หน้าเว็บ

3/17/2560

เมื่อไฟใต้ถูกสุม..ด้วยภัยแทรกซ้อน แล้วเหมารวมเป็น“เหตุความมั่นคง”

"แบดิง โกตาบารู"


การสรุปสถิติเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีหน่วยงาน องค์กร   ที่จัดเก็บข้อมูล เมื่อสิ้นปี หรือรอบเดือน รอบสามเดือน รอบหกเดือนก็แล้วแต่ จะเป็นธรรมเนียมที่มีการนำข้อมูลมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน เพื่อต้องการเปรียบเทียบเชิงสถิติของการก่อเหตุ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าหลายปีที่ผ่านมาข้อมูลของแต่ละหน่วยงาน และองค์กรที่รับผิดชอบ จะมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
อีกทั้งการสร้างกระแสของบางองค์กร ที่มุ่งนำสถิติเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่อง เหตุความมั่นคงเสียส่วนใหญ่ สูงถึงหนึ่งเท่าตัวเมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลฝ่ายทหารและตำรวจ ที่ผ่านมาตำรวจผู้ทำสำนวนคดีได้มีการแยกแยะเหตุความมั่นคง  ออกจากคดีอาชญากรรมทั่วไป ส่งผลให้ตัวเลขจากการเก็บข้อมูลเหตุความมั่นคง ความสูญเสียที่เกิดขึ้นลดต่ำลงในทุกปีตามลำดับ
เพราะสาเหตุอะไร? องค์กรที่เป็น เหลือบริ้นชายแดนใต้จึงต้องพยายามให้ ความรุนแรงเป็นเหตุความมั่นคง ทั้งๆ ที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีทั้งเรื่องมาจากปัญหาความขัดแย้งส่วนตัว ขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ รวมถึงความขัดแย้งในเรื่องการเมืองท้องถิ่น
อย่าลืมว่าองค์กรเหล่านี้มีความสนิทชิดเชื้อกับกลุ่มขบวนการ แต่ในอีกมิติหนึ่งต้องทำงานร่วมกับทุกกลุ่มทั้งสื่อมวลชน นักวิชาการ องค์กรภาคประชาสังคมไม่เว้นแม้กระทั่งหน่วยงานความมั่นคง แต่ที่สร้างกระแสให้เห็นว่าเหตุรุนแรงรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องความมั่นคงเสียส่วนใหญ่เพื่อพยายามรักษาความชอบธรรมของการพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้เอาไว้ต่อไป
ข้อมูลความเชื่อมโยงของกลุ่มขบวนการกับผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น รวมไปถึงกลุ่มธุรกิจผิดกฎหมายทุกชนิดได้มีการกล่าวถึงและเปิดโปงให้เห็นมาโดยตลอด ซึ่งค่อนข้างมีความชัดเจนว่าท่อน้ำเลี้ยงไฟใต้จะต้องมีการส่งผ่านเพื่อหล่อเลี้ยงในการความไม่สงบในพื้นที่ ในขณะเดียวกันความขัดแย้งในเรื่องส่วนตัว เรื่องการเมือง และผลประโยชน์ มีการเช็คบิลตามเก็บหมายชีวิตแต่มีการควบรวมว่าเป็น เหตุความมั่นคง
แต่ที่เป็นประเด็นใหม่ที่จะต้องค้นหาความจริงคือ อาวุธปืน ที่กลุ่มขบวนการใช้ มีการชี้ชัดว่าเป็น ปืนกลาง ไม่ใช่ปืนของสมาชิกคนใดคนหนึ่ง แต่อาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุจะเคลื่อนที่ไปโผล่ที่โน่นที่นี้ตามแต่แกนนำจะสั่งการ ซึ่งหลายๆ ครั้งที่มีการแจ้งเบาะแสแหล่งซุกซ่อนจนกระทั่งยึดกลับคืนมาได้จำนวนมาก ซึ่งนั่นหมายความว่าการซ่อน อาวุธปืน เพื่อรอให้สมาชิกนำไปใช้ก่อเหตุตามสั่งการของแกนนำ
มีการอนุมานของสำนักสื่อดังว่า สถานการณ์ไฟใต้ที่เกิดขึ้นมาหลายปี อิทธิพลท้องถิ่นก็อาจเอาปืนมาใช้ หรือดึงคนจากขบวนการมาใช้ หรืออาจว่าจ้างบ้าง ขณะที่ฝ่ายผู้ก่อเหตุรุนแรงก็อาจมีบางคน บางกลุ่มรับจ้างก่อเหตุ โดยใช้ปืนของขบวนการ เพื่อโยนเหตุการณ์ให้เป็นประเด็นแบ่งแยกดินแดน ระดับแกนนำของขบวนการจะชอบหรือไม่ชอบ!!...ตอบยาก เพราะในบางมุมก็อาจสมยอมเพื่อผลประโยชน์เมื่อเหตุรุนแรงเกิด แต่กลุ่มอิทธิพลท้องถิ่น อำนาจมืดธุรกิจเถื่อนชอบแน่!! เนื่องจาก ได้เช็คบิลกันเองแล้วโยนความผิดให้ผู้ก่อเหตุรุนแรง...
การก้าวข้ามความขัดแย้ง ผ่านกระบวนการพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้ที่รัฐดำเนินการอยู่กับกลุ่ม มารา ปาตานีการตั้งคำถามโต้กันเรื่อง พื้นที่ปลอดภัยซึ่งจะมีพื้นที่นำร่อง แต่ประเด็นที่ท้าทายต่ออำนาจรัฐ และเป็นตัวแปรต่อการแก้ปัญหาที่น่าสนใจคือ ภัยแทรกซ้อนไฟใต้ ซึ่งจะหนุนเสริมปัญหาความรุนแรง หากความเชื่อมโยงระหว่างอิทธิพลท้องถิ่นกับขบวนการที่อ้างอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนมีจริง  เปรียบเสมือนไฟใต้ที่ถูกสุม...ด้วยเหตุร้ายรายวันที่เกิดจากภัยแทรกซ้อนแล้วโยนให้เป็นเหตุความมั่นคง”….สถานการณ์ไฟใต้ก็ยังคงลุกโชนไม่มอดดับต่อไป...
-------------------------


