หน้าเว็บ

2/29/2555

อ้างทหารอุ้มซ้อม บีบลูกอัณฑะ ให้รับเป็นโจรใต้ โวยเรียกร้องความเป็นธรรม องค์กรสิทธิฯ มั่วรับลูก มุขเดิมๆ กลบเกลื่อนความผิด



ชาวบ้านรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส ร้องแม่ทัพภาค 4  อ้างทหารอุ้มซ้อม  บีบลูกอัณฑะ ให้รับเป็นโจรใต้   โวยเรียกร้องความเป็นธรรม  องค์กรสิทธิฯ มั่วรับลูก  มุขเดิมๆ กลบเกลื่อนความผิด  
กลายเป็นข่าวอีกครั้งในกรณีชาวบ้านในจังหวัดชายแดนภาคใต้เรียกร้องขอความเป็นธรรมกับองค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งชาติว่าถูกทหารซ้อมทรมานระหว่างการถูกควบคุมตัวเพราะเหตุต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่  ซึ่งข่าวนี้ภายหลังจากถูกโหมประโคมจากสื่อมวลชนหลายสำนักก็กลายเป็นประเด็นร้อนที่ฝ่ายความมั่นคงต้องออกมาชี้แจงด้วยว่า  เกิดอะไรขึ้นกับกระบวนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่  เหตุใดข่าวการร้องเรียนลักษณะนี้จึงออกมาบ่อยครั้งขึ้น  ทั้งๆ ที่ฝ่ายทหารได้ชี้แจงอยู่เสมอว่าได้ปฏิบัติตามกรอบที่กฏหมายกำหนดและไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษชน   

เรื่องแบบนี้หากฟังความข้างเดียวตามที่สื่อต่างๆ ช่วยกันป่าวร้องก็ดูจะไม่เป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่จะพยายามจะสร้างความสงบในพื้นที่  ลองกลับไปดูที่มาที่ไปของการร้องเรียนครั้งนี้ตามลำดับเหตุการณ์กันหน่อยเป็นไง  แล้วค่อยพิจารณาว่าความจริงเป็นอย่างไร

เมื่อวันที่ 10 ก.พ.55  ฝ่ายทหารได้รับข่าวสารว่า  นายซูลกิพลี  ซิกะ ภูมิลำเนาอยู่ที่      บ.พงยือติ ม.9     ต.ลาโละ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ซึ่งมีพฤติกรรมเป็นสมาชิกผู้ก่อเหตุรุนแรงหรือที่เรียกว่า RKK ได้กลับมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านพี่สาวคือนางซาเร๊าะ  ซิกะ จึงได้สนธิกำลังเข้าควบคุมตัวนายซูลกิพลีฯ  โดยในระหว่างเจ้าหน้าที่เข้าทำการควบคุมตัว  นายซูลกิพลีฯ  ได้ถอดซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือทิ้งและไม่ยอมออกมามอบตัว  เจ้าหน้าที่จึงใช้กำลังเข้าควบคุมตัวทั้งที่นายซูลกิพลีฯ  ยังขัดขืนจึงจำเป็นต้องใช้กุญแจมือเพื่อป้องกันการหลบหนี 

หลังควบคุมตัวได้แล้วจึงได้สอบถามชื่อและนามสกุลเพื่อยืนยันตัวบุคคล  แต่นายซูลกิพลีฯ  กลับแสดงตนโดยใช้บัตรประชาชนของนายมะรอสือดี  ซิกะ  ซึ่งเป็นน้องชาย  นั้นแสดงให้เห็นว่าการถอดซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือทิ้งและมีพฤติกรรมอำพรางตัวตนที่แท้จริงโดยใช้บัตรประชาชนของคนอื่นของนายซูลกิพลีฯ  ย่อมแสดงให้เห็นว่ามีเจตนาปกปิดความจริงบางอย่าง  เจ้าหน้าที่จึงได้อาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึกควบคุมตัวมาซักถามจนที่สุดก็ยอมรับสารภาพจนเองเป็นบุคคลที่เจ้าหน้าที่พยายามติดตามจับกุมตัวมาโดยตลอดจึงได้ต้องทำลายหลักฐานความเชื่อมโยงกับสมาชิกคนอื่นๆ โดยการถอดซิมการ์ดโทรศัพทิ้ง
จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการควบคุมตัวนายซูลกิพลีฯ  ไว้ตั้งแต่วันที่ 10 – 16 ก.พ.55 ซึ่งจากการซักถามก็ยอมรับสารภาพเพิ่มเติมว่าตนเองเป็นสมาชิก RKK จริง และได้นำเจ้าหน้าที่ไปชี้จุดที่เคยเป็นที่ซุกซ่อนอาวุธบริเวณที่ต่างๆ  ซึ่งอาวุธเหล่านั้นได้ถูกเคลื่อนย้ายไปแล้วก่อนที่นายซูลกิพลีฯ  จะนำเจ้าหน้าที่มาชี้จุดซุกซ่อนอาวุธ  โดยระหว่างการถูกควบคุมตัวนั้น  ฝ่ายความมั่นคงยืนยันว่าไม่ได้ซ้อมทรมานเพื่อบังคับให้สารภาพตามที่นายซูลกิพลีฯ  ได้ให้ข่าวกับสื่อมวลชนแต่อย่างใด   และระหว่างการตรวจค้นที่ซ่อนอาวุธเมื่อวันที่ 13 ก.พ.55 นางซาเร๊าะ  ซิกะ  พี่สาวก็ได้ร่วมสังเกตการณ์ด้วย   ดังนั้นการที่นายซูลกิพลีฯ อ้างว่าเจ้าหน้าที่  นำไปชี้จุดต่างๆแล้วยัดเยียดข้อหาโดยที่ตนไม่รู้เรื่องจึงฟังไม่ขึ้น

