หน้าเว็บ

12/18/2555

ไฟใต้จักมอดดับได้ด้วยประชาชน



 
สถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ได้ปะทุขึ้นอีกครั้งในต้นปี 2547  โดยทวีความรุนแรง จากเหตุการณ์การบุกโจมตีที่ตั้งหน่วยกองพันพัฒนาที่ 4 อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ซึ่งผู้ก่อเหตุรุนแรงได้เข้าปล้นอาวุธปืนสงครามไปจำนวนมาก พร้อมสังหารเจ้าหน้าที่อย่างโหดเหี้ยม 4 ศพ นับเป็นจุดเริ่มต้นของความรุนแรงที่ดำเนินต่อเนื่องยาวนานเกือบ 9 ปี 

ในช่วงแรกของสถานการณ์นั้นเป้าหมายในการลอบทำร้ายคือ เจ้าหน้าที่ของรัฐ  โดยเฉพาะทหารและ ตำรวจ ด้วยข้ออ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมในการก่อเหตุของผู้ก่อเหตุรุนแรงว่า  ต้องการตอบโต้รัฐไทยที่ไม่ให้ความยุติธรรมต่อประชาชนผู้นับถือศาสนาอิสลามซึ่งเป็นคนมลายูและที่สำคัญ คือ การแบ่งแยกดินแดนตอนใต้ของไทยใน 3 จังหวัดและ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา เพื่ออิสระในการปกครองตนเอง  พร้อมๆ กับการปลุกระดมสร้างความหวาดกลัว และหวาดระแวงให้เกิดขึ้นกับกลุ่มคนไทยต่างศาสนามาเป็นเงื่อนไขอย่างต่อเนื่อง

โดยกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ได้ใช้ประเด็นที่มีความอ่อนไหวในเรื่องความแตกต่างทางศาสนา  วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ของประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่ และขยายแนวร่วม จากกลุ่มมุสลิมในพื้นที่โดยการแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนเรื่องชาติพันธุ์การเป็นคนมลายูปัตตานี  และบีบบังคับให้คนต่างศาสนาออกนอกพื้นที่โดยวิธีการข่มขู่ต่างๆนานา เข่น ก่อเหตุรุนแรงใช้อาวุธสงครามฆ่าคนไทยพุทธอย่างโหดเหี้ยม และระเบิดในสถานที่ขุมชนสร้างความสะพรึงกลัวให้กับคนไทยพุทธในพื้นที่จนต้องตัดสินใจอพยพย้ายถิ่นออกนอกพื้นที่  โดยเฉพาะการบิดเบือนคำสอนอันดีงามของศาสนาอิสลามว่าการทำร้ายคนต่างศาสนาเป็นสิ่งที่ไม่ผิด   จึงกลายเป็นชนวนเหตุสำคัญให้สถานการณ์ภาคใต้ของไทยกลับเลวร้ายมากยิ่งขึ้นและขยายขีดความรุนแรงขึ้นตามลำดับ 

ถึงวันนี้รูปแบบของสถานการณ์การก่อเหตุรุนแรงได้มีการพัฒนาความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นในลักษณะการบ่อนทำลาย การก่อวินาศกรรมด้วยการลอบวางระเบิดขนาดใหญ่เพื่อสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจในเขตชุมชนเมือง  การลอบสังหาร และลอบวางเพลิง ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บเสียชีวิต ทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนทั่วไปทั้งผู้นับถือศาสนาพุทธและมุสลิมจนถึงปัจจุบันมีจำนวนตัวเลขพุ่งสูงขึ้นตามลำดับ  ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพสังคมจิตวิทยา  ระบบเศรษฐกิจทั้งในพื้นที่และของประเทศโดยรวมอย่างมาก 

และแน่นอนว่าสถานการณ์ในภาคใต้ของไทยกำลังถูกจับตามองจากหลายฝ่ายทั้งภายในและนอกประเทศว่าบทสรุปของความรุนแรงนี้จะจบลงได้หรือไม่  เมื่อไหร่และอย่างไร

          สำหรับคำถามนี้เชื่อว่าผู้ที่อยากรู้คำตอบมากที่สุดคงไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่โดยเฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาพุทธที่ต้องทนอยู่กับการก่อเหตุรุนแรงสารพัดชนิด  เห็นภาพของความสูญเสียอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน  ซ้ำร้ายหลายคนต้องประสบพบเจอกับการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก  ในขณะที่ไม่สามารถหนีออกจากพื้นที่ได้เพราะที่นี่เป็นเสมือนบ้านที่อยู่มาตั้งแต่ปู่ยาตายาย  การอพยพออกนอกพื้นที่จึงเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุที่ไม่สมควรกระทำในขณะที่สามารถทำให้ปัญหาความรุนแรงนี้ลดน้อยลงหรือหมดไปได้ด้วยวิถีทางอื่น

          จากความยืดเยื้อยาวนานของปัญหาความรุนแรง  ความยากลำบากในการดำรงชีวิตประจำวัน  การอยู่ร่วมกันแบบหวาดระแวงทำให้กระแสความเบื่อหน่ายและไม่สนับสนุนการก่อเหตุเริ่มปรากฏทุกหย่อมหญ้าไม่เว้นแม้แต่พี่น้องมุสลิมที่ผู้ก่อเหตุรุนแรงอ้างกับเขาเหล่านั้นว่าทำเพื่อปกป้องศาสนา  แต่สุดท้ายก็ยังไม่วายที่ต้องถูกเข่นฆ่าไปด้วยเมื่อไม่ให้ความร่วมมือ  เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าการกระทำของผู้ก่อเหตุรุนแรงได้สร้างผลกระทบด้านลบต่อพี่น้องประชาชนทุกคนเป็นส่วนรวมในทุกด้าน

และนี่คงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาสื่อมวลชนต่างออกมานำเสนอข่าวสารความเป็นไปในจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างสร้างสรรค์เต็มไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ ด้วยการสะท้อนภาพที่แท้จริงถึงความพยายามในการแก้ปัญหาของทุกภาคส่วน  รวมทั้งเรียกร้องให้ทุกฝ่ายต้องหันหน้าเข้าหากัน เพื่อหาหนทางช่วยกันทำให้เหตุการณ์ยุติลงโดยเร็วซึ่งดูจะเป็นเค้าลางที่ดีหากได้รับความร่วมมือในลักษณะนี้ต่อไปในฐานะสื่อที่เปี่ยมล้นด้วยจรรยาบรรณ 

          ในฐานะเป็นคนในพื้นที่ที่รู้เห็นปัญหานี้มาโดยตลอดจึงอยากใช้เวทีนี้ขอบคุณไปยังท่านสื่อมวลชนเหล่านั้นด้วยความจริงใจ
          เพราะการปล่อยให้ฝ่ายความมั่นคงเป็นฝ่ายแก้ปัญหาอยู่ฝ่ายเดียวไม่สามารถทำให้ปัญหาในพื้นที่ภาคใต้จบลงได้  เพราะปัญหาที่เป็นรากเหง้าฝังลึกนั้นมิได้มีเพียงกลุ่มขบวนการเท่านั้น  หากยังมีตัวแปรส่งเสริมอื่นๆ อีกที่เป็นปัจจัยสนับสนุน

การยุติความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ยังดำเนินไปอย่างไม่มีทีท่าว่าสิ้นสุดลงนี้ ได้ปรากฏ เสียงเรียกร้องต้องการความสงบสุขจากพี่น้องประชาชนมาโดยต่อเนื่อง  ดังนั้นการแก้ปัญหานี้ด้วยการลุกขึ้นร่วมกันต่อต้านโดยไม่แบ่งแยก  ปฏิเสธและไม่สนับสนุนการก่อเหตุรุนแรงอย่างสิ้นเชิง ด้วยความสามัคคีร่วมกันสอดส่องดูแลและแสดงพลังของประชาชนออกมา  ภายใต้การใช้บทบาทนำของผู้นำท้องถิ่นเท่านั้นที่จะช่วยให้ฝันร้ายนี้จบสิ้นลง   เพราะวันนี้ในต่างประเทศยังเข้าใจสถานการณ์และความเป็นไปของภาคใต้ของไทย หลายฝ่ายทั้งองค์กรระดับชาติรวมถึงสื่อมวลชนในต่างประเทศยังพร้อมใจกันประณามการก่อเหตุด้วยข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นของผู้ก่อเหตุรุนแรงว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง

ลองนึกดูว่าหากไฟกำลังไหม้บ้านเรา  แล้วพวกเราซึ่งเป็นคนอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันไม่ช่วยกันตักน้ำมาดับไฟแล้วจะรอให้ใครมาช่วย  เราคงไม่อยากให้บ้านของเรามอดไหม้ไปกับตาทั้งๆ ที่ยังสามารถช่วยกันได้มิใช่หรือ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราต้องร่วมมือกัน   ตอบได้เลยตอนนี้ว่าพลังของพวกเราประชาชนในพื้นที่เท่านั้นที่จะยุติไฟที่กำลังเผาไหม้บ้านของเราลงได้  คำถามต่อไปคือ  เราจะรออะไรอยู่ 

ซอเก๊าะ   นิรนาม

12/13/2555

ยูนิเซฟเรียกร้องให้ยุติการกระทำรุนแรงต่อเด็กในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้



กรุงเทพมหานคร – 12 ธันวาคม 2555 – วันนี้เจ้าหน้าที่องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) เรียกร้องให้ยุติการกระทำรุนแรงต่อเด็กในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศ ไทยในทันที หลังทารกหญิงวัย 11 เดือนเป็นหนึ่งในบรรดาผู้เสียชีวิตห้ารายจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ณ ร้านขายน้ำชาแห่งหนึ่งในจังหวัดนราธิวาสเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

พิชัย ราชภัณฑารี ผู้แทนองค์การยูนิเซฟประจำประเทศไทย ประนามการสังหารครั้งนี้ว่าเป็น การกระทำที่น่าเศร้าสลดใจ ไร้เหตุผล และไม่สามารถยอมรับได้” ทั้งยังเรียกร้องให้ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย “ร่วมกันทำทุกวิถีทางที่จะหยุดยั้งการกระทำรุนแรงและทำให้แน่ใจว่าเด็กทุกคน ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากความรุนแรงทั้งหลายเหล่านั้น

ทารกเพศหญิง อินฟานี สาเมาะ ถูกสังหารขณะกลุ่มชายใช้อาวุธปืนสงครามกราดยิงเข้าใส่ร้านน้ำชาในอำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาสเมื่อตอนสายของวันอังคารที่ผ่านมา เด็กกว่า 50 คนถูกสังหาร และกว่า 340 คนได้รับบาดเจ็บนับตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดน ภาคใต้ของประเทศไทยในเดือนมกราคม พ.ศ. 2547 โดยมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความรุนแรงรวมทั้งหมดแล้วกว่า 5,000 คน

เมื่อปลายเดือนตุลาคมของปีนี้ เด็กชายวัย 11 ขวบคนหนึ่งถูกสังหารพร้อมพ่อในรถกระบะระหว่างถูกลอบทำร้ายโดยกลุ่มชายติด อาวุธที่อำเภอรามัน จังหวัดยะลา  

ทุกครั้งที่มีเด็กถูกฆ่าหรือได้รับบาดเจ็บ ทุกครั้งที่เด็กสูญเสียพ่อแม่หรือญาติพี่น้อง และทุกครั้งที่โรงเรียนและครูของพวกเขาถูกโจมตี เด็กๆในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะต้องทนทุกข์ทรมานมากขึ้นเท่านั้น” ราชภัณฑารีกล่าว “การยุติความรุนแรงทั้งหมดเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้แน่ใจได้ว่าสิทธิของเด็ก ทุกคนที่อยู่ในภาคใต้ได้รับความคุ้มครองและเอาใจใส่อย่างสมบูรณ์เต็มที่

12/05/2555

ผู้ทำร้ายครู เขาเหล่านั้นหาใช่อิสลามไม่


การเสียชีวิตของนางสาวฉัตรสุดา นิลสุวรรณ ครูโรงเรียนบ้านยาโงะ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส  นับเป็นเหตุคร่าชีวิตครูผู้หญิงรายที่ 2 ในรอบ 12 วัน เนื่องจากเมื่อวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา เพิ่งจะเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนสังหาร นางนันทนา แก้วจันทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านท่ากำชำ    อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เสียชีวิตขณะขับรถยนต์ออกจากโรงเรียนเพื่อเดินทางกลับบ้าน จนทำให้สมาพันธ์ครูสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องประกาศปิดการเรียนการสอนโรงเรียนกว่า 300 แห่งใน จ.ปัตตานี อย่างไม่มีกำหนด เพื่อกดดันให้รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงปรับแผนรักษาความปลอดภัยครูให้รัดกุมกว่าที่เป็นอยู่  จนเมื่อมีการประชุมหารือกับฝ่ายความมั่นคงจนเป็นที่พอใจจึงได้ประกาศเปิดการเรียนการสอนอีกครั้งเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ที่ผ่านมา  แต่แล้วผู้ก่อเหตุรุนแรงซึ่งเป็นฝ่ายจ้องกระทำก็ก่อเหตุยิงครูซ้ำขึ้นอีกครั้ง  การก่อเหตุซ้ำซ้อนในขณะที่ฝ่ายความมั่นคงยังตั้งตัวไม่ติดอีกครั้งนี้  แน่นอนว่าย่อมสร้างแรงสั่นสะเทือนไปถึงบรรดาครูน้อยใหญ่ผู้ที่ยังมุ่งมั่นที่จะสั่งสอนให้เด็กนักเรียนที่นี่ให้มีความรู้ต่อไป 

จากการก่อเหตุร้ายที่ไม่สามารถคาดเดาจิตใจที่ไร้มนุษยธรรมของผู้ที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์ได้ว่า พวกเขาคิดทำเรื่องเลวทรามนี้ได้อย่างไร  ได้สร้างความสลดใจให้กับผู้ที่ได้รับรู้ข่าวทั้งในและต่างประเทศ จนหลายฝ่ายต่างออกมาประณามการกระทำที่มิได้คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมโดยรวมนี้โดยถ้วนหน้า   เพราะไม่มีสนามรบใดเลยในโลกนี้ที่ฝ่ายผู้ต่อต้านรัฐฯ จะกระทำต่อครูผู้ซึ่งเป็นผู้ให้ความรู้หรือแม้กระทั่งพระสงฆ์ซึ่งเป็นนักบวช 
นอกจากกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่กล้าเรียกตัวเองว่านักรบ   ที่สร้างความเดือนร้อนอยู่ในภาคใต้ของประเทศไทยในเวลานี้....เท่านั้น 