3/13/2560

เมื่อความจริงปรากฏ...ผลพิสูจน์หลักฐานชี้ชัดเหตุยิงไทยพุทธรือเสาะเป็นฝีมือโจรใต้

"Ibrahim"


กรณีเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2560 เหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวน ใช้อาวุธปืนยิง นายสมชาย ทองจันทร์ อายุ 57 ปี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ม.6 บ.ธรรมเจริญ ต.โตกสะตอ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ขณะขับรถยนต์เพื่อเดินทางมาประชุมประจำเดือนที่ อำเภอรือเสาะ โดยในขณะเดินทางมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นเนินเขาได้ถูกกลุ่มคนร้ายใช้อาวุธปืนสงครามกราดยิงใส่ เป็นเหตุให้ นายสมชาย ทองจันทร์ และนางสน ทองจันทร์ เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ นางสาวรสิกา คาด้วง, เด็กชายธนกฤต ทองจันทร์ เสียชีวิตที่ โรงพยาบาลรือเสาะ รวมเสียชีวิต 4 ราย นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 2 ราย คือ เด็กหญิงศิรภัสสร ทองจันทร์ อายุ 12 ปี และ เด็กหญิงญานิศา  ศรีสุวรรณ อายุ 6 ขวบ

การกระทำของกลุ่มคนร้ายเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยม สุดโต่ง ไม่แยกแยะเป้าหมาย โดยเฉพาะเป้าหมายอ่อนแอที่ไม่มีทางต่อสู้ เด็กและสตรี