ข้อมูลที่สนับสนุนคำกล่าวว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ซ้อมทรมานอีกเรื่องหนึ่งที่มีน้ำหนักเชื่อถือได้คือ   การตรวจร่างกายของแพทย์ของโรงพยาบาลค่ายอิงยุทธบริหารซึ่งได้ตรวจร่างกายนายซูลกิพลีฯ  ในวันที่ 17 ก.พ.55 ภายหลังจากถูกควบคุมตัวมาแล้วหนึ่งสัปดาห์  ผลการตรวจไม่พบบาดแผลที่นายซูลกิพลีฯ  กล่าวอ้างอาทิ  ถูกจับเอาศรีษะโขกพื้นจนศรีษะแตก  ถูกตีด้วยของแข็งบริเวณใบหน้า  ถูกถีบบริเวณหน้าอก หรือหนักถึงกระชากที่อวัยวะเพศจนสลบแต่อย่างใด  เพราะการเกิดบาดแผลด้วยการทำร้ายร่างกายถึงขนาดนั้น  ด้วยเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ย่อมจะปรากฏร่องรอยให้เห็นบ้าง   นอกจากนี้ระหว่างการถูกควบคุมตัวนายซูลกิพลีฯ  ยังได้ถูกตรวจร่างกายเพิ่มเติมโดยแพทย์ทั้งของโรงพยาบาลค่ายอิงยุทธบริหาร และแพทย์ของโรงพยาบาลศูนย์ยะลา อีกถึง 4 ครั้งรวมกับครั้งแรกเป็น 5 ครั้ง   ซึ่งผลการตรวจทุกครั้งก็ออกมาตรงกันว่านายซูลกิพลีฯ  มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงและไม่พบบาดแผลจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ตามที่กล่าวอ้าง
ผลการตรวจข้างต้นจึงยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าไม่ได้มีการซ้อมทรมานนายซูลกิพลีฯ  ระหว่างถูกควบคุมตัว  เพราะเรื่องแบบนี้แพทย์ทั้งสองท่านย่อมใช้จรรยาบรรณในการตรวจร่างกายและให้ความเห็นแพทย์ตามความเป็นจริงอย่างแน่นอน  แล้วอย่างนี้พอจะเดาได้หรือไม่ว่าใครกันล่ะที่ให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง

การร้องเรียนไปยังคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและส่งเอกสารร้องเรียนไปยัง พลโทอุดมชัย  ธรรมสาโรรัช แม่ทัพภาคที่ 4  เพื่อให้ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงซึ่งขณะนี้ทราบว่ากำลังดำเนินการอยู่ ก็เป็นเรื่องที่ฝ่ายความมั่นคงจะต้องทำความจริงให้ปรากฏตามขั้นตอนในฐานะที่ถูกกล่าวหาพาดพิง 

แต่จากเนื้อความในจดหมายร้องเรียนที่ถูกพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์โดยพี่สาวของนายซูลกิพลีฯ  และการส่งเอกสารถึงแม่ทัพภาคที่ 4 ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  ก็ยังมีกลิ่นทะแม่งๆ ของการจงใจสร้างประเด็นความขัดแย้งโดยการประสานงานกันอย่างเป็นระบบ  ทั้งสำนวนภาษาในเอกสารร้องเรียนของนางซาเร๊าะ ซิกะและการกล่าวถึงการที่ประเทศไทยผูกพันต่อพันธกรณีแห่งอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน   ที่ดูอย่างไรก็ทราบได้ว่านี่ไม่ได้เกิดจากการเขียนโดยชาวบ้าน  แต่เป็นการร่างให้โดยผู้มีความรู้ด้านกฎหมาย 

 และเช่นเคยองค์กรภาคประชาสังคมในพื้นที่โดยมูลนิธิผสานวัฒนธรรมและมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมซึ่งเป็นองค์กรที่มักหยิบยกเรื่องไม่ดีของฝ่ายความมั่นคงออกมานำเสนอโดยไม่เคยตรวจสอบข้อมูลก่อน ก็รีบเร่งออกมาช่วงชิงเอาความดีความชอบในทันที  ซึ่งถึงเวลานี้ด้วยผลยืนยันการตรวจร่างกายของแพทย์    ก็น่าจะรู้ได้แล้วมั้งว่าการเอาข้อมูลผิดๆ มาทำเป็นประเด็นเป็นเรื่องไม่ควรทำ  เพราะหากต้องการสร้างชื่อเสียงและผลประโยชน์ให้องค์กร  ยังมีวิธีอื่นๆ ที่สร้างสรรค์และง่ายกว่านี้อีกตั้งเยอะ  หรืออาจเป็นเพราะคิดเรื่องดีๆ ไม่เป็น?

