หน้าเว็บ

2/26/2557

10 ปีไฟใต้......ใคร?ก่อ ตอนที่ 2 ใครรับกรรม


       ......พิราบขาว......

PataniMerdeka วาทะกรรมบนท้องถนน ในการเรียกร้องเอกราช ของบรรดาผู้ที่เรียกตัวเองว่า “นักรบฟาตอนี” ผมอยากถามพวกท่านทั้งหลายว่า ต้องการเอกราชจากใคร?จากการที่ผมได้พูดคุยกับท่านผู้รู้ทางศาสนาอิสลามเป็นผู้นำทางศาสนาในพื้นที่ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางซึ่งผมต้องขอสงวนนามในที่นี้  เขาตั้งคำถามกับวิธีอธิบายทางศาสนาของขบวนการที่ว่าเป็นหน้าที่ที่คนมลายูมุสลิมจะต้องต่อสู้ให้ปาตานีกลับมาเป็นดารุลอิสลามอย่างที่พวกเขาเชื่อว่าเคยเป็นมาในอดีต รัฐบาลอิสลามที่ต้องการแปลว่าอะไร  รัฐที่ปกครองด้วยชารีอะห์เต็มรูปแบบ ไม่มีในโลก แม้แต่ซาอุ [ดิอาราเบีย] ก็ไม่ใช่  แล้วคุณจะเอาอะไร เขาตั้งคำถาม

สำหรับประเด็นเรื่องญิฮาดนั้น เขาอธิบายว่าในการประกาศญิฮาด อูลามาจะต้องประชุมร่วมกันและลงมติเอกฉันท์ว่าจะต้องสู้  แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดนี้ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น มติเป็นแต่เพียง แนวคิดนอกจากนี้เขามองว่าการญิฮาดไม่ว่าจะอยู่ในดินแดนประเภทใดก็ตาม นักรบไม่สามารถฆ่าผู้บริสุทธิ์ได้ผู้นำศาสนาท่านนี้มองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจทางการเมือง ชาวบ้านก็เป็นเหยื่อของกลุ่มคนที่ต้องการอำนาจ โดยใช้ประวัติศาสตร์มาชง เขากล่าว รัฐไม่ได้กดขี่อะไรพวกเราเองที่เลอะเทอะเหมือนคนพุทธที่ไม่เข้าวัดเขากล่าวถึงกลุ่มคนในระดับนำของขบวนการอย่างประชดประชันว่า ระดับบน ต้องการอำนาจ ไม่ถูกยิง ไม่ตาย นั่งเครื่องบินตลอด  ระดับล่างต้องการสวรรค์ พวกนี้ตาย ติดคุก พิการ

นักรบฟาตอนีมาจากไหน จากการที่ผู้เขียนได้พูดคุยกับ RKK ที่กลับใจเบื่อหน่ายกับการต่อสู้ที่เขาถูกหลอกลวงมาตลอดกว่า 10 ปี ที่ต้องเข้าไปต่อสู้เขาถูกคัดเลือก และได้รับการปลูกฝังที่เน้นในเรื่องประวัติศาสตร์ บาดแผล โดยการเล่าถึง ความรุ่งเรืองของอาณาจักรปาตานีในอดีตซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของศาสนาอิสลามในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นเมืองท่าที่มีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์และพูดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายลงหลังจากถูกสยามยึดครองและรัฐสยามได้ดำเนินนโยบายในการ กลืนวัฒนธรรม  ดังนั้นเองจึงมีความจำเป็นที่คนมลายูมุสลิมจะต้องต่อสู้เพื่อนำอิสรภาพและเอกราชกลับคืนมา  มีการนำเอากรอบคิดทางศาสนาเรื่องดารุลฮัรบีมาสนับสนุนการต่อสู้  โดยย้ำว่าเป็นวาญิบที่คนมุสลิมจะต้องญิฮาดกับผู้รุกราน

แล้วคนกลุ่มนี้ทำอะไรไว้กับ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ที่พยายามจะให้เป็นรัฐฟาตอนี เริ่มจากการเผาโรงเรียน สังหารและทำร้ายบุคคลากรทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เยาวชนได้มีการศึกษาจะได้หลอกเข้าเป็นสมาชิกของขบวนการ สามารถปลูกฝังความคิดความเชื่อที่ผิดๆ ที่พวกเขาต้องการได้ง่ายผลลัพธ์ที่ตามมาคืออะไร โอกาสทางการศึกษาของเยาวชนในสามจังหวัด ที่จะนำความรู้ไปประกอบอาชีพหายไป และหลังจากการปล้นปืนกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อ 4 มกราคม พ.ศ.2547  กลุ่มคนเหล่านี้ก็ได้พยายาม ทำทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนในสามจังหวัด ลุกขึ้นมาต่อสู้ ด้วยการสร้างสถานการณ์ โดยใช้ชีวิตเลือดเนื้อของชาวบ้าน ผู้บริสุทธิ์ มาเป็นเหยื่อ เช่น กรณีเหตุการณ์ที่มัสยิดกรือเซะ และตากใบ ที่ชาวบ้านถูกหลอกมาเพื่อให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งในกรณีนี้ ดร.ดันแคน  แม็กคาร์โก ศาสตราจารย์ด้านการเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประจำมหาวิทยาลัยลีดส์สหราชอาณาจักร  ซึ่งเป็นนักวิชาการที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ ได้ลงหาข้อมูลในพื้นที่อย่างจริงจังและได้ทำการวิจัยในปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย โดยใช้เวลาราวหนึ่งปี แล้วนำมาเขียนหนังสือชื่อว่า Tearing Apart the Land ซึ่ง ดร.ชัยวัฒน์สถาอานนท์ ได้นำมาแปลเป็นภาษาไทยโดยใช้ชื่อว่า “ฉีกแผ่นดิน” อิสลามและปัญหาความชอบธรรมในภาคใต้ ประเทศไทย ที่ชี้ให้เห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นคือสิ่งที่ขบวนการได้วางแผนไว้เป็นอย่างดี โดยใช้ชีวิตพี่น้องมุสลิมเป็นเครื่องมือ

