หน้าเว็บ

11/30/2559

หิ้วตัว 3 ผู้ต้องหา! เตรียมระเบิดป่วนกรุง ชี้จุดวางแผน-ซุกชิ้นส่วนประกอบระเบิด!!

"Ibrahim"

ตอกหน้าองค์กรภาคประชาสังคมตามๆ กัน เพราะก่อนหน้านี้กลุ่มและองค์กรต่างๆ ได้ดาหน้าออกมาเคลื่อนไหวกรณีเจ้าหน้าที่ปูพรหมควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยหลายสิบราย ว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนเลือกปฏิบัติกับผู้ที่มาจากพื้นเพจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มาศึกษา มาทำมาหากินในเขตกรุงเทพมหานครและเขตปริมณฑล พร้อมเรียกร้องให้ทำการปล่อยตัวโดยไม่มีเงื่อนไข

สุดท้ายเป็นอย่างไร? หากเจ้าหน้าที่ไม่ได้รับการแจ้งเตือนจากหน่วยข่าวกรอง ต้องระดมสรรพกำลังรวบตัวผู้ต้องสงสัยได้อย่างทันท่วงที หากบ้าจี้ตามคำเรียกร้องของกลุ่มและองค์กรงี่เง่า ลองนึกภาพดูกับความสูญเสียที่เกิดจากน้ำมือในการก่อเหตุลอบวางระเบิดของคนกลุ่มนี้ จะสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติแค่ไหน? อีกทั้งในขณะที่ประชาชนคนไทยทั้งประเทศยังอยู่ในอาการเศร้าโศกจากการสวรรคตของในหลวง แต่คนเนรคุณแผ่นดินเกิดกลุ่มนี้พยายามสร้างความปั่นป่วนมุ่งทำร้ายจิตใจคนไทยซ้ำสอง
ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 พ.ย.59 เจ้าหน้าที่สนธิกำลังประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธร จ.สมุทรปราการ พร้อมกำลังตำรวจคอมมานโด ตำรวจ  สภ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ ตำรวจน้ำ และกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร ร่วมกันควบคุมตัว 3 ผู้ต้องหาเตรียมลอบบึ๊มป่วนกรุงและเขตปริมณฑลชี้จุดวางแผน และแหล่งซุกซ่อนชิ้นส่วนประกอบระเบิด

ผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ประกอบด้วย นายตาลมีซี โต๊ะตาหยง นายอับดุลาซิร สือกะจิ และ นายมูบารีห์ กะนะ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา เลขที่ จ.2326-2328/2559 ในข้อหาร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้มีไว้ใช้ในครอบครอง, อั้งยี่, ซ่องโจร มาชี้จุดที่เตรียมวางระเบิด และค้นหาชิ้นส่วนประกอบระเบิด บริเวณด้านหลังตลาดสดเคหะบางพลี หมู่ 16 ต.บางเสาธง อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ
ในการนี้ได้มีการประสานเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษทางน้ำ และเจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้และตรวจสอบวัตถุระเบิด ทำการงมค้นหาเหล็กเส้น ซึ่งเป็นชิ้นส่วนการประกอบระเบิดแสวงเครื่อง จากนั้นควบคุมตัวทั้งหมดไปชี้จุดยังห้องพัก หมายเลข 207 ภายในหอพักไม่มีชื่อ ซอยเทศบาลบางเสาธง 35 ซอย ฝ. 7 และซอย ฝ.9 ต.บางเสาธง อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ ซึ่งผู้ต้องหานำชิ้นส่วนประกอบระเบิดมาซุกซ่อนไว้ใต้ฝ้าเพดานห้องน้ำชั้น 2 และจุดอื่นๆรวม 4 จุด ก่อนควบคุมตัวกลับไปสอบปากคำเพิ่มเติมที่กองปราบปรามทันที เพื่อขยายผลออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการต่อไป

อย่าขยายผลออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการเพียงอย่างเดียว แต่อยากให้กระชากหน้ากากไอ้โม่งที่อยู่เบื้องหลังของความชั่วร้าย ไม่ว่าจะเป็นเหตุระเบิด 7 จุด ที่เกิดขึ้นในพื้นที่หลายจังหวัดในภาคใต้ก่อนหน้านี้ ว่ามีความโยงใยเชื่อมโยงไปถึงใครบ้างไม่ต้องไว้หน้า แต่น่าแปลกใจการจับกุมผู้ก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา เคยสงสัยกันบ้างหรือไม่? ใคร? คือผู้อยู่เบื้องหลังและเป็นผู้สั่งการ...

ผู้เขียนคิดว่าข้อมูลของหน่วยความมั่นคง พอจะทราบว่าใคร? อยู่เบื้องหลังแต่ไม่เป็นที่เปิดเผย แต่ในทัศนะผู้เขียนหากให้คาดเดาคงหนีไม่พ้นนักการเมืองบางกลุ่ม ผู้ที่มีผลประโยชน์เชื่อมโยงกับขบวนการค้ายาเสพติด น้ำมันเถื่อน สินค้าลักลอบหนีภาษี มีเดิมพันในเรื่องแหล่งพลังงานงานในทะเลที่ประเทศมหาอำนาจต้องการ เพื่อให้กลุ่มขบวนการเคลื่อนไหวแลกกับเอกราชในดินแดนแห่งนี้ โดยมีประเทศเพื่อนบ้านชักใยอยู่เบื้องหลัง.

11/28/2559

ถึงคราเพจ: Suara Patani จะต้องดราม่า...

"Ibrahim"

ไม่น่าเชื่อว่า เพจ: Suara Patani เพจโจรใต้ฟาตอนีจอมบิดเบือน จอมใส่ร้ายคนอื่น จะออกจดหมายข่าว ถึง :แอดมินเพจเสียงจากแผ่นดินแม่ เรื่อง :ดราม่า บิดเบือนว่าญาติผู้เสียชีวิตต้องการเงินเยียวยา
เพจ: Suara Patani จุดยืนคืออะไร? วัตถุประสงค์สร้างเพจขึ้นมาเพื่อใคร? ไม่ใช่ใช้ในการปลุกระดมทางความคิด บิดเบือนความจริง แก้ต่างให้ผู้กระทำความผิดหรอกหรือ? ที่สำคัญมุ่งสนับสนุนการกระทำที่รุนแรงไม่เคยสนับสนุน แนวทางสันติวิธี หาทางออกในการแก้ปัญหาไฟใต้ มีแต่จะคอย เติมเชื้อไฟใต้"
การโฆษณาชวนเชื่อ เพจ: Suara Patani ได้กระทำมาโดยตลอด ด้วยการชี้นำสังคม ตอกย้ำแนวทางการแก้ปัญหาของรัฐบาลไทย กล่าวหาเจ้าหน้ารัฐเป็นผู้ยิงชาวบ้านผู้บริสุทธิ์มือเปล่าเสียชีวิต เจ้าหน้ารัฐจะใช้วิธีจบด้วยการจ่ายเงินเยียวยา หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ทฤษฏี "ยิง ตาย จ่าย จบ"
เนื้อหารายละเอียดไม่ขอลงลึก ไฮไลท์ที่สำคัญคือการข่มขู่ คุณบี หรือ นายสมภพ สุภนรานนท์ แอดมินเพจ: เสียงจากแผ่นดินแม่ โดยจะมีการเก็บเงินชาวบ้านบาทสองบาทแล้วมารวบรวมกัน แล้วให้ใครก็ได้ไปยิงทิ้ง "คุณบี" ยิงให้ตาย เหตุเพราะคุณบีทำให้เกิดความเสียหาย สร้างความเจ็บแค้นให้แก่ผู้อื่น ทำให้สังคมโดยรวมปั่นป่วน สร้างความเสื่อมเสียให้แก่วงศ์ตระกูล ชาติ และศาสนา (สร้างความเสื่อมเสียให้กับกลุ่มขบวนการโจรใต้มากกว่า)

การเก็บเงินจากชาวบ้านบาทสองบาทก็เช่นกัน กลุ่มขบวนการมีการเรี่ยไรเงินบริจาคจากพี่น้องร่วมศาสนาในพื้นที่ นำเงินดังกล่าวไปจัดซื้อหาอาวุธ อุปกรณ์ตั้งต้นประกอบวัตถุระเบิด แต่กลับมาเข่นฆ่าพี่น้องร่วมศาสนากันเอง สร้างความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า
สุดท้ายมีการท้าทาย คุณบีให้ไปกล่าวคำขอโทษชาวบ้าน หรือญาติผู้เสียชีวิตในวันนั้น รวมถึงแถลงข่าวขอโทษญาติผู้ที่เคยได้รับเงินค่าเยียวยา และถ้าหาก คุณบี ทำตามที่แอดมินเพจ Suara Patani ต้องการได้ พร้อมที่จะแสดงตัวตนเพื่อยุติและปิดเพจ Suara Patani ทันที จากใจและด้วยความเคารพรักสันติ..
หาก แอดมินเพจ Suara Patani พูดจากใจที่เป็นกลาง ไม่เอนเอียงน่าจะเป็นสิ่งที่สมควรยกย่องเป็นอย่างยิ่ง ส่วนคำว่า เคารพรักสันติมีจริงอยู่หรือ? สำหรับเพจๆ นี้ เพราะพฤติกรรมที่ผ่านมาได้บ่งบอกตัวตนของแอดมิน เป็นจำพวกก้าวร้าว ฝักใฝ่ความรุนแรง ต้องการสร้างความแตกแยกในสังคมตัวจริง ยิ่งกว่า เพจเสียงจากแผ่นดินแม่เสียอีก
การพูดความจริงเป็นสิ่งที่พวกนี้รับไม่ได้ กลับเฉไฉไปในเส้นทางเดิมๆ นั้นคือการชี้นำว่ามีการสร้างความเสื่อมเสียให้แก่วงศ์ตระกูล ชาติและศาสนา และมักจะได้ผลแทบทุกครั้งในการสื่อถึง เพราะเบื้องลึกมีการปลุกระดมความเป็นพวก” 

