แล้วความพยายามในการขับเคลื่อนการสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งที่อ้างตัวว่าทำเพื่อพี่น้องประชาชนโดยมีบทบาทบังหน้าในรูปของความพยายามเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยใช้ชื่อว่า “สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี” (PerMAS) และ “สำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา”(Lempar) ก็ปรากฎชัดถึงเจตนาที่แท้จริงในวันที่โต๊ะพูดคุยสันติภาพระหว่างรัฐบาลไทยกับกลุ่มกบฎเฒ่า BRN ทำท่าจะพังครืน
การนำเสนอด้วยบทความของนายตูแวดานียา ตูแวแมแง ว่าด้วยวาทกรรมเพื่อสันติภาพในวงการ NGOs ไทย ที่เผยแพร่ผ่านสื่อซึ่งเป็นกระบอกเสียงของขบวนการมาโดยต่อเนื่องอย่างเว็บไซต์ Deepsouthwatch.org หรือ ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ ได้แสดงออกถึงแนวความคิดในการนำไปสู่ความแตกแยกภายในตามที่กล่าว แม้ว่าบทบาทของบุคคลและกลุ่มบุคคลนี้จะเกี่ยวพันกับปีกการก่อเหตุรุนแรงโดย BRN หรือโดยกลุ่มอื่นๆ ที่พยายามเข้ามามีเอี่ยวเพื่อแย่งชิงผลประโยชน์ภายในผ่านความทุกข์ยากของประชาชนก็ตาม แต่เสียงปฏิเสธอย่างแข็งขันว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุรุนแรงก็ยังปรากฎผ่านสื่อของตนเองและพวกพ้องโดยต่อเนื่อง
การถูกเปิดโปงความเชื่อมโยงว่ามีความเกี่ยวข้องกับ BRN ของกลุ่มอดีตนักศึกษาที่ผันตัวเองมาเป็น NGOs เพื่อความอยู่ดีกินดีของตนกลุ่มนี้เริ่มเห็นภาพชัดเมื่อสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งได้นำเสนอความเชื่อมโยงกับขบวนการอย่างปฏิเสธได้ยาก การมีสมาชิกในกลุ่ม PerMAS ร่วมอยู่ในกลุ่มก่อเหตุรุนแรงที่พยายามเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการของนาวิกโยธินจนถูกวิสามัญตาย 16 ศพที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับคลิ้ปวีดีโอของนักศึกษากลุ่มนี้นำโดยด้วยนาย ซูไฮมี ดูละสะ แกนนำอีกหนึ่งคนที่ถูกนำเสนอในเว็บไซต์ยูทูปที่สมาชิกคนที่เสียชีวิตนี้ได้ปลูกฝังเยาวชนให้เกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐโดยใช้โครงการอบรมจริยธรรมเยาวชนในโรงเรียนปอเนาะและตาดีกาบังหน้า ซึ่งมีเนื้อหาที่นักศึกษาเหล่านี้ไม่กล้าเถียงยังคงปรากฎให้เห็นด้วยการเข้าชมจำนวนไม่น้อย ได้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เห็นด้วยของประชาชนส่วนใหญ่ไม่เว้นแม้แต่พี่น้องมสุลิมที่รู้ผิดรู้ชอบ (ดูรายละเอียดตามลิ้ง) http://www.youtube.com/watch?v=Izw4H6-CILk
สุดท้ายก็จบลงด้วยกฎหมู่โดยการประท้วงและขู่จะปิดสำนักข่าวที่นำเสนอ โดยไม่ได้ชี้แจงเรื่องที่กลุ่มของตนเข้าไปเกี่ยวพันกับโจรแต่อย่างใด
อย่างไรก็ดีการเปิดโปงครั้งนั้นได้ช่วยให้สังคมได้รับทราบพฤติกรรมของคนกลุ่มนี้มากขึ้น แต่ถามว่าพวกเขาได้สำเหนียกตนเองในการบ่อนทำลายสังคมหรือยัง แน่นอนว่า “ยัง”