นอกจากนั้น BRN ยังพยายามที่จะสร้างสถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยกลายเป็นพื้นที่วิกฤติที่ประชาคมระหว่างประเทศหันมาสนใจและเข้ามาแทรกแซง โดยพยายามทำทุกอย่างให้เข้าเงือนไขที่องค์การสากล เช่น OIC หรือองค์การสหประชาชาติ ต้องเข้ามาแทรกแซง เช่นการสร้างเงื่อนไขการขัดกันด้วยอาวุธที่มิใช่ลักษณะระหว่างประเทศ (non – international armed conflict)  เงื่อนไขสิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเอง (right to self-determination) และเงื่อนไขสิทธิมนุษยชน (Human rights) เป็นต้น       เพื่อนำไปสู่เงื่อนไขดังกล่าว BRN จึงพยายามสร้างสถานการณ์ก่อเหตุรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยไม่คำนึงว่าชาวบ้าน พี่น้องประชาชนจะได้รับผลอย่างไร แล้วพยายามโยนความผิดให้กับ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง เพื่อสร้างความเกลียดชังระหว่าง ทหาร กับ ชาวบ้าน มาในระยะหลัง BRN ได้พยายามวางระเบิด ลอบยิง และลอบโจมตีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงมากขึ้น เพื่อให้ ฝ่ายรัฐใช้ความรุนแรง แต่ฝ่ายรัฐไม่เล่นด้วย เลยหันมาผลักดันให้ กลุ่ม PerMAS ออกมาสร้างกระแส การกำหนดเจตจำนงของตนเอง หรือการกำหนดใจตนเอง (right to self-determination)โดยพยายามสร้างสถานการณ์ให้ ฝ่ายรัฐตกเป็นจำเลยสังคม ในการละเมิดสิทธิมนุษยชน การได้รับความไม่เป็นธรรมต่างๆ การกระทำนอกเหนือวิถีชีวิตของมุสลิม

สรุปได้ว่าตลอดระยะเวลา 10 ปี ตั้งแต่ BRN ประกาศสงครามโดยการปล้นปืนจากค่ายทหาร แล้วพยายามเร่งสถานการณ์ สร้างความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยอ้างเป็นการเรียกร้องเอกราช ผมเองในฐานะประชาชนคนหนึ่งในปัตตานี อยากขอถามว่าเอกราชที่พวกท่านเรียกร้องคืออะไร?.... ปัจจุบันไม่มีเอกราชตรงไหน ไม่ว่าจะเป็น ในเรื่องเชื้อชาติ มลายู ภาษา การนับถือศาสนา และวัฒนธรรม เราทุกคนต่างก็มีสิทธิสมบูรณ์ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดทั้งทางนิตินัย และพฤตินัย ไม่ได้มีความแตกต่างไปจากประชาชนในพื้นที่อื่นของประเทศ ซึ่งสอดคล้องตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล ดังนั้นประชาชนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของของประเทศไทย จึงมีสถานะความเป็นประชาชนของรัฐอย่างสมบูรณ์เช่นเดียวกับประชาชนชาวไทยทั่วไป และยิ่งไปกว่านั้นปัจจุบันคนที่นี้ยังได้รับการดูแลเป็นพิเศษในหลายๆ เรื่อง    เพื่อเป็นการชดเชยโอกาสที่พวกเราได้เสียไป แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ชีวิตพวกเราดีขึ้น ตลอด 10 ปีที่เราต้องอยู่กันอย่างหวาดระแวง บนความแตกแยกที่ BRN พยายามแยกคนที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามโดยเฉพาะพุทธศาสนิกชน ออกจากพี่น้องมุสลิมในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งในอดีตพวกเขาเหล่านั้น อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างแต่ปัจจุบันรอยแยกที่ฆาตกร BRN และพวกสุดโต่ง ได้ใช้ความโหดร้ายทารุณ ฆ่าทุกคน ไม่เว้น เด็ก ผู้หญิง แม้กระทั่งพระภิกษุ รวมทั้งผู้ที่ไม่ให้ความร่วมมือและผู้ที่ต้องการความสงบสุข และความเจริญที่จะมาสู่ดินแดนด้ามขวาน ไม่เว้นว่าจะเป็นใครศาสนาใดแล้วโยนความผิดให้ ตำรวจ ทหาร สร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในใจชาวบ้านต่อไป........แล้วเมื่อไหร่สันติภาพ ความสงบสุข รวมถึงความเจริญ การท่องเที่ยว การลงทุนที่จะนำไปสู่ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของพี่น้องประชาชนชาวปลายด้ามขวานจะมาถึงซะที.......