นำเรื่อง ชาติพันธุ์เรื่องศาสนาและอัตลักษณ์ เข้ามาข้องเกี่ยวข้องแทบทุกครั้ง และมักเป็นจุดอ่อนของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ที่จะต้องคล้อยตาม

หากคนกลุ่มนี้เคารพรักสันติจริงๆ ก็คงไม่มีการปลุกระดมทางความคิด ชี้นำสังคมให้เข้าใจผิด สร้างความแตกแยกมาจนถึงทุกวันนี้หรอก!! เป้าหมายในการเคลื่อนไหวรู้อยู่แก่ใจเพื่ออะไร? และที่สำคัญบุคคลกลุ่มนี้สำคัญตัวเองมาตลอดว่า ว่าตัวเองไม่ใช่คนไทย” รึไม่จริง!!  

11/27/2559

“ยิงหญิงไทยพุทธท้องแก่ใกล้คลอด”ความรุนแรงที่คนร้ายตั้งใจ!!

"Ibrahim"

เกิดอะไรขึ้นกับบ้านนี้เมืองนี้ ความป่าเถื่อน ความสุดโต่งถึงได้ระบาดหนักบนผืนแผ่นดินปาตานี การกระทำต่อเป้าหมายอ่อนแอ เด็ก สตรีที่ไม่มีทางต่อสู้ โดยเฉพาะกระทำต่อผู้หญิงที่กำลังท้อง 9 เดือน จิตใจทำด้วยอะไร? นี่หรือ? แนวทางการต่อสู้ของนักรบฟาตอนี นักรบของกลุ่มขบวนการน่าจะเป็นนักรบหน้าตัวเมียเสียมากกว่า
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเวลาประมาณ 19.20 น. วันที่ 26 พ.ย.59 เมื่อ นางสายใจ ทองดี อายุ 26 ปี และ น.ส.รัตติกาล จ่าวัง อายุ 26 ปีเช่นกัน ซึ่งทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอปะนาเระ โดย น.ส.รัตติกาล จ่าวัง กำลังตั้งครรภ์ 9 เดือน ทั้งคู่เดินจับจ่ายซื้อของในตลาดปาลัสโดยไม่คิดเฉลียวใจ มัจจุราช กำลังมาเยือน
โจรใต้ในคราบซัยตอน 2 ตน มาทำทีซื้อไก่ทอด หลังจากซื้อเสร็จ ก่อนจะเดินกลับได้ใช้อาวุธปืนยิงทั้งสองคน น.ส.รัตติกาล จ่าวัง ซึ่งกำลังตั้งท้อง 9 เดือนเสียชีวิตทันที ส่วน นางสายใจ ทองดี ได้รับบาดเจ็บ หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่รีบนำร่าง น.ส.รัตติกาล จ่าวัง ส่งโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ผ่าท้องช่วยชีวิตเด็ก สำหรับเด็กในครรภ์ผู้เสียชีวิต แพทย์แจ้งว่าหัวใจหยุดเต้นแล้ว และแพทย์ได้ทำการผ่าตัดนำเด็กออก
จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญดังกล่าวได้สร้างความหดหู่ใจให้กับคนในพื้นที่เป็นอย่างมาก ผู้คนต่างสาปแช่งต่อการกระทำดังกล่าวของกลุ่มขบวนการโจรใต้ที่ขาดความยั้งคิดในครั้งนี้ โดยเฉพาะต่อเป้าหมายอ่อนแอผู้หญิงท้องแก่ใกล้คลอดเป็นคุณแม่อีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่ซัยตอนกลับมาพรากชีวิตทั้งแม่และลูกไม่มีโอกาสลืมตาดูโลก
เหตุสลดครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากผ่าน วันต่อต้านความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กสากลได้เพียง 1 วัน ซึ่งเมื่อวันศุกร์ที่ 25 พ.ย.59 ที่ผ่านมา ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีเครือข่ายผู้หญิงได้จัดกิจกรรมเรียกร้องให้มีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะเด็กและผู้หญิง
จากข้อมูล 13 ปีที่ผ่านมาของปัญหาไฟใต้ ตัวเลขเด็กกำพร้าที่เกิดจากความรุนแรงที่กลุ่มขบวนการได้ก่อขึ้นมียอดสูงถึง 5,000 คน และในระยะหลังนี้กลุ่มขบวนการโจรใต้ได้มุ่งเป้าทำการก่อเหตุหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ซึ่งเป็นกลุ่มคนไทยพุทธ

การก่อเหตุของคนร้ายในครั้งนี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจเจาะจงกระทำต่อผู้หญิงโดยเฉพาะท้องแก่ใกล้คลอด กระทำต่อชาวไทยพุทธเพื่อต้องการสร้างความหวาดระแวง สร้างความแตกแยก สุดท้ายหวังผลให้หวาดกลัวต้องอพยพหนีตายขายที่ทางถูกๆ ให้กับมุสลิมไปอาศัยอยู่ที่อื่น ทั้งๆ ที่บรรพบุรุษปู่ย่าตายายเคยอาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งนี้อย่างสงบสุข อยู่แบบถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ถึงแม้จะต่างเชื้อชาติและศาสนา แต่มีกลุ่มขบวนการเสี้ยมให้เกิดความแตกแยกกัน
หลายต่อหลายครั้งที่เจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมและบังคับใช้กฎหมายต่อกลุ่มขบวนการ หรือมีการปะทะกันจนนำไปสู่ความสูญเสียต่อกลุ่มขบวนการ จะมีการตอบโต้อย่างฉับพลันทันทีทันใดเป้าหมายของกลุ่มขบวนการคือ ผู้อ่อนแอ เด็ก สตรี โดยเฉพาะกลุ่มชาวไทยพุทธในพื้นที่จะต้องรับชะตากรรม...แล้วมันถูกต้องแล้วหรือ? คนเหล่านี้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วยเลย
หากเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับญาติพี่น้องหรือคนใกล้ตัวของผู้ที่ลงมือก่อเหตุบ้างจะรู้สึกเช่นไร? ความสูญเสียที่เกิดขึ้นไม่สามารถทดแทนด้วยสิ่งใด การเยียวยา ไม่สามารถเยียวยาจิตใจความรู้สึกของผู้ที่สูญเสียได้ จะหันหน้าไปพึ่งพาอาศัยองค์กรภาคประชาสังคมก็เหนื่อยล้าเต็มที!!   มีแต่ตั้งหน้าตั้งตาเล่นประเด็นการซ้อมทรมานตั้งการ์ดเล่นงานเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเดียว ปกป้องคนผิดสุดโต่ง แล้วสังคมจะอยู่รอดได้อย่างไร? พฤติกรรมการกระทำขัดแย้งกับแนวทาง องค์กรภาคประชาสังคม เพื่อประชาชนและสังคมแต่สิ่งที่เป็นอยู่คือ องค์กรภาคประชาสังคม เพื่อปกป้องกลุ่มขบวนการซะมากกว่า!!

--------------------

11/26/2559

ดับ 2 โจรใต้ตามหมายจับสื่อแนวร่วมเยาะเย้ย "อย่าลืมเยียวยา"...