แต่งานนี้ไม่ว่าคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงของแม่ทัพภาคที่ 4 จะสรุปผลจะออกมาเป็นอย่างไรในอีกมุมหนึ่งก็สามารถชี้ให้เห็นได้ว่า  จากคำรับสารภาพว่าเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุรุนแรงของนายซูลกิพลีฯ  ซึ่งหมายความว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้ที่ก่อกรรมทำเข็ญกับชาวบ้านในพื้นที่ที่ต้องบาดเจ็บ/สูญเสียชีวิตมายาวนาน โดยสรุปก็คือเขาเป็นโจรนั้นเอง   และผลการตรวจที่ยืนยันตรงกันของแพทย์ทั้งสองท่านว่าไม่มีบาดแผลที่เกิดจากการซ้อมทรมานของเจ้าหน้าที่ก็สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจน    แต่เหตุใดบุคคลและองค์กรเหล่านี้ซึ่งเป็นหน้าเดิมๆ  ถึงมีความพยายามที่จะปกป้องผู้ที่ทำผิดกฎหมายและสร้างประเด็นความแตกแยกให้เกิดขึ้นในพื้นที่ที่ต้องการความสงบแห่งนี้นัก 

และเช่นเคยกรณีเช่นนี้สื่อมวลชนที่ได้นำเสนอผ่านสื่อในมือของตนควรจะได้ระมัดระวัง  และใช้จรรยาบรรณในฐานะฐานันดร 4 อย่างมีสำนึกรับผิดชอบ  ความรวดเร็วในการนำเสนอเป็นสิ่งพึงประสงค์ในโลกยุคที่มีการแข่งขันด้านสังคมข่าวสารสูง  แต่ในความรวดเร็วนั้นต้องมีองค์ประกอบอันสำคัญที่จะขาดเสียมิได้คือความถูกต้องชัดเจนของข้อมูล  การนำเสนอด้านเดียวโดยไม่ตรวจสอบก่อนแล้วสร้างผลเสียที่ไม่เอื้ออำนวยต่อบรรยากาศในการเสริมสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่จึงเป็นสิ่งที่น่าเสียดายความมุ่งมั่นทุ่มเท  เสียสละแม้กระทั่งเลือดเนื้อและชีวิตของเจ้าหน้าที่จำนวนมาก    รวมถึงชีวิตของประชาชนตาดำๆ ที่ต้องมารับกรรมที่ไม่ได้ก่อซึ่งต้องมาสังเวยให้กับเหตุการณ์ในพื้นที่แห่งนี้  ในฐานะที่เป็นสื่อเหมือนกัน   อยากขอร้องว่าอย่าเอาวิชาชีพที่มีเกียรติไปแลกกับเศษเงินเล็กๆน้อยๆ เลย  ชาวบ้านที่นี่ยังรอความเห็นใจและความร่วมมือของพวกท่านอยู่   


ปล่อยข่าวลือป้ายสี วิธีจนตรอกที่ไร้ยางอาย



 ในขณะที่ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงได้ในเร็ววัน ในส่วนของกำลังรบทั้งสองฝ่ายต่างมีการบาดเจ็บล้มตายไปบ้างตามธรรมชาติของการต่อสู้ที่เหมือนกับการสาดน้ำเข้าหากัน  ในอีกแนวรบหนึ่งที่ฝ่ายขบวนการมักนำมาใช้และมักจะได้ผลดีเสมอคือ  การปล่อยข่าวลือโดยใช้เงื่อนไขทางศาสนาที่มีความละเอียดอ่อนเปราะบางนำมาบิดเบือนโดยการให้ข่าวสารด้านเดียวอยู่เนืองๆ

   เหตุการจราจลที่เรือนจำจังหวัดนราธิวาสเมื่อกลางปี 53 เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ชี้ชัดได้ว่าการปล่อยข่าวลือนั้นได้ผล  และสร้างความแตกแยกล่วงหน้าได้ทันทีทันใด  ที่สำคัญความแตกแยกนั้นยังได้ถูกขยายผลโดยความพยายามที่จะนำขึ้นสู่เวทีสากลเพื่อขอรับการสนับสนุนจากองค์กรมุสลิมต่างๆ ในต่างประเทศด้วย  เรื่องเริ่มจากเจ้าหน้าที่เรือนจำกลางจังหวัดนราธิวาสได้สืบทราบว่ามีการลักลอบนำยาเสพติดและโทรศัพท์มือถือเข้ามาในเรือนจำ จึงได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ 3 ฝ่ายจากทหาร  ตำรวจ  และฝ่ายปกครอง ประมาณ 150 นาย  เข้าตรวจค้นเรือนนอนนักโทษชาย   จากการตรวจค้นพบ ยาบ้า  ยาไอซ์  อุปกรณ์การเสพ และโทรศัพท์มือถือพร้อมซิมโทรศัพท์    ซุกซ่อนอยู่จึงได้ตรวจยึดไว้   ระหว่างนั้นมีนักโทษชายผู้ต้องหาคดีความมั่นคง จำนวน 2-3  คน  ได้ตะโกนเรียกร้องปลุกระดมให้กลุ่มนักโทษชายที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน  ให้ลุกฮือขึ้นต่อต้านขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่   โดยได้กล่าวอ้างใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ว่าเหยียบย่ำฉีกทำลายคัมภีร์อัลกุรอานและผ้าละหมาด  ซึ่งบรรดานักโทษได้ขว้างปาก้อนหิน ก้อนอิฐ ขวดน้ำ ท่อนไม้ ท่อนเหล็กของมีคมและเข้ารุมทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ทำให้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 25 นาย      