เหตุการณ์ดังกล่าวนำมาซึ่งความเศร้าสลดเสียใจของคนในพื้นที่และประชาชนชาวไทยทั้งประเทศต่อการกระทำที่รุนแรงไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กเล็กๆ ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วยกับความขัดแย้งของผู้ใหญ่ กลับต้องตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงสังเวยไฟใต้

หลังเกิดเหตุมีการกล่าวถึงสาเหตุการดักลอบสังหารโหดในครั้งนี้ โดยมุ่งเป้าไปที่ปัญหาเรื่องส่วนตัวของ นายสมชาย ทองจันทร์ ซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 บ้านธรรมเจริญ ต.โคกสะตอ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส โดยสำนักสื่อบางสำนักถึงกับกล่าวอ้างถึงภูมิหลังบ้านธรรมเจริญ เดิมเป็นพื้นที่ นิคมสร้างตนเอง ส่งผลให้มีคนจากต่างถิ่นเข้ามาตั้งรกรากอยู่อาศัย แต่ที่ผ่านมามีปัญหาความขัดแย้งเกี่ยวกับการเมืองท้องถิ่นค่อนข้างรุนแรง ทั้งจากการเลือกตั้ง และการหักหลังกันในเรื่องการบริหารงาน อีกทั้งยังฟันธงสาเหตุการตายดังกล่าวมีการยืมมือแนวร่วมผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ลงมือก่อเหตุ อีกทั้งยังมโนไปถึงวิธี ยืมปืน ของแนวร่วมขบวนการทำการก่อเหตุเพื่อเบี่ยงประเด็นการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

นั่นคือการวิเคราะห์ของสื่อถึงสาเหตุการเสียชีวิตของ นายสมชาย ทองจันทร์ และครอบครัว มีความพยายามโยงให้เห็นว่าเป็นประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองท้องถิ่น และปัญหาส่วนตัว ถึงขนาดมีการชี้นำทางความคิดให้เห็นถึงวิธีการยืมมือกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง หรือแม้กระทั่งความคิดสุดโต่งถึงขนาดยืมปืนของแนวร่วมขบวนการทำการก่อเหตุ

ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่เจ้าของคดียังเขียนสำนวนยังไม่ทันเสร็จสรรพ แต่ก็เป็นที่แปลกใจทำไมกระแสข่าวการเสียชีวิตของชาวไทยพุทธรือเสาะมีการโยงไปต่างๆ นาๆ จนเกิดความสับสน ที่แท้เกิดจากสาเหตุใดกันแน่!! อีกทั้งกระบวนการตรวจพิสูจน์หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ของศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 (ศพฐ.10) ทำการตรวจปลอกกระสุนที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุซึ่งมีการตรวจหาความเชื่อมโยงของคดีสำคัญยังไม่เป็นที่เปิดเผย ก็มีการเขียนในเชิงชี้นำสังคมไปก่อนแล้วว่าเป็นเรื่องส่วนตัว

ล่าสุดเมื่อผลพิสูจน์ปลอกกระสุนของศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 (ศพฐ.10) ทำการตรวจปลอกกระสุนที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุซึ่งเป็นกระสุนปืนเล็กกล ขนาด .223 (5.56 มม.) จำนวน 32 ปลอก และปลอกกระสุนปืนออโตเมติก ขนาด 9 มม. LUGER  จำนวน 11 ปลอก พบว่ามีความเชื่อมโยงคดีสำคัญถึง 23 คดี มีผู้เสียชีวิต 13 ราย

ปลอกกระสุนปืนเล็กกล ขนาด .223 (5.56 มม.) จำนวน 32 ปลอก พบว่าคนร้ายใช้ยิงมาจากอาวุธปืน 2 ชนิดด้วยกัน จำนวน 5 กระบอก คือ อาวุธปืน เอ็ม.16 จำนวน 3 กระบอก และ อาวุธปืน เอชเค.33 จำนวน 2 กระบอก