แบมะ ฟาตอนี

เพจ:Suara Patani เพจโจรใต้โพสต์อ้างชาวบ้านโวยเจ้าหน้าที่ทำเกินกว่าเหตุ พร้อมตะโกนประชด เยาะเย้ย "อย่าลืมเยียวยาด้วย" กรณีเมื่อ 25 พ.ย.59 เวลา 12.20 น. เจ้าหน้าที่สนธิกำลังร่วม 3 ฝ่ายยิงปะทะกลุ่ม ผกร.เสียชีวิต 2 ราย ในพื้นที่ อ.รามัน จ.ยะลา
เพจดังกล่าวอ้างชาวบ้านตะโกนประชดเยาะเย้ยเจ้าหน้าที่ว่า "อย่าลืมเยียวยาด้วย" พร้อมทั้งได้โจมตีแนวทางการแก้ปัญหาของรัฐบาลไทย เมื่อเจ้าหน้ารัฐยิงชาวบ้านผู้บริสุทธิ์มือเปล่าเสียชีวิต เจ้าหน้ารัฐจะใช้วิธีจบด้วยการจ่ายเงินเยียวยา หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ทฤษฏี "ยิง ตาย จ่าย จบ"
นั่นคือกระแสและแนวทางการโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มขบวนการโดยการแอบอ้างประชาชนมาโดยตลอด ซึ่งขาดจากข้อมูลข้อเท็จจริง ทั้งที่ความเป็นจริงนั้นแตกต่างกับสิ่งที่สื่อโจรใต้เหล่านี้ได้พยายามบิดเบือน
ขอบคุณคลิปวีดีโอเพจเสียงจากแผ่นดีแม่
ในเวลาต่อมา พันเอกสิทธิศักดิ์ เจนบรรจง ผบ.ทพ.41 พันเอกยุทธนาม เพชรม่วง รองโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน. พันเอกอิศรา จันทะกระยอม ผบ.ทพ.45 ร่วมกันแถลงข่าว
เหตุการณ์ในครั้งนี้กองกำลัง 3 ฝ่าย ขอแสดงความเสียใจต่อญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตทั้ง 2 ราย แต่เนื่องจากเจ้าหน้าที่มีความจำเป็นในการปฏิบัติ ได้รับทราบได้รับข้อมูลจากพี่น้องประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่พยายามหลีกเลี่ยงการปฏิบัติที่รุนแรงแต่เนื่องจากบุคคลต้องสงสัยทั้ง 2 ราย ได้ใช้อาวุธยิงเจ้าหน้าที่ที่ตั้งด่านอยู่ไม่ยอมหยุดให้ตรวจเลยทำให้เกิดการปะทะกันขึ้น
สำหรับบุคคลทั้ง 2 ในขั้นต้น นายบูคอลี หะมะ อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 8/2 หมู่ที่ 3 ต.จะกว๊ะ อ.รามัน จ.ยะลา บุคคลคนนี้หลบหนีเจ้าหน้าที่มาตั้งแต่ปี 48 มีหมายจับ ป.วิอาญา จำนวน 5 หมาย เป็นบุคคลที่เจ้าหน้าที่ต้องการตัว และที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ได้ไปพูดคุยกับญาติพี่น้องให้มีการมอบตัวกับทางการและไม่อยากให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
ส่วนอีกราย นายมะซูปีซัน ยะกูมอ (ซูเปียน) อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 34/1 บ้านลีเซ็ง ต.จะกว๊ะ อ.รามัน จ.ยะลา เป็นบุคคลตามหมายจับ 7 ป.วิอาญา ทั้ง 2 รายเป็นบุคคลที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ต.จะกว๊ะ อ.รามัน จ.ยะลา แต่จากข่าวสารที่ได้รับแจ้งจากชาวบ้าน ได้แจ้งมาว่าบุคคลทั้งสองเข้ามาในพื้นที่เพื่อเตรียมการวางแผนในการก่อเหตุ
ส่วนอาวุธปืนของคนร้ายที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุจำนวน 2 กระบอก คือ อาวุธปืนพก ขนาด 11 มม. จำนวน 1 กระบอก และ อาวุธปืนพก ขนาด .38 มม. จำนวน 1 กระบอก พร้อมเอกสารเตรียมการในการก่อเหตุหลายรายการที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวรถ รวมทั้งเชื้อปะทุสำหรับใช้ประกอบระเบิดแสวงเครื่อง จำนวน 3 ดอก
เจ้าหน้าที่คาดว่ากลุ่มคนร้ายกลุ่มนี้มีประมาณ 5-6 คน มีนายฮัมดัน แมเลาะ เป็นแกนนำ โดยทำการเคลื่อนไหวในพื้นที่ อ.รามัน จ.ยะลา และ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส
โจรใต้ทั้ง 2 ราย เป็นบุคคลตามหมายจับตั้งแต่ปี 48 ซึ่งถือได้ว่าเป็นรุ่นบุกเบิกเริ่มต้นจุดไฟใต้  แต่   ยังเหลือสมาชิกในแก๊งอีก 3-4 คน ที่กบดานและเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ อ.รามัน
ส่วนความคิดเห็นของประชาชนในสื่อสังคมออนไลน์ บางส่วนได้ทำการโพสต์ถึงกรณีดังกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ให้โอกาสเพื่อกลับตนเป็นคนดี ได้พูดคุยกับทางเครือญาติมาโดยตลอดให้ทำการมอบตัว มิเช่นนั้นคงไม่เกิดความสูญเสียเกิดขึ้น บุคคลทั้ง 2 ราย กับ 12 หมายจับ ป.วิอาญา ได้ทำลายชีวิตเข่นฆ่าผู้คนมาเท่าไหร่? ทำลายทรัพย์สินของประชาชนและประเทศชาติเสียหายไปนับไม่ถ้วน หากไม่มีคนให้แหล่งที่พักพิงหลบซ่อนตัวคงไม่หนีรอดมาได้ถึงวันนี้หรอก? เพราะยังมีคนที่คอยปกป้องคนชั่ว เห็นผิดเป็นถูก
ส่วนในกรณีการเรียกร้องการเยียวยา ถ้ามีการ เยียวยาด้านเงินทองให้โจร ก็จะมีโจรรุ่นใหม่เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เห็นแก่เงินไม่คิดบ้างว่า คนบริสุทธิ์ที่ตายเพราะพวกเหี้ยนี้ ญาติพี่น้องคนที่เขารักจะเจ็บปวดแค่ไหน สมน้ำหน้าขอให้เวรกรรม ตามมันไปตลอดจน คนที่รู้เห็นเป็นใจ คนที่เข้าข้างโจร ขอให้คนที่มันรักโดนเหมือนที่มันทำกับคนอื่น !!”
---------------------


11/25/2559

ว่าด้วยเรื่อง การปลุกผีข้อเรียกร้อง 7 ข้อ ของ ‘หะยีสุหลง’

"Ibrahim"