            การก่อเหตุจลาจลที่ทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บในครั้งนั้น สาเหตุมาจากนักโทษชายในคดีความมั่นคงต้องการปกปิดอำพรางความผิดหรือหลักฐานที่ได้จากการตรวจค้นภายในเรือนจำ ซึ่งมีระเบียบไม่อนุญาตให้นักโทษในเรือนจำใช้โทรศัพท์มือถือโดยเด็ดขาด  การปล่อยข่าวว่าเจ้าหน้าที่ดูหมิ่นคัมภีร์อัลกุรอานจึงเป็นการปลุกระดมที่ได้ผลชงัดนัก ตามด้วยการรับลูกต่อของนักเคลื่อนไหวจากองค์กรสิทธิมนุษยชนนำโดย นางแยนะ สะแลแม ที่ออกมาโหมกระพือโดยการให้ข่าวแบบไหลตามน้ำกับสื่อมวลชนเสมือนหนึ่งเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์และเห็นกับตาตัวเอง ขณะที่ในโลกไซเบอร์ก็มีเครือข่ายสร้างกระแสข่าวและความขัดแย้งให้กว้างไกลออกไป ซึ่งความพยายามในลักษณะนี้เป็นที่ทราบกันดีว่ามีความเชื่อมโยงเกี่ยวเนืองกันอย่างเป็นขบวนการ 



          จนเมื่อฝ่ายเจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงและได้นำหลักฐานที่ได้ตรวจพบ ที่ถือว่าเป็นหลักฐานเด็ดที่หักล้างข้อกล่าวหารุนแรงได้อย่างดีคือ คัมภีร์อัลกุรอานที่ได้ถูกนักโทษคดีความมั่นคงที่เป็นมุสลิมและเป็นผู้ปลุกระดมได้ถูกตัดเจาะเป็นช่องไว้ซุกซ่อนโทรศัพท์มือถือ ซึ่งนอกจากจะผิดกฎระเบียบของเรือนจำแล้วยังกระทำผิดหลักศาสนาด้วยการทำลายคัมภีร์อัลกุรอานซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย และที่สำคัญที่สุดเจ้าหน้าที่ทุกคนที่เข้าปฏิบัติการตรวจค้นเป็นมุสลิม  ย่อมมีความเลื่อมใสนับถือเคารพและศรัทธาในคัมภีร์อัลกุรอานเรื่องเลยกลับกลายเป็นว่าผู้ที่เหยียบย่ำหรือทำลายคัมภีร์อัลกุรอาน นั้นไม่ใช่เจ้าหน้าที่แต่กลับเป็นฝ่ายนักโทษที่กระทำเสียเอง  




เมื่อความจริงปรากฏฝ่ายปล่อยข่าวลือก็เถียงไม่ออก แล้วก็ยอมถอยกลับไปตั้งหลักเพื่อหาประเด็นอื่นๆมาปล่อยข่าวต่อไป  หากมองอย่างผิวเผินอาจดูว่าฝ่ายปล่อยข่าวลือนั้นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในเกมส์นี้  แต่จริงๆ แล้วฝ่ายปล่อยข่าวก็ยังได้เปรียบอยู่ดี   เพราะข่าวการลบหลู่คัมภีร์อัลกุรอานและความขัดแย้งได้ถูกเผยแพร่สร้างความเสียหายทางจิตใจของพี่น้องมุสลิมไม่เพียงแต่ใน3 จังหวัดชายแดนภาค ใต้  แต่เป็นของพี่น้องมุสลิมทั้งประเทศหรือทั้งโลกไปแล้วเรียบร้อย

และด้วยสงครามช่วงชิงความได้เปรียบด้านข่าวสารในพื้นที่เพื่อสนับสนุนงานด้านการแย่งชิงมวลชนของทั้งสองฝ่ายยังคงมีความเข้มข้น  จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าฝ่ายขบวนการจะยังคงใช่เงื่อนไขทางศาสนามาปลุกกระแสเพื่อสร้างความได้เปรียบและเป็นฝ่ายรุกอยู่อย่างต่อเนื่อง  ใครจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำในสมรภูมินี้คงยากที่จะคาดเดา  แต่ที่แน่ๆประชาชนผู้บริโภคข่าวสารคงต้องพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนปักใจเชื่อฝ่ายไหน  ซึ่งเชื่อได้เลยว่าด้วยสามัญสำนึกของประชาชนผู้รักความสงบและใฝ่สันติ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้แห่งนี้ที่ต้องทนรับเคราะห์กรรมจากการกระทำของผู้ก่อเหตุรุนแรงมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ต่างทราบดีอย่างแน่นอนว่า  ใครคือผู้ที่ต้องการสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างแท้จริง  และใครคือผู้ที่ให้ความช่วยเหลือกับพี่น้องประชาชนอย่างไม่เลือกเชื้อชาติศาสนา  เพราะถึงตอนนี้ด้วยการกระทำแบบตรงกันข้ามและป่าเถื่อนของขบวนการ  ที่ฆ่าไม่เลือกทั้งไทยพุทธและมุสลิม  ทำให้ชาวบ้านเค้าไม่เชื่อขบวนการกันแล้ว  รู้ไว้ซะ