และเช่นเคยเสมอมาที่ยังไม่มีองค์กรภาคประชาสังคมใดออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้ครูที่เสียชีวิตไปเลย  แม้แต่มูลนิธิผสานวัฒนธรรมที่มักออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านกระบวนการมุ่งสู่สันติภาพของฝ่ายความมั่นคงและ ศอ.บต. ในทุกกรณีก็ยังคงวางตัวนิ่งเฉย  ซึ่งกรณีนี้อยากฝากไว้ให้คิดว่าเหตุผลที่นิ่งเงียบคืออะไร

ด้านฝ่ายผู้นำศาสนา ท่านฮัญยีแวดือราแม  มะมิงจิ  ประธานคณะกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานียังได้ออกมากล่าวถึงการกระทำของผู้ก่อเหตุรุนแรงเหล่านี้ว่าเป็นพวกที่บิดเบือนศาสนาและไม่ใช่ผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นอิสลาม โดยเฉพาะการบิดเบือนคำสอนอันดีงามของศาสนาอิสลามว่าการทำร้ายคนต่างศาสนาเป็นสิ่งที่ไม่ผิดนั้นยิ่งเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์

เพราะความสำคัญของครูในทัศนะอิสลามจากท่านอะบีอุมาอะมะฮ์ ท่านนบีกล่าวว่า “แท้จริงอัลลอฮฺ บรรดามะลาอิกะฮฺของพระองค์และชาวฟ้าและแผ่นดิน  จนแม้กระทั่งมดในรูของมันและแม้กระทั่งปลา  ต่างก็ปราสาทพรแก่ครูผู้ที่สอนมนุษย์ทั้งหลายให้ประสบความดี”  และเพราะครูคือผู้ให้  ครูคือผู้เติมเต็ม  ครูคือผู้มีเมตตา  ดังนั้นอาชีพครูจึงเป็นอาชีพที่มีเกียรติ  ท่านนบี (ซ.ล.) นั้นให้เกียรติผู้ที่ทำหน้าที่ครู  แม้ว่าจะเป็นคนต่างศาสนานิกหรือศัตรู  ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ  ท่านได้ไถ่ตัวเชลยศึกในสงครามบะดัร  ซึ่งเป็นมุชริกีนชาวมักกะฮฺ  โดยให้เป็นครูสอนเด็กมุสลิมชาวนครมะดีนะฮฺจำนวนสิบคน  แบบอย่างของท่านนบีฯ (ซ.ล.) นี้เป็นแบบอย่างที่งดงามที่มุสลิมทุกคนควรตระหนัก  หากมุสลิมได้ตระหนักแล้ว  กรณีการฆ่าครูหรือทำร้ายครูในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้คงจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน

แต่แม้ว่าเหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับครูนับตั้งแต่เกิดสถานการณ์ในปี 47 เป็นต้นมาจะทำให้ครูต้องสังเวยชีวิตไปเป็นรายที่ 155 แล้วก็ตาม  ยังไม่ปรากฏว่าครูในพื้นที่จะมีการขอย้ายออกนอกพื้นที่แต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามครูกับยังคงอดทนทำหน้าที่อย่างเสียสละ  ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากอุดมการณ์ที่แน่วแน่ในฐานะแม่พิมพ์ของชาติ  และส่วนหนึ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันคือ  ครูก็คือผู้ที่เกิดและเติบโตมาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้แห่งนี้  พื้นที่ที่เหล่านักรบขี้ขลาดที่ทำร้ายได้แม้คนไม่มีทางสู้เรียกว่า  “แผ่นดินมลายู”  เพราะครูก็คือลูกหลานคนไทยเชื้อสายมลายูที่เกิดและโตในแผ่นดินนี้ที่ต่างกันเพียงความเชื่อถือศรัทธาเท่านั้น

คำถามคือสิ่งที่ผู้ก่อเหตุรุนแรงทำกับครู ซึ่งก็คือลูกหลานมลายูนั้นมันถูกต้องและยุติธรรมแล้วหรือ  พี่น้องมลายูเห็นด้วยหรืออย่างไรว่า  การกระทำที่ชั่วช้าของผู้ก่อเหตุรุนแรงซึ่งขัดต่อคำสอนอันดีงามของท่านนบีฯ (ซ.ล.) นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง 

แต่ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร  ในฐานะที่ได้ติดตามสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนมาโดยตลอดขอเป็นกำลังใจให้ครูในจังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกท่านได้รักษาความเสียสละ  มุ่งมั่นตั้งใจที่จะปฏิบัติหน้าที่เป็นแม่พิมพ์ของชาติและเป็นข้าราชการที่ดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ  และของแผ่นดินไทยไว้ให้ได้อย่างมั่นคง  ซึ่งนั้นคงเป็นความต้องการของพ่อแม่ผู้ปกครองและความใฝ่ฝันของเด็กนักเรียนในพื้นที่นี้ทุกคนด้วย

เพราะในส่วนของผู้ก่อเหตุรุนแรงแล้ว  จากการกระทำที่ขัดกับหลักศาสนาราวฟ้ากับเหวโดยไม่สนใจคุณธรรมความถูกต้องของเขาเหล่านั้น  ตามหลักศาสนาแล้วพี่น้องมุสลิมทุกคนทราบดีว่าพวกเขาคือผู้ที่ “ตกศาสนา” ไปแล้ว  และพวกเขาเหล่านั้นหาใช่อิสลามไม่
---------------------------------------------
 ซอเก๊าะ   นิรนาม   

11/30/2555

ถึงครู จชต. "คุณครูขา...อย่าทิ้งหนู"


        
         ย้อนหลังกลับไป 8 ปี ตั้งแต่ปี 2547 เหตุการณ์ 3 จังหวัด ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ สงขลาบางส่วน การจากไปด้วยการถูกยิงของครูนันทนา  แก้วจันทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนท่ากำชำ ปัตตานี เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555 คือรายที่ 154 ชีวิตของครู 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่สูญเสียไป เป็นเครื่องมือที่กลุ่มผู้ไม่หวังดี หรือที่เราเรียกทั่วไปว่าผู้ก่อเหตุรุนแรง ใช้ได้ผลในระดับยุทธศาสตร์ ที่ใช้ต่อสู้กับรัฐ นับตั้งแต่การสูญเสียครูจูหลิน  ปงกันมูล ครูช่วยสอนบ้านกูจิงรือปะ เมื่อปี 2549 ทุกฝ่ายเริ่มตื่นตัว และเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาดูแลชีวิตครู 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีเสียงเรียกร้องออกมามากมาย ทั้งฝ่ายองค์กรสิทธิมนุษยชน องค์กรครู และนักการเมือง ซึ่งรัฐบาลทุกยุค ทุกสมัย ก็ต้องรีบเร่งสั่งการให้ฝ่ายความมั่นคงเข้าปฏิบัติทันที นั่นเองที่ฝ่ายกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงรู้จุดกระทบของฝ่ายรัฐว่า “ครูคือยุทธศาสตร์ที่เป็นจุดอ่อนของรัฐ” และ “ครูคือเหยื่อที่ดีที่สุด” ด้วยเพราะสังคมไทยผูกพันกับครูอย่างใกล้ชิดตั้งแต่อดีต ฉะนั้นเองเมื่อมีการสูญเสียครูไม่ว่าเหตุใด จะนำมาซึ่งความเสียใจกับคนไทยที่ใกล้ชิดครู ซึ่ง 3 จังหวัดภาคใต้ก็เช่นกัน

         การปรับเปลี่ยนกลยุทธ ตั้งแต่ฝ่ายทหารเข้าไปดูแลในโรงเรียน และครู โดยใช้โรงเรียนบางแห่งที่เป็นพื้นที่สีแดงเป็นฐานที่ตั้ง ก็ถูกฝ่ายสิทธิมนุษยชนมองว่าเกิดความเสี่ยงต่อครูและนักเรียน ในการถูกโจมตีจากกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ฝ่ายทหารจึงจำเป็นต้องย้ายฐานออกห่างโรงเรียนโดยไม่มีองค์กรครู หรือครูคนไหนออกมาคัดค้านสักคนเดียว ทุกครั้งที่มีครูเสียชีวิตจำเลยคนแรกคือฝ่ายความมั่นคง และ ทหาร แม้จะเพิ่มหรือมีวิธีการใดเพื่อรักษาความปลอดภัยแก่ครู แต่ฝ่ายความมั่นคงรู้ว่านั่นคือการตั้งรับไม่ใช่การรุก ซึ่งผู้ตั้งรับย่อมมีวันเสียเปรียบไม่วันใดก็วันหนึ่ง ทุกครั้งที่มีครูสูญเสีย สิ่งแรกที่เกิดขึ้น คือ “ปิดโรงเรียน” เป็นวิธีบั่นทอนอำนาจรัฐที่ใช้มาโดยตลอดของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ทั้งภาพข่าว และสถานการณ์ ภาครัฐทุกฝ่ายต่างมีความเห็นใจครู และตั้งใจจริงที่จะร่วมปกป้องครู แต่ทุกครั้งเมื่อครูถูกกระทำจากฝ่ายที่ไม่เคยคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน และศาสนา ครูจะสั่งปิดโรงเรียนทุกพื้นที่ทันที และการกระทำเช่นนี้ผู้ที่เดือดร้อนที่สุดคือนักเรียน ลูกหลานของพวกเรา และยิ่งสร้างความไม่เข้าใจให้กับผู้ปกครองและนักเรียน ต่อเจ้าหน้าที่และโรงเรียนที่ปิด เสริมด้วยการโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ซึ่งเป็นยุทธวิธีที่ฝ่ายผู้ก่อเหตุต้องการอยู่แล้วก็เท่ากับว่า เมื่อปิดโรงเรียนทุกครั้งที่ครูถูกกระทำ ก็เท่ากับว่า “ขุนหลุมไว้ฝังศพตัวเองหรือไม่”

         คงไม่มีฝ่ายไหนกล้าบอกให้ครูลุกขึ้นมาสู้กับโจร เพราะครูนั้นมีหน้าที่อบรมสั่งสอนให้คนเป็นคนดี แต่ก็ยังมีครูใจเด็ดจังหวัดปัตตานีที่กล้าขับรถชนผู้ก่อเหตุรุนแรงที่มาลอบยิง โจรต้องหลบหนีทิ้งรถมอเตอร์ไซต์เมื่อ 9 พฤศจิกายน  2555 ที่ผ่านมา แต่ถ้าวันนี้เมื่อครูถูกคนร้ายกระทำแล้วปิดโรงเรียน ต้องถามว่านี่คือหนทางที่ถูกต้องหรือไม่ แล้วสุดท้ายก็ต้องมาเปิดเรียนอีกใช่ไหม เพื่ออะไร 

      หากต้องการให้กำลังฝ่ายความมั่นคงเพิ่มเติมกำลังในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ เพื่อเพิ่มส่วนตั้งรับในการดูแลครู แต่เมื่อองค์กรสิทธิมนุษยชน องค์กรนักศึกษาบางองค์กรออกมาต่อต้านการเพิ่มเติมกำลังทหารในพื้นที่ การเพิ่มเติมกำลังทหารพรานในพื้นที่ ทำไมไม่เห็นครูสักคนเดียวมาคัดค้านหรือให้กำลังใจทหารแม้แต่คนเดียวหรือแม้แต่แสดงการสนับสนุนให้เพิ่มเติมกำลังทหารพรานในพื้นที่ก็ยังไม่เคยมีสักครั้งเดียว ทุกครั้งที่ฝ่ายความมั่นคงเป็นฝ่ายรุกไล่กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงจนไม่สามารถเคลื่อนไหวก่อเหตุได้ เช่น วางระเบิด เผาโรงเรียน ตรวจยึดอุปกรณ์เตรียมก่อเหตุระเบิดได้ จับกุมผู้ก่อเหตุได้หลายราย  สิ่งที่ฝ่ายขบวนการจะแก้ยุทธศาสตร์จากการตั้งรับมาเป็นฝ่ายรุก นั่นก็คือ ยิงครูไทยพุทธ 1 คน ซึ่งก่อนจะยิงครู 1 คน ต้องยิงอุซตาส หรือ โต๊ะอิหม่าม ก่อน 1 คน เพื่อเป็นข้ออ้างในการโฆษณาชวนเชื่อ สร้างความชอบธรรมในการแก้แค้นให้ฟาฎอนี ด้วยการยิงครูไทยพุทธ ซึ่งก็เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง แล้วเมื่อครูหยุดโรงเรียน ฝ่ายความมั่นคงก็ต้องกลับมาเป็นฝ่ายเพิ่มมาตรการทุกครั้ง นี่เองจึงเป็นยุทธศาสตร์ของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ใช้ได้ผลดีทุกครั้ง “เมื่อครูปิดโรงเรียน ครู จึงเป็นเหยื่อที่มุ่งหมายที่สุด ในสงครามนี้” 
        และไม่เคยเห็นองค์กรสิทธิมนุษยชนประเทศไทย องค์กรนักศึกษาทุกระดับออกมาประณามการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่กระทำต่อครูแม้แต่สักครั้งเดียว แต่จะโจมตีว่าฝ่ายความมั่นคงมีกำลังทหารตั้งมาก แต่คุ้มครองครูไม่ได้ ใช่ไหม??

         สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะมีครูรายที่ 155 หรืออีกกี่รายต่อไป ผลที่ปิดโรงเรียน และส่งผลกระทบโดยตรงที่สุด คือ เด็กนักเรียน เยาวชน ในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งด้อยในเรื่องการศึกษาที่สุดขณะนี้ในประเทศไทย เพราะไม่มีครูไทยพุทธคนไหนจะต้องการอยู่ในพื้นที่ แล้วจะหาความตั้งใจในการสอนมาจากไหน ความผูกพันระหว่างครูกับนักเรียนจะเกิดได้อย่างไร ครูไทยพุทธจำนวนลดน้อยลง ครูที่เก่งไม่ต้องการมาสอนในพื้นที่ ล้วนเป็นเหตุเป็นผลที่องค์กรทางการศึกษา และครูทุกคนต้องลองไปตรึกตรองดู ล้วนเป็นสิ่งที่ฝ่ายกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงต้องการใช่หรือไม่ แล้วเราต้องยอมไปตามทางที่กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงกำหนดเช่นนั้นหรือ ฉะนั้นจึงต้องขอวิงวอนครูโปรดอย่าหยุดโรงเรียน เด็กนักเรียน เยาวชน ลูกหลานของประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต่างรอคอยคุณครู ผู้ที่นำทางสันติสุขให้กับพวกเขาทุกคน นักเรียนเปรียบเสมือนลูก หลานของครูที่เฝ้ารอคอย ศึกษาหาวิชาความรู้จากครู ผู้เปรียบประดุจแม่คนที่สองของเด็กนักเรียนทุกคน ความใกล้ชิดระหว่างครูกับนักเรียนดั่งครอบครัวเดียวกัน ฉะนั้นครูคือความหวังของเด็กนักเรียนชาวใต้ทุกคนที่กำลังรอคอย และร่วมสู้ฝ่าฟันไปด้วยกัน

         ขอวิงวอนกรุณาอย่าปิดโรงเรียน ที่ใดมีโรงเรียน ที่นั้นย่อมมีนักเรียน และมีครู หากโรงเรียนปราศจากครู ก็ย่อมขาดชีวิต จิตวิญญาณของโรงเรียน ประดุจต้นไม้ที่ขาดแสงสว่างเพื่อเจริญเติบโต และในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อไม่มีครูอยู่กับโรงเรียน ย่อมแสดงถึงการสูญเสียจิตวิญญาณที่จะหล่อเลี้ยง กำลังสำคัญในการสร้างสันติสุขในอนาคต และความว่างเปล่าของโรงเรียนที่ไร้ครู จะเป็นช่องทางให้ผู้ไม่หวังดีเข้ามาสร้างโอกาสในการก่อเหตุ ปลุกระดม ทำลาย เผาผลาญ ทั้งตัวโรงเรียน และจิตวิญญาณความรู้สึกของโรงเรียนให้สูญหายไปจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งครูทุกคนยอมได้หรือ พวกเราทุกคนคงยอมไม่ได้ที่จะให้โรงเรียนไร้ซึ่งบุคลากรครู โรงเรียนถูกทำลาย เผาผลาญไปสิ้น หากวันนี้โรงเรียนปิด นักเรียนจะไปพึ่งพาใคร สุดท้ายโรงเรียนก็ต้องกลับมาเปิดเพื่อลูกหลานของเราทุกคน แต่หากเกิดกลุ่มผู้ไม่หวังดีได้กระทำการอันชั่วร้ายต่อครูอีก โรงเรียนก็ต้องปิดอีกอย่างนั้นหรือ นั่นเองเท่ากับทุกคนเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้ไม่หวังดีใช้ครูเป็นเครื่องมือ เพื่อให้โรงเรียนหยุดตามที่ฝ่ายขบวนการต้องการคือ “ก่อเหตุต่อครูแล้วจะมีการปิดโรงเรียน” 

        วันนี้ทุกคนต้องไม่ยอมให้โรงเรียนปิด ขอส่งพลังใจให้ครูทุกคนต้องมาร่วมกันฝ่าฟันสถานการณ์ร่วมกันเพื่อลูกหลาน เพื่อจิตวิญญาณของแม่พิมพ์ พ่อพิมพ์ ที่ช่วยพายเรือส่งเด็กเยาวชนชายแดนใต้ไปให้ถึงฝั่ง เราต้องไม่ตกเป็นเครื่องมือตามที่ฝ่ายผู้ไม่หวังดีต้องการ หากเมื่อไหร่ที่ครูถูกทำร้าย แล้วโรงเรียนต้องปิดการศึกษา นั่นเองที่เป็นส่วนที่ทำให้ผู้ก่อเหตุลงมือกระทำต่อครูผู้บริสุทธิ์อีกไม่มีวันจบสิ้น เท่ากับว่าเข้าทางกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง เพราะเขารู้ว่าถ้ายิงครูเมื่อไหร่ โรงเรียนปิดเมื่อนั้น รัฐเองก็ถูกครูร้องเรียน รัฐก็เอากำลังมาป้องกันครู พวกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ก็เคลื่อนไหววางระเบิดได้สบาย และเหตุนี้ใช่ไหมที่ครูถึงเป็นเหยื่อของสงครามแย่งชิงมวลชน และเมื่อรู้เช่นนี้แล้ว “ครูกรุณาอย่าทอดทิ้งนักเรียน”
                                         ----------------------------------------
        
บุหงา  ตานี

11/28/2555

หุ่นยนต์สังหาร (คนเหล็ก 2029) คืนชีพ กับ แนวร่วมขบวนการก่อเหตุรุนแรงในภาคใต้


             
         เห็นข้อความบางตอนของการบรรยายปลุกระดมโดยกลุ่มก่อเหตุรุนแรงที่ถอดบันทึกจากคลิปมือถือ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงการหลอมตัวฟื้นคืนชีพของหุ่นยนต์สังหารที่มีหน้าที่ไล่ล่า จอน คอนเนอร์ เด็กชายอายุ ขวบใน ภาพยนตร์เรื่องคนเหล็ก 2029 หลังจากถูกหุ่นยนต์ผู้พิทักษ์ทำลายครั้งแล้วครั้งเล่า

          เช่นเดียวกับการปลุกระดมของ ขบวนการโดยอาศัยการบิดเบือนเรื่องต่างๆ ที่มีผู้นำข้อเท็จจริงมาหักล้างจนหมดสิ้นแล้ว แต่ก็ยังอุตสาห์ที่จะนำมา ใช้ครั้งแล้วครั้งเล่า โดยล่าสุดผู้บรรยายใช้การสื่อสารออนไลน์สมัยใหม่เป็นคลิปใส่ในโทรศัพมือถือส่งต่อ ๆ กัน ดังที่พบจากผู้ต้องสงสัยรายหนึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ เนื้อหาการบรรยายยังคงใช้ประเด็นเก่า ๆ เช่นด้านประวัติศาสตร์ เชื้อชาติ ศาสนา และรัฐปัตตานีในอดีต และนำความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่สร้างภาพเป็นเจตนาร้ายต่อคนมลายูและศาสนาอิสลามเพื่อนำไปสู่เงื่อนไขการญีฮาดอันเป็นความจำเป็นและบังคับสำหรับมุสลิมทุกคน (ฟัรดูอีน) ซึ่งครั้งนี้ผู้บรรยายได้เน้นความเป็นฟัรดูอีนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

การนำการญีฮาดมาเชื่อมโยงกับฟัรดูอีน เป็นการนำหลักตรรกมาอธิบายว่า เมื่อคนมลายูถูกรังแก ศาสนาอิสลามถูกทำลาย แผ่นดินถูกยึดครอง การญีฮาดก็เป็นฟัรดูอีนของคนมุสลิมทั้งหลาย แต่ในเมื่อเงื่อนไข ทั้งสามประการดังกล่าวไม่ได้เป็นข้อเท็จจริงแต่อย่างใด ฟัรดูอีนในการญีฮาดก็ไม่เกิดขึ้น จึงเป็นตรรกที่นำมาซึ่งบทสรุปว่า การญีฮาดที่ผู้บรรยายพยายามเชิญชวนนั้นไร้ความชอบธรรมอย่างสิ้นเชิง

หากเปรียบเทียบการต่อสู้ระหว่างหุ่นยนต์ทั้งสองตัวที่ใช้อาวุธประหัตประหารโดยมุ่งไปที่ชีวิตเด็กชายจอนฯ เพียงคนเดียว ซึ่งเปรียบได้กับการต่อสู้เพื่อแย่งมวลชนในสถานการณ์การก่อเหตุรุนแรงที่อาศัยข้อเท็จจริง ด้านประวัติศาสตร์และศาสนาเป็นอาวุธเพื่อทำลายสติปัญญาเยาวชนจำนวนมาก

การปลุกระดมด้วยการบรรยายในคลิปดังกล่าวนี้ ผู้บรรยายอาศัยจิตวิทยาขั้นสูงด้วยการหว่านล้อมให้คล้อยตาม ร้องขอเชิงบังคับแถมข่มขู่ให้หวาดกลัว เรียกได้ว่าทั้งวิชามารและวาทศิลป์อย่างครบเครื่อง แต่ก็มีข้อที่น่าสังเกตสองประการจากเนื้อหาการบรรยายครั้งนี้

ประการที่หนึ่ง ผู้บรรยายได้ยอมรับเรื่องประวัติศาสตร์ที่ย้อนไปไกลถึงยุคลังกาสุกะว่าดินแดนแห่งนี้ในอดีตไม่ใช่ดินแดนอิสลามอย่างที่เคยกล่าวอ้าง แต่ผู้บรรยายยังคงหาเหตุผลโยงใยถึงความเจริญรุ่งเรืองที่เกิดขึ้นหลังอิสลามถูกเผยแผ่ในสมัยพระยาอินทิรา ซึ่งเข้ารับอิสลามและเปลี่ยนชื่อเป็นสุลต่านอิสมาแอล ชาห์ จนกระทั่ง ถูกสยามยึดครองในเวลาต่อมา

ประการที่สอง ผู้บรรยายยอมรับว่าการฆ่านั้นคนผิดหลักศาสนาดังบทบัญญัติที่ว่าถ้าใครฆ่าคนหนึ่งคนเปรียบเสมือนได้ฆ่าคนทั้งโลกซึ่งการยอมรับในสองประเด็นดังกล่าวนี้เป็นผลสืบเนื่อง จากการนำข้อเท็จจริง ทั้งทางด้านศาสนาและประวัติศาสตร์มาหักล้างจนประสบความสำเร็จอย่างน่าพอใจยิ่ง และที่สำคัญที่สุดการยอมรับในสองประเด็นดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่าในห้วงที่ผ่านมานั้น ทั้งการบรรยายในเรื่องศาสนาและเรื่องประวัติศาสตร์ รวมทั้งเรื่องอื่น ๆ ผู้บรรยายมีเจตนาที่จะบิดเบือนและหลอกลวงให้คนหลงผิดอย่างปฏิเสธไม่ได้

แม้จะจำนนด้วยข้อเท็จจริงตามที่กล่าวแล้วก็ตาม แต่ผู้บรรยายยังไม่ยอมยุติอย่างง่าย ๆ เช่นเดียวกับหุ่นยนต์สังหารที่มุ่งมั่นไล่ล่าเด็กน้อยอย่างไม่หยุดหย่อน โดยการสรรหาสำนวนโวหารมาเสริมเพื่อให้ได้ความหมายว่า แม้ว่าการฆ่าคนหนึ่งคนเปรียบเสมือนฆ่าคนทั้งโลกก็ตาม แต่เราต้องดูด้วยว่าห้ามไม่ให้ฆ่าใคร และเรากำลังฆ่าใคร เรากระทำเพื่อสิ่งใด” เหมือนจะบอกว่า ในโลกนี้ยังมีคนที่เขาสามารถเลือกฆ่าได้อย่างชอบธรรมและไม่ผิดศาสนา เท่านั้นยังไม่พอ ยังฝืนหลักศาสนาเรื่องการปฏิบัติต่อศพ ซึ่งตามหลักศาสนาไม่ว่าจะเป็นศพของผู้ใดก็ตามต้องปฏิบัติอย่างให้เกียรติเสมอกัน แต่พวกเขาได้กระทำการอย่างโหดเหี้ยม เชือด เผา ผิดหลักศาสนาอย่างร้ายแรง และหากจะเปรียบเทียบบัญญัตในการสงครามญีฮาด ซึ่งศาสดาได้เคยประกาศใช้ในอดีต กลับตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง เพราะในสมัยศาสดานั้นเมื่อมีความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทำสงคราม ศาสดาได้ประกาศเป็นกฎเกณฑ์อย่างชัดเจนว่า ห้ามทำร้ายคนชรา เด็ก และสตรี รวมทั้งห้ามทำลายต้นไม้ แม่น้ำลำธาร รวมทั้งสิ่งสาธารณ ประโยชน์ทั้งหลาย

มีผู้กล่าวไว้ว่าแท้จริงคำว่าญีฮาดเป็นคำที่สูงส่งในอิสลาม  น่าเสียดายวันนี้ คำ ๆ นี้ได้ถูกคนบางคนได้สร้างภาพแห่งความน่ากลัว สยดสยอง มาละเลงสี ให้กับความบริสุทธ์ของญีฮาดสูญเสียความงดงามไปอย่างไม่น่าให้อภัย พฤติกรรมของกลุ่มก่อความไม่สงบที่ปฏิบัติในทางตรงข้ามกับบัญญัติทั้งหลาย รวมทั้งการบรรยายที่บิดเบือนบทบัญญัติต่าง ๆ อย่างเช่น การนำประโยคคำว่า ถ้าใครฆ่าคนหนึ่งคนเปรียบเสมือนได้ฆ่าคนทั้งโลกแล้วนำมาต่อด้วยประโยคที่ว่า แต่เราต้องดูด้วยว่าห้ามไม่ให้ฆ่าใคร และเรากำลังฆ่าใคร เรากระทำเพื่อสิ่งใด เท่ากับเป็นการปฏิเสธบทบัญญัติดังกล่าวอย่างชัดเจน การปฏิเสธบทบัญญัติใดบทบัญญัติหนึ่งในกุรอ่าน ก็มีค่าเท่ากับการปฏิเสธกุรอ่านทั้งเล่ม และการปฏิเสธกุรอ่าน เท่ากับการปฏิเสธหลักการอิสลามอย่างไม่มีเงื่อนไข ในทางศาสนาเรียกบุคคลดังกล่าวว่า ตกศาสนา” ซึ่งมุสลิมทั้งหลายต่างวิงวอนขอพรจากพระเจ้าให้ห่างไกลจากสิ่งนี้ 

ก่อนถึงวาระสุดท้ายหากหุ่นสังหารไม่ยอมวางอาวุธ เฉกเช่นเดียวกันผู้บรรยายคนเดิมไม่ยอมยุติการกระทำดังกล่าวและเดินออกมาเพื่อขออภัยโทษต่อพระเจ้า ในวันอาคีเราะห์หลังการพิพากษา จุดจบคงไม่ต่างไปจากหุ่นยนต์สังหารในภาพยนตร์คนเหล็ก 2029 ที่ร้องโหยหวนก่อนร่างจะแหลกสลายในกองไฟอันแดงเดือดจากเตาหลอมรุ่นพิเศษ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับเขาโดยเฉพาะ  

เด็กหญิงปากีสถานถูกยิงหัวเพราะอยากไปโรงเรียน



            
        บทสารคดีนี้ได้คัดสำเนามาจากวารสารคู่สร้างคู่สม ฉบับที่ ๗๗๒ ประจำวันศุกร์ที่๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๕ ซึ่งมีเนื้อหาสาระกล่าวถึง บทบาทของเยาวชนชาวปากีสถาน ผู้หนึ่ง ชื่อ เด็กหญิงมาลาลา ยูซาพไซ อายุ ๑๔ ปี เป็นชาวเมืองมิงโกรา อำเภอสวัต จังหวัดไคเบอร์พัคทุงหวา ประเทศปากีสถานโดยเป็นเยาวชนที่รักใฝ่หาความรู้ ชื่นชอบในเรื่องการศึกษาและมีอุดมการณ์ในการพัฒนาบทบาทของสิทธิสตรีมุสลิม ถึงแม้จะเป็นเยาวชนที่มีอายุเพียง ๑๔ ปี แต่ได้รับการยกย่องมีชื่อเสียงไปทั่วโลก จากการได้รับรางวัล”สันติภาพแห่งชาติ” ของรัฐบาลปากีสถาน และ “รางวัลสันติภาพเด็กนานาชาติ” ซึ่งเป็นรางวัลระดับโลกจากอาร์คบิชอบ เดสมอนด์ ตูตู แห่งประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๕ แต่แล้วเพราะความใฝ่หาความรู้ เป็นผู้ใฝ่สันติภาพ และมีอุดมการณ์ในการส่งเสริมสิทธิของสตรีได้ก่อให้เกิดความไม่พอใจ แก่กลุ่ม “นักรบตอลีบัน” จึงถูกทำร้ายร่างกายด้วยการจ่อยิงบนรถรับ-ส่งนักเรียนเมื่อ วันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๔ ผลการจ่อยิง เด็กหญิง มาลาลา ยูซาฟไซ ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ศรีษะและคอ ผู้เห็นเหตุการณ์ได้นำเด็กหญิงมาลาลา ยูซาฟไซ ส่งโรงพยาบาล ช่วยชีวิตเป็นผลสำเร็จ ขณะนี้เด็กหญิง มาลาลา ยูซาฟไซ มีอาการดีขึ้น และอยู่ในการดูแลของรัฐบาลปากีสถาน และรัฐบาลอังกฤษ ที่โรงพยาบาลควีนเอลิซาเบธ เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ


         ข้าพเจ้าได้นำเรื่องมาเผยแพร่ด้วยมีเหตุผลสำคัญคือ ประสงค์ให้พี่น้องประชาชนชาวไทย ที่นับถือศาสนาอิสลาม ทั้งที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และนอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งพี่น้องมุสลิมในทุกภาคส่วนได้ใช้ดุลยพินิจต่อการที่ จะยินยอมให้สังคมมุสลิมของเรามีแนวความคิดของความเป็น “สุดขั้ว” ปิดกั้นการพัฒนาทั้งวิถีชีวิต คุณภาพชีวิต และสิทธิเสรีภาพภายในกรอบของศาสนารวมทั้งสถานะที่ควรจะเป็นดังบทสารคดีที่นำเสนอต่อไปนี้

มาลาลา  ยูซาฟไซ
เด็กหญิงปากีฯถูยิงหัวเพราะอยากไปโรงเรียน
         ในขณะที่รัฐบาลไทยเปิดโอกาสให้”เด็กนักเรียนไทย”ทั้งหญิงชายได้รับการศึกษาอย่างเต็มที่เท่าเทียมกัน และมีอิสระในการเลือกเรียนตามความต้องการกลับมีเด็กจำนวนไม่น้อยที่ละเลย ไม่สนใจเรียน วันๆ เอาแต่เที่ยวเตร่มั่วสุมอยู่ในสถานเริงรมย์ ติดยา ติดเกม ติดการพนัน แต่ในทางตรงกันข้ามได้มี “เด็กหญิง”ผู้รักเรียนคนหนึ่งในประเทศ”ปากีสถาน”พยายามต่อสู้เรียกร้องให้กลุ่มติดอาวุธ “ตอลีบัน” ยกเลิกกฎข้อบังคับ “ห้ามผู้หญิงเรียนหนังสือ” เพื่อตัวเองและเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ จะได้มีโอกาสเรียนหนังสือเช่นเด็กผู้ชายดังเดิม และเด็กหญิงชาวปากีฯผู้กล้าหาญที่พูดถึงคนนี้คือเด็กหญิงมาลาลา ยูซาฟไซ


         เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๕ กลุ่มตอลีบันได้จ่อและกราดยิง ด.ญ.มาลาลา อายุ ๑๔ ปี ขณะเดินทางกลับบ้าน เมื่อสื่อมวลชนเผยแพร่ข่าวนี้ไปทั่วโลก ก็ได้สร้างความสะเทือนขวัญให้แก่สาธารณชนทั่วโลกเป็นอย่างยิ่ง ผู้อยู่ในเหตุการณ์กล่าวว่า กลุ่มคนร้ายได้โบกให้รถนักเรียนหยุดแล้วขึ้นไปถามเด็กนักเรียนที่โดยสารมาในรถว่า “คนไหนคือ...มาลาลา ?” เมื่อผู้ก่อการร้ายรู้ว่ามาลาลานั่งอยู่ตรงไหนจึงจ่อยิงตรงที่ “ศรีษะ” และ “คอ” ของเด็กหญิงผู้เคราะห์ร้ายอย่างโหดเหี้ยมทันที นอกจากจะเป็นเป้าหมายหลักแล้วเพื่อนอีก ๒ คนของเธอก็ได้รับบาดเจ็บด้วย

...........................................................
           หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้นำร่างของมาลาลาขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปส่งที่โรงพยาบาล ทหารในเมืองเปชวาร์เพื่อเข้ารับการผ่าตัดด่วน ซึ่งแพทย์บอกกับผู้สื่อข่าวในเวลาต่อมาว่า “โชคดีที่วิถีกระสุนไม่ได้ผ่านสมอง” “สมองของเธอปลอดภัย” แหล่งข่าวเปิดเผยว่า เมื่อประธานาธิบดี อาซีฟ อาลี ซาร์ดารี ของปากีสถานทราบข่าว ก็ได้ให้ความสนใจกับเหตุการณ์ในครั้งนี้มาก ขณะนั้นท่านได้เตรียมการไว้ว่าหากเธออยู่ในขั้นโคม่า ต้องได้รับการผ่าตัดที่ยุ่งยากซับซ้อน ท่านก็จำเป็นต้องส่งตัวเธอไปรักษาที่ประเทศอังกฤษ และจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อช่วยชีวิตเธอให้ได้ หลังเกิดเหตุ โฆษกของกลุ่มตอลีบันได้ออกมายอมรับในเรื่องที่เกิดขึ้นทันที แถมขู่สำทับด้วยว่า...จะโจมตีเธออีก หากเธอรอดชีวิต



           กลุ่มตอลีบันโกรธแค้นมาลาลามากที่ไปสนับสนุนประเทศตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกา มีความนิยมชมชอบในตัวประธานาธิบดีบารัก โอบามา ส่งเสริมวัฒนธรรมทางตะวันตกในบริเวณพื้นที่ พัชทุน (Pashtun areas) และยังชอบพูดต่อต้านกลุ่มตอลีบัน เด็กหญิงมาลาลา ยูซาฟไซ มีภูมิลำเนาอยู่ที่เมืองมิงโกรา (Mingora) ในเขตอำเภอสวัต (Sawat District) จังหวัดไคเบอร์ พัคทูงหวา (Khyber Paktoonkhwa) ซึ่งเป็นเมืองชายแดนในหุบเขาสวัต (Sawat Valley) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถาน พ่อของเธอ ไซอุดดิน ยูซาฟไซ เป็นเจ้าของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง และเป็นนักเคลื่อนไหวที่ต่อสู้เพื่อสิทธิทางการศึกษามาตลอดจนเคยถูกกลุ่มตอลีบันขู่ฆ่ามาแล้ว พ่อกับแม่ต่างสนับสนุนให้ลูกสาวเขียนบล็อกรณรงค์เรื่องสิทธิสตรีให้เด็กผู้หญิงสามารถเข้าเรียนหนังสือได้เช่นเดียวกับเด็กผู้ชาย มาลาลาในวัยเพียง ๑๑ ขวบ เริ่มพูดอังกฤษได้บ้างแล้วได้ใช้วิธี “รณรงค์เพื่อสิทธิสตรี” ด้วยการให้ข่าวต่อสื่อมวลชนเธอได้เขียน “บันทึกประจำวัน” บอกเล่าเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ภายใต้การถูกกดขี่ของกลุ่มตอลีบันทางตะวันตกเฉียงเหนือที่มักเผาและสั่งปิดโรงเรียนในแถบนั้นทั้งหมดไว้ในเว็บไซต์ของบรรษัทการกระจายเสียงแห่งอังกฤษ (บีบีซี) ภาคภาษาอูรดู โดยใช้นามแฝงว่า “กัลป์ มาไค (GUL MAKAI)” ด้วย ในช่วงเดือนมกราคม ปี๕๒ เด็กหญิงนักต่อสู้ผู้นี้ได้ส่งข้อความในไดอารีไปยังสื่อติดต่อกันหลายครั้ง เช่น บันทึกไดอารี่ของ วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๒, วันที่ ๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๒, วันที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๒ และวันที่ ๑๕ ม.๕.๕๒ ปรากฏรายละเอียดของข้อความดังนี้


ฉันกลัว
(๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๒)
           เมื่อคืนที่แล้วหนูหลับไปและฝันด้วยความหวาดกลัวเกี่ยวกับเฮลิคอปเตอร์ของทหารและนักรบตอลีบัน หนูเคยฝันเช่นนี้ตั้งแต่มีการปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่หุบเขาสวัต หนูกลัวเรื่องการเดินทางไปโรงเรียน เพราะพวกตอลีบันเคยประกาศห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าเรียน ปัจจุบันที่โรงเรียนของหนูมีนักเรียนหญิง ๑๑ คน (จากทั้งหมด ๒๗ คน) ที่เข้าเรียนอยู่ และจำนวนนักเรียนก็ลดลงเรื่อย ๆ จากประกาศ (คำสั่ง) ห้ามดังกล่าวของตอลีบัน
           เมื่อหนูเดินทางกลับบ้าน หนูได้ยินชายคนหนึ่งพูดว่า “ฉันจะฆ่าแก” ทำให้หนูต้องวิ่งหนีโดยเร็วด้วยความกลัว และได้ยินทหารพูดทางโทรศัพท์เคลื่อนที่สร้างความตระหนกตกใจแก่นักเรียนคนอื่นอย่างมาก
           ในช่วงปี พ.ศ.๒๕๕๒ทหารตอลีบันเข้าควบคุมหมู่บ้านในหุบเขาสวัตได้ทั้งหมดและเข้มงวดกวดขันในเรื่องการแปลหรืออธิบายกฎหมายอิสลาม (SHARIA LAW) ตลอดจนห้ามผู้หญิงไปตลาดหรือซื้อสิ่งของในตลาดด้วย                                                                                                                                
อย่าแต่งกาย
ด้วยเสื้อผ้าสีฉูดฉาด
(๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๒)
          หนูเตรียมตัวจะไปโรงเรียน และกำลังแต่ตัวด้วยเครื่องแบบนักเรียน แต่หนูจำได้ว่าอาจารย์ได้บอกนักเรียนว่าอย่าแต่งกายด้วยเครื่องแบบนักเรียน แต่ให้แต่งเสื้อผ้าธรรมดาแทน ดังนั้นหนูจึงตัดสินใจแต่งชุดสีชมพูที่หนูชอบไปแทน นักเรียนคนอื่นๆ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหลากสี แต่พอไปถึงโรงเรียน คุณครูก็สั่งพวกเราไม่ให้ใส่เสื้อผ้าที่มีสีสันฉูดฉาด เพราะจะเป็นเป้าให้พวกตอลีบันโจมตีได้

ฉันอาจไม่ได้ไปโรงเรียนอีก
(๑๔ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๒)
          หนูอารมณ์ไม่ดีเลยขณะเดินทางไปโรงเรียน เพราะวันหยุดเรียนในฤดูหนาวจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ อาจารย์ใหญ่ประกาศให้หยุดเรียน แต่ไม่ได้บอกว่าจะเปิดเรียนอีกเมื่อใด
          เด็กนักเรียนส่วนมากไม่ได้ตื่นเต้นที่จะได้หยุดเรียน เพราะรู้ดีว่าถ้าพวกตอลีบันมีประกาศห้ามไม่ให้นักเรียนหญิงเรียนหนังสือ พวกเราก็ไม่สามารถไปโรงเรียนได้อีก หนูมีความเห็นว่าโรงเรียนควรเปิดเรียนได้ใหม่ภายในวันเดียว แต่ขณะที่หนูเดินออกจากโรงเรียน (กลับบ้าน) หนูหันมองไปที่อาคารเรียนแล้วเหมือนมีลางสังหรณ์คล้ายกับว่าหนูจะไม่มีโอกาสกลับมาเรียนที่นี่อีก

            มาลาลาได้ดำเนินกิจกรรมรณรงค์เพื่อสิทธิสตรีให้ได้รับการศึกษาเรื่อยมาจนกระทั่งนิตยสารไทมส์ (TIMES) ได้นำเรื่องราวของเธอและครอบครัวไปพิมพ์เผยแพร่ในปี พ.ศ.๒๕๕๒ บรรยายเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ บุคลิกของเธอ (ใบหน้ามนนัยน์ตาสีเหลืองอ่อน ชอบสะพายกระเป๋าหนังสือที่มีรูปแฮรี่ พอตเตอร์ติดอยู่) จึงทำให้เธอมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป

          เรื่องที่ทำให้มาลาลามีชื่อเสียงก้องโลกคือ เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๔ อาร์คบิชอป เดสมอนต์ ตูตู แห่งแอฟริกาใต้และมูลนิธิสิทธิเด็กได้เสนอชื่อเธอเข้ารับรางวัล “สันติภาพเด็กนานาชาติ” และก่อนนี้เมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๓  รัฐบาลปากีสถานได้มอบรางวัล “สันติภาพแห่งชาติ” ให้แก่มาลาลา แล้วได้นำชื่อของเธอไปตั้งเป็นชื่อรางวัล รางวัลสันติภาพแห่งชาติมาลาลา (THE  NATIONAL  MALALA  PEACE  PRIZE) เพื่อมอบให้เยาวชนที่อายุต่ำกว่า ๑๘ ปีด้วย

            สิ่งที่มาลาลาทำและได้ผลตอบรับทั้งหลายทั้งปวงนี้ทำให้กลุ่มตอลีบันไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งจึงหาทางกำจัดเธอ และในที่สุดก็ได้ก่อความรุนแรงขึ้นเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น หลังเกิดเหตุการณ์ ประธานนาธิบดีปากีสถาน องค์กรสิทธิมนุษย์ชน และผู้นำต่างประเทศต่างๆ ได่ร่วมกันประณามกลุ่มติดอาวุธตอลีบันว่า เป็นการกระทำที่ป่าเถื่อนโหดร้ายทารุณ ไร้มนุษยธรรม และทางรัฐบาลปากีสถานประกาศให้รางวัล ๑๐๕,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ (ราว ๓.๒๕ ล้านบาท) แก่ผู้ที่สามารถจับกุมมือปืนที่ยิงมาลาลา ยูซาฟไซได้ และต่างภาวนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอพรให้เธอปลอดภัยจากเหตุการณ์ร้ายครั้งนี้.