********************************************

2/23/2557

PerMAS - เจ๊ะมุ มะมัน ผลประโยชน์ที่ลงตัวบนความสูญเสีย

เหตุการณ์ฆ่าเด็กชายสามพี่น้อง อายุ 6 ปี 9 ปี และ 11 ปี เป็นครอบครัวของ นายเจ๊ะมุ มะมัน กับ นางพาดีละห์ แมยู เหตุเกิดที่บ้านปะลุกาแปเราะ ตำบลปะลุกาสาเมาะ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส เมื่อค่ำวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมา โดยเด็กชายสามพี่น้องเสียชีวิตทั้งหมด ขณะที่ นายเจ๊ะมุ กับ นางพาดีละห์ พ่อกับแม่ของเด็ก ได้รับบาดเจ็บ โดยเฉพาะนางพาดีละห์ฯ อาการสาหัส เพราะกำลังตั้งครรภ์ได้ 4 เดือนด้วย
หลังเกิดเหตุมีการปล่อยข่าวและกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากชาวบ้านและภาคส่วนต่างๆ ในพื้นที่ว่าอาจเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ ขณะที่ นายเจ๊ะมุฯ ได้ให้สัมภาษณ์หลายครั้ง ต่างไม่ตรงกันกับสาเหตุที่แท้จริงของคนร้าย ที่มุ่งสร้างปมชนวนสังหารคนในครอบครัวของตนเอง แต่ในส่วนตัวของนายเจ๊ะมุฯ ยังมีคดีติดตัวข้อหาฆ่าผู้อื่น ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างประกันตัวต่อสู้ทางคดีอยู่ ส่วนคดีความมั่นคงที่เคยถูกควบคุมตัวเมื่อปลายปีก่อนนั้น ศาลได้ยกฟ้อง และคดีถึงที่สุดแล้ว
จากเหตุการณ์อันเศร้าสลดต่อการสูญเสียชีวิตของเด็กถึง 3 ชีวิตของครอบครัวมะมันในครั้งนี้ หลายองค์กรได้ออกมาประณามการก่อเหตุต่อเด็กทั้ง 3 คน ดังกล่าว โดยเฉพาะการออกแถลงการณ์ขององค์กรสำคัญระดับโลกอย่างองค์กรยูนิเซฟ ซึ่งนายพิชัย ราชภัณฑารี ผู้แทนองค์การยูนิเซฟประเทศไทย ระบุว่า ยูนิเซฟ ขอประณามการสังหารเด็กผู้บริสุทธิ์ในครั้งนี้ และเรียกร้องให้ยุติความรุนแรงต่อเด็กในทุกรูปแบบ

หน่วยงานในพื้นที่ทั้งทหารและตำรวจต่างให้ความสำคัญต่อคดีดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานด้านความมั่นคง ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 (ผอ.รมน.ภาค 4) พลโทสกล ชื่นตระกูล ถึงกับลงพื้นที่ไปดูสถานที่เกิดเหตุด้วยตนเอง ดังที่เป็นข่าวมีการนำเสนอของสื่อมวลชนทุกแขนงไปแล้วนั้น แต่เป็นที่น่าสังเกตทั้งๆ ที่หลายหน่วยงานให้ความสำคัญด้วยการไปเยี่ยมครอบครัวและขอพบนายเจ๊ะมุฯ กับภรรยา แต่กลับถูกกลุ่ม PerMAS กีดกันไม่ให้เข้าถึงตัว โดนบล็อกตัวตั้งแต่นอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
ถัดมาเพียงไม่กี่วัน กลุ่ม PerMAS กลับหิ้วปีกนายเจ๊ะมุ มะมัน ขึ้นเวทีแห่งหนึ่งในจังหวัดปัตตานี พร้อมๆ กับเชิญสื่อต่างประเทศ เพื่อเป็นการประโคมข่าวที่มีการตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งสอดคล้องกับการโฆษณาชวนเชื่อของ BRN ในการบิดเบือนข้อเท็จจริงทุกรูปแบบในการโยนความผิดว่าเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้กระทำ จะเห็นได้ว่ามีการวางแผนเตรียมการเป็นขั้นเป็นตอน มีการทำงานเป็นทีม ตั้งแต่การลงมือก่อเหตุ มีการปล่อยข่าวลือ ประโคมข่าวโดยอาศัยสื่อมวลชนที่เป็นแนวร่วมมุมกลับ ในส่วนงานด้านการทหารสั่งการ RKK เข่นฆ่าประชาชนชาวไทยพุทธ ฆ่าพระ เด็ก สตรี และคนชรา พร้อมกับการสร้างความชอบธรรมด้วยการโปรยใบปลิวเป็นการเอาคืนจากการเสียชีวิตของเด็ก 3 ศพ
ความสัมพันธ์เชิงลึกของกลุ่ม PerMAS กับ BRN ได้ตอกลิ่มย้ำความชัดเจนดังที่ทุกคนตั้งข้อสงสัยก่อนหน้านี้ว่ามีการทำงานประสานสอดรับกันในเชิงนโยบายโดย BRN เน้นงานด้านทหาร กลุ่ม PerMAS มุ่งงานด้านการเมืองโดยมีเป้าประสงค์เดียวกันคือมุ่งไปสู่เอกราช กรณีความสูญเสียของครอบครัวนายเจ๊ะมุ มะมัน หรือเป็นเพียงการวางแผนที่แยบยลของกลุ่มขบวนการเองที่ลงมือฆ่าเด็ก แล้วสร้างสถานการณ์โยนความผิดให้เจ้าหน้าที่รัฐ อาศัยสื่อมวลชนในการนำเสนอข่าวใหญ่เพื่อแย่งชิงพื้นที่สื่อ ทำการประชาสัมพันธ์ โฆษณาชวนเชื่อทุกรูปแบบให้ประชาชนเห็นคล้อยตาม แล้วสั่งการให้กลุ่ม PerMAS และกลุ่ม NGOs บางกลุ่มซื้อตัวนายเจ๊ะมุ มะมัน บล็อกตัวไม่ให้หน่วยงานภาครัฐเข้าถึง จัดฉากการให้ข้อมูลข่าวสารเพื่อให้เป็นไปในทิศทางที่ขบวนการ BRN ต้องการ ในการสร้างข่าวสื่อไปยังต่างประเทศ
หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ขบวนการ BRN และกลุ่ม PerMAS โคตรเลวมากๆ ที่ร่วมกันวางแผนกระทำความชั่วกับเด็กที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงของปัญหาไฟใต้ ส่วนนายเจ๊ะมุ มะมัน พ่อของเด็กแท้ๆ ที่เสียชีวิตหากโดน PerMAS ซื้อตัวโดยมีกลุ่ม BRN อยู่เบื้องหลังก็ไม่รู้จะสรรหาคำด่าคำไหนดีมาด่านายเจ๊ะมุฯ กับการแลกชีวิตลูก เพียงแค่แลกกับเศษเงินของกลุ่ม PerMAS ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ได้รับเงินเยียวยาจากหน่วยงานภาครัฐไปแล้ว จากการเสียชีวิตบุตรทั้ง 3 คน เป็นเงิน 1,500,000 บาท กรณีนางพาดีละห์ แมยู ภรรยาท้อง 4 เดือน ได้รับบาดเจ็บ 50,000 บาท และนายเจ๊ะมุ ที่ได้รับบาดเจ็บ 10,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,560,000 บาท นี่คือกระบวนการโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มขบวนการ BRN โดยมีกลุ่ม PerMAS เดินเกมส์ แต่คงอีกไม่นานความจริงจะปรากฏ จะเกิดความกระจ่าง จะได้รู้ข้อเท็จจริงกันเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเร่งตรวจสอบวัตถุพยานในที่เกิดเหตุและจะมีการแถลงเป็นทางการ ให้ประชาชนได้รู้กันว่าฆาตกรตัวจริงที่ลงมือก่อเหตุใจเยี่ยงสัตว์ในครั้งนี้จะเป็นโจรใต้ BRN หรือเจ้าหน้าที่รัฐกันแน่