ความพยายามในการใช้วันที่ 4 ม.ค.57 ซึ่งเป็นวันสัญลักษณ์ของการเริ่มไฟใต้ระลอกใหม่ได้แก่การปล้นปืนที่กองพันพัฒนาที่ 4 และเป็นวิธีการเดียวกับขบวนการก่อเหตุรุนแรงที่ใช้การโฆษณาชวนเชื่อเพื่อปลุกเร้ามวลชน ซึ่งมีการปฏิบัติควบคู่กับกลุ่ม BRN อย่างสอดประสานและแสดงออกถึงความเป็นพวกพ้อง
การใช้สื่อนำเสนอความคิดเห็นเป็นเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่สิ่งผิด แต่การให้ข้อมูลที่ถูกต้องก็เป็นสิ่งที่ต้องกระทำด้วย
วาทกรรม “เพื่อสันติภาพ” ในวงการ NGOไทย” ที่กล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยโดยแกนนำกลุ่ม จึงมิใช่เป็นของ NGOS ทั้งหมด แต่เป็นเพียงของกลุ่มคนที่มีเจตนาไม่หวังดี ใช้คำว่าสันติภาพ เพื่อนำไปสู่การแบ่งแยกดินแดน โดยใช้คำสวยหูรว่าการกำหนดใจตนเอง ซึ่งได้มีการเตรียมการโดยให้ข่าวสารที่คลาดเคลื่อนกับประชาชนผ่านเวทีเสวนาสาธารณะมาแล้วระยะหนึ่ง ซึ่งมีเฉพาะพี่น้องมุสลิม พร้อมด้วยการสอดแทรกความเชื่อถือศรัทธาทางศาสนาเพื่อแบ่งกลุ่มแบ่งพวก แล้วก็บอกกับสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งการป่าวประกาศให้ประเทศมุสลิมที่ไม่ได้รับรู้ข้อเท็จจริงเชื่อตามในคำพูดของตน
แล้วคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่ก่อนที่นักศึกษาเหล่านี้จะเกิด ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยและถูกบีบบังคับให้อพยพออกนอกพื้นที่ด้วยการข่มขู่และฆ่ารายวัยโดยไม่มีสิทธิโต้เถียงล่ะ เขาเหล่านั้นได้ถูกสอบถามถึงความต้องการกำหนดใจตนเองหรือยัง การกล่าวอ้างนี้จึงเป็นเพียงการพูดเอาแต่ได้
“ผลประโยชน์” กับ “เสรีภาพ” ของประชาชนในพื้นที่นี้จึงยังคงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถนำมากล่าวรวมกันได้ในวันที่ความเดือดร้อนของประชาชนจากการก่อกรรมทำเข็ญของขบวนการยังมีอยู่ แต่หากวันใดที่ขบวนการหยุดสร้างความเดือดร้อน หยุดฆ่าประชาชน หยุดเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ทั้งจากธุรกิจผิดฎหมาย และการต้องการเป็นใหญ่ในอนาคตเพื่อกระทำในสิ่งที่อ้างว่าทำตามความต้องการของประชาชนได้ การเคลื่อนไหวเพื่อกำหนดใจตนเองก็น่าจะนำกลับมาใช้ได้ แต่จากที่เห็น..ความเลวร้ายทั้งปวงยังเกิดขึ้นโดยขบวนการ พร้อมๆ กับการไม่เคยออกมาประกาศความรับผิดชอบ แถมยังโยนบาปให้คนอื่นอีก อย่างนี้ใครจะไปเชื่อด้วยความจริงใจ..นอกเหนือจากกระบอกปืนที่คอยจี้ประชาชนไว้เพื่อให้เชื่อด้วยความกลัว กับการบิดเบือนอย่างน่าละอายทั้งๆ ที่รู้
แล้วคำว่าสันติภาพที่แท้จริงมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อคนกลุ่มนี้ต้องการมากกว่าสันติภาพอย่างที่ทุกฝ่ายรู้ แต่มันจะเกิดขึ้นได้ในยุคที่ประชาชนเลือกรับข่าวสารที่แท้จริงจากหลายๆ ทางได้มากกว่าการปลิ้นปล้อนมดเท็จ ประชาชนในพื้นที่ไม่ได้โง่อย่างที่คิดหรอกนะ โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว
บูเก๊ะ บือซา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น