ที่สำคัญทั้งอาวุธปืน เอ็ม.16 อาวุธปืน เอชเค.33 ทั้ง 5 กระบอก คนร้ายเคยใช้ก่อเหตุถึง 21 คดี ซึ่งเป็นคดีสำคัญแทบทั้งสิ้น อีกทั้งยังพบอีกว่า คนร้ายใช้อาวุธปืนดังกล่าวร่วมกันก่อเหตุ ซึ่งคาดว่ากลุ่มคนร้ายกลุ่มนี้เป็นกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่เคลื่อนไหวในพื้นที่  จนกระทั่งล่าสุดมาทำการก่อเหตุยิงนายสมชาย ทองจันทร์ และครอบครัว
ผลจากการตรวจพิสูจน์ปลอกกระสุนของศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 (ศพฐ. 10) และระบบ FIDS หรือระบบเชื่อมโยงฐานข้อมูลนิติวิทยาศาสตร์ (Forensic Integrated Database System) บ่งชี้ชัดเจนถึงความเชื่อมโยงของคดี

เมื่อหลักฐานการพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ที่มีความเที่ยงตรง และมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในกระบวนการและขั้นตอนออกมาเช่นนี้..ปักใจเชื่ออย่างเหลือเกินว่าเป็นการกระทำของของกลุ่มโจรใต้ การออกมาบิดเบือนเบี่ยงเบนประเด็นเพื่อปัดความรับผิดชอบก่อนหน้านี้ของกลุ่ม MARA PATANI หรือแม้กระทั่งการชี้นำของสื่อบางสำนักให้เห็นเป็นความขัดแย้งส่วนตัว เป็นเรื่องการเมืองท้องถิ่น...แล้วจะให้ประชาชนในพื้นที่คิดเป็นอย่างอื่นได้อีกหรือ?

----------------------

3/10/2560

กอ.รมน.ถอนฟ้อง 3 นักสิทธิมนุษยชนความจริงใจที่รอการพิสูจน์

"Ibrahim"


เรื่องราวที่มีการกล่าวถึงมากที่สุดในห้วงนี้ และเป็นที่สนใจของผู้ที่ติดตามข่าวสารชายแดนใต้คงหนีไม่พ้น กรณี: กอ.รมน.ถอนฟ้อง 3 เอ็นจีโอ ในข้อหาหมิ่นประมาทและการกระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งผู้ต้องหาประกอบด้วย นายสมชาย หอมลออ, น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ และ น.ส.อัญชนา หีมมิหน๊ะ

          เมื่อมีการเผยแพร่ข่าวสารออกไปของสื่อมวลชน กระแสของผู้ที่ติดตามข่าวสารชายแดนใต้มีผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยต่อประเด็นการถอนฟ้องดังกล่าวของ กอ.รมน.ซึ่งได้มีการวิพากษ์วิจารณ์ถกแถลงถึงสาเหตุไปต่างๆ นาๆ

          ในส่วนของผู้ที่เห็นด้วยกับ การถอนฟ้องซึ่งมองโลกในแง่ดีกลับคิดบวกมองว่าการประนีประนอมดังกล่าว จะเป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่ายในการทำงานร่วมกันในอนาคต อีกทั้งจะส่งผลดีต่อการแก้ปัญหา จชต. ร่วมกันตรวจสอบ คานอำนาจ มิให้มีการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายต่อผู้ต้องสงสัยที่มีการควบคุมตัวโดยรัฐ ลดความขัดแย้งระหว่างหน่วยคุมกำลังในพื้นที่กับกลุ่มองค์กรภาคประชาสังคม นักสิทธิมนุษยชน ซึ่งมีผลต่อบรรยากาศการพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้ที่รัฐบาลกำลังขับเคลื่อนอยู่ 

