากชาวบ้านมาก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อความจริงปรากฏ ควบคุมตัวผู้ก่อเหตุ 3 ราย และยอมรับสารภาพว่าได้ทำการก่อเหตุจริง เท่ากับว่าเป็นการตบหน้า BRN เป็นองค์กรที่ปลิ้นปล้อน หลอกลวงตลบตะแลงและเชื่อถือไม่ได้
           ประการที่สี่ เหตุระเบิดตลาดนัดบ่อทอง ความจริงที่ถูกบิดเบือนโดยสื่อแนวร่วม  Suara Patani เพจผีของกลุ่มขบวนการที่กล่าวหาเจ้าหน้าที่สร้างสถานการณ์หวังสังหารคนมุสลิมในเดือนรอมฎอน เมื่อความจริงปรากฏ ความโป้ปดก็จะหมดไป
           ประการสุดท้าย การที่นักสิทธิมนุษยชนบางคนได้ออกมาก่อนหน้านี้ กล่าวว่าเหตุการณ์ระเบิดตลาดนัดบ่อทอง เป็นฝีมือของมือที่ 4 เพื่อต้องการสร้างความสับสนของข้อมูล เบี่ยงเบนประเด็นการก่อเหตุของ ผกร. ในเมื่อ จนท.จับกุมผู้ก่อเหตุได้พร้อมรับสารภาพได้ลงมือก่อเหตุจริง แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมเดิมๆ ที่ปลิ้นปล้อน แถเอาตัวรอด เอาสีข้างเข้าถูของนักสิทธิมนุษยธรรม                  
---------------

6/05/2562

แนวร่วมร้อนตัว จนท.ทหารพรานตั้งฐานในสวนยาง สะท้อนความจริงเมื่อโจรถูกกดดัน



การโพสต์ภาพและข้อความของผู้ใช้เฟสบุ๊ค Abdul Salam ทหารชุดดำตั้งแคมป์ในสวนยาง สร้างความเดือดร้อนทำให้ประชาชนไม่สามารถกรีดยางทำมาหากินได้ เนื่องจากความหวาดกลัว
หากวิเคราะห์สาเหตุที่กลุ่มแนวร่วมร้อนตัวกับการเข้าไปตั้งฐานในป่า ในสวนยางและนอนในหมู่บ้านของเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อทำการกดดันโจรในห้วงเดือนรอมฎอนที่ผ่านมา สื่อแนวร่วมออกมาเคลื่อนไหวโจมตีและกล่าวหาเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน น่าจะมาจากความจริง 5 ประการด้วยกัน
ประการแรก เป็นการสะท้อนความอึดอัดของแกนนำ, แนวร่วม และ RKK ในหมู่บ้านที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก เจ้าหน้าที่เข้าไปนอนในหมู่บ้าน ตั้งฐานพักแรมในป่าในภูเขา จำกัดเสรีในการเคลื่อนไหว กดดันให้โจรออกจากหมู่บ้านไม่สามารถลงมือก่อเหตุได้
ประการที่สอง การที่แนวร่วมได้กล่าวอ้างถึงความลำบากของประชาชนในการทำมาหากินนั้น น่าจะไม่เป็นความจริง เจ้าหน้าที่รัฐร่วมทุกข์ร่วมสุขและอยู่เคียงข้างประชาชน ในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินตลอด 24 ชั่วโมงนั้นประชาชนส่วนใหญ่อุ่นใจและรู้สึกปลอดภัยในการทำมาหากิน
ประการที่สาม เหตุผลที่เจ้าหน้าที่ ชป.กร./ชป.จรยุทธ์ เข้าไปรับทราบปัญหาของประชาชน ปรับทุกข์ผูกมิตรกับผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา เข้าร่วมสภาสันติสุขตำบล และแน่นอนถ้าหากเจอ ผกร. ก็จะต้องบังคับใช้กฎหมายในการจับกุม
ประการที่สี่ การบังคับใช้กฎหมายในการติดตามจับกุมปิดล้อมตรวจค้น ผกร.เป้าหมายที่มีหมาย ป.วิอาญา เพื่อนำตัวมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เช่นเหตุการณ์เจ้าหน้าที่สนธิเข้าปิดล้อมบ้านใน ต.ตะโละกาโปร์ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เมื่อ 12 ม.ค. 2562 เกิดการยิงปะทะกันขึ้นทหารพราน เด็กผู้หญิงอายุ 9 ขวบถูกลูกหลงได้รับบาดเจ็บ คนร้ายเสียชีวิต 2 ราย ตรวจสอบประวัติพบมีหมายจับคดีความมั่นคงหลายหมาย และล่าสุดจากกรณีเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ 3 ฝ่ายสนธิกำลังเข้าบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่หมู่ 4 ต.กาตอง อ.ยะหา จ.ยะลา เมื่อ 27 พ.ค.2562 เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 2 นาย และคนร้ายซึ่งเป็นแกนนำรายสำคัญมีหมายจับ ป.วิอาญา 6 หมาย ถูกวิสามัญเสียชีวิต ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการบังคับใช้กฎหมายตามกระบวนการยุติธรรม ผู้ที่กระทำความผิดย่อมจะได้รับโทษ
ประการสุดท้าย ผู้ให้ที่พักพิงแนวร่วมและผู้ให้การสนับสนุน ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายซึ่งนอกจากจะได้รับโทษฐานให้ที่พักพิง ถือเป็นบทเรียนที่สำคัญที่พี่น้องประชาชนต้องให้ความสำคัญและตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น..