ตนไทยปลายด้ามขวาน

*********************************

2/20/2557

พันธมิตรอธรรม ฆาตรกรรมต่อเนื่อง

จุดเริ่มต้น “ฆาตรกรรมสร้างเรื่อง
จากกรณี คนร้ายใช้อาวุธปืนสงครามยิงคนในครอบครัวของนายเจะมุ    มะมัน    ที่บ้านเลขที่ 143/4 บ้านปะลุกาแปเราะ หมู่ 7 ต.ปะลุกาสาเมาะ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ขณะกลับจากละหมาดที่สุเหร่าดารุสมูบิน ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 1 กิโลเมตร   ขณะกำลังไขกุญแจเข้าบ้าน คนร้ายใช้อาวุธปืนกราดยิงครอบครัวมะมัน เป็นเหตุให้ ด.ช.มูยาเฮค มะมัน อายุ 11 ปี  เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5     ด.ช.บาฮารี มะมัน   อายุ  9 ปี เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และ ด.ช.อีลยาส มะมัน อายุ 6 ปี  เรียนชั้นอนุบาล  2   โรงเรียนปะลุกาแปเราะ เสียชีวิต       ส่วนนายเจะมุ  มะมัน อายุ 40 ปี และนางพาดีละห์ แมยู อายุ 33 ปี ภรรยากำลังท้อง 4 เดือน ได้รับบาดเจ็บ  จากการตรวจสอบในที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่พบปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16   และปืนสั้น 9 มม. กว่า 40 ปลอก โดยคาดว่าคนร้ายมีไม่ต่ำกว่า 4 คน เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2557   ภายหลังการฆาตกรรมสร้างเรื่องเริ่มได้ก่อตัวขึ้น  
    
ฆาตรกรรมต่อเนื่อง  (Serial Murders)   ก็ตามมาอย่างกระชั้นชิด เพื่อผูกเรื่องและดึงดูดความสนใจ ทำให้สมจริงว่าเป็นการแก้แค้น   ( คิดเอง ทำเอง สร้างภาพสถานการณ์เอง )

ภาพความเลวร้าย ...  พฤติกรรมของกลุ่มบุคคลเดียวกัน
        การเลือกเป้าหมาย           :    เลือกเป้าหมายอ่อนแอ  (Soft Targets)   เด็ก  ผู้หญิง  ประชาชนทั่วไป แม้กระทั่งพระสงฆ์  
                ลักษณะการฆ่า                             :     โหดเหี้ยม ไร้ความปรานี  ฆ่า และ เผา ทำลายศพ ไม่ใช่วิสัยนักรบเพื่ออุดมการณ์  แต่เป็นฆาตกรโรคจิต
                ใส่ร้ายป้ายสี สร้างความชอบธรรม   :   แต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่, เขียนแผ่นป้ายข้อความอ้างความชอบธรรม ว่าเป็นการแก้แค้น โยนความผิดให้เจ้าหน้าที่     ทั้ง ๆ  ที่กรณีเด็ก 3 ศพ ยังไม่มีใคร สามารถพิสูจน์ได้ว่า ฆาตรกรตัวจริง คือใคร            