          ส่วนผู้ที่ไม่เห็นด้วยต่อกรณีการถอนฟ้อง แน่นอนกลับมีความคิดตรงกันข้ามเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีกับ 3 นักสิทธิมนุษยชนถึงที่สุด เพื่อพิสูจน์ความจริงว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้น ใคร? กันแน่ที่บิดเบือนข้อมูล กล่าวคำเท็จโกหกคำโตต่อสังคม กระชากหน้ากากเปิดเผยให้ปรากฏต่อสังคม อีกทั้งให้ดำเนินคดีความเอาผิดเพื่อสร้างบรรทัดฐาน และความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้กระทำ มิใช่? กระทำแบบครึ่งๆ กลางๆ ปล่อยให้ประชาชนคิดไปเองต่อการถอนฟ้อง อีกทั้งความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายไม่สามารถเอาผิดต่อผู้ละเมิด!! ได้ 

มูลเหตุของการฟ้องร้อง

          การฟ้องร้องของ กอ.รมน. ได้เกิดขึ้นหลังจากที่ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม, องค์กรเครือข่ายส่งเสริมสิทธิมนุษยชนปาตานี (HAP) และกลุ่มด้วยใจ ได้ร่วมกันจัดงาน เปิดตัว รายงานสถานการณ์ การทรมาน และการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรีในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2559 ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี และหลังจากนั้นได้ทำการเผยแพร่รายงานดังกล่าวในสื่อหลายชนิด ทำการกล่าวหา การซ้อมทรมาน โดย กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ซึ่งเป็นหน่วยงานทางทหาร ที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

ทำไม? กอ.รมน.จึงต้องฟ้อง 3 นักสิทธิมนุษยชน

          “รายงานสถานการณ์ การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรีในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ และได้มีการเผยแพร่รายงานดังกล่าวในสื่อต่างๆ ในเวลาต่อมา กลับพบว่าในรายงานทั้งหมดเป็นข้อมูลเก่าที่เคยดำเนินการมาแล้วเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2555 โดยกลุ่มเป้าหมาย และรูปแบบรายงานการที่ยังคงเป็น   รูปแบบเดิมๆ

          อย่างไรก็ตามหากเจาะลึกลงในเนื้อหาที่มีการรายงานอย่างละเอียด กลับพบว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นการนำข้อมูลเก่าตั้งแต่ปี 2547 มานำเสนอซ้ำ มีการกล่าวอ้างแบบลอยๆ อย่างเช่น (จากคำบอกเล่า...เขาเล่าว่า) โดยขาดหลักฐานในข้อเท็จจริง และไม่มีการตรวจสอบก่อนที่จะนำมาเสนอต่อสาธารณชน

          ซ้ำร้ายยิ่งไปกว่านั้นในรายงานทั้ง 2 ครั้ง พบว่าสิ่งที่เหมือนกันมีการกล่าวถึง การถูกข่มขืน การผ่าตัดนำอวัยวะภายในออก การบังคับให้ทานสารเคมี และการเผาไหม้ตามอวัยวะร่างกาย

          และที่เพิ่มเติมล่าสุด คือการหมิ่นประมาท และกล่าวหาเจ้าหน้าที่ในลักษณะที่เป็นไปไม่ได้ เช่น ให้ทหารพรานหญิงใช้นมปิดใบหน้าให้ผู้ต้องสงสัยขาดลมหายใจตายหรือประเด็นการทำร้ายร่างกาย เช่น ใช้ลำกล้องปืนกระแทกจนฟันกรามหัก ศีรษะแตก เป็นต้น ซึ่งหากเป็นเรื่องจริงย่อม มีร่องรอย หรือหลักฐานให้ปรากฏต่อแพทย์ผู้ตรวจร่างกาย ทั้งก่อน และ ภายหลัง การควบคุมตัว รวมทั้งปรากฏต่อญาติ และครอบครัวที่เข้าเยี่ยมได้ทุกโอกาสที่เอื้ออำนวย ซึ่งกลุ่มองค์กรเหล่านี้ต่างก็ทราบดีแต่ยังนำเสนอข้อมูลที่บิดเบือนความจริง