โรงเรียนหลายแห่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้รับจดหมายลึกลับส่งถึงผู้อำนวยการ เขียนให้เข้าใจได้ว่ามาจากกลุ่มบีอาร์เอ็น ชี้แจงสาเหตุของความจำเป็นที่ต้องต่อสู้ด้วยอาวุธ เพื่อให้ได้มาซึ่ง พื้นที่การต่อสู้ด้วยสันติวิธี
จดหมายดังกล่าวถูกใส่ซองปิดผนึก ส่งทางไปรษณีย์ ต้นทางจากไปรษณีย์ปาลัส อ.มายอ จ.ปัตตานี จ่าหน้าด้วยลายมือ เขียนด้วยปากกาเป็นภาษาไทย ส่วนตัวเนื้อจดหมายพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์เป็นภาษาไทย อ้างถึงจุดเริ่มต้นการต่อสู้ของชาวปาตานี ซึ่งเป็นการต่อสู้แบบสันติวิธีผ่านข้อเรียกร้อง  7 ข้อของหะยีสุหลง ลองมาไล่เรียงชำแหละเป็นข้อๆ กันดูเมื่อเวลาได้เปลี่ยนผ่าน 60 กว่าปีกับข้อเรียกร้องดังกล่าว
          ข้อ 1 ผู้ปกครองใน 4 จังหวัด คือ ปัตตานี, ยะลา, นราธิวาส และสตูล ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมลายูปัตตานี นับถือศาสนาอิสลาม จึงสมควรให้มีผู้ปกครองในพื้นที่ และได้รับเลือกจากคนในพื้นที่ โดยให้มีอำนาจในการศาสนาอิสลาม และแต่งตั้งข้าราชการในพื้นที่
          ข้อเรียกร้องข้อ 1 การกระจายอำนาจการการปกครองจากส่วนกลางลงไปสู่ท้องถิ่น ปกติมีอยู่แล้วซึ่งประชาชนมีส่วนร่วมในรูปแบบของ อบจ.,อบต.และเทศบาล ส่วนการกระจายอำนาจในรูปแบบอื่นๆสามารถกระทำได้เช่นกัน แต่จะต้องเป็นรูปแบบการปกครองพิเศษ ดั่งเช่น กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา เพราะฉะนั้นการเปิดช่องทางดังกล่าวสามารถกระทำได้ แต่จะต้องขึ้นอยู่กับการพูดคุยหาทางออกของบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายๆ ฝ่าย ในการหามาตรการที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาร่วมกัน
          ข้อ 2 ให้ข้าราชการใน 4 จังหวัด เป็นคนในพื้นที่ ร้อยละ 80%
          ข้อเรียกร้องข้อ 2 ในปัจจุบัน ในพื้นที่ชนบทจะมีพี่น้องไทยมุสลิมอาศัยอยู่ 100% การอยู่ร่วมแบบสังคมพหุวัฒนธรรมจะมีแต่ในเขตชุมชนเมือง หัวเมืองเศรษฐกิจเท่านั้น ส่วนข้าราชการที่เป็นพี่น้องมุสลิมลองไปไล่เรียงตัวดู ข้าราชการ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้กำกับสถานีตำรวจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดล้วนแล้วเป็นพี่น้องมุสลิม ครูบาอาจารย์ในพื้นที่ชนบทหลายๆ  แห่ง หลายโรงเรียนไม่หลงเหลือคนไทยพุทธอยู่เลย รวมถึงข้าราชการทหารที่เป็นคนไทยมุสลิมสามารถก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งคุมกองทัพของประเทศได้ อย่างเช่น พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน
          ข้อ 3 ให้ใช้ภาษามลายูเป็นภาษาราชการ ควบคู่ไปกับภาษาไทย
          ข้อ 4 ให้มีการใช้ภาษามลายู ควบคู่กับภาษาไทยเป็นสื่อ ในการเรียนการสอนในระดับประถมศึกษา
          ข้อเรียกร้องข้อ 3 ข้อ 4 การเปิดกว้างในเรื่องภาษามลายู รัฐบาลสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่องคงความเป็นอัตลักษณ์ของพื้นที่ไว้ ในปัจจุบันข้าราชการส่วนใหญ่ในพื้นที่เป็นคนไทยมุสลิม การใช้ภาษาในการติดต่อราชการที่ได้สัมผัสมาแทบไม่ค่อยได้ยินภาษาไทยเลย นอกจากนั้นรัฐยังให้ความสำคัญในเรื่องของภาษาไม่ว่าสถานที่ราชการ ป้ายบอกทาง ชื่อถนนหนทางต่างๆ จะมีถึง 4 ภาษา ได้แก่ ภาษาไทย จีน อังกฤษ และภาษามลายู มีสถานีวิทยุกระจายเสียงออกอากาศภาคภาษามลายู รวมทั้งได้มีการอนุมัติงบประมาณในการจัดตั้งสถานีวิทยุโทรทัศน์ออกอากาศเป็นภาษามลายูซึ่งได้มีการเปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้
          ข้อ 5 ให้มีศาลพิจารณาคดีตามกฎหมายอิสลาม เพื่อแยกขาดจากศาลยุติธรรมของทางราชการ โดยให้ดาโต๊ะยุติธรรม มีเสรีในการพิพากษาชี้ขาด
          ข้อเรียกร้องข้อ 5 ไม่ขอออกความเห็นเป็นเรื่องของกฎหมายสูงสุดของประเทศ ประชาชนทุกคนจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน ไม่มีการเลือกปฏิบัติ มีความเท่าเทียมกัน
          ข้อ 6 ภาษีและรายได้ที่จัดเก็บได้ในพื้นที่ 4 จังหวัด ให้ใช้ในพื้นที่ 4 จังหวัดเท่านั้น
          ข้อเรียกร้องข้อ 6 เวลา 60 กว่าปีที่ผ่านมา กับความจริงในปัจจุบัน รัฐบาลให้ความสำคัญกับประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยการอนุมัติงบประมาณตามโครงการต่างๆ เยอะแยะมากมาย เม็ดเงินงบประมาณที่ลงมามากกว่าเงินภาษีที่จัดเก็บได้ในพื้นที่แห่งนี้หลายเท่า ไม่ว่าจะเป็นโครงการสามเหลี่ยมเศรษฐกิจเมืองต้นแบบ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล โครงการปรับปรุงถนน 37 เส้นทางซึ่งหากเป็นจังหวัดอื่นๆ ยังคงต้องรองบประมาณกว่าจะดำเนินก่อสร้างได้
          ข้อ 7 ให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด มีอำนาจในการออกกฎ ระเบียบที่เกี่ยวกับการปฏิบัติทางศาสนา โดยได้รับความเห็นชอบจากผู้มีอำนาจตามข้อ 1
          ข้อเรียกร้องข้อ 7 บทบาทของผู้นำศาสนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบัน อำนาจในการออกกฎ ระเบียบที่เกี่ยวกับการปฏิบัติทางศาสนา มีคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดในแต่ละจังหวัดอยู่แล้วในการขับเคลื่อน โดยไม่แย้งกับ กฎ ข้อระเบียบของสำนักจุฬาราชมนตรีที่ดูแลพี่น้องชาวไทยมุสลิมในภาพรวมทั้งประเทศ
สำหรับข้อเรียกร้อง 7 ข้อของหะยีสุหลง เวลาได้ผ่านมา 60 กว่าปีแล้ว หากเปรียบเทียบกับชีวิตของคนวัยทำงาน เปรียบได้กับข้าราชการที่เกษียณอายุราชการ หากเรามองด้วยใจเป็นกลางถึง   ข้อเรียกร้อง 7 ข้อในปัจจุบันนี้ บางข้อในอดีตอาจจะไม่มีหรือไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ แต่ปัจจุบันรัฐบาลได้ให้ความสำคัญและส่งเสริมยิ่งกว่าภูมิภาคอื่นๆ เสียอีก
ส่วนเนื้อความในจดหมายอ้างว่าการต่อสู้ดำเนินมาถึงปัจจุบัน โดยเหล่านักต่อสู้เพื่ออิสรภาพปาตานี ซึ่งมีบีอาร์เอ็นเป็นองค์กรนำ จำเป็นต้องต่อสู้ด้วยอาวุธเพื่อให้ได้มาซึ่ง พื้นที่การต่อสู้ด้วยสันติวิธีโดยบีอาร์เอ็นเน้นย้ำว่าจะไม่โจมตีเป้าหมายพลเรือน แต่สาเหตุที่ยังมีการโจมตีอยู่ ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐเอง ส่วนการต่อสู้ด้วยอาวุธจะยุติลงเมื่อใด ขึ้นอยู่กับรัฐบาลไทยว่าจะเปิดพื้นที่การต่อสู้ด้วยสันติวิธีให้เมื่อใด?
ในส่วนนี้เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ บิดเบือนข้อเท็จจริง อ้างความชอบธรรมในการต่อสู้ เพื่อให้ได้มา พื้นที่การต่อสู้ด้วยสันติวิธี ไม่โจมตีเป้าหมายพลเรือน
แล้วเสียงปืน เสียงระเบิดตูมๆ อย่างเช่นระเบิดคาร์บอมบ์น้ำหนัก 200 กิโลกรัม ที่บริเวณหน้าสหกรณ์รวมพลังในหมู่บ้านปิยา ม 3 ต ปิยามุมัง อ.ยะหริ่ง จ ปัตตานี เมื่อวันที่ 18 พ.ย.59 นี่หรือ? ไม่โจมตีเป้าหมายพลเรือน
หลายๆ เหตุการณ์ยังมีการโฆษณาชวนเชื่อบิดเบือนความจริงกล่าวหาว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐมาโดยตลอด เพราะกลุ่มขบวนการไม่เคยกล้าที่ประกาศรับผิดชอบใดๆ ต่อการกระทำ
อีกทั้งยังกล่าวอ้างการก่อเหตุจยุติลงเมื่อได้ ขึ้นอยู่กับรัฐไทยว่าจะเปิดพื้นที่การต่อสู้ด้วยสันติวิธีให้เมื่อใด แล้วการเดินหน้ากระบวนการพูดคุยของรัฐบาลในปัจจุบันกับผู้คิดต่างจากรัฐ โดยมีมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก ไม่ใช่การเปิดพื้นที่การพูดคุยหรอกหรือ?
การโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มขบวนการ เพื่อเอาดีเข้าตัว เอาชั่วใส่ผู้อื่น โปรดใช้วิจารณญาณในการเสพข้อมูลข่าวสาร อย่าหลงกลตกเป็นเครื่องมือ แนวร่วมมุมกลับ  ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้โปรดคิดแยกแยะ "ตั้งสติ" สอนใจ ก่อนโพสต์-ก่อนแชร์อะไร..? ควรคิดทบทวน-ไตร่ตรอง "ของแท้ของเทียม"
ขณะที่แม่ทัพนายกองอย่าง กอ.รมน.ภาค 4 สน. ก็ยังไม่มีน้ำยาในการแก้ไขปัญหาการบิดเบือนเรื่องแบบนี้ นานๆ จะเห็นออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง ซึ่งก็ทำได้แค่เพียงการ PR มากกว่าจะสร้างความเข้าใจให้กับคนในพื้นที่ ได้เข้าใจเจ้าหน้าที่รัฐอย่างแท้จริง  การโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มขบวนการจึงเป็นโจทย์แรกๆ ที่รัฐจะต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน 

----------------------

11/24/2559

ถอดรหัสปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้!!