จากเหตุการณ์ดังกล่าวทุกภาคส่วนออกมาประณาม
“นี่เป็นเพียงแถลงการณ์หนึ่งของการประณาม”
                                                    แถลงการณ์ 12 องค์กร:
ประณาม "การฆ่า" ที่ไร้ความเป็นมนุษย์ของผู้ก่อเหตุจากบาเจาะถึงแม่ลาน
 แถลงการณ์ 12 องค์กรเครือข่าย ฉบับพิเศษ/2557
 ประณาม การฆ่าที่ไร้ความเป็นมนุษย์ของผู้ก่อเหตุจากบาเจาะถึงแม่ลาน

จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ในห้วงตั้งแต่ วันที่ 3-11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีการกระทำการอันโหดร้ายป่าเถื่อนต่อเด็ก ผู้หญิง และพระสงฆ์ ผู้น่าสงสารและเปราะบางที่สุด เราสุดทนแล้ว ในฐานะที่เป็นองค์กรภาคเอกชนและองค์กรประชาชนที่ทำงานพัฒนาในพื้นที่มายาวนาน และต้องอยู่ในสภาพที่เห็นคนตายเกือบทุกวัน ตลอดสิบปีที่ผ่านมา โดยที่มีความรุนแรง ความถี่ และโหดร้ายขึ้นทุกวัน ทำได้แม้กระทั่งเด็ก ผู้หญิง พระสงฆ์ ที่ไม่มีทางสู้ จึงขอประณามการก่อเหตุทั้งหมด และขอออกแถลงการณ์ เรียกร้อง ต่อฝ่ายกระทำการที่ป่าเถื่อนโหดเหี้ยม ดังนี้.-
 1. ไม่ว่าคุณเป็นใคร ฝ่ายใด คุณโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ สมควรได้รับการประณามจากสังคม และขอให้กรรมที่คุณก่อไว้ ได้รับการลงโทษ อยู่อย่างทุกข์ทรมาน เหมือนตกนรกทั้งเป็น กรรมติดตัวคุณไปทุกชาติทุกภพ หากคุณยังคงเป็นคนมีศาสนาใดๆ ขอให้ได้รับโทษทัณฑ์ ตามหลักของศาสนานั้นๆ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ทั้งในขณะเป็นมนุษย์และหลังความตายที่คุณไม่มีทางหนีพ้น
 2. หยุดการกระทำที่โหดเหี้ยมผิดมนุษย์นี้เสีย เพราะมนุษย์ผู้ยังมีหัวใจรักต่อเพื่อนมนุษย์ ในทุกหย่อมหญ้า นับหมื่น นับแสน นับล้าน จะมีส่วนในการสาปแช่งการกระทำที่เลวร้ายของคุณ

ชาวมุสลิมนราฯ ร่วมละหมาด ขอสันติสุขกลับสู่ชายแดนใต้ หลังเหตุกราดยิงครอบครัว มะมัน

นายมะมัน มะอูเซ็ง เลขาอิหม่าม ฆอเต็บประจำ อ.บาเจาะ กล่าวว่า อาวุธของชาวมุสลิมคือ การวิงวอนขอจากอัลลอฮ์เท่านั้นไม่มีการใช้อาวุธในการเข่นฆ่ากัน และจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเจ๊ะมุ ถือเป็นการสูญเสียครั้งที่ยิงใหญ่ของชาวมุสลิมในพื้นที่เพราะเป็นการกระทำที่จงใจให้เกิดขึ้นกับเด็กซึ่งเปรียบเสมือนผ้าขาว โดยกระทำการของกลุ่มผู้ก่อเหตุนั้นถือเป็นการกระทำที่ร้ายแรงไม่สามารถที่จะให้อภัยได้ และเป็นเรื่องที่ผิดต่อหลักศาสนาด้วย
พันธมิตรอธรรม

ในขณะที่ทุกฝ่ายร่วมกันประณาม        อีกทั้งร่วมละหมาด  ขอสันติสุขกลับสู่ชายแดนใต้   เหตุไฉน “  เพื่อนอันวาร์  ”  กลับมองต่างมุม “    แถม ยังได้เผยแพร่แถลงการณ์ร้องเรียน    องค์กรระหว่างประเทศและองค์กรสิทธิฯ ช่วยหามาตรการในการคุ้มครองและให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ที่ตกเป็นจำเลยคดีทางการเมืองในพื้นที่ โดยเผยแพร่ผ่านเพจกลุ่ม    เพื่อนอันวาร์ - Save Anwar” (https://www.facebook.com/saveanwar?fref=ts) และใช้ชื่อลงนามในแถลงการณ์ว่า "ผู้ต้องขังคดีการเมือง" ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2557  ( ผ่านกองบรรณาธิการ สำนักสื่อ Wartani )
แถลงการณ์ จากผู้ต้องขังคดีทางการเมืองปาตานี
เรื่อง    ร้องเรียนกรณีเหตุการณ์กราดยิงครอบครัวของจำเลยคดีทาง
การเมืองปาตานี เสียชีวิต 3 ศพ  และบาดเจ็บ 2 ราย
เรียน   องค์กรระหว่างประเทศและองค์กรต่างประเทศทุกองค์กร
เนื้อหาสาระสามารถสรุปใจความสำคัญได้ว่า
จากกรณีที่มีคนร้ายเป็นชายฉกรรจ์ใช้อาวุธปืนสงครามกราดยิงครอบครัวของ นายเจะมุ มะมัน ซึ่งเป็นจำเลยคดีทางการเมืองในพื้นที่ปาตานี เคยถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำกลางปัตตานี เมื่อปี 2553 เพื่อต่อสู้คดีศาลชั้นต้น ได้พิพากษายกฟ้อง และนายเจะมุ มะมัน ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 9 ในปี 2554      การทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธสงครามจนเป็นเหตุให้เสียชีวิตต่อจำเลยคดีทางการเมืองปาตานี      ไม่ได้มีเพียงเหตุการณ์นี้เพียงกรณีเดียว ก่อนหน้านี้มีผู้ที่ตกเป็นเหยื่อกลายเป็นผู้ต้องสงสัย ผู้ต้องหา อดีตจำเลย และจำเลยในคดีทางการเมืองปาตานีเสียชีวิตด้วยเหตุดังกล่าวมาแล้วหลายราย จึงขอเรียกร้องต่อองค์กรระหว่างประเทศ หรือองค์กรต่างประเทศ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน กฎหมาย ความยุติธรรม ช่วยคุ้มครองจำเลย
นาย  อิสมาอีล ฮายีแวจิ  บรรณาธิการสำนักสื่อ  Wartani  ได้เปิดพื้นที่สื่อให้กับ พันธมิตรอธรรม ของเขาได้ใช้อย่างเต็มที่โดยเฉพาะ กลุ่ม PerMAS  และซามูไรรับจ้าง  Shintaro ในหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมา และในครั้งนี้อ้างว่า “เพื่อนอันวาร์”
หยุด อย่าใส่ร้ายป้ายสี – ด่วนสรุปเอง เพราะ
จนท.3 ฝ่ายลงพื้นที่รวบรวมหลักฐานคดี
กราดยิงครอบครัว มะมัน