2/23/2555

เขตปกครองพิเศษปัตตานีมหานคร หนทางสู่สันติ? ฝันที่ (ไม่) มีวันเป็นจริง


ในช่วงปี 2553 ที่ผ่านมากระแสการจัดตั้งเขตปกครองพิเศษในพื้นที่ที่ยังมีปัญหาของบ้านเราซึ่งคงหนีไม่พ้น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายแตกต่างทางวัฒนธรรม ประเพณี และความเชื่อทั้งระหว่างประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เอง  และประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ  และได้มีกลุ่มบุคคลได้ใช้ความแตกต่างนี้มาเป็นเงื่อนไขในการสร้างความแตกแยกโดยการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่อย่างต่อเนื่องตลอด 8 ปีที่ผ่านมาเพื่อยกระดับความขัดแย้งไปสู่สากล  และสร้างความชอบธรรมในการจัดการลงประชามติของประชาชนในพื้นที่ในการปกครองตนเองโดยการแยกตัวเป็นเอกราช  ซึ่งรัฐบาลที่ผ่านมาก็ได้พยายามแก้ไขปัญหานี้มาโดยต่อเนื่องทุกวิถีทางโดยใช้แนวทางสันติวิธีเป็นหลักแต่ดูเหมือนว่าความพยายามสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่เพื่อหยุดปัญหาเหล่านั้นจะยังคงไม่สัมฤทธิ์ผลเท่าที่ควร  การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐยังคงเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ  ขณะที่ความพยายามของกลุ่มบุคคลข้างต้นก็ยังใช้ทุกวิถีทางทั้งการปฏิบัติการทางทหารและทางการเมืองตั้งแต่ระดับท้องถิ่นไปถึงระดับชาติแล้วสร้างกระแสให้ขยายตัวไปถึงระดับสากลเพื่อขอการสนับสนุนจากกลุ่มประเทศต่างๆ ในการแยกตัวเพื่อปกครองตนเอง 
ด้วยปัญหาที่ถูกมองว่าอาจไร้ทางออก  เขตปกครองพิเศษปัตตานีมหานครจึงถูกจุดประกายและหยิบยก ขึ้นมาเป็นทางเลือกท่ามกลางการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งสนับสนุนและไม่เห็นด้วย  ภายใต้การขับเคลื่อนเพื่อหาเสียงสนับสนุนโดยองค์กรภาคประชาสังคมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ร่วมมือกับองค์กรทางวิชาการ จัดเวทีสาธารณะเพื่อรับฟังความต้องการของคนในพื้นที่ ร่วมถึงมีการร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการปัตตานีมหานครมาเป็นที่เรียบร้อย โดยชูธงให้เห็นข้อดีของการเป็นเขตปกครองพิเศษคือ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ในฐานะ พลเมืองไทย” ทุกคนสามารถร่วมมือกันช่วยแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้แบบยั่งยืน  ด้วยกระบวนการทางการเมืองภาคประชาชนโดยใช้ช่องทางของรัฐธรรมนูญไทย  เพื่อกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  ให้พึ่งพาตนเองและตัดสินใจในกิจการของท้องถิ่นที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ อยู่ร่วมกันภายใต้ความหลากหลายทางชาติพันธ์ ศาสนา ภูมินิเวศน์ และวัฒนธรรม ใช้การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธี  โดยพิจารณาจากโครงสร้างพื้นฐานในท้องถิ่นให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกัน และร่วมกันออกแบบวัฒนธรรมอันดีทางการเมืองไทยในอนาคตเพื่อคนไทยรุ่นต่อไป  ซึ่งนั้นนับว่าเป็นเหตุผลที่ดีตามครรลองของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย 
ต่อประเด็นข้างต้นหากมองในด้านของการยุติปัญหาการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่แล้ว  นักวิชาการหลายท่านต่างออกมาระบุในทำนองเดียวกันว่า การจัดตั้งเขตปกครองพิเศษปัตตานีมหานครเป็นการหาจุดสมดุลระหว่างรัฐไทยที่ปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจ ขณะที่ฝ่ายขบวนการก่อการร้ายต้องการแบ่งแยกดินแดนแล้วก่อตั้งเป็นประเทศเอกราช หากประชาชนในพื้นที่เห็นด้วยกับการกำหนดอนาคตการเมืองการปกครองของตนเองในรูปแบบปัตตานีมหานครได้ ก็จะเป็นการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ไปด้วย เนื่องจากฝ่ายขบวนการไม่สามารถหามวลชนไปสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนได้  ซึ่งประเด็นสำคัญคือเป็นหนทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ไม่ใช่เพื่อการแบ่งแยกดินแดน  ประกอบกับการแก้ไขปัญหาความต้องการในการปกครองตนเองในลักษณะนี้มิได้เกิดขึ้นเพียงในประเทศไทยเท่านั้น  แต่หลายประเทศที่ประสบปัญหานี้ก็ได้ใช้แนวทางนี้ในการแก้ปัญหาก็สามารถทำให้คลี่คลายลงได้ด้วยความพอใจของทุกฝ่าย  นี่เป็นอีกมุมมองหนึ่ง
ในอีกมุมมองเห็นว่าการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น โดยใช้หลักการจังหวัดจัดการตนเองโดยประชาชนมีส่วนร่วมนั้นเป็นแนวทางที่ดีและสามารถแก้ปัญหาพิเศษเฉพาะพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  แต่ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ผ่านมามีข้อสังเกตที่สำคัญประการหนึ่งคือ การที่มีพรรคการเมืองหนึ่งชูนโยบายการกระจายอำนาจโดยใช้โมเดล “นครรัฐปัตตานี” เพื่อขอเสียงสนับสนุนในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจากประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ท้ายที่สุดก็พ่ายแพ้การเลือกตั้งในพื้นที่นี้  ซึ่งนี่อาจเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่แท้จริงของประชาชนในพื้นที่ได้ส่วนหนึ่งว่า  ต้องการการปกครองตนเองในลักษณะเขตปกครองพิเศษหรือไม่
ขณะที่ความชัดเจนเรื่องความต้องการหรือไม่ต้องการปกครองตนเองของประชาชนในพื้นที่ยังไม่เด่นชัด  ความพยายามขององค์กรภาคประชาชนที่เคลื่อนไหวสร้างกระแสสนับสนุนยังคงดำเนินต่อไป  ประเด็นหนึ่งที่ต้องยอมรับว่ากระแส กลัวการกระจายอำนาจ ที่เกิดขึ้นในใจทั้งฝ่ายรัฐไทยและประชาชนในพื้นที่นั้นยังคงมีอยู่แน่นอน ด้วยเพราะพื้นที่นี้มีปัญหาด้านความมั่นคงจากสถานการณ์ความไม่สงบอยู่   หากเดินหน้าจัดตั้ง ปัตตานีมหานคร หรือโมเดลการปกครองท้องถิ่นแบบพิเศษอื่นในชื่อใดๆ ก็ตาม จะกลายเป็นการตั้ง เขตปกครองพิเศษ ซึ่งบรรดาผู้ที่จะเข้ามาบริหารนั้นแน่นอนว่าด้วยการต่อสู้ทางการเมืองในพื้นที่ที่จะเกิดเพิ่มมากขึ้นเพื่อช่วงชิงอำนาจในการเข้ามาบริหาร  ผู้ที่จะสามารถเข้ามามีอำนาจได้ก็คือผู้ที่มีบทบาททางการเมืองสูงในพื้นที่อยู่ในปัจจุบัน  ซึ่งฝ่ายความมั่นคงเชื่อว่ามีความเชื่อมโยงของนักการเมืองในพื้นที่กับขบวนการที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องเกื้อกูลกันอยู่  หากมีการจัดตั้งเขตปกครองพิเศษขึ้นในอนาคตอาจส่งผลบานปลายให้เกิดการ แบ่งแยกดินแดน ได้ในท้ายที่สุด
อย่างไรก็ดีการเดินหน้าเรื่องปัตตานีมหานครโดยการขับเคลื่อนของรัฐบาลปัจจุบันในช่วงแรกของการเข้ามาบริหารประเทศนั้นยังไม่มีความความคืบหน้าเท่าที่ควร อาจเป็นเพราะปัญหาต่างๆ ที่เข้ามารุมเร้าให้ต้องตามแก้เกิดมีขึ้นอย่างต่อเนื่อง  หรือเพราะการไม่ขานรับนโยบายเขตปกครองพิเศษปัตตานีมหานครของพรรคการเมืองนั้นในช่วงการเลือกตั้งก็ตาม  แต่ที่แน่ๆ  กระแสการกระจายอำนาจและจัดตั้งองค์กรปกครองท้องถิ่นแบบพิเศษภายใต้รัฐธรรมนูญกำลังกลับมาเป็นประเด็นทางการเมืองที่ฝ่ายการเมืองทั้งในท้องถิ่นและระดับชาติกำลังชิงไหวชิงพริบในการเข้ามามีบทบาทเพื่อสถาปนาฐานอำนาจทางการเมืองของพรรคตน  เพื่อปูทางไปสู่ชัยชนะทางการเมือง 