       ดังนั้นจากพฤติกรรมของ 3 นักเอ็นจีโอ คือ นายสมชาย หอมลออ, น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ และ น.ส.อัญชนา หีมมิหน๊ะ ต่อการรายงานข้อมูลอันเป็นเท็จ อีกทั้งได้ทำการเผยแพร่ต่อสาธารณชน ถือได้ว่า เป็นการจงใจพยายามทำลายความน่าเชื่อถือในระบบอำนาจรัฐ และทำลายภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีระดับสากล สร้างความเสื่อมเสียที่ไม่น่าให้อภัย จึงมีการฟ้องร้องในเวลาต่อมา ในข้อหา หมิ่นประมาทและการกระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

          การถอนฟ้อง 3 นักสิทธิมนุษยชน ทำให้สังคมมองภาพรวมกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่า ความจริงไม่ได้มีการพิสูจน์ การที่หยุดดำเนินคดีกลางคัน ส่งผลให้สังคมไม่สามารถรับรู้ข้อเท็จจริง อีกทั้งความเสียหายที่ 3 นักสิทธิมนุษยชนได้ก่อนั้นไม่ใช่แค่ระดับประเทศ แต่รายงานดังกล่าวมีการส่งไปยังองค์กรระหว่างประเทศอีกด้วย

          ในความคิดของผู้เขียนเข้าใจต่อความรู้สึกของผู้ที่ไม่เห็นด้วยต่อการถอนฟ้อง 3 นักสิทธิมนุษยชน เพราะ ตอนที่คุณทำไม่คิด แต่เมื่อมีการเอาผิดกลับโอดครวญเมื่อมีการฟ้องร้องเอาผิดกลับกล่าวหารัฐรังแกโจมตีนักปกป้องสิทธิมนุษยชน เคลื่อนไหวยืมมือองค์กรต่างชาติอย่างเช่น แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกการแจ้งข้อหาต่อ 3 นักปกป้องสิทธิมนุษยชน

          น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผอ.มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้ เคยถูกหน่วยงานความมั่นคงแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญามาแล้ว โดยแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาทให้กรมทหารพรานที่ 41 จังหวัดยะลา ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 จากกรณีที่นางสาวพรเพ็ญฯ บิดเบือนข้อเท็จจริง กรณีเรียกร้องให้มีการสอบสวนข้อหาทำร้ายร่างกายผู้ถูกควบคุมตัวอันเป็นเท็จ แต่ภายหลังหน่วยงานความมั่นคงยอมถอนแจ้งความเนื่องจากโดนข้อหา รังแกผู้หญิง ให้โอกาสกลับเนื้อกลับตัว แต่ น.ส.พรเพ็ญฯ ไม่เคยสำนึกตัว กลับทำผิดซ้ำซาก?

          การถอนฟ้อง 3 นักสิทธิมนุษยชน จะเป็นก้าวก้าวแรกในการตัดสินใจทำงานร่วมกัน เพื่อจะเดินหน้าแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ไม่แปลก หากการทำงานร่วมกันได้ผลดีจริง  ผลประโยชน์จะตกสู่ประชาชนในพื้นที่  แต่ถ้าผลของการตัดสินใจครั้งนี้ ไร้ซึ่งความจริงใจ.....ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนจริงๆ..........เพราะหากไม่จริงใจแล้วไม่ต่างอะไร? กับการแสดงละครให้ประชาชนดู โดยจะซ้ำเติมทำร้ายประชาชน......อยู่เช่นเดิม.