ถอดเทปคำต่อคำ...เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา
ประเด็นปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความเชื่อมโยงและเกี่ยวข้องกับสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และเกี่ยวข้องกับประเทศมาเลเซีย อีกทั้งเชื่อมโยงกับพรรคการเมืองในประเทศไทย สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งเกิดจากผลประโยชน์ทรัพยากรในอ่าวไทย ในบล็อกที่ 3 ซึ่งเป็นหางของหมู่เกาะสแปรตลีย์ ที่กำลังมีปัญหาในทะเลจีนใต้ ระหว่างจีนและญี่ปุ่น
ที่ผ่านมาเหตุการณ์เกิดขึ้นมาสิบกว่าปีที่อเมริกาบีบในการต่อสัมปทานฉบับที่ 21 และเห็นได้ชัดขึ้นที่ยังไม่ต่อสัมปทานเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติก็จริงแต่ต้องเลื่อนไปอีก 1 ปี สิ่งเหล่านี้จะได้เห็นวัตถุประสงค์ของรัฐบาลไทยเพื่ออะไร? สุดท้ายรัฐบาลของนายบารัค โอบาม่า ส่งทูตเข้ามาเจรจาจากเดิมที่ท่าทีของอเมริกาแข็งกร้าว ยิ่งแข็งกว้าวไม่ได้ผลเพราะยิ่งแข็งกร้าวไทยก็ถอยไม่ต่อสัมปทาน ไม่เจรจา จนกระทั่งอเมริกาเปลี่ยนท่าทีที่ดี มาพูดคุยเพื่อต้องการต่อสัมปทาน ฉบับที่ 21 เพราะหากรัฐบาลไทยถอนจะมีความเสียหายหลายแสนล้านบาท แท้จริงแล้วแหล่งน้ำมันอยู่ในประเทศไทยและมีความเกี่ยวข้องกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ในยุครัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อเมริกาขอส่งเครื่องบินมาสำรวจแหล่งน้ำมันในประเทศไทย และได้สำรวจพบว่าในบล็อกที่ 3 ซึ่งเป็นหางของหมู่เกาะสแปรตลีย์ มีแหล่งพลังงานมูลค่ามากกว่าเจ็ดแสนล้านล้านบาท
ประเด็นการที่จะได้มาของสัมปทานมีด้วยกัน 2 ลักษณะ 1 แบ่งแยกรัฐปกครอง การแบ่งแยกอเมริการทำเองไม่ได้จึงให้คนอื่นทำ คือให้คนในพื้นที่ทำ โดยให้คนต่างชาติคือมาเลเซียให้การสนับสนุน โดยอเมริกาบีบมาเลเซียว่าจะทำการยึดทรัพย์ผู้นำมาเลเซีย ยิงเครื่องบิน MH-370 ยิงถล่มเครื่องบินของมาเลเซียที่บินไปยังประเทศรัสเซียอีกลำหนึ่ง และทำการแฉว่านายกรัฐมนตรีมาเลเซียไปรับเงินจากซาอุดิอาระเบีย อเมริกาพยายามบีบมาเลเซียให้เป็นฐานให้ได้เพราะการที่จะต่อสู้ทำสงครามในจุดใด จุดหนึ่ง ต้องมีสงครามตัวแทน อย่างเช่นในซีเรีย จะใช้ประเทศตุรกีเป็นฐาน หลักการเดียวกัน กลยุทธ์เดียวกัน การแบ่งแยกการปกครองใช้หลักสงครามตัวแทน
ขอชมเชยรัฐบาลไทย โดยเฉพาะ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมา  20 คน นำโดย พลเอกอุดมเดช สีตะบุตร เข้าไปดูแลและเป็นคณะรัฐมนตรีส่วนหน้าในการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยการแก้ปัญหาในการรุกอย่างมีระบบในการติดตามจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย และสืบสาวนำตัวผู้บงการซึ่งอยู่ในพรรคการเมือง รวมทั้งแกนนำกลุ่มขบวนการ ที่สำคัญนกต่อที่มาถึงตัวบุคคลเหล่านั้นอาศัยอยู่ในมาเลเซีย รัฐบาลไทยจะใช้ความรุนแรงกับมาเลเซียก็ไม่ได้จะเป็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ จึงใช้กลยุทธ์การเจรจา โดยพลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณ ไปพบรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของมาเลเซียที่ผ่านมา
การพบกันครั้งล่าสุดประสบความสำเร็จ มาเลเซียให้การสนับสนุนเนื่องจากการเปลี่ยนท่าทีของมาเลเซียซึ่งไปอยู่ฝ่ายจีน หลักการจัดการบริหารประเทศเป็นส่วนสำคัญ เมื่อไปอยู่ฝ่ายจีนจึงมีการเปิดทางในการเจรจาแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อเป็นเช่นนั้นการพูดคุยระหว่างรัฐมนตรีกลาโหมทั้งสองประเทศจึงเกิดขึ้น การเกิดเหตุจึงน้อยลง มีบ้างแต่ประปราย เพราะอะไร? ต้นเหตุหลักมาจากเบอร์ซาตู ที่สั่งการโดยมะแซอุเซ็ง ที่อยู่ในประเทศมาเลเซีย เป็นหน่วยปฏิบัติการพิเศษของประเทศมาเลเซียที่รับการสนับสนุนจากฝรั่งและนักการเมืองของไทยประสานความร่วมมือไปยังกลุ่มบีอาร์เอ็น และกลุ่มต่างๆ ในประเทศไทยทำการก่อเหตุ การเจรจาโดยตรงกับกองบัญชาการในมาเลเซียในสถานการณ์ที่สั่นคลอนเช่นนี้เป็นผลดีต่อฝ่ายไทย
ผลดีอย่างไร? เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลง ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้จึงเริ่มเบาลง ยิ่งมีการมอบหมายให้ "บิ๊กปู"พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ไล่จับกลุ่มขบวนการเหล่านี้ ไล่ไปไล่มาไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มขบวนการเดิมๆ กลุ่มขบวนการล้มเจ้าที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พยายามประกาศตัวเป็นรัฐปัตตานี ซึ่งฝรั่งหลอกไว้ ว่า สำเร็จเมื่อไหร่จะมีการแบ่งแยกเป็นประเทศใหม่ในทันทีเหมือนหลายๆ ประเทศที่เคยทำให้
การแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างยั่งยืน การแก้ไขปัญหาในลักษณะเช่นนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ต้องใช้เวลา การที่มาเลเซียไปยืนข้างจีน การที่ประเทศไทยเป็นเสาหลักของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปัญหาจะคลี่คลายปัญหาไปในทิศทางที่ดีขึ้นและจะจบลงในเร็วๆ นี้


ในส่วนปัญหาในเรื่องศาสนา ซึ่งในช่วงแรกๆ มีการชี้นำเป็นเรื่องความขัดแย้งในเรื่องศาสนา เป็นเรื่องความไม่พอใจเจ้าหน้าที่ เป็นแค่ยุทธวิธี แต่ยุทธศาสตร์หลักต้องการเรื่องทรัพยากรน้ำมัน เป็นข้ออ้างในการสร้างความชอบธรรมด้วยการขับไล่คนไทยพุทธออกไปจากพื้นที่ ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่รัฐไม่ทราบต้นเหตุมาจากอะไร? ความจริงแค่เป็นข้ออ้างทางการเมืองเป็นยุทธวิธีในการทำไอโอสงครามข่าวสาร จริงๆ แล้วต้องการทรัพยากรน้ำมันและซึ่งอำนาจ และเคยทำสำเร็จมาแล้วในประเทศซูดานเหนือ-ซูดานใต้ และแบ่งแยกประเทศสำเร็จ สุดท้ายประเทศซูดานใต้ประกาศยกแหล่งน้ำมันให้ประเทศฝรั่งเศสและอเมริกาเข้าไปทำสัมปทาน ในขณะที่ในประเทศซีเรียอเมริกากำลังดำเนินการอยู่ ก่อนหน้านั้นซาอุดิอาระเบีย และอิรักเคยเผชิญชะตากรรมดังกล่าวมาแล้ว
ย้อนกลับไปอีกคือเวียดนามเหนือ-เวียดนามใต้, เกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้  จีนถูกแบ่งเป็นเนปาล ปากีสถานถูกแบ่งไป
หลักธุรกรรมและหลักธุรกิจทางการเมือง ผู้นำจะต้องมีวิชั่นและวิสัยทัศน์ในการมองเห็นอนาคตนำพาองค์กรเข้าสู่อนาคตให้ได้ เราเรียกว่าผู้นำปฏิรูป และผู้นำที่น่าสนใจอีกประเภทหนึ่งคือผู้นำตามสถานการณ์ แก้ปัญหาตามปัจจุบันไป จะดูสถานการณ์เป็นหลัก ผู้นำประเภทนี้จะเก่งในการแก้สถานการณ์แต่จะไม่สามารถแก้อนาคตได้อย่างสมบูรณ์ นำพาองค์กรไปสู่เป้าหมายได้ แต่จะไม่ยั่งยืน
ผู้นำมี 2 แบบ คือ ผู้นำเชิงปฏิรูป กับผู้นำตามสถานการณ์ การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ทำมาถูกทางแล้ว แต่สิ่งที่ยังไม่ได้ทำคือการถอนทหารออกจากพื้นที่เป็นกลยุทธ์ที่ไม่ถูก เพราะว่าการที่เอาทหารจาก เหนือ อีสาน กลาง มองดูผิวเผินเหมือนกับการซ้อมรบทหารเหล่านั้นได้ฝึก แต่ในเชิงลึกพวกเค้าเหล่านั้นไม่ทราบชัยภูมิไม่มีความชำนาญในพื้นที่ แต่ในปัจจุบันได้ถอนกำลังทหารจากทัพภาคอื่นกลับไปหมดแล้ว
กลยุทธ์ที่สำคัญต้องใช้คนในพื้นที่ กำลังในพื้นที่ฝึกฝนให้มีความชำนาญดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับพี่น้องประชาชนด้วยกันเอง ซึ่งรัฐบาลกำลังทำอยู่ พยายามแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง และตั้งอดีตแม่ทัพเข้าไปดูแลในพื้นที่การใช้หลักเจรจาทำถูปแล้ว
โดยเฉพาะ พลเออุดมเดช สีตะบุตร ที่เข้ามาดูแลพื้นที่ถอนกำลังทหารจากพื้นที่อื่นๆ และเพิ่มเติมกำลังทหารในพื้นที่เข้าไป มาเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจต่อพี่น้องทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ต้องกลัวแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ไปบอกไปกล่าวกับประชาชนในพื้นที่ว่ารัฐบาลให้ความสำคัญและแก้ไขปัญหา ช่วยกันคนละไม้คนละมือเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ.
---------------------