ไม่ว่าการจัดตั้งเขตปกครองพิเศษในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะใช้โมเดลการปกครองพิเศษแบบใด จะสามารถดำเนินการให้เป็นรูปร่างตามแนวทางภายใต้รัฐธรรมนูญได้ในระยะเวลาอันใกล้หรือไม่ หรือเมื่อจัดตั้งเป็นเขตปกครองพิเศษแล้วจะเอื้อประโยชน์ให้กับใคร การคำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนในพื้นที่นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ทุกฝ่ายต้องตระหนักและนำมาวิเคราะห์อย่างรอบคอบ   เพราะเหตุผลหลักที่ทุกฝ่ายบอกเป็นเสียงเดียวกันคือต้องการสร้างความสงบสุขให้เกิดมีขึ้นในพื้นที่แห่งนี้มิใช่หรือที่เป็นสาระสำคัญที่นำมากล่าวอ้างและต้องการให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง แต่หากจัดตั้งแล้วไม่ส่งผลให้เกิดความสงบสุข ตรงกันข้ามกลับเป็นชนวนเหตุของความขัดแย้งแย่งชิงอำนาจของนักการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ทั้งกลุ่มธุรกิจผิดกฎหมายและขบวนการ   ความใฝ่ฝันถึงความสงบสันติที่ประชาชนในพื้นที่ไขว่คว้าโหยหามายาวนานคงเป็นไปได้ยากนัก
ซอเก๊าะนิรนาม




2/19/2555

“ Spareing Basaw and Masare Useng ready to report himself and return to his homeland”

“ Spareing Basaw and Masare Useng ready to report himself and return to his homeland”
By Mr.Chaiyong Meneepiluek
News source
News spreading “Spareing Basaw and Masae Useng ready to return to Thailand after fleeing  from the case against Thai national stability in southern provinces long time. Lately PULO leader Yase Parte  in Europe ordered  to disintegrate the Co-operation Center  to stop of southern crises  in Thailand .
 