-----------------------

3/08/2560

กอ.รมน.ถอนฟ้อง 3 นักสิทธิมนุษยชน กรณีซ้อมทรมาน จชต. ‘โอเอชซีเอชอาร์’ กล่าวชื่นชม


กอ.รมน. ถอนฟ้อง 3 เอ็นจีโอ รายงาน54 กรณีซ้อมทรมาน จชต. พร้อมจับมือตั้งกลไกร่วม สอบข้อเท็จจริง เป็นบทเรียนในอนาคต ด้าน เอ็นจีโอ ขอบคุณ นายก-กอ.รมน.พร้อมร่วมมือประสานงาน จนท.รัฐ เดินหน้า ทำหน้าที่ปกป้องสิทธิพลเรือนในพื้นที่
เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ที่โรงแรมสุโกศล พล.อ.มณี จันทร์ทิพย์ ผู้แทนคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) ส่วนหน้า พล.ต.ชินวัฒน์ แม้นเดช รองแม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (รองผอ.รมน.ภาค 4 สน.) พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.)ในฐานะผู้แทนรัฐบาล ประชุมร่วมกับนายสมชาย หอมละออ น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ และ น.ส.อัญชนา หีมมินะ ซึ่งเป็นนักสิทธิมนุษยชน ผู้เผยแพร่รายงาน สถานการณ์การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรีฯ ในจังหวัดชายแดนใต้ ปี 2557 – 2558” และถูกฟ้องร้องดำเนินคดีโดยกอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ร่วมกันแถลงข่าว เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ และไกล่เกลี่ยให้ยกฟ้องยุติการดำเนินคดีกับ 3 นักสิทธิมนุษยชนฐานหมิ่นประมาท
ในขณะที่ สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (โอเอชซีเอชอาร์) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดของสหประชาชาติออกมาแสดงความยินดีที่รัฐบาลไทยถอนฟ้อง 3 นักสิทธิมนุษยชน ที่เผยแพร่รายงานการละเมิดสิทธิในพื้นที่ชายแดนใต้ของไทย ประกอบด้วยนายสมชาย หอมลออ , น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ และน.ส.อัญชนา หีมมิหน๊ะ ผู้ต้องหาในคดีหมิ่นประสาทและกระทำผิดทาง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หลังกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 ส่วนหน้า เข้าร้องทุกข์หลังผู้ต้องหากรณีเผยแพร่รายงานสถานการณ์การทรมานภาคใต้

พันเอกปราโมทย์ พรหมอินทร์ รองโฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 ส่วนหน้า ได้แถลงผลการพูดคุยร่วมกับนักสิทธิมนุษยชนที่จัดทำรายงานสถานการณ์การทรมานในภาคใต้ ระบุ ไม่ขอติดใจเอาความและขอถอนแจ้งความการดำเนินคดี ณ สภ.เมืองปัตตานีจากนี้เป็นต้นไป เนื่องจากไม่มีเจตนาต้องการชนะคดีหรือให้นักสิทธิมนุษยชนถูกดำเนินคดีตั้งแต่แรก และเห็นพ้องว่าจากนี้ไปการแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้จะมีการทำร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยจะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกัน เพื่อตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และจัดตั้งกลไกที่เหมาะสม ป้องกันการละเมิดสิทธิ และมาตรการแก้ไข ออกระเบียบในการควบคุมตัวในห้องขัง ซึ่งจะต้องมีการหารือร่วมกันอีกต่อไป
นายเลอรอง เมลลอง รักษาการหัวหน้าสำนักงานโอเอชซีเอชอาร์ เปิดเผยว่า โอเอชซีเอชอาร์ได้ติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิดมานานหลายเดือน เพื่อขอให้ทางการ ซึ่งรวมทั้งกองกำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 ส่วนหน้า ให้ถอนฟ้องบุคคลทั้ง 3 และพัฒนาการที่เกิดขึ้นในวันนี้ถือเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง และขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเดินหน้าต่อไปเพื่อการปกป้องนักเคลื่อนไหวที่ทำหน้าที่รายงานและจับตาดูด้านสิทธิมนุษยชน