11/22/2559

"NGOs และสื่อแนวร่วม เขียนบทความชี้เป้าให้โจรใต้ฟาตอนีเข่นฆ่าประชาชน"

แบดิง โกตาบารู

การแสดงความกังวลใจหรือข้อห่วงใยในประเด็นต่างๆ ในพื้นที่อื่นๆ ไม่ค่อยน่าเป็นห่วงสักเท่าไหร่ แต่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ความเปราะบางทางความรู้สึกท่ามกลางความขัดแย้งทางความคิด ข้อห่วงใยหรือความหวังดีของบุคคลบางกลุ่ม ระวัง!! จะช่วยชี้เป้าสร้างความชอบธรรมให้กลุ่มขบวนการทำการเข่นฆ่าประชาชน
เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2559 เว็บเพจ Suara Patani ได้ทำการโพสต์ข้อความแสดงความกังวล  "เมื่อระเบียงเมกกะห์กลายเป็นระเบียงค้าประเวณีที่เรื้อรัง"
เว็บเพจดังกล่าว มีการตั้งสมญานามจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าเป็น "ระเบียงเมกกะห์" ได้กล่าวโจมตีว่ากลายเป็นพื้นที่การค้าประเวณีไปเสียแล้ว
ผู้เขียนบทความช่างแสนรู้เสมือนหนึ่งเคยใช้บริการว่าแหล่งสถานบันเทิง โรงแรม คาเฟ่ ร้านคาราโอเกะ สปา หรือแม้กระทั่งร้านตัดผม ที่อยู่ในเมืองท่องเที่ยว อ.เบตง, อ.สุไหงโก-ลก และในตัวเมืองนราธิวาส เมืองปัตตานี และเมืองยะลา แอบแฝงการให้บริการทางเพศหรือค้าประเวณี
อีกทั้งอาชีพการค้าประเวณี ในผืนแผ่นดินนี้ไม่เคยมี รู้เพียงว่า "ปัจจุบัน" ผู้ที่เป็นโสเภณีหรือผู้ค้าประเวณีในปาตานีร้อยทั้งร้อยคือ "คนไทย" แล้วคนใช้บริการล่ะเป็นใคร?
และนอกจากนี้ยังพบผู้ใช้ชื่อ เฟซบุ๊ก Ab Aziz Ibrahim ทำการโพสต์ข้อความลักษณะเดียวกันในกลุ่มติดตามกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้อีกด้วย ซึ่งเป็นการจุดประเด็นขึ้นมาเพื่อหวังผลอะไรบางอย่าง
การเน้นคำว่าร้อยทั้งร้อยคือ "คนไทย" ซึ่งในที่นี้คำว่า "คนไทย" สื่อถึงอะไร? เพราะจากการปลุกระดมทางความคิดมีการแบ่งเค้าแบ่งเรา "คนไทย-คนมลายู" นี่สิอันตรายว่าคิดทำอะไรอยู่ หรือเป็นสิ่งบอกเหตุ ให้กลุ่มขบวนการสร้างความชอบธรรมทำการก่อเหตุต่อเป้าหมายสถานบันเทิง
การดัดจริตทางความคิด อีกทั้งการดำเนินการไซเบอร์บูลลีอิง (Cyber-bullying) หรือการกลั่นแกล้งทางโลกไซเบอร์ ด้วยการตัดต่อคำและการชี้นำโดยบิดเบือนประเด็นข้อเท็จจริงเป็นงานถนัดของคนกลุ่มนี้อยู่แล้ว
รัฐบาลทุ่มงบประมาณผลักดันโครงการเมืองต้นแบบสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ด้วยงบปี 60-63 กว่า 5,000 ล้านบาท ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อพัฒนาและกระตุ้นเศรษฐกิจให้เป็นเมืองต้นแบบการพัฒนาที่พึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน ซึ่งทั้งหมดถือเป็นการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจเฉพาะ และกระตุ้นให้เกิดการลงทุน รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ให้อยู่ดีกินดี
ในขณะที่รัฐบาลมุ่งมั่นพัฒนาพื้นที่แห่งนี้ให้มีความเจริญทัดเทียมภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศ แต่กลับมีบุคคลบางกลุ่มพยายามบ่อนทำลายความเชื่อมั่นไม่อยากให้มีการค้า การลงทุนในพื้นที่ รวมทั้งการพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในด้านอื่นๆ
ปัญหาไฟใต้ที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน ประชาชนคือตัวประกัน กลุ่มขบวนการไม่อยากให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ไม่อยากให้เยาวชนคนรุ่นใหม่เรียนรู้หนังสือเพราะเมื่อคนรู้หนังสือย่อมรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของขบวนการ ไม่สามารถหลอกใช้ล้างสมองให้ทำการก่อเหตุ
การพัฒนาเมืองต้นแบบสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ หากกลุ่มขบวนการมุ่งทำลายเสมือนหนึ่งตัดเส้นโลหิต ของพี่น้องในพื้นที่ ทำลายความฝันการลงทุน การจ้างงานที่จะเกิดขึ้น และจากการเคลื่อนไหวของคนบางกลุ่มที่นำเรื่องเมืองท่องเที่ยง เมืองเศรษฐกิจมีการค้าประเวณี แล้วอ้างความไม่ถูกต้อง หากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมา หรือคนบริสุทธิ์ต้องเป็นอะไรไป NGOs และสื่อแนวร่วม จะต้องรับผิดชอบร่วมกัน ในฐานะชี้เป้าให้โจรใต้ฟาตอนีทำการก่อเหตุต่อเป้าหมายสถานบันเทิงในเมืองเศรษฐกิจ.
-------------------------


11/21/2559

'ลมพัดใบไม้ไหว' ที่ชายแดนใต้

"Ibrahim"