ผู้นำศาสนาวอนชาวบ้านเข้าใจ จนท.
            ขณะที่ นายเซ็ง  ใบหมัด กรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี  กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นขอวิงวอนให้ชาวบ้านเข้าใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ เพราะไม่มีอะไรเป็นสิ่งจูงใจว่าเหตุที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่เป็นผู้กระทำ เนื่องจากไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แถมภาพลักษณ์ยังเสียหาย เราจะจับกุมคนร้ายมาลงโทษได้ โดยชาวบ้านทุกคนต้องให้ความร่วมมือแจ้งเบาะแส เพื่อคนดีๆ จะได้อยู่ร่วมกันในสังคมและสร้างความเจริญให้กับหมู่บ้าน ส่วนคนเลวๆ จะได้ไม่สามารถแฝงตัวอยู่ในสังคมได้อีกต่อไป
                จาก ฆาตรกรรมสร้างเรื่อง  มาสู่   ฆาตรกรรมต่อเนื่อง  และ พันธมิตรอธรรม  ถ้าสังเกตให้ดี ๆ แล้วจะเห็นได้ว่า    มีความพยายามที่จะสร้างเรื่อง   สร้างเหตุการณ์    ทั้งการปฏิบัติการรุนแรงด้วยอาวุธสงครามและการกระทำที่อำหิต  และสนับสนุนด้วยงานทางด้านการเมือง โดยเฉพาะการโฆษณาชวนเชื่อ ปลุกระดมสร้างความแตกแยก  ถามว่า  ทั้งหมดนี้ น่าจะเป็นฝีมือใคร  แล้วผลประโยชน์ก้อนโตจากการสร้างภาพยนตร์เรื่องสั้นเรื่องนี้ ใครจะเป็นผู้รับ  Wartani – PerMAS – BRN
                                                                                                                                                      “ นักล่า RKK





2/19/2557

เครือข่ายชาวไทยพุทธประณามโจรชั่ว วอน จนท.เข้มป้องกันดูแลชีวิตประชาชนในพื้นที่ จชต.


นายรักชาติ สุวรรณ ประธานชุมชนคูหามุข เขตเทศบาลนครยะลาได้เรียกคณะกรรมการชุมชนเข้าร่วมหารือมาตรการป้องกันชุมชนของตนเองหลังจากที่เกิดเหตุคนร้ายก่อเหตุกระทำต่อเป้าหมายที่อ่อนแอโดยเฉพาะชาวไทยพุทธในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
       
       ทั้งนี้ เครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ โดย นายรักชาติ สุวรรณ ซึ่งเป็นประชุมชน ได้ออกแถลงการณ์ในนามเครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ กรณีการกระทำต่อเป้าหมายที่อ่อนแอ โดยมีเนื้อหาใจความว่า
       
       จากเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 21.00 น. เกิดเหตุคนร้ายกราดยิงบ้านพักราษฎรมลายูมุสลิมเลขที่ 157 / 4 ม.7 บ้านปะลุกาแปเราะ ต.ปะลุกาสาเมาะ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส เป็นเหตุให้ ด.ช.มูยาเฮค มะมัน อายุ 11 ปี ด.ช.บาฮารี มะมัน อายุ 9 ปี และ ด.ช.อีลยาส มะมัน อายุ 3 ปี เสียชีวิต นางนางปาดีละห์ แมยู ผู้เป็นแม่ซึ่งกำลังตั้งครรภ์ 4 เดือน ได้รับบาดเจ็บ และนายเจ๊ะมุ มะมัน ผู้เป็นพ่อได้รับบาดเจ็บเช่นกัน
       

       เหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้มีการสังหาร ชาวไทยพุทธติดต่อกันอย่างโหดเหี้ยม ดังนี้ เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2557 นางเบญจพร เกื้อทุ่ง ภรรยาตำรวจ ซึ่งถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิง และเผาเสียชีวิตบริเวณตลาดนัดพังกับ ม.3 ต.ราตาปันยัง อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2557 นางบุญส่ง ไชยชนะ อายุ 38 ปี บ้านเลขที่ 17 ม.6 บ้านบากง ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส และเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2557 นางสาวสยามณ แซ่ลิ้ม อายุ 28ปี ที่อยู่ 26/1 ม.5 ต.ท่าน้ำ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี ถูกคนร้ายยิงแล้วเผา มาจนถึงเหตุการณ์ล่าสุด เมื่อเวลา 06.20 น. ของวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2557 คนร้ายจำนวน 4 คน ขับขี่รถจักรยานจำนวน 2 คัน ใช้อาวุธปืนสงครามยิง ชป.รปภ.พระ นปพ.22 ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ จำนวน 1 นาย พระสงฆ์มรณภาพจำนวน 1 รูป ชาวบ้านเสียชีวิต 1 ราย และได้รับบาดเจ็บ 8 ราย
       
       เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นสร้างความสะเทือนใจ และสะท้อนให้เห็นถึงการใช้ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างไร้ขอบเขต และไร้มนุษย์ธรรม โดยที่มีกฎหมายพิเศษ อาวุธยุทโธปกรณ์ กำลังเจ้าหน้าที่ และด่านตรวจต่างๆ ที่มีปรากฏอยู่ทั่วทุกตารางพื้นที่ มิสามารถรับประกันความปลอดภัยให้กับราษฎร โดยเฉพาะความปลอดภัยของพระสงฆ์ เด็ก สตรี ชาวบ้านทั่วไป และเป้าหมายที่อ่อนแอ เครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวเหยื่อเหตุการณ์ในครั้งนี้อย่างสุดซึ้ง และขอประณามผู้ก่อเหตุ ผู้สั่งการ ทั้งนี้ เครือข่ายฯ ขอเรียกร้องทุกฝ่ายต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนี้ต่อไปนี้
       
       1. ขอให้ประชาชน ผู้นำชุมชน องค์การภาคประชาสังคม ตื่นตัวและตระหนักต่อสถานการณ์การใช้ความรุนแรงอันไร้ขอบเขตและไร้มนุษยธรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เครือข่ายฯ ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งไปยังครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงไม่ว่าจะเป็นพี่น้องชาวไทยพุทธหรือพี่น้องชาวไทยมุสลิม
       
       2. ขอให้กองกำลังติดอาวุธทุกฝ่าย ยุติความรุนแรงต่อพี่น้องผู้บริสุทธิ์
       
       3. ทุกภาคส่วนรวมถึงครอบครัว ชุมชนและสังคมควรมีความอดทน อดกลั้นและไม่ควรใช้ความรุนแรงเพื่อตอบโต้ความรุนแรง
       
       4. ขอให้ประชาชน ผู้นำชุมชน องค์การภาคประชาสังคม ร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อติดตามและตรวจสอบการดำเนินการให้ความยุติธรรมต่อครอบครัวเหยื่อผู้สูญเสียในครั้งนี้ และร่วมกันหาแนวทางป้องกันเหตุการณ์รุนแรงที่จะเกิดกับเด็กและสตรีในอนาคต
       
       5. ขอให้เจ้าหน้าที่สืบสวน ดำเนินการสืบสวนอย่างรวดเร็ว โปร่งใส เพื่อให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวเหยื่อผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เมื่อได้ข้อเท็จจริงประการใด ให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน ได้รับทราบ
       
       6. เพิ่มการรักษาความปลอดภัย และดูแลชุมชน หมู่บ้านที่มีพี่น้องไทยพุทธ และชุมชน หมู่บ้านที่มีพี่น้องไทยพุทธ และมุสลิม อาศัยอยู่ร่วมกันเป็นพิเศษ 
       

       การออกแถลงการณ์ครั้งนี้ เพื่อต้องการมิให้เกิดความสูญเสีย และต้องการแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงกับผู้บริสุทธิ์อีกต่อไป ลงนาม เครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ BUDDHISTS NETWORK FOR PEACE (B4P) 13 กุมภาพันธ์ 2557
       
       ทั้งนี้ นายรักชาติ สุวรรณ ในนามเครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ ได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ทั้ง ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง เพิ่มมาตรการเข้มในการป้องกันดูแลประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากขณะนี้ ถูกมองว่า กลุ่มเป้าหมายที่ถูกกระทำเป็นผู้อ่อนแอ ตกเป็นเป้าของกลุ่มคนร้าย จึงต้องการให้เจ้าหน้าที่เพิ่มมาตรการในการปฏิบัติให้มากขึ้น