นายเมลลอง ยังได้เรียกร้องให้ทางการไทยถอนฟ้องบรรดานักปกป้องสิทธิมนุษยชนคนอื่นๆ รวมถึง น.ส.ศิริกาญจน์ เจริญศิริ ทนายจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน พร้อมระบุว่า โอเอชซีเอชอาร์สนับสนุนแผนการสร้างกลไกที่ทั้งทหาร นักเคลื่อนไหว และกลุ่มคนที่มีความเป็นห่วงกังวล ให้มาทำงานร่วมกันเพื่อทบทวนและสอบสวนข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษชนทางภาคใต้ของไทย และพร้อมที่จะให้คำแนะนำทางเทคนิคในกระบวนการดังกล่าวด้วย

3/06/2560

โฉมหน้าโจรใต้!! จ่อยิงทหาร 3 ศพที่มายอ


เปิดโฉมหน้า 3 แกนนำ กลุ่มคนร้ายจ่อยิง จนท.ทหาร ฉก.ปัตตานี 25 ตาย 3 ศพ อย่างเหี้ยมโหดที่ตลาดนัดตาแบะ อ.มายอ จ.ปัตตานี ตั้งรางวัลนำจับ แย้มรู้ตัวทุกคน
จากกรณีเมื่อคืนวันที่ 2 มี.ค. 60 เมื่อเวลา 20.00น. เจ้าหน้าตำรวจสภ.มายอ จ.ปัตตานี ได้รับแจ้งเหตุใช้อาวุธปืนและมีผู้เสียชีวิต 3 รายบาดเจ็บ 1 ราย เหตุเกิดบริเวณภายในตลาดนัดตาแบะ ม.3 ค.ลางา อ.มายอ จ.ปัตตานี จากการสืบสวนทราบว่าในขณะที่ผู้ตายกำลังจับจ่ายสินค้าภายในตลาดดังกล่าว ได้มีคนร้ายจำนวน 5 คน เข้ามาปะปนกับชาวบ้าน ทีกำลังจับจ่ายสินค้าในตลาด เมื่อสบโอกาสคนร้ายใช้อาวุธปืนจ่อยิงผู้เคราะห์ร้ายทั้ง 3 รายซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร จนเสียชีวิต และมีชาวบ้าน 1ราย ถูกลูกหลงได้รับบาดเจ็บ ก่อนที่คนร้ายจะใช่ช่วงชุลมุนหลบหนีไป
พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผบก.ภ.จ.ปัตตานี ได้เรียกประชุมหัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวนทั้งของจังหวัดและสภ.มายอ พร้อมสรุปสถานการณ์และความคืบหน้าในการติดตามกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุ นอกจากนี้การสอบปากคำพยานในที่เกิดเหตุเมื่อคืนที่ผ่านมา รู้ตัวคนร้ายจากรูปพรรณสันฐานซึ่งทั้ง 8 คน มีลักษณะการแต่งการคลายกัน ทุกคนมีกระเป๋าคาดเอว และมีการแบ่งหน้าที่การทำงาน โดยหัวหน้าชุดนั้นน่าจะเป็น นายมะหะมะ สะอิ เพราะมีพยานชี้ลักษณะตามภาพ คาดว่าเป็นคนร้ายกลุ่มเดียวกับที่เคยก่อเหตุยิงครูผู้หญิง กศน.อำเภอมายอ เสียชีวิต เมื่อวันที่ 28 ต.ค.59 และลอบยิงหญิงท้องแก่เสียชีวิต เมื่อวันที่ 26 พ.ย.59 เนื่องจากพื้นที่การก่อเหตุอยู่ในละแวกเดียวกันและใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม.ก่อเหตุเหมือนกัน

โดยล่าสุดได้มีการตั้งรางวัลนำจับผู้ต้องหาตามหมายจับ ป.วิอาญา และอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุยิงทหารเสียชีวิต 3 นาย ในครั้งนี้ ประกอบด้วย นายซอบือรี เจ๊ะหะ นายมะหะมะ สะอิ จำนวน 2 แสนบาท และ นายบูคอลี หลำโซ๊ะ 3 แสนบาท โดยผู้ที่แจ้งเบาะแสจนนำไปสู่การจับกุม เจ้าหน้าที่จะปิดเป็นความลับ