ยุคของการติดต่อสื่อสารรับรู้เรื่องราวข่าวสารของผู้คนในสังคมแปรเปลี่ยนไป....!
เมื่อยุค "ไอทีครองโลก" เกิดเรื่องราวขึ้นในสังคมทั้งดี และไม่ดี แค่ชั่วพริบตามีการแชร์ต่อกันไปถึงไหน…!
คนฉลาดมักใช้ "ไอที" ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น รวมไปถึงสรรค์สร้าง "สังคมที่ตัวเองอาศัยอยู่"
แต่สำหรับคนสำคัญตัวเองผิดคิดว่าตัวเองฉลาด "ไอที" ก็คือ "สากกะเบือ" ที่ไล่ทุบตีคนอื่น เอะอะโวยวาย สมองเยี่ยง "ควาย" สร้างความปั่นป่วนในสังคม
ความเดือดร้อนยิ่งขยาย เพราะความมักง่ายของผู้หวังดี ของคนฉลาดที่ขาดเฉลียว....!
กรณี "บิดเบือน".....ความจริง ยิ่งเรื่องใส่ร้าย "ชำนาญนักหนา"! ข้าคือผู้คุมสื่อ ทำตามอำเภอใจ
"ตั้งสติ" สอนใจ ก่อนโพสต์-ก่อนแชร์อะไร..? ควรคิดทบทวน-ไตร่ตรอง "ของแท้ของเทียม"
"รอบคอบ"และ "รอบรู้" คือเครื่องมือป้องกันคนหวังดีประสงค์ร้าย ที่คอยจ้องราดน้ำมัน-สุมเชื้อไฟลุกโชนไฟใต้...
หวังใช้เรื่องเชื้อชาติ ศาสนา ซึ่งเป็นเรื่อง "ละเอียดอ่อน" ปลุกปั่นคนร่วมชาติ ชิงชัง โกรธแค้นกันเอง
คนเยี่ยงนี้คือ "ซัยตอน" ร้ายในร่างคน รู้ดีทุกอย่างแม้ผลชั่วที่ตัวทำ ยิ่งสุดโต่ง ยิ่งสะใจ เพราะเจตนา...
สื่อ "ไอที" ขบวนการ เน้นเร็ว ข้อมูลครบ หมกเม็ดความจริง เติมเชื้อความเกลียดชัง "รายละเอียด" เชื่อถือในทันที-ทันใดไม่ได้..
มาแบบลวกๆ "ทำผิดให้เป็นถูก ทำถูกให้เป็นผิด " "โจมตีข้อดีของผู้อื่น เสนอข้อดีของตนเอง" "จ้องจับผิด เปลี่ยนข้อดีของคนอื่น ให้เป็นข้อด้อย เปลี่ยนข้อด้อยตนเองให้เป็นข้อดี"
บ่อยครั้ง จึงมีแต่ขยะ ปะปนสารพิษ ก่อนจะโพสต์ จะแชร์ "คิดอยู่เสมอ" อย่าเป็น "สากกะเบือ" ให้เขายืมไปตีหัวคนอื่น!
ช่องทาง "สื่อออนไลน์" พวก "โลกสวย-ดรามา" กลุ่มและองค์กรจะใช้เป็นเครื่องมือ "ปั่นกระแส" กันมากในชายแดนใต้...!
นักฉวยโอกาสจึงชอบใช้ ยิ่งคนบางส่วน มีพฤติกรรม "เรื่องดี มึงอุ้มไข่-เรื่องใส่ร้าย กูเชื่อทันที" สอดรับกับสื่อ "เรื่องร้ายลงฟรี เรื่องดีจ่ายตังค์"
บางคนเชื่อชนิด "ไม่ประสงค์ค้นหาข้อมูล" ที่มา-ที่ไป เบื้องลึกเบื้องหลัง เรื่องราวที่เกิดใดๆ ทั้งสิ้น! เชื่ออย่างหน้ามืดตามัว...!
อย่างกรณี "การเสียชีวิตของคนในพื้นที่" ที่มีเงื่อนงำ ขบวนการเสี้ยม!! จะมาในทันที "กล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่แหละคือคนทำ รังแกชาวบ้าน"
เท่านั้นแหละ ผู้หวังดีต่อขบวนการ แต่ประสงค์ร้ายต่อบ้านเมือง ทำงานทันที ตั้งศาลเตี้ย ตัดสินคดีความเองเสร็จสรรพ หยิบยกรอยแผลในอดีต "เหตุการณ์กรือเซะ-ตากใบ" บ้าง หยิบประวัติศาสตร์ในอดีต นักล่าอาณานิคมชาวสยาม ข่มแหงรังแกประชาชนปาตานี!!!....
และแล้วการยุแยง-ใส่ความ ให้เกิดทัศนคติแตกแยกเรื่องเชื้อชาติ และศาสนา หวังให้คนในพื้นที่ "กินใจ" และหวาดระแวงต่อกัน
เหยื่อ!...ติดเบ็ด นักวิชาการ องค์กรภาคประชาสังคมบางกลุ่มผสมโรง แสดงความคิดความเห็น เรียกร้องโน่นนี่...จนเป็นเรื่องราวบานปลาย...อย่างน่าละอาย
ในกลางแดด เห็นตัวตนปีกการเมืองขบวนการ "ปลุกระดม" ให้ประชาชนลงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชจากรัฐบาลไทย
ในมุมมืด.....กลุ่มขบวนการ "ตัวตนที่มองไม่เห็น" กระดิกตีน อยู่อย่างสุขสบาย สั่งการอาร์เคเค    ลงมือก่อเหตุ สร้างความเดือดร้อน!
"ประวัติศาสตร์และศาสนาที่ถูกบิดเบือน" ถูก "ตอกลิ่ม" เปรี้ยงเดียว.........
ส่งผลให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อให้เขาปลุกปั่น!.....บรรดาสมาชิกแนวร่วมจะยอมให้ "ตัวตนที่มองไม่เห็น" ปั่นหัว หลอกใช้เราอยู่อย่างนั้นหรือ?
"ความโหดร้าย-ป่าเถื่อน" ที่ประชาชนตกเป็นเหยื่อ!! ในความรู้สึกของคนทั้งประเทศ จะต้องโดดเดี่ยวกลุ่มขบวนการ ประณาม กระหน่ำโพสต์ กระหน่ำแชร์ กับการกระทำที่สุดโต่ง!
แต่กลับกัน นักวิชาการ องค์กรภาคประชาสังคม กลับนิ่งเฉยไม่ยินดียินร้าย ปล่อยให้สื่อขบวนการออกมาบิดเบือนโยนผิดให้กับเจ้าหน้าที่....!
"สื่อสารไอที" ที่กลุ่มขบวนการสร้างขึ้น ใครก็ควบคุมไม่ได้ ปล่อยปละละเลยให้อิสรเสรีจนเกินขอบเขต...
การสร้างความเข้าใจต่อประชาชน จะต้องทันความเร็ว หรือชิงความเร็ว "ให้ข้อมูล" ในเรื่องนั้นก่อนในสื่อสารออนไลน์ หรือทันเรื่องราวในลักษณะ "สวนควันปืน"
ไม่ใช่ปล่อยให้มีการบิดเบือนข้อมูล พร้อมๆ กับการปล่อยข่าวลือในร้ายน้ำชา เปรียบเสมือน! "ศพขึ้นอืด 3 วัน แล้วค่อยมาโบทอกซ์" แล้วจะทันการณ์อะไรหรือ!!
'ลมพัดใบไม้ไหว' ที่ชายแดนใต้ หลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้นย่อมบอกให้รู้ว่า....ฝ่ายคิดต่างจากรัฐยังไม่เคยหยุด และมีแนวโน้มเดินหน้าไป!...แล้วหน่วยงานที่รับผิดชอบละได้อะไรเป็นบทเรียนในสิ่งที่ผ่านมา.

--------------------

11/20/2559

ใคร?...ซ้ำเติมปัญหาไฟใต้

"Ibrahim"

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2557 บทบรรณาธิการของสำนักข่าวอิสราได้เขียนเรื่อง ไอโอล้ำเส้นที่ชายแดนใต้โดย ปกรณ์ พึ่งเนตร และได้บัญญัติคำใหม่ใช้เรียกบรรดาเพจที่ไร้ตัวตนโจมตีกลุ่มขบวนการและเปิดโปงพฤติกรรมบรรดาแนวร่วมว่า เพจผีและกลับมาตอกย้ำรอบใหม่ กราบรถถึงไฟใต้โซเชียลฯ ล่าทำลายและไอโอสีดำแต่ไม่มีการกล่าวถึงเพจที่สนับสนุนกลุ่มขบวนการแต่อย่างใดเลย
เพจ: Suara Patani ได้ทำการโพสต์ภาพพร้อมข้อความ นำคำพูดของ รองศาสตราจารย์ใจ อึ้งภากรณ์ เราจะต้องสนับสนุนอิสรภาพของชาวปาตานี
เพราะ อิสรภาพของชาวปาตานี คือการยุติความรุนแรง เพราะ อิสรภาพของชาวปาตานี คือการสร้างพื้นที่ปลอดภัยที่แท้จริง เพราะ อิสรภาพของปาตานี คือการยุติสงครามปาตานี-ไทย(สยาม) เพราะ อิสรภาพของชาวปาตานี คือการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนระหว่างปาตานีกับไทย(สยาม) ฉะนั้น ทั้งคนปาตานีและคนไทยทุกคน จะต้องสนับสนุนอิสรภาพของชาวปาตานี
เพจ: Suara Patani แปลกนะที่เรียกร้องหาอิสรภาพ คือ การยุติความรุนแรง ทั้งๆ ที่เพจนี้สนับสนุนความรุนแรงมาโดยตลอด แล้วใคร? คือผู้ที่สร้างความรุนแรง ไม่ใช่กลุ่มขบวนการหรอกหรือ? ที่ฆ่าประชาชนบริสุทธิ์เป็นผักปลา
ยังมีหน้าทำการโพสต์ อิสรภาพของชาวปาตานี คือการสร้างพื้นที่ปลอดภัยที่แท้จริง เพราะ อิสรภาพของปาตานี คือการยุติสงครามปาตานี-ไทย(สยาม)
เจ้าหน้าที่รัฐมีหน้าที่ในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชน สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน เหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นรายวันมิใช่สงคราม...แต่เป็นแค่การกระทำของหมาลอบกัด สงครามที่แท้จริงต้องรุกรบประจันหน้ากันแบบอารยะ ไม่ใช่แฝงตัวหลบซ่อนในที่มืดเป็นอีแอบใต้ผ้าถุงคอยดักฆ่าผู้อื่น แล้วมโนว่าเป็นสงคราม...อย่างนี้เขาเรียกว่า หมาลอบกัด...!
ประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่ต้องการสันติสุข ต้องการใช้ชีวิตปกติสุขดั่งเช่นภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศ ไม่ใช่อิสรภาพที่แอบแฝงคำว่า เอกราช ของบรรดาปีกทางการเมืองของกลุ่มขบวนการ เพราะคนกลุ่มนี้ต้องการมักใหญ่ใฝ่สูง ต้องการอำนาจ มีความทะเยอทะยานไม่มีที่สิ้นสุด
เคยสังเกตหรือไม่? บรรดาคนไทยที่กระทำความผิดหนีเงื้อมมือของกฎหมายไปอาศัยอยู่ต่างประเทศ มีการเคลื่อนไหวเชื่อมโยงสอดรับกับแนวทางการแบ่งแยกดินแดนของกลุ่มขบวนการในพื้นที่ เชื่อมโยงนักการเมืองบางคน และยิ่งแปลกใจหนักเข้าไปอีกคือบรรดาปีกการเมืองของกลุ่มขบวนการกลับยกย่องเทิดทูนประดุจหนึ่งพ่อบังเกิดเกล้า พูดอะไรนิดพูดอะไรหน่อยจับมาเป็นประเด็นทำการขยายผลเพื่อหวังผลในทางสังคมจิตวิทยา
แต่ในทางกลับกันความรู้สึกที่ย้อนแย้ง ความเกลียดชังคนสยาม (คนไทย) ของคนกลุ่มนี้ได้หายไปชั่วขณะ เพราะการพูดของคนไทยไม่มีแผ่นดินซุกหัวนอนหลายๆ คน สนับสนุนแนวความคิดสุดโต่ง ตายไปไม่มีแม้แผ่นดินที่จะกลบหน้า
การเคลื่อนไหวของบรรดาเพจที่สนับสนุนกลุ่มขบวนการหลายๆ เพจ การโพสต์ข้อความหรือรูปภาพประกอบมุ่งสร้างความแตกแยกทางความคิด มีการปลุกระดม และเพจ: Suara Patani ก็เป็นเพจขาประจำที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ แต่ก็แปลกใจกับ บรรณาธิการสำนักข่าวบางสำนักที่มักคอยจับผิดบรรดา เพจผีที่พูดความจริง แต่เพจจริงกลับพูดเรื่องโกหก
คิดแล้วเศร้าใจแทนคนไทยทั้งประเทศ ไม่รู้จะมีคนไทยประเภทนี้อีกจำนวนเท่าไหร่ทั้งที่แฝงตัวอยู่ในองค์กร นักเคลื่อนไหว สื่อมวลชน และยังไม่นับรวมผู้ที่ผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 นักการเมืองบางสีเสื้อ ที่หันมาเป็นแนวร่วมกับปีกการเมืองในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้.