“สิ่งที่หนูเบื่อที่สุดคือ.....การที่ไม่มีหนังสือให้อ่าน”
          นี่คือคำให้สัมภาษณ์ของมาลาลา ซึ่งจะเห็นได้ว่า เด็กหญิงคนนี้เป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่เด็กและเยาวชนทั่วโลกจริงๆ เพราะเธอสนใจการเรียนและการอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ นอกจานี้เธอยังเคยบอกด้วยว่าจะต่อสู้เพื่อการศึกษาและการทำงานให้แก่เด็กหญิงชาวปากีฯ ไปเรื่อยๆ รวมถึงเธอยังฝันอยากเป็น “นักการเมือง”อีกด้วย  โชคดีที่ขณะนี้อาการของมาลาลาดีวันดีคืนขึ้นแล้ว เชื่อว่าผู้คนทั่วโลกคงได้เห็นเด็กหญิงผู้กล้าหาญคนนี้ลุกขึ้นยืนหยัดต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่ง “การศึกษา” ของเด็กผู้หญิงปากีสถานอีกครั้ง

11/08/2555

นักรบฟาตอนีอ้างทำสงครามเพื่อศาสนา ที่แท้เลวทรามทำสงครามฆ่าประชาชน



       
              เมื่อวันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2555 ที่ผ่านมา เหล่านักรบฟาตอนีได้ลอบวางระเบิด 2 จุด ภายในพื้นที่เขตเทศบาลอำเภอรือเสาะ จ.นราธิวาส จุดที่ 1 บริเวณหน้า ร.ร.บ้านยะบะอุปการวิทยา และจุดที่ 2บริเวณสี่แยกหลัง สภ. รือเสาะ ทั้งสองจุดเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต จำนวน 3ราย บาดเจ็บจำนวน 17 ราย ที่โดนระเบิดล้วนเป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้งสิ้น ส่วนใหญ่เป็นเด็ก และผู้หญิง แต่..ที่น่าเศร้าสลดมากที่สุด มีเด็กหญิงมุสลิมอายุแค่ 3 ขวบโดนระเบิดที่ศีรษะเละ ตายคาทีต่อหน้าผู้เป็นพ่ออย่างน่าเวทนา
         นับว่า..นักรบฟาตอนีเลว โหดร้ายเหลือเกิน เนื่องจากกระทำแรงเกินไป ทำให้ญาติผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บรับไม่ได้กับเหตุการณ์ เพราะเหตุการณ์นี้ไม่มีเจ้าหน้าที่สักคนที่โดนระเบิด ล้วนเป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้งสิ้น  มันสนุกมากใช่ไหมกับการกระทำชั่วๆ ที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน พยายามจะสร้างข่าวให้มันใหญ่ แต่..รู้ใหมว่าประชาชนที่โดนระเบิดเดือดร้อนขนาดไหน เหตุการณ์ครั้งนี้ประชาชนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ญาติผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บต่างพากันประนามสาปแช่งนักรบฟาตอนี เพราะเสียใจที่ครอบครัวของเขาต้องประสบเหตุอย่างนี้ ขอถามพี่น้องทุกคนว่าไปวางระเบิดฆ่าประชาชน พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้มันถูกต้องหรือ..  สงครามของนักรบฟาตอนีต่อสู้แบบนี้หรือ ไปวางระเบิดมั่วๆอย่างนี้ถูกต้องตามหลักการของศาสนาอิสลามหรือ.? หัวใจนักรบฟาตอนีเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานแบบนี้หรือที่กล้าพูดกล้าอ้างว่าทำสงครามเพื่อศาสนา.......
             ฉะนั้นขอให้ชาวมลายูทุกคนใช้สมองคิด และรับรู้ด้วยว่า การกระทำอย่างนี้มันไม่ใช่หนทางของอิสลาม และไม่ใช่หนทางไปสู่ความสำเร็จของการต่อสู้(ญิฮาด) อย่าหวังเลยว่าจะได้รับปัตตานีเอกราช เพราะการฆ่าและทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ชั่วร้าย  อิสลามเป็นศาสนาที่ปฏิเสธความรุนแรง การละเมิด การคร่าชีวิตมนุษย์ และการรุกรานทุกรูปแบบ อิสลามเป็นศาสนาที่กำชับให้เกิดความยุติธรรมเพื่อนำสู่เส้นทางแห่งสันติภาพ การกระทำความดี ห้ามปรามความชั่ว และการให้อภัย ดังบัญญัติไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน.. “ ผู้ใดฆ่าชีวิตมนุษย์คนหนึ่งโดยมิใช่เป็นการชดเชยอีกชีวิตหนึ่ง หรือมิใช่เนื่องจากการบ่อนทำลายในแผ่นดินแล้ว ก็ประหนึ่งว่าเขาได้ฆ่ามนุษย์ทั้งมวล” ( 5 : 32 )  ......(ขอร้องอย่าให้มีเหตุการณ์ฆ่าประชาชนโดยเฉพาะผู้หญิงและเด็กแบบนี้อีก)......
จาก..คนมลายูฟาตอนี

11/07/2555

มาตรา 21 กฏหมายทางเลือกสู่เส้นทางสันติ


       การกล่าวเปิดเผยถึงการตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการตามมาตรา 21 ของนายรอยาลี บือราเฮง และนายยาซะ เจะหมะ สองผู้ต้องหาคดีความมั่นคงซึ่งมีหมายจับตามกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา หรือ ป.วิอาญา ในคดีร่วมกันฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยไตร่ตรองไว้ก่อน และคดีพยายามฆ่าผู้อื่นตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งทั้งสองยินยอมที่จะเข้าสู่กระบวนการตามมาตรา 21 ด้วยความสมัครใจซึ่งต้องผ่านขั้นตอนจากคณะกรรมการตามมาตรา 21 ทั้ง 4 คณะประกอบด้วย คณะกรรมการรับรายงานตัว คณะกรรมการสอบสวนพิเศษ คณะกรรมการช่วยเหลือด้านคดี และคณะกรรมการกลั่นกรองชุดสุดท้าย นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของผู้ต้องหาทั้งสองมาแถลงต่อศาลว่า ให้อภัยต่อผู้ต้องหาทั้งสองและต้องการให้กลับมาเป็นคนดีอยู่ในสังคมได้อย่างสงบสุข และหากศาลพิจารณาแล้วไม่ขัดกับเงื่อนไขในการนำผู้ต้องหาเข้าสู่กระบวนการต่อไป ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการดำเนินการทางคดีตามปกติที่ต้องใช้เวลาพิจารณาในชั้นศาลนานหลายปีและท้ายที่สุดอาจถูกพิพากษาให้จำคุก 

         บทบัญญัติมาตรา 21 นับเป็นมิติใหม่ในการบริหารงานยุติธรรม ซึ่งช่วยปูแนวทางเชิงสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นกับผู้ต้องหาและผู้ได้รับผลกระทบ และต้องเกิดจากความยินยอมของผู้ต้องหาที่จะเข้ารับการอบรมเป็นเวลาไม่เกิน 6 เดือนแทนการถูกคุมขัง ไม่มีบุคคลใดมีอำนาจบังคับใช้ได้โดยเด็ดขาด มาตรา 21 จึงเป็นกฏหมายที่มุ่งสู่ความสมานฉันท์เพื่อยุติการต่อสู้ด้วยอาวุธอย่างแท้จริง และสอดคล้องกับนโยบายสานใจสู่สันติของพลโทอุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ที่แสดงจุดยืนที่ชัดเจนของฝ่ายความมั่นคงที่ต้องการให้ผู้เห็นต่างจากรัฐทุกคนกลับสู่สังคม อยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุขโดยไม่ต้องหลบหนีคดีอีกต่อไป 

         นายรอยาลี บือราเฮง และนายยาซะ เจะหมะ เข้ารับการอบรมตามมาตรา 21 ที่ค่ายพระปกเกล้า กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 5 จังหวัดสงขลาเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาจนครบกำหนด 6 เดือนตามคำสั่งศาลในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งทั้งสองเล่าให้ฟังว่าระหว่างเข้ารับการอบรม ได้รับการดูแลเอาใจจากเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดีแบบไม่คาดคิดมาก่อน เพราะตัวของพวกเขาเองก่อนเข้ารับการอบรม เขามีความรู้สึกเป็นศัตรูกับเจ้าหน้าที่รวมทั้งชาวไทยพุทธทุกคน แต่เมื่อได้เข้ามาใช้ชีวิตร่วมกันทำให้รู้สึกว่าที่ผ่านมาตนเข้าใจผิด เพราะระหว่างการอบรมมีโอกาสได้ศึกษาหลักศาสนาที่ถูกต้องจากผู้นำศาสนาที่ได้รับการยอมรับ ซึ่งแตกต่างจากที่เขาได้รับการปลูกฝังโดยการบิดเบือนคำสอนของศาสนาจากขบวนการอย่างสิ้นเชิง      

  นอกเหนือจากความรู้ด้านศาสนาที่ถูกต้องแล้วการช่วยให้ผู้เข้ารับการอบรมแทนการจำขังตามมาตรา 21 สามารถออกไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขหลังการอบรมและดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีคุณภาพด้วยการฝึกฝนอาชีพโดยศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานซึ่งได้ให้การสนับสนุนการฝึกอาชีพด้านช่างตัดผม และช่างซ่อมคอมพิวเตอร์ ซึ่งนอกจากได้รับวุฒิบัตรในการฝึกอบรมวิชาชีพแล้ว กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 โดยแม่ทัพภาคที่ 4 ยังได้มอบอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพให้อีกด้วย 

      โดยผู้ผ่านการอบรมทั้งสองคนยังได้กล่าวก่อนที่จะเดินทางกลับภูมิลำเนาว่าตนเองคิดถูกที่ตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการมาตรา 21 เพราะหากต่อสู้คดีตามกฏหมาย ป.วิอาญาคงต้องใช้เวลานานและสุดท้ายก็ต้องติดคุกเพราะได้กระทำความผิดไว้จริง และรู้สึกดีใจที่จะได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติหลังการอบรมเพียง 6 เดือน 

        กรณีการใช้กฏหมายทางเลือกมาตรา 21 ของนายรอยาลี บือราเฮง และนายยาซะ เจะหมะ คงเป็นการเริ่มต้นที่เป็นรูปธรรม ในการใช้กฏหมายพิเศษในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีความมุ่งหวังสุดท้ายคือการใช้สันติวิธีในการแก้ไขปัญหา การออกมารายงานตัวของผู้ที่เห็นต่างจากรัฐโดยต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาส่วนหนึ่งเป็นผู้ที่มีหมายตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน อีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ต้องหาที่หมายจับตามกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา ดังนั้น การก้าวเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายของมาตรา 21 คือการให้ผู้ผ่านการอบรมทั้งสองคนในวันนี้ จึงน่าจะเป็นการจุดประกายให้กับผู้ที่เห็นต่างจากรัฐได้พิจารณาว่า การต้องใช้ชีวิตแบบหลบๆ ซ่อนๆ หรือต้องหลบหนีไปอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยทิ้งพ่อแม่ลูกเมียไว้ข้างหลังกับอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนที่ยังมองไม่เห็นความสำเร็จ กับการเลือกที่เข้ารายงานตัวกับฝ่ายความมั่นคงแล้วใช้การเข้าสู่กระบวนการตามมาตรา 21 แล้วกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติสุขว่า ทางเลือกใดจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด

10/24/2555

9 ปีไฟใต้ จริงจังจริงใจแก้ปัญหาอย่างบูรณาการ แสงเทียนแห่งความหวังของคนปลายด้ามขวาน





การก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยซึ่งห่วงโซ่แห่งความรุนแรงที่ได้ปะทุขึ้นมาใหม่อีกครั้งเมื่อต้นปี 47   โดยกลุ่มก่อความไม่สงบได้บุกโจมตีที่ตั้งหน่วยกองพันพัฒนาที่ 4 อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ได้สังหารเจ้าหน้าที่ทหาร 4 นาย  แล้วล่าถอยไปพร้อมกับอาวุธมากกว่าสามร้อยกระบอก ขณะเดียวกันก็ลอบเผาโรงเรียนและจุดต่าง ๆ อีกนับสิบแห่งในคืนเดียวกัน นับเป็นจุดเริ่มต้นของความรุนแรงรอบใหม่ที่ต่อเนื่องมายาวนานเกือบ 9 ปี  ด้วยรูปแบบของสถานการณ์ที่มีการพัฒนาความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ในลักษณะการบ่อนทำลาย การก่อวินาศกรรมด้วยการลอบวางระเบิด การลอบฆ่า และลอบวางเพลิง มีผู้ได้รับบาด เจ็บเสียชีวิต ทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนทั่วไปทั้งผู้นับถือศาสนาพุทธและมุสลิมเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพสังคม เศรษฐกิจทั้งในพื้นที่และของประเทศโดยรวมอย่างมาก  และแน่นอนว่าสถานการณ์ในภาคใต้ของไทยกำลังถูกจับตามองจากหลายฝ่ายทั้งภายในและนอกประเทศว่าบทสรุปของความรุนแรงนี้จะจบลงได้หรือไม่  เมื่อไหร่และอย่างไร