            The reporter said that Mr. Yase Parte the leader of  PULO in Europe stationed in Germany who fight against the Thai government to separate 3 southern provinces of Thailand for ten of years had ordered to disintegrate since August 2011. He returned to Yala province by cooperated with  Mr. Panu Utairat the secretary of Southern Operation Center.
            Mr. Parte said ,before returning  homeland had cooperated with the Democratic Party with Mr.Panu Utairat and Mr. Sutep Tueksuban former vice prime minister of Thai National Security regularly. He wanted to  come to help solve the problem of southern crisis and develop the country. He sooner will help bringing the members in Europe return  homeland, too.
            Currently he open “ the Center of Cooperation  People Voluntary Solving  Problem in the South of Thailand” since 12 September 2011. This center used for cooperation with various group leaders to help solving problem in the region.
            More over, besides the returning home of Mr. Yase Parte. The Thai National Stability Unit received cooperation with the leader of  B.R.N. movement of the report of Mr.Spare ing Masare Useng the director of Thamma Foundation School who identified one of the two of a 7 step planer to form Pattanee Darussalam, he also has a case of the Thai National Security needed by Thai law who reward of 5 m฿ will report  himself to the Thai Authority in next October, too.
            Both of them, 4th Region Security HQ. and the Thai National Security Council identified they are the high ranking of the B.R.N. Coordinate Movement and support the riot in the south of Thailand since 2004
            For Mr. Yase Parte  the Europe PULO leader didn’t have a warrant of arrest, only his name is in the list of the PULO movement, not the same as Mr.Masae Useng andMr. Spare ing Basor who plotted of unrest such as bomb attact and murdering many cases.
3 of them still  can be tried under article 21 by report themselves to the Thai authority to be in process of interrogation and mind development program.
LTG. Udomchai  Thammasarorach 4th Army region commander and Director of 4th Security Administration Front said: He known about the  returning of Mr. Yase Parte  long time and agree with those people who stay outside to come and have peace talk under the plan of “ Bringing people back home” For Mr.Sapare ing Basaw and Mr. Masae Useng if real happen, the current crisis will be solved with peace method.
However another PULO movement group led by Mr. Custuri Makoda station in Sweden not agree with this and condemned of disintegrate in Europe , He said  those people did not follow the ideology of the fighting policy of the movement. He also sent letter on an email 24th September 2011 to Ms. Yinlak Chinawatra the Prime minister of Thailand to open talk with the PULO movement about the crisis in the south.
Even though this is a rumor or real, it will be a sign of peace talk. Every war in the world ended with talk. No people support the war creator and violator and no one  responsible of the incidents in 3 provinces in the south of Thailand .
For some movement groups harming  and murdering the innocent people to gain advantages and influence for illegal trading such as, fuel, drug, land to grow rubber plants in the south of Thailand.
Who will be the representative for those people for peace talk and order to stop ??????
Will they do for ideology, religion or  for money?

2/17/2555

นักรบฟาตอนี โยนบาปจนเป็นสันดาน กล้าทำชั่วแต่ไม่กล้ารับผิด


เหตุการณ์ที่บ้านกาหยี ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี  กรณีคนร้ายลอบยิง M-79 ใส่ฐานทหารพรานแล้ววางแผนให้ชาวบ้านเป็นโล่ห์กำบังใช้รถไปรับเพื่อหนีเอาตัวรอด  แต่กลับมาเจอการติดตามของเจ้าหน้าที่แล้วเกิดการปะทะกันขึ้นจนต้องหนีเอาตัวรอด ส่วนหนึ่งถูกยิงตายในรถรวมทั้งชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องด้วย  กำลังเป็นประเด็นร้อนที่ทั้งฝ่ายขบวนการและเจ้าหน้าที่กำลังตอบโต้กันไปมาถึงสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ในขณะที่มีการแพร่กระจายข่าวสารแบบบิดเบือนแบบอย่างน่าขำของโจรกระจอกเหมือนหมาจนตรอกอย่างที่เคยทำจนชินชาว่าเจ้าหน้าที่เป็นผู้กระทำ ซึ่งหากมองในแง่ของผู้ที่บังอาจยกระดับตัวเองจากโจรเป็นนักรบแล้ว  นี่เป็นการกล่าวอ้างอย่างไร้ยางอายยิ่งกว่าการกล่าวอ้างจากสนามรบใดๆ


ก่อนเกิดการยิงปะทะกันระหว่างนักรบขี้ยากับเจ้าหน้าที่ทหารได้เกิดเหตุการใช้ M-79 ยิงเข้าใส่ฐานของทหารพรานในเวลาค่ำมืด  จนเกิดการไล่ติดตามจนมาพบรถคันที่เกิดเหตุที่ถูกเรียกให้หยุดเพื่อตรวจสอบซึ่งรถคันดังกล่าวก็หยุดแต่ได้ถอยหลังจากจุดที่ถูกเรียกในลักษณะถอยตั้งหลัก  จากนั้นทั้งชาวบ้านที่รอดชีวิตและทหารก็ให้การตรงกันว่าได้ยินเสียงปืนจากบริเวณป่า 2-3 นัด หลังจากนั้นจึงถูกยิงมาที่รถทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย และบาดเจ็บ 4 ราย  ภายหลังได้ตรวจค้นพบอาวุธปืน AK-47 จำนวน 1 กระบอก และ ปืนพก .45 มม. อีก 1 กระบอกอยู่ในรถ 