2/18/2557

10 ปีไฟใต้......ใคร? ก่อ

        จากสถานการณ์การก่อความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ทั้ง ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ซึ่งเริ่มปะทุครั้งใหญ่ เมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ.2547 เกิดเหตุการณ์ปล้นปืนกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส มาจนถึงปัจจุบัน ดินแดน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ก็กลายเป็นสมรภูมิรบ สำหรับกลุ่มที่อ้างตนเองว่านักรบ/นักปฏิวัติ หรือนักอะไรก็ตามที่พยายามจะออกมาเรียกร้องเอกราช ในการแบ่งแยกดินแดนจัดตั้งรัฐปัตตานี เป็นรัฐใหม่ แต่ตลอดระยะเวลา 10 ปี ที่ผ่านมายังไม่มีกลุ่มบุคคลใดออกมาประกาศความรับผิดชอบว่าเป็นผู้นำในการก่อความไม่สงบ และยังไม่เปิดเผยวัตถุประสงค์รวมทั้งยุทธศาสตร์ในการก่อความไม่สงบที่ชัดเจนเหมือนกับการก่อเหตุร้ายในพื้นที่อื่นของโลก  มีเพียงกลุ่มอำนาจเก่า เช่น BRN  และ  PULO ที่เสวยสุขอยู่ในต่างประเทศมาแสวงประโยชน์จาก ความเดือดร้อนของประชาชน ในพื้นที่โดยพยายามหยิบยกประเด็นความแตกต่างทางด้านกลุ่มชาติพันธุ์และศาสนา มาผูกโยงกับการล่าอาณานิคมของชาวสยาม แต่กลุ่มผู้ที่ต้องการอำนาจได้พยายามหยิบยกเอาการปฏิรูปการปกครองสยามในรัฐกาลที่ 5 ซึ่งมีการเปลี่ยนระบบการปกครองจากหัวเมืองมาเป็นการปกครองรูปแบบใหม่ ซึ่งนำมาการสูญเสียอำนาจและผลประโยชน์
BRN/ PULO รวมทั้งกลุ่มต่างๆ ที่สร้างความรุนแรง ก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ได้วางจุดมุ่งหมายไว้อย่างชัดเจนที่จะรื้อฟื้นความเป็นชาติขึ้นมาใหม่เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมาย คือ ความเป็นชาติมลายู ศาสนา(อิสลาม) มาตุภูมิ(รัฐปัตตานี) และสิทธิของชาวมลายูปัตตานีเป็นหลักในการทำให้ประชาชนมาเลย์มุสลิมในพื้นที่เกิดความรู้สึก หรือมีอุดมการณ์ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน และปฏิเสธการปกครองของรัฐบาลไทย ขณะที่ด้านยุทธวิธีการต่อสู้ได้ใช้รูปแบบการทำการก่อการร้ายเพื่อลดความชอบธรรมของรัฐไทยที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์และรักษาความปลอดภัยให้กับชาวมาลายูได้ โดยพยายามอ้างเหตุการณ์เดิมๆ เช่นกรณี เหตุการณ์มัสยิดกรือเซะและเหตุการณ์ตากใบ เมื่อปี พ.ศ.2547 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากจากการที่ถูกขบวนการหลอกทั้งชาวบ้าน และเจ้าหน้าที่ เพื่ออะไร... เพื่อใคร....และหลังจากนั้นเป็นต้นมา การสูญเสียจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ได้เริ่มสูงขึ้นมาโดยต่อเนื่อง ผู้สูญเสียมีทั้งประชาชนที่มีเชื้อชาติไทยและเชื้อชาติมลายู ทั้งที่นับถือศาสนาพุทธและศาสนาอิสลามมีการสังหาร ชาวไทยพุทธและพระสงฆ์เพื่อบีบบังคับให้อพยพออกนอกพื้นที่ มีการวางระเบิดท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่  การวางระเบิดแบบคาร์บอมบ์ การวางระเบิดทางรถไฟ การวางระเบิดหลายๆ แห่งพร้อมกันในเมือง การโจมตีกำลังทหาร การซุ่มโจมตี จนท.รัฐขณะปฏิบัติหน้าที่ การเผาสถานที่และทรัพย์สินของทางราชการ รวมทั้งการทำลายทรัพย์สินและพืชการเกษตรของประชาชน ผลที่ตามมาอย่างเห็นได้ชัดเจนในปัจจุบัน คือการบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ไม่สามารถกระทำได้อย่างเต็มที่ ทำให้การค้ายาเสพติดและการแพร่ระบาดของยาเสพติดอย่างกว้างขวางรวมทั้งธุรกิจผิดกฎหมายมากมาย

จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครออกมาประกาศความรับผิดชอบกับชะตากรรมที่เกิดขึ้นกับประชาชนตาดำๆในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ที่ต้องสูญเสียโอกาสในการพัฒนาท้องถิ่นในทุกด้านตลอด 10 ปีที่ผ่านมา นอกจากการก่อเหตุร้ายรายวัน สร้างความเดือดร้อนอย่างไม่หยุดหย่อนแล้ว ยังมีกลุ่ม PerMAS และเครือข่ายแนวร่วม  ที่พยายามออกมาสร้างความแตกแยก ชี้นำชักจูงให้พี่น้องมุสลิม ออกมาต่อสู้ทางการเมืองในการ “กำหนดใจตนเอง” (right to self-determination) เพื่อชาวมาลายูปัตตานีจะได้ปกครองตนเองตามแนวทางของคนมุสลิมมิใช่คนไทย โดยให้สอดคล้องกับ BRN ที่พยายามออกมาทำทุกวิถีทางที่จะให้สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย เข้าสู่เงื่อนไขการขัดแย้งด้วยอาวุธที่มิใช่ลักษณะระหว่างประเทศ (non-international armed conflict) เพื่อให้ประชาคมโลกเข้ามาแทรกแซง ซึ่งไม่มีโอกาสเป็นไปได้ ทั้งสหประชาชาติ และ OIC ได้ออกมาชื่นชมกับการแก้ปัญหาด้วยสันติวิธีของรัฐบาลไทย ทุกคนในประเทศไทยก็สนับสนุนให้เราอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข แล้วใครเขาจะเข้ามาแทรกแซง.......ความจริงคืออะไร.......คนที่พยายามออกมาสร้างความรุนแรง สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนทุกวันนี้ เขาทำเพื่อใคร.....ทำเพื่ออะไรกันแน่.......เมื่อไรจะถึงจุดหมายที่เขาต้องการ........เราจะต้องทนทุกข์อยู่กับสภาพนี้ไปอีกนานเท่าไร.....ใครก็ได้ช่วยออกมาบอกให้ชื่นใจหน่อยครับ


พิราบขาว