ประเด็นพื้นฐานที่มีความอ่อนไหวและถูกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงนำมาใช้เพื่อขยายจุดต่างสร้างแนวร่วมในพื้นที่ประเด็นหนึ่งที่สำคัญคือความแตกต่างทางศาสนา  วัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่ซึ่งนับถือศาสนาอิสลามและการแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนเรื่องชาติพันธุ์การเป็นคนมลา ยูปัตตานี  ทั้งนี้เพื่อสร้างความชอบธรรมในการบีบบังคับให้ออกนอกพื้นที่โดยใช้การข่มขู่ เข่นฆ่าประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธ เพื่อให้ส่วนที่เหลือเกิดความหวาดกลัวจนต้องอพยพหลบหนี  โดยเฉพาะการบิดเบือนคำสอนอันดีงามของศาสนาอิสลามว่าการทำร้ายคนต่างศาสนาเป็นสิ่งที่ไม่ผิด   จึงกลายเป็นสิ่งชักนำให้สถานการณ์ภาคใต้ของไทยกลับขยายใหญ่โตขึ้นตามลำดับ 

แต่โดยข้อเท็จจริงแล้วแม้ความแตกต่างจะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา  และถูกนำมากล่าวอ้างเพื่อใช้ความรุนแรงแต่มันมิใช่ปัญหาทั้งหมด  กรณีมุสลิมภาคใต้ของไทยนั้น กลุ่มแบ่งแยกดินแดนได้เรียกร้องโดยอาศัยหลักการพื้นฐานคือ การปกครองตนเองด้วยคณะบริหารของตน ซึ่งมีเป้าหมายคือ ความเป็นหนึ่งเดียวของวัฒนธรรมมุสลิม อย่างไรก็ตามในการต่อสู้โดยใช้ความรุนแรงครั้งใหม่นี้  หาได้มีกลุ่มก่อความไม่สงบใดๆ กล่าวอ้างถึงข้อเรียกร้องการปกครองตนเองอย่างชัดเจน แล้วกำหนดแผนการและขั้นตอนการนำไปสู่การปกครองตนเองอย่างสมบูรณ์ เหมือนกับกลุ่ม Moro Islamic Liberation Front  ของฟิลิปปินส์แต่อย่างใด 

ในทางตรงกันข้าม  การก่อเหตุรุนแรงทุกครั้งกลุ่มก่อความไม่สงบในภาคใต้ของไทยไม่เคยแม้แต่การออกมาประกาศความรับผิดชอบว่าเป็นการกระทำเพื่อต้องการแบ่งแยกดินแดน  ซ้ำร้ายยังใช้สื่อของกลุ่มปฏิบัติการข่าวสารทั้งในพื้นที่ประเทศไทยและในกลุ่มประเทศมุสลิมกล่าวหาว่าเป็นการกระทำของรัฐบาลไทยที่ต้องการกลั่นแกล้งชาวมุสลิม  เพื่อมุ่งหวังการได้รับการบริจาคเงินช่วยเหลือซึ่งอ้างว่านำมาเพื่อใช้ในการต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับชาวมุสลิมและใช้ในการต่อสู่แบ่งแยกดินแดนจากต่างประเทศ  ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนมาเป็นจำนวนไม่น้อยในแต่ละปี  แต่เป็นที่รู้กันว่าเงินส่วนนี้มิได้ถูกนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค  แต่กลับถูกแบ่งสรรปันส่วนกันระหว่างแกนนำ  จะเห็นได้จากการเกิดการแตกแยกของแกนนำขบวนการออกเป็นกลุ่มๆ  เพื่อก่อเหตุรุนแรงสร้างผลงานแล้วเรียกร้องขอรับเงินบริจาคเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตน

นอกจากนี้ยังมีตัวแปรอื่นๆ ที่เสมือนเป็นปัจจัยผลักดันให้สถานการณ์ความรุนแรงในประเทศไทยยังคงดำเนินต่อไปที่สำคัญยังมีปัจจัยด้านการเมือง  กลุ่มอิทธิพลและกลุ่มธุรกิจผิดกฏหมายที่ความสัมพันธ์เชื่อมโยงและมีผลประโยชน์ร่วมกันลักษณะต่างตอบแทน  ปกป้องซึ่งกันและกัน  ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่แก้ได้ยากยิ่ง

อย่างไรก็ดีด้วยพื้นฐานการอยู่ร่วมกันภายใต้วิถีชีวิตที่แตกต่างของประชาชนในพื้นที่ซึ่งมีทั้งคนไทยเชื้อสายมลายู  จีน และไทย  ซึ่งได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขและสำนึกเสมอว่าทุกคนเป็นพลเมืองไทยตลอดมา  ทำให้ความพยายามที่กล่าวอ้างถึงการแบ่งแยกดินแดนของขบวนการยังคงไม่ประสบความสำเร็จ  ในขณะที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ยังคงต้องสังเวยชีวิตให้กับการก่อเหตุรุนแรงต่อไป

เป็นเวลาเกือบ 9 ปีแล้วที่รัฐบาลไทยได้ใช้ความพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้เหตุการณ์ในภาคใต้ของประเทศสงบลง โดยสิ่งที่รัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษมาโดยตลอดคือ การดำเนินการภายใต้การคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน  ความยุติธรรมและความเท่าเทียมกันของประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและประชาคมโลกเช่น สหประชาชาติ องค์การความร่วมมืออิสลาม องค์กรภาคประชาสังคมและนักวิชาการ เข้ามามีส่วนร่วมในการติดตามดูแล  รายงานและแนะนำการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างสม่ำเสมอ ดังจะเห็นได้จากการแสดงความเห็นและจุดยืนขององค์กรระหว่างประเทศและองค์กรโลกมุสลิมที่ต่างยืนยันตรงกันว่า  ไม่เห็นด้วยกับการก่อเหตุรุนแรงที่ทำให้ประชาชนเสียชีวิตจำนวนมากและการแอบอ้างศาสนามาก่อเหตุร้ายนั้น  ไม่ใช่การกระทำของผู้ที่เรียกตนเองว่าเป็นมุสลิม

การส่งเสริมและพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในด้านต่างๆ  อย่างต่อเนื่องและจริงใจของรัฐบาลไทยถึงแม้ว่าจะมีประชาชนเชื้อสายมลายูอาศัยอยู่มากที่สุด  เพื่อให้ประชาชนปรับตัวให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงในบริบททางสังคม การเมืองและเศรษฐกิจใหม่ตามกระแสโลกาภิวัฒน์ที่กำลังจะเกิดขึ้นเมื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษกิจอาเซียน  ทั้งด้านศาสนาที่ไม่กีดกันการประกอบศาสนกิจใดๆ  และให้การสนับสนุนการประกอบพิธีในวันสำคัญๆ ต่างๆ   การส่งเสริมขนบธรรมเนียม ประเพณี  วัฒนธรรม  ตลอดจนการอนุรักษ์มรดกของท้องถิ่นโดยการส่งเสริมการเรียนการสอนภาษามลายูท้องถิ่นในสถานศึกษา  รวมถึงการให้ความยุติธรรมด้านคดีความที่ให้สิทธิการคุ้มครองอย่างเท่าเทียมกัน  ทั้งหมดนั้นเป็นเหตุให้ความพยายามใดๆ ของขบวนการแบ่งแยกดินแดนไม่ประสบผลสำเร็จ

ตัวชี้วัดถึงการพัฒนาของสถานการณ์ในด้านดีที่สำคัญในชั่วโมงนี้คงหนีไม่พ้นนโยบายที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่คือ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาคสี่ส่วนหน้า คือ นโยบายสานใจสู่สันติ โดยพลโทอุดมชัย  ธรรมสาโรรัช ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาคสี่  ที่เปิดโอกาสให้ผู้ได้รับผลกระทบและผู้เห็นต่างจากรัฐได้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขกำลังเดินหน้าไปด้วยดี  โดยมีผู้เห็นต่างจากรัฐทยอยกันเข้ารายงานตัวกับฝ่ายความมั่นคงมากขึ้นตามลำดับ  แม้ว่าฝ่ายขบวนการเองยังคงพยายามแสดงศักยภาพโดยการก่อเหตุในพื้นที่ต่อไปเพื่อแสดงให้เห็นว่ายังคงเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์ความรุงแรงให้ดำรงอยู่ได้ก็ตาม 

หากคำถามคือ เมื่อไหร่เหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ของไทยจะยุติลงคงหาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้ ณ เวลานี้  แต่ด้วยการพัฒนาของสถานการณ์ที่มีสัญญาณที่ดีและความร่วมมือในการแจ้งข่าวสารของประชาชนจนนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำผิดมากขึ้น  ความเบื่อหน่ายเอือมระอาของประชาชนที่มีต่อขบวนการผู้ก่อเหตุรุนแรงที่มุ่งสร้างเพียงความเสียหายอย่างไม่รู้จบ  การถูกทอดทิ้งและไม่ได้รับการเหลียวแลจากขบวนการของแนวร่วมจนยอมวางอาวุธและออกมารายงานตัว  รวมถึงองค์กรระดับชาติต่างๆ ในประชาคมโลกที่กำลังมองเหตุการณ์ในภาคใต้ของประเทศไทยอย่างเข้าอกเข้าใจ  เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งบอกเหตุได้ว่าเค้าลางแห่งความสงบสันติกำลังเริ่มปรากฏขึ้น  สำคัญที่สุดคือต้องบูรณาการการทำงานอย่างจริงจังของทุกองคาพยศทั้งระดับพื้นที่และระดับชาติ  ไม่ปล่อยให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแก้ปัญหาอยู่ฝ่ายเดียว  รับรองว่าอีกไม่นานความสงบจะกลับคืนมาสู่ภาคใต้อีกครั้ง...รับรอง
---------------------------------------------

ซอเก๊าะ   นิรนาม

10/17/2555

Dedicated teacher knew he might be killed but didn’t give up

            The latest teacher shot dead by suspected militants in the restive deep South knew he was marked for death but he refused to give up his teaching job and went to school and back home riding unescorted in a motorcycle.
           Mr Komsant Chomyong, 40, a teacher of Ban Bor Ngor school in Ra-ngae district of Narathiwat, was shot dead on October 1 as he was riding home in his motorcycle.  According to eyewitnesses, two men riding on a motorcycle approached him and the pillion-rider shot him to death with a handgun.  Then the shooter stopped and took away the victim’s 11-mm pistol which he always carried but did not have a chance to use it.
          Mr Komsant’s death brought to 152 the number of teachers killed by suspected militants for the past eight years since the start of a renewed insurgency in January 2004.
          The victim’s younger sister, Mrs Kantha Veeraseni, told Isra news agency that Mr Komsant  used to be a border patrol policeman but served in the force for only three years and had to quit the service due to health problem.  Then, he took a teaching course and got a teaching job at Ban Lupodeeyae in Ra-ngae district after graduation.  But later on, he further his study until he got a Master’s in education and got transferred to Ban Bor Ngor school where he taught until his murder.
          "He knew that it was a great risk teaching in this red zone so he decided not to get married in order to be able to fully devote himself to teaching.  He did not want to move out of the district and wanted to teach here," said Mrs Kantha.
          The victim’s colleagues at the school told Isra news agency that Mr Komsant was fully aware that he would one day be attacked by suspected militants but he refused to travel with them for fear that they might be harmed.
          While most of the teachers in the school travelled together in a chartered truck and escorted by security forces, Mr Komsant rode alone in his motorcycle but kept changing the routes, said his colleagues.
          Mr Komsant’s sudden death has provoked widespread concern about safety problem among teachers in the restive region, especially in the so-called red zones.  Mr Boonsom Thongsriplai, head of the Federation of Teachers in Three Southernmost Provinces, said the killing had badly affected the morale of teachers.  He urged the government to increase incentives for the teachers such as better welfare, a rise in risk fees and better career path.
          Pol Col Thavee Sodsong, secretary-general of Southern Border Provinces Administration Centre, and Narathiwat Governor Apinan Suethanuwong, presided over the bathing rite of the victim on October 1 along with several teachers of Ban Bor Ngor.  About two million baht in cash were also given to the victim’s family as compensation.

10/04/2555

คำตอบที่ยังไม่จบของ “แนวร่วมมุมกลับ”...เมื่อแตกประเด็น


“การโดดเดี่ยวผู้ก่อความไม่สงบจากฐานการสนับสนุน เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของความสำเร็จในการต่อสู้กับพวกเขาเหล่านั้น ”
                                                                                                Jame O.kirass
                                                                             “Terrorism and Irregular Warfar
จาก ยุทธบทความ  สุรชาติ  บำรุงสุข มติชน สุดสัปดาห์ ฉบับ วันที่  14   20 กันยายน พ.ศ.2555  ฉบับที่ 1674

          ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้คนส่วนใหญ่มักมองปัญหาภาคใต้เป็นเรื่องของ      “ ความมั่นคง ” ซึ่งมองอย่างนี้ก็ไม่ผิด แต่ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้ ต้องไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแก้ปัญหาฝ่ายเดียวแต่เป็นปัญหาของชาติที่ทุกคนต้องร่วมกันแก้ปัญหา และอย่ามองปัญหาเป็นของคนนอก” แต่เป็นปัญหาของ “คนในประเทศ” ฝ่ายกลุ่มขบวนการมีการสร้างเครือข่ายการปฏิบัติงานลับมาไม่น้อยกว่า 30 ปี จากรุ่นต่อรุ่น และมีกระบวนยุทธศาสตร์เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง แต่มีธงเดียว คือ “แบ่งแยกรัฐปัตตานี” ดังนั้นสิ่งที่ทุกภาคส่วนต้องมาร่วมกันคิด ต้องมาร่วมกันทำ คือ ทำอย่างไรที่ทุกฝ่ายไม่กลายเป็นขับเคลื่อนสงคราม        และผลักดันให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น ไม่นำเรื่องภายในประเทศออกสู่นอกประเทศ รวมถึงไม่สนับสนุนให้เกิดการแบ่งแยกดินแดนในทุกกรณี ซึ่งคนไทยทุกคนในประเทศนี้ คงไม่ยอมให้เกิดขึ้นแน่ แล้วปัจจัยอะไรล่ะ ที่อาจทำให้ประเทศไทย ในหลาย ๆ องคาพยพ หลงติดกับดักของขบวนการกับดักของอำนาจ ผลประโยชน์ หรือกับดักของเสรีประชาธิปไตยโดยขาดการยั้งคิด จนเป็นเครื่องมือของสงครามแบ่งแยกดินแดน ที่เรียกว่า “แนวร่วมมุมกลับ”ซึ่งส่วนสำคัญที่พอชูออกมาให้เป็นมูลเหตุแห่งการได้ไตร่ตรอง พอจะมีให้เห็นอยู่หลายประเด็น       ซึ่งผู้เขียนขอยกมาบางส่วนตามสายตาที่จับจ้องได้แต่ในส่วนที่มองไม่เห็นคงได้เห็นผู้ทีต่อยอดทางความคิด    โดยเห็นประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง ได้ร่วมกันผลักดันตามแต่ความสามารถและหนทางของแต่ละบุคคล   