------------------------

11/18/2559

พฤติกรรม กลุ่ม ผกร.มุ่งทำลายเศรษฐกิจและชีวิตคน พฤติกรรมสื่อขบวนการ มุ่งบิดเบือนและสร้างความแตกแยก


แบมะ ฟาตอนี
ข่าวเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อวันที่ 17 พ.ย.59 ที่มีการเผยแพร่ของสำนักสื่อ รวมไปถึงภาพข่าวในสื่อสังคมออนไลน์โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.ปัตตานี จุดแรกในพื้นที่ อ.หนองจิก ได้มีคนร้ายขว้างวัตถุคล้ายระเบิดเข้าในร้านค้าหมู่บ้าน แต่ไม่ทำงาน และ อ.ยะหริ่ง คนร้ายวางระเบิดปั๊มน้ำมันหยอดเหรียญ ส่งผลให้ชาวบ้านบาดเจ็บ 5 ราย...
พฤติกรรมสร้างความเดือดร้อนมุ่งทำลายชีวิตประชาชน คงจะไม่ใช่เป็นการกระทำของคนดีแน่!! โดยเฉพาะอย่างยิ่งทั้ง 2 จุด เป็นร้านค้าในชุมชนที่มีผู้คนพลุกพล่าน การก่อเหตุแต่ละครั้งไม่เคยมีกลุ่มหรือองค์กรไหนยืดอกรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ครั้งแล้วครั้งเล่ากระทำเพื่ออะไร? ประชาชนจะต้องตกเป็นเป้าต่อความรุนแรง
การกระทำทั้ง 2 เหตุการณ์เป็นการลงมืออย่างอุกอาจโดยจุดแรกในเวลา 18.00 น.ขณะที่ชาวบ้านกำลังนั่งดื่มกิน อยู่ภายในบริเวณร้านค้าของหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ริมกำแพงวัดมุจลินทวาปีวิหาร หมู่ที่ 1 ต.ตุยง อ.หนองจิก ได้มีคนร้ายจำนวน 2 คนขับขี่รถจักรยานยนต์ ขับผ่านบริเวณหน้าร้าน จากนั้นคนร้ายที่ซ้อนท้ายได้นำวัตถุบางอย่างที่ซุกซ่อนไว้ภายในเสื้อ ก่อนที่จะขว้างเข้าไปในร้าน ทำให้ชาวบ้านที่อยู่ภายในร้านต่างวิ่งกระเจิง ออกมาเพื่อเอาชีวิตรอด แต่โชคดีที่ระเบิดไม่ทำงาน ทำให้มี่ผู้ใดได้รับบาดเจ็บ
ในเวลาไล่เลี่ยกัน เวลา 18.20 น. ได้เกิดเหตุระเบิดบริเวณตู้น้ำมันหยอดเหรียญ ข้างร้านสหกรณ์รวมพลัง หน้าวัดปิยาราม ม. 3 ต.ปิยามุมัง อ.ยะหริ่ง



การกระทำของคนร้ายได้ลงมืออย่างหน้าด้านๆ ในขณะที่ประชาชนกำลังจับจ่ายสินค้าภายในสหกรณ์ดังกล่าว ปรากฏว่าได้มีคนร้ายขับขี่รถยนต์เก๋งคันป้ายทะเบียนปลอม มาจอดทำทีว่าจะมาเติมน้ำมันที่ปั๊มน้ำมันหยอดเหรียญ ซึ่งอยู่ด้านหน้าสหกรณ์ ก่อนที่คนร้ายที่ขับรถยนต์คันดังกล่าว จะนั่งรถจักรยานยนต์อีกคันหลบหนีไป จากนั้นก็ได้เกิดระเบิดเสียงดังสนั่น ทำให้เกิดเพลิงไหม้บริเวณหัวฉีด ก่อนที่จะลามไปยังตัวอาคารของสหกรณ์อย่างรวดเร็ว ทำให้ชาวบ้านที่อยู่ภายในสหกรณ์ ต่างรีบวิ่งออกมาทันที นอกจากนี้แรงระเบิดยังทำให้ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บจำนวน 5 ราย
ที่กล่าวไปแล้วว่าการก่อเหตุที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนเป็นการกระทำของคนไม่ดี เป็นสันดานของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ที่ต้องการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ โดยเฉพาะการก่อเหตุกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ แต่น่าอายที่กลุ่มขบวนการกลับมาทำร้ายคนมือเปล่าไม่มีแม้อาวุธ  ผู้ที่ไม่มีหนทางต่อสู้ ในทางกลับกันกลุ่มขบวนการกลับยกย่องบุคคลกลุ่มนี้ว่า นักรบ สมควรแล้วหรือ?


แต่ที่น่าสลดหดหู่ในหัวใจหนักไปกว่านี้คือ กลับมีกลุ่มองค์กรที่เป็นแนวร่วมกลับเห็นดีเห็นงามด้วยกับพฤติกรรมกับการกระทำดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเพจโจร มีการปลุกระดมสร้างความฮึกเหิม ความก้าวร้าว ปลุกกระแสความเป็นมลายู ชี้ให้เห็นความหายนะที่เกิดขึ้นต่อผู้รุกรานปัตตานี
อีกประการหนึ่งมีการกล่าวโจมตีการเคลื่อนไหวของเพจที่มีการประณาม นำเสนอข่าวสารข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ว่ามีการบิดเบือน ละเมิดสิทธิมนุษยชน เปิดเผยเปิดโปงข้อมูลอันเป็นเท็จ และกล่าวหาเป็นฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ
อยากตั้งคำถามไปยัง คุณปกรณ์ พึ่งเนตร บรรณาธิการสำนักข่าวอิศราเคยเข้าไปดูการโพสต์ของเพจหลายๆ เพจที่เคลื่อนไหวบิดเบือนความจริง โยนผิดให้เจ้าหน้าที่รัฐ ปลุกกระแสการกำหนดใจตนเอง เพื่อแยกตัวเป็นเอกราชจากรัฐบาลไทยบ้างมั๊ย!! หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับการกระทำดังกล่าว น่าคิดนะ..

รูปแบบการนำเสนอของสำนักข่าวอิศรา เกาะติดจิกไม่ปล่อย ขุดคุ้ยความไม่ชอบมาพากลของการทุจริตคอรัปชั่น เปิดโปงพฤติกรรมถือได้ว่าทำหน้าที่สื่อเป็นหูเป็นตาแทนประชาชนถือว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ในทางกลับกัน สิ่งที่สำนักข่าวอิศราไม่เคยเตะ และกล่าวถึงเลย นั่นคือพฤติกรรมของสื่อกลุ่มขบวนการที่เป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งรัฐ คุณปกรณ์ พึ่งเนตร ไม่เคยกล่าวถึงเลยน่าคิดนะ..
ในความเป็นจริงไม่อยากจะโต้ตอบกับ คุณปกรณ์ สักเท่าไหร่เป็นความตั้งใจหรือความไม่ตั้งใจก็แล้วแต่ จะเป็นเพราะเหตุบังเอิญหรือจังหวะไม่ทราบได้เพราะครบ 2 ปี ที่คุณปกรณ์ ได้เขียนบทบรรณาธิการ ไอโอล้ำเส้นที่ชายแดนใต้เมื่อวันที่ 18 พ.ย.57 และเมื่อวันที่ 17 พ.ย.59 กลับมาเขียนกราบรถถึงไฟใต้โซเชียลฯ ล่าทำลายและไอโอสีดำแล้วสื่อ โซเชียลฯของกลุ่มขบวนการละที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศชาติถูกต้องหรือ?...ช่วยตอบที.



-------------------------------