ส่วนของชาวบ้านที่อยู่ในรถก็เป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบต่อไปว่ามีส่วนรู้เห็นหรือไม่อย่างไร  แต่ที่แน่ๆ เหล่านักรบฟาตอนีผู้กล้าที่เอาชาวบ้านมาเป็นโล่ห์กำบังได้แสดงความรับผิดชอบด้วยการวิ่งหนีหางจุกตูด  พร้อมกับกระจายข่าวสารตามสันดานในทันทีว่าเจ้าหน้าที่ฆ่าชาวบ้านผู้บริสุทธิ์  น่าขำที่อุปโลกเรียกตัวเองเป็นนักรบ แต่ทิ้งชาวบ้านที่ตัวเองเอาปืนไปบังคับให้เขาร่วมมืออย่างไม่ตั้งใจด้วยและเมื่อถูกตอบโต้กลับทิ้งให้ต้องรับกรรมที่ไม่ได้ก่อซึ่งเรื่องทำนองนี้ใครก็รู้ว่าเป็นเรื่องที่ขบวนการหน้าตัวเมียนี้ก่อกรรมทำเข็ญกับชาวบ้านมาโดยตลอดเพราะชาวบ้านเค้าไม่มีใครอยากจะร่วมมือด้วย  เลยต้องอาศัยวิชามารบังคับขู่เข็ญแล้วมาบอกว่าชาวบ้านเห็นดีเห็นงามด้วย
ในส่วนของเจ้าหน้าที่หากมองแบบเป็นกลางก็น่าเห็นใจเพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร  แต่ที่ได้ตัดสินใจทำไปเพราะด้วยสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานทำให้ต้องตอบโต้เพราะเคยโดนยิงจนตายมาแล้ว  อย่างไรก็ดีก็ต้องรอผลการสืบสวนและการพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์อีกครั้งว่าใครเกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไร  ถึงจะสามารถฟันธงได้

ข้างฝ่ายความมั่นคงโดยพลตรีอัคร  ทิพย์โรจน์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในได้ออกมาชี้แจงตามข้อเท็จจริงว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นตามลำดับอย่างไร  และในทันทีได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงขึ้นมาอีก 2 คณะ  เพื่อทำความจริงให้ปรากฏ  นอกจากนี้ในขั้นต้นได้ให้การช่วยเหลือทุกทางอย่างไม่มีเงื่อนไขทั้งๆ ที่ยังไม่มีข้อสรุปว่าบุคคลเหล่านั้นจะเกี่ยวข้องกับคนร้ายหรือไม่อย่างไร  ซี่งดูแล้วก็ยังดีกว่าวิ่งหนีตายแบบนักรบจอมปลอมเป็นไหนๆ

ดังนั้นความพยายามปล่อยข่าวบิดเบือนอย่างน่ารังเกียจในหลายช่องทางว่าเหตุการณ์นี้เจ้าหน้าที่จงใจทำร้ายพี่น้องประชาชน  โดยให้เหตุผลหน้าด้านๆ ว่าเป็นความเห็นของพี่น้องมลายูมุสลิมจึงเป็นการเอาตัวรอดเพื่อให้หลุดพ้นจากความผิดพลาดแบบอ่อนหัดของขบวนการ  เพราะในความเป็นจริงแล้วพี่น้องประชาชนในพื้นที่เขาทราบดีว่าจะทำอย่างไรให้บ้านเมืองของเขาสงบสุข  แต่เขาไม่สามารถทำได้เพราะมีพวกโจรมาบงการโดยใช้ลูกกระสุนปืนข่มขู่อยู่เท่านั้นเอง 

กระแสการออกมาแก้ตัวพร้อมป้ายสีเจ้าหน้าที่ของพวกขี้ขลาดตาขาวจนถึงขณะนี้ยังคงออกมาหลายรูปแบบและต่อเนื่อง  น่าจะเป็นการกลบเกลื่อนความผิดพลาดของตนเองและรักษามวลชนไว้  แต่เชื่อมั้ยว่าถึงวันนี้ไม่มีใครเค้าอยากจะร่วมมือกับขบวนการจอมปลอมนี้แล้ว  อย่าว่าแต่ประชาชนในพื้นที่เลย  พวกเดียวกันเองยังกัดกันไม่เลิกเพราะผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว   มิหน่ำซ้ำยังหลอกลวงเยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติให้หลงผิดเข้ามาร่วมขบวนการด้วยอุดมการณ์จอมปลอม  หลอกและบังคับชาวบ้านให้ร่วมมือด้วยการข่มขู่คุกคาม  หลอกแม้กระทั่งพวกเดียวกันเองเพื่อให้ตนเองเสวยสุขอยู่บนกองเงินกองทองที่ได้รับบริจาคแบบขลาดเขลา  อย่างนี้ยังมีหน้าจะมาบอกว่าทำเพื่อพี่น้องมลายูมุสลิมอีกเหรอ  น่าสงสารพี่น้องเราจริงๆ  ยังมีอีกแล้วจะเล่าให้ฟัง    
ซอเก๊าะห์นิรนาม

2/12/2555

เหยื่อแผนเบรค ม.21 อ่วม ผู้เสียหาย 28 รายรุมฟ้องยับ ศูนย์ทนายความมุสลิมหัวหดปัดรับผิดชอบ


           และแล้วแผนความพยายามล้มมาตรา 21 ซึ่งบุคคลและกลุ่มบุคคลที่อ้างตัวว่าจะให้การช่วยเหลือผู้ต้องหา 4 รายแรกให้หลุดพ้นจากการดำเนินการคดีก็พังลงอย่างไม่เป็นท่า  หน่ำซ้ำผู้ต้องหาทั้ง 4 ซึ่งประกอบด้วย นายมะซับรี  กะบูติง นายซุบิร์  สุหลง  นายสะแปอิง  แวและ  และนายอับริก  สหมานกูด ยังถูกผู้เสียหายซึ่งได้รับผลกระทบจากการกระทำของพวกเขาจำนวนถึง 28 ราย รุมฟ้องร้องดำเนินคดีในหลายข้อหาหนักตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา  ซึ่งหากผู้ต้องหาไม่ถอนตัวออกจากกระบวนการตามมาตรา 21 ตามคำยุยงของผู้ไม่หวังดีแล้ว  เหตุการเช่นนี้คงไม่เกิดขึ้น