การเมือง (Politics)
       การเมืองในที่นี้ ผู้เขียนเองคงไม่ได้หมายถึงวาทะกรรมการเมืองนำการทหารที่ใช้สันติวิธี การบังคับใช้กฎหมาย หรือการดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชน การพัฒนาแทนการใช้กำลังของการยุทธ์การรบ และอาวุธ กระทำต่อกลุ่มขบวนการปฏิวัติหรือฝ่ายก่อเหตุรุนแรงที่เข้าใจกันอยู่ปัจจุบัน แต่การเมืองในประเด็นนี้ผู้เขียนหมายถึง รัฐบาลที่ (Goverment) ประกอบด้วยองคาพยพหลาย ๆ ส่วน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหาร ฝ่ายค้าน ฝ่ายนิติบัญญัติ โดยรวมที่เกิดเป็นรัฐโดยมีการเมือง (Polity) เป็นจักรสำคัญที่จะขับเคลื่อนประเทศ โดยทุกฝ่ายต้องตระหนัก และคิดเป็นหนึ่งรวมกัน เพื่อร่วมกำหนดแนวทางระดับนโยบาย ยุทธศาสตร์ และร่วมแก้ไขปัญหาเป็นทางเดียวกัน รับฟังข้อเสนอแนะของแต่ละฝ่าย โดยมีจุดประสงค์ร่วมกันคือเราจะไม่ยอมเสียดินแดน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คิดง่ายที่สุดก็คือตรงข้ามกับฝ่ายกลุ่มขบวนที่ต้องการการแบ่งแยกดินแดน แต่รัฐบาลจะใช้วิธีไหนล่ะ โดยรวมหัวใจทุกฝ่ายที่เป็นการเมืองทุกระดับ ที่จะแสดงพลังอำนาจรัฐในการบริหารจัดการ และมีธงเดียวคือ ไมมีการแบ่งแยกดินแดนปกครองทั้งนี้ใช้ว่าการคัดค้านเห็นต่างจากอีกฟากการเมืองไม่ใช่สิ่งไม่ดี        แต่ถูกต้องแล้วที่ต้องมีการตรวจสอบการทำงาน และความโปร่งใส เช่น งบประมาณถึงประชาชนทั่วถึงหรือไม่ มีการคอรับชั่นทั้งระดับนโยบายถึงระดับปฏิบัติหรือไม่ซึ่งเป็นการถ่วงดุลของรัฐโดยสังคม และการเมืองในระบอบประชาธิปไตยทั้งนี้ต้องไม่มีการแฝงประโยชน์หรือขัดผลประโยชน์ของฝ่ายกลุ่มของตนเอง โดยรวมแล้ว ต้องทิ้งคำว่าผลประโยชน์ของตนเองให้หมด สำหรับการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้      ทุกพรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็นตัวบุคคลหรือพรรค (party) ต้องมุ่งสู่ผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก อย่าเอาแต่ขัดขวาง ป้ายสีฝ่ายตรงข้าม เอาประโยชน์ใส่ตนเองโดยมี 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์ทางการเมือง
       เมื่อไม่นานมานี้เองถือว่าเป็นแสงสว่างของการเมืองไทยในขบวนการร่วมกันแก้ไขปัญหาความไม่สงบชายแดนภาคใต้ เมื่อพรรคการเมืองที่มีอำนาจบริหารฝ่ายรัฐบาลร่วมกับพรรคฝ่ายค้าน หารือกันเป็นครั้งแรกแม้ในการหาทางแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อประชาชน 3 จังหวัด เมื่อ 18 กันยายน 2555 แม้ว่าจะมีความเห็นที่ต่างกันในบางเรื่องแต่ก็มีความเห็นที่เหมือนกันเช่น ยึดมั่นในพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และการใช้นโยบายการเมืองนำการทหารใช้การพัฒนาแก้ไขปัญหา และพัฒนาต่อเนื่องจากรัฐบาลประชาธิปัตย์ ส่วนความเห็นที่ต่างกันเช่น แนวคิดการจัดตั้งเขตปกครองพิเศษ หรือ ร่าง พ.ร.บ. ปัตตานีมหานคร และการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงการยกเลิกการใช้กฎหมายพิเศษทั้งกฎอัยการศึก และ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินแต่ให้ใช้ พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรแทน ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ถือได้ว่าเป็นหนทางเริ่มต้น และเป็นหนทางเดียวกัน ที่ฝ่ายการเมือง (politics) ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลมีความเห็นทางเดียวกันคือไม่ยอมแบ่งและแยกดินแดน 3 จังหวัดภาคใต้ออกจากประเทศไทย
       ในการประชุมหารือกันครั้งนี้เป็นครั้งแรก และอาจมีครั้งต่อไป ในระดับปฏิบัติที่นักการเมืองจะร่วมกับกำลังฝ่ายความมั่นคงทั้งฝ่ายตำรวจที่มี รองนายกเฉลิม ฯ เป็นหัวหอก และฝ่ายทหารที่มี รองนายก ยุทธศักดิ์ฯ เป็นผู้นำโดยทุกฝ่ายต้องร่วม และรับฟังซึ่งกัน และกันเพื่อหาทางออก และหนทางปฏิบัติจากระดับนโยบายยุทธศาสตร์ ลงสู่ประชาชน เพื่อเป้าหมายสันติสุขอย่างยั่งยืน ของประชาชนชาวไทยใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้            ทั้งชาวไทยพุทธ และชาวไทยมุสลิมเชื้อสายมาลายู สามารถอยู่ร่วมกัน ดำเนินชีวิตร่วมกันได้อย่างมีความสุขนั้นคือ การแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของรัฐไทย ความเข้มแข็งของการเมืองที่อยู่เหนือฝ่ายปฏิวัติในสงครามประชาชนอย่างแท้จริง
       แต่การร่วมมือทางการเมืองของพรรคการเมืองขนาดใหญ่ 2 พรรคของรัฐไทยครั้งนี้ ย่อมมีนักการเมืองหลายระดับ หลายกลุ่มที่เสียผลประโยชน์ทางการเมือง และในระดับบุคคลก็มีหลายคนที่หมดความชอบธรรม เสียประโยชน์ทางการเมือง และโจมตีต่อต้านนโยบายยุทธศาสตร์ของรัฐมาโดยตลอด รวมถึงการกล่าวโจมตีฝ่ายความมั่นคงอย่างต่อเนื่องในทุกวิถีทาง แต่หาประโยชน์ในทางปฏิบัติเพื่อนำความสุขสงบมาสู่ประชาชนไม่ได้เลย อีกทั้งยังประพฤติตนเหมือนเป็นผู้ที่ต้องการจะแบ่งแยกดินแดน 3 จังหวัดภาคใต้ให้กับกลุ่มขบวนการ และทุกคนคงปฏิเสธไม่ได้หรือจงใจที่จะมองไม่เห็นว่ามีนักการเมืองตั้งแต่ระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติเป็นกลุ่มแนวร่วมที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนตรงนี้เองผู้เขียนก็ไม่มีคำตอบ แต่ขอยกเหตุการณ์เมื่อ ๑๖ ธ.ค.๕๔นักการเมืองคนหนึ่งที่ชื่อนาย มุกตาร์   กีละ หัวหน้าพรรคประชาธรรมที่คะแนนเสียงของชาวบ้านมาแรง และมีแนวโน้มจะได้ใจประชาชนในทุกระดับที่นักการเมืองท่านนี้ทุ่มเทให้กับการนำความสงบสุขมาสู่ประชาชนอย่างแท้จริงด้วยแนวทางการเมือง และสันติทั้งที่ตอนเริ่มต้นถูกฝ่ายความมั่นคงมองว่าเป็นแนวร่วมขบวนการ แต่สุดท้ายต้องมาจบชีวิตด้วยน้ำมือของขบวนการแบ่งแยกดินแดนโดยกลุ่ม RKK เขต กูจิงรือปะ ที่สุดท้ายถูกชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านสังหารในเวลาต่อมา ไม่เช่นนั้นการตายของ มุกตาร์  กีละ จะเป็นเครื่องมือของฝ่ายแบ่งแยกดินแดน ที่เตรียมป้ายสีให้กับฝ่ายความมั่นคงของรัฐไทย ตรงนี้ทุกฝ่ายก็ต้องไตร่ตรองว่ามีหรือไม่ ที่การเมืองตั้งแต่ระดับชาติ ถึงระดับท้องถิ่นบางกลุ่ม กับกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนมีสายสัมพันธ์กันหรือไม่ แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไร ถ้าปล่อยให้ฝ่ายความมั่นคงฝ่ายเดียวคงไม่มีปัญญาแน่นอน
       ที่จะขาดไม่ได้ก็พวก “พลอยกระโจน” กระโดดเข้าร่วมวงวิจารณ์เสนอปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้    ในเวทีต่าง ๆ ที่ทำประโยชน์แท้จริงกับประชาชนไม่ได้เลย สำหรับนักการเมืองบางคนที่เสียผลประโยชน์ และชื่อเสียงของตน ก็ส่งเสริม และยกปัญหาสู่สากลโดยไม่รู้ตัว รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือมีความจงใจเพียงเพื่อชื่อเสียงของตนเองหรือแสดงภูมิว่าเป็นผู้รู้ ผู้ช่ำชอง จนเป็นการเอื้อประโยชน์ และช่องทางให้กลุ่มขบวนการใช้เป็นเครื่องมือหรือตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังผลักดันให้มีการแบ่งแยก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ออกจากประเทศไทย ทั้งที่ความสามารถของตนเองไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักการเมืองไทยพุทธ หรือนับถือศาสนาอิสลาม ลองใช้ความรู้ความสามารถของพวกท่านมาร่วมกันกับทุกฝ่ายทำให้บ้านเมืองภาคใต้กลับสู่ความสงบ ไม่ต้องแบ่งแยกดินแดน นำสันติสุขมาสู่ประชาชนอย่างแท้จริงไม่ดีกว่าหรือ นี้เองเป็นผลที่มองได้ว่าการเมือง (politic ) ที่ไม่ได้จงใจแบ่งแยกดินแดน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ออกจากประเทศไทย หรือด้วยความรู้เพียงแค่ผลประโยชน์ของตน จนที่สุดเป็นเครื่องมือของกลุ่มขบวนการนำไปใช้ประโยชน์ เป็น “แนวร่วมมุมกลับ” โดยนักการเมืองนั่นเอง

สื่อมวลชน (Journalists)
       เปิดประเด็นหัวข้อนี้ ผู้เขียนคงไม่ต้องแยกว่าสื่อมวลชนประเภทไหน ชนิดใด ช่องทางอะไร แต่ขอรวมทั้งหมดในภาพกว้างทั้งคอลัมนิสต์, นักเขียน, นักวิจารณ์, พิธีกร, ผู้จัดรายการ ทั้งที่มีสังกัดและเสรี ทั้งนี้ตัวผู้เขียนเองมีความเห็นเป็นส่วนตัวว่า สื่อคือสิ่งสำคัญ และมีพลังอย่างยิ่งใหญ่ต่อโลกปัจจุบันโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนี้พลังของสื่อนั้นยิ่งใหญ่จนประเมินไม่ได้ ดั่งสถานการณ์ของโลกที่เราเห็นอยู่ปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ 9 11 หรือการนำเสนอข่าวสารของสหรัฐอเมริกาของสื่อ CNN
( Cable News Network) และฝ่ายตรงข้ามโลกอาหรับอย่าง อัลจาซีร่า แม้แต่ในเอเชียที่สำคัญเช่น ประเทศมาเลเซีย ( The star ) หากเจาะลึกลงไปถึงในประเทศต่าง ๆ ที่มีปัญหาของสงครามปฏิวัติการก่อความไม่สงบในประเทศเช่น ในฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย สื่อในประเทศเหล่านี้จะร่วมกันต่อต้านความไม่สงบที่ทำให้ประชาชนต้องเดือดร้อนเป็นเสียงเดียวกัน เราปฏิเสธไม่ได้ว่าสื่อคือสิ่งที่สร้างความสมดุล และนำเสนอข่าวสาร ข้อเท็จจริง ข้อมูลที่เป็นจริง โดยไม่บิดเบือนสู่สายตาประชาชน และการรับรู้อย่างทั่วถึงด้วยวิชาชีพและจรรยาบรร                      ( morality ) ซึ่งมีพลังที่ยิ่งใหญ่ และเปลี่ยนโลกนี้ได้จริงด้วยพลังของสื่อ
       มองดูปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2947 ( คศ.1999 )
ถึงปัจจุบัน มีการนำเสนอสื่อถึงเรื่องราวใน 3 จังหวัดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการนำเสนอภาพเหตุการณ์ออกสู่สายตาประชาชน และประชาคมโลก โดยแม้นแต่ขบวนการแบ่งแยกดินแดงเองก็มีความต้องการสื่อ และมีการนำสื่อต่าง ๆ มาใช้เป็นเครื่องมืออย่างแยบยล ตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา ฝ่ายรัฐเองก็มีความพยายามทำความเข้าใจร่วมมือกับสื่อมาอย่างต่อเนื่อง แต่อาจมีมุมมองที่ต่างกันที่ฝ่ายสื่อมองว่ารัฐต้องการปิดบังข้อมูลความจริง      ฝ่ายรัฐก็มองว่าสื่อนำเสนอข้อมูลในทางเดียวที่มุ่งสู่การขยายผลการปฏิบัติของกลุ่มขบวนการ ทั้งนี้เวลาก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสุดท้ายทุกฝ่ายก็ต้องร่วมมือกันเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง ที่ทั้งฝ่ายความมั่นคงและสื่อเองก็ไม่อยากให้เสียดินแดน 3 จังหวัด ปัตตานี ยะลา นราธิวาส  แบ่งแยกออกจากประเทศไทย ตัวอย่างเหตุการณ์วันที่ 28 กรกฏาคม 2555 กลุ่มขบวนการได้แสดงศักยภาพของตนเองโดยสังหารเจ้าหน้าที่ทหาร ผ่านหน้ากล้อง CCTV จงใจแสดงศักยภาพ ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิตจำนวน 4 นาย และภาพเผยแพร่อย่างรวดเร็วผ่านสื่อต่าง ๆ รวมถึงสื่อ Social Media ( youtube ), Facebook จนที่สุดฝ่ายความมั่นคงต้องออกมาขอร้องการนำเสนอภาพคลิบดังกล่าว และก็ได้รับความร่วมมืออย่างดี ทุกคลิบ ทุกภาพ 
ทุกสื่อ งดแพร่กระจายคลิบดังกล่าวทันทีในวันต่อมา นับว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่ทุกส่วนทุกฝ่ายมีความเห็นในทางเดียวกัน โดยเฉพาะสื่อมองเห็นว่านี้คือ ความมั่นคงของชาติ  

       สื่อใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีทั้งสื่อที่เป็นไทยพุทธ, ไทยมุสลิม, ไทยมาลายู, สื่อหลัก, สื่ออิสระ,      สื่อท้องถิ่น, สื่อเชิงวิชาการ, สื่อที่เกาะติดสถานการณ์, นักวิจารณ์, คอลัมนิสต์ ทั้งที่มีสังกัดและเสรี รวมถึงสื่อทางเลือกของมือสมัครเล่น และนักวิชาการ ซึ่งในส่วนของนักวิชาการ ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงในประเด็นต่อไป สื่อต่าง ๆ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างมากมายนี่เอง ที่สถานการณ์ความไม่สงบจากสงครามปฏิวัติ
ของกลุ่มขบวนการที่ใช้ประชาชนเป็นเหยื่อและเครื่องมือในการก่อการ เปิดโอกาสให้กับสื่อได้หยิบฉวยและสร้างโอกาสทางความคิด ทางอาชีพ จนบางคน บางกลุ่มลืมจรรยาบรรณและลืมไปว่านี่คือประเทศไทย และสื่อจะยอมเสียดินแดนตรงนี้ไปไห้กลุ่มขบวนการแล้วใช้ชื่อว่า ปัตตานีดารุสลามหรือไม่ คงต้องถามใจสื่อเอง และผู้เขียนไม่ปฏิเสธว่าสื่อมีหน้าที่ต้องเสนอความจริง ตรวจสอบความจริงเพื่อสร้างสมดุลและความถูกต้องให้กับสังคม เพื่อป้องกันผู้ใดผู้หนึ่งมาแสวงประโยชน์จากสังคมนี้โดยขาดการตรวจสอบ

       ถูกต้องทุก ๆ สังคมที่ประกอบเป็นรัฐ ย่อมมีการตรวจสอบ แต่ทั้งนี้สื่อต้องไม่ลืมไปว่ากลุ่มขบวนการก็มีความต้องการสื่อเช่นกัน โดยเฉพาะการขยายผลสู่ประชาคมโลกได้รับรู้ ทั้งนี้สุดท้ายก็อยู่ที่วิจารณญาณ และจรรยาบรรณของสื่อที่จะมีส่วนร่วมนำสันติสุขกลับสู่ประชาชน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างไรโดยไม่เป็นเครื่องมือของฝ่ายกลุ่มขบวนการคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ทำให้สื่อบางท่าน         มีรายได้เป็นกอบเป็นกำมีชื่อเสียงไปถึงระดับต่างประเทศเนื้อหาของสื่อที่ออกสู่สายตาชาวโลกโดยเฉพาะภาษาอังกฤษ เป็นการสื่อให้โลกเข้าใจปัญหาที่แท้จริงในประเทศไทยของเรา หรือต้องการให้ต่างประเทศมาแทรกแซง เพื่อแบ่งประเทศแยกดินแดนออกจากประเทศไทยนี้ก็ต้องคิดดูกัน
       ถ้าถามว่ามีสื่อที่เป็นพวกกับกลุ่มขบวนการไหม คงไม่มีใครตอบได้นอกจากสื่อด้วยกันเอง และถ้าจะบอกว่าเกิดจากการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ สื่ออิสระบางกลุ่มที่ต้องการชื่อเสียงไหม และถ้าดินแดน 3 จังหวัดแห่งนี้ถูกแยกออกไปจากประเทศไทยจะมีประโยชน์อะไรได้อีก นี่ก็คงต้องพิจารณากันไป ทั้งนี้ผู้เขียนว่าทุกฝ่ายต้องหันมาเห็นประโยชน์ของชาติเป็นหลัก และต้องไม่มีการเสียดินแดนเป็นที่ตั้ง ต้องมีจุดยืนเดียวกัน แต่จะนำเสนอแบบไหนก็แล้วแต่ช่องทาง และความชำนาญในวิชาชีพของตน แต่ถ้าหวังเพียงผลประโยชน์ ชื่อเสียง เพื่อความมันส์ และเพียงเพื่ออัตตาของตนเอง โดยไม่นึกถึงประเทศชาติเป็นส่วนรวม นั่นแหละที่เขาเรียกว่า “เข้าทางโจร” แล้วท่านจะไปอยู่ที่ไหน

องค์กรภาคประชาสังคม NGO (Non Government  Orgnizations )
       เหตุการณ์ปัญหาความไมสงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ปี 2547 (คศ.1999) ทำให้เกิดองค์กรภาคประชาสังคมต่าง ๆ มากมาย ทั้งระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และต่างประเทศ จุดหนึ่งที่ตอบได้อย่างมั่นใจว่าองค์กรภาคประชาสังคมทำให้หน่วยงานความมั่นคงทำงานได้อย่างลำบาก และขัดแย้งกันอยู่เนือง ๆ แต่ต้องเข้าใจว่าองค์กรภาคประชาสังคม หรือ NGO คือผู้สร้างความสมดุล และดำรงซึ่งสิทธิมนุษยชนของทุกเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ทุกศาสนา ซึ่งรายละเอียดของประเด็นหัวข้อนี้ ผู้เขียนเคยเขียนให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบแล้วในตอนที่ 3 ที่ผ่านมา จึงขอสรุปเพียงว่าองค์กรภาคประชาสังคมหรือ NGO ควรหันหน้ารับฟังอย่างรอบด้าน และต้องมีการตรวจสอบข้อมูลจากทุกด้าน เพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มขบวนการ รวมถึงต้องนึกถึงผลประโยชน์ของรัฐเป็นที่ตั้ง หากผลประโยชน์ส่วนตนมาบดบังความถูกต้องเสียแล้ว ความสมดุลของมนุษยชาติย่อมไม่เกิด ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีการแก้ปัญหาของรัฐน่าจะต้องนำมารายงานหรือไม่ NGO ต้องควรนำไปพิจารณา การตอกย้ำ ซ้ำ ๆ ปัญหาเป็นสิ่งถูกต้องกับสถานการณ์ปัจจุบันหรือไม่ แล้วประชาชนที่ถูกกระทำที่ไม่ใช่ผู้นับถือศาสนาอิสลาม ชาติพันธ์อื่นไม่ถูกกล่าวถึงในเวทีสากล สิทธิความเท่าเทียมต้องมีขึ้นกับมนุษยชาติ ทุกชาติพันธ์ ทุกศาสนา ทุกภาษาไม่ใช่หรือ และถึงเวลาหรือยังที่องค์กรภาคประชาสังคม หรือ NGO จะมองถึงจุดหมายของการไม่แบ่งแยกดินแดน และอยู่ร่วมกันได้ของทุกชาติพันธ์หรือถ้าแบ่งแยกดินแดนไปแล้ว องค์กรภาคประชาสังคม หรือ NGO ที่เป็นคนไทยเขียนรายงานไปต่างประเทศจะภูมิใจไหมที่มีส่วนให้การแบ่งแยก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ออกจากประเทศไทยได้เป็นผลสำเร็จ แล้วต่อไปจะไปแยกส่วนไหนของประเทศไทยออกอีก     

นักวิชาการ ( Academician )
       ประเด็นตรงนี้ผู้เขียนขอกล่าวถึงอย่างน้อยนิด ด้วยความรู้ ความสามารถของผู้เขียนเองมีน้อยมากในตรงนี้ ผู้เขียนขอรวมถึงนักวิชาการทั้งหมดที่ติดตาม เขียน วิจารณ์ และพยายามหาทางออกให้กับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงนักวิชาการด้านศาสนาทุกศาสนาโดยเฉพาะศาสนาอิสลาม และนักวิชาการด้านความมั่นคง   โดยความสำคัญของความเป็นนักวิชาการที่ฝ่ายรัฐสามารถนำมาใช้พิจารณาประกอบการแก้ปัญหาความไม่สงบได้สัมฤทธิ์ผลได้ดีทีเดียวแต่ทั้งนี้นักวิชาการต้องเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงใจ และต้องไม่มีผลประโยชน์ ชื่อเสียง หรือการเงิน ขอให้มองผ่านจุดนี้ไป โดยเห็นผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง และต้องไม่มีการแบ่งแยกดินแดน นักวิชาการศาสนาถึงเวลาออกมาร่วมแสดงออกให้สาธารณชนได้เข้าใจเรื่องของศาสนาที่ถูกต้องอย่างแท้จริง ไม่บิดเบือนทุกฝ่ายต้องออกมาแสดงให้ทุกคนรับรู้ในมุมมองของตนตามหลักการ ทางช่องทางต่าง เพราะหากนิ่งเฉยด้วยเพราะความกลัวหรือไม่แสดงออกก็เท่ากับว่า สิ่งที่ฝ่ายขบวนการกระทำนั้นถูกต้องแล้วหรือไม่
       การนำเสนอของนักวิชาการนั้นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ และสามารถเป็นแนวทางที่นำมาสู่การปฏิบัติได้จริง การออกมาร่วมมือให้ข้อคิดเห็นล้วนมีประโยชน์ แต่ถ้าประโยชน์นั้นไม่สามารถเอื้อต่อฝ่ายรัฐไทย แต่ไปเอื้อให้กับฝ่ายขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ก่อการร้ายกระทำต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์นั้น นักวิชาการก็ควรต้องมานั่งทบทวนอย่างจริงจังก่อนนำเสนอข้อมูลออกไปสู่สาธารณชนหรือไม่

องค์กรนักศึกษาสถาบันอุดมศึกษา ( Student Organization
               ในตอนที่ 1 และ 2 ของแนวร่วมมุมกลับจากเว็บไซต์ที่เคยนำเสนอแล้วได้กล่าวให้ผู้อ่านได้เข้าใจแล้วอย่างละเอียด ฉะนั้นตอนนี้ขอสรุปเพียงเข้าใจว่าพลังนักศึกษามีส่วนขับเคลื่อนอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของประเทศในอดีตที่ผ่านมา แต่ถ้าเจาะลงไปที่องค์การนักศึกษาที่เป็นมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนใต้บางกลุ่มที่มุ่งเคลื่อนไหวเพื่อความขัดแย้งของชาติพันธุ์และศาสนา โดยที่สถาบันอุดมศึกษาและนักศึกษาส่วนใหญ่นิ่งเฉย หรือจะปฏิเสธว่าไม่มีนักศึกษาอุดมศึกษามุสลิมบางคน เกี่ยวข้องกับขบวนการก่อเหตุรุนแรง และแฝงตัวอยู่กับนักศึกษาส่วนใหญ่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือที่กรุงเทพมหานครเมื่อหลับหู หลับตานิ่งเฉยอย่างนี้ จะมีประโยชน์อะไรที่บัณฑิตจากอุดมศึกษาที่รับนักศึกษาที่มีผลการเรียนไม่ได้มาตรฐานหรือไม่มีนักศึกษาจากนอก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มาเรียนในมหาวิทยาลัยเลย ด้วยเพราะอิทธิพลมืดกลุ่มนักศึกษาที่นิยมจักรวรรดิของความรุนแรง ในโลกที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องปัจจุบันมนุษย์ชาติกลุ่มเดียวคงไม่อาจอยู่ร่วมกับชาติพันธุ์อื่นได้ หากมีความคิดที่สุดโต่งขัดแย้งกับผู้อื่น ความเป็นบัณฑิตและสถาบันที่ผลิตบุคลากรเพื่อไปพัฒนาสังคม และประเทศคงต้องถึงเวลาทบทวนที่นักศึกษามุสลิมส่วนใหญ่และสถาบันอุดมศึกษาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องร่วมกันผลักดันความรุนแรงสุดโต่งออกจากสังคม และออกมาแสดงให้สาธารณชนได้รับรู้ว่า ความรุนแรงเพื่อแบ่งแยกสังคม สุดท้ายพวกท่านต้องเป็นผู้ที่จะประกาศให้สังคมรู้ว่านักศึกษามุสลิมส่วนใหญ่และสถาบันอุดมศึกษาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องการความสงบที่อยู่ร่วมกันได้ ทุกชาติพันธุ์ ภาษา ทุกศาสนา และไม่แบ่งแยกดินแดนออกจากประเทศไทยแล้วท่านกล้าหรือกลัวที่จะรักษาประเทศชาติ

               ตอนจบของแน่วร่วมมุมกลับนี้ อาจเป็นบทสรุปของความหมายทางวิชาการความมั่นคง เรื่องแนวร่วมมุมกลับก็ได้หรือมีมากกว่านี้ก็ได้ในมุมมองของผู้เขียน และผู้อ่านตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับ 4 จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย ได้แก่ สงขลาบางส่วน ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ไม่เกี่ยวข้องกับส่วนอื่นของโลกด้วยปัจจัยและสภาพแวดล้อมความเป็นมาที่ที่ต่างกันแต่ที่เหมือนกันทั่วโลกคือความโหดร้ายทารุณของสงครามปฏิวัติ โดยใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือก่อความรุนแรงที่มี ศาสนา ชาติพันธุ์ ภาษาเป็นข้ออ้างเพื่ออำนาจของกลุ่มคนบางกลุ่ม ซึ่งมีกลุ่มคนอีกหลายส่วนที่ลงมาร่วมหรือคล้อยตาม และหลงในวังวนของสงครามนี้อย่างไม่รู้จักจบสิ้น เพียงคำว่าอัตลักษณ์เท่านั้น ที่เป็นตัวอันตรายทึ่เกิดความทุกเข็นของมนุษยชาติในครั้งนี้ ความเป็นตัวตน ความเป็นเจ้าของบางสิ่งที่ผูกมัดกับคำว่าอัตลักษณ์ตัวกูของกู จึงก่อเกิดสงครามและการต่อสู้ที่สร้างแต่ความเดือดร้อนอย่างไม่จบสิ้น และหากทุกฝ่ายลดอัตลักษณ์ของตนเอง ลดความเป็นตัวกูของกูและเข้าหากันอย่างสันตินั่นแหละ ทุกชาติพันธุ์ ทุกภาษา ทุกศาสนาก็อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขในโลก รวมทั้ง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย
----------------------------------
บินหลาดง   นรา