......พิราบขาว......
PataniMerdeka วาทะกรรมบนท้องถนน
ในการเรียกร้องเอกราช ของบรรดาผู้ที่เรียกตัวเองว่า “นักรบฟาตอนี” ผมอยากถามพวกท่านทั้งหลายว่า
ต้องการเอกราชจากใคร?จากการที่ผมได้พูดคุยกับท่านผู้รู้ทางศาสนาอิสลามเป็นผู้นำทางศาสนาในพื้นที่ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางซึ่งผมต้องขอสงวนนามในที่นี้ เขาตั้งคำถามกับวิธีอธิบายทางศาสนาของขบวนการที่ว่าเป็นหน้าที่ที่คนมลายูมุสลิมจะต้องต่อสู้ให้ปาตานีกลับมาเป็นดารุลอิสลามอย่างที่พวกเขาเชื่อว่าเคยเป็นมาในอดีต
“รัฐบาลอิสลามที่ต้องการแปลว่าอะไร รัฐที่ปกครองด้วยชารีอะห์เต็มรูปแบบ ไม่มีในโลก
แม้แต่ซาอุ [ดิอาราเบีย] ก็ไม่ใช่
แล้วคุณจะเอาอะไร” เขาตั้งคำถาม
สำหรับประเด็นเรื่องญิฮาดนั้น
เขาอธิบายว่าในการประกาศญิฮาด
อูลามาจะต้องประชุมร่วมกันและลงมติเอกฉันท์ว่าจะต้องสู้
แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดนี้ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น “มติ”
เป็นแต่เพียง “แนวคิด” นอกจากนี้เขามองว่าการญิฮาดไม่ว่าจะอยู่ในดินแดนประเภทใดก็ตาม
นักรบไม่สามารถฆ่าผู้บริสุทธิ์ได้ผู้นำศาสนาท่านนี้มองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจทางการเมือง
“ชาวบ้านก็เป็นเหยื่อของกลุ่มคนที่ต้องการอำนาจ
โดยใช้ประวัติศาสตร์มาชง” เขากล่าว “รัฐไม่ได้กดขี่อะไรพวกเราเองที่เลอะเทอะเหมือนคนพุทธที่ไม่เข้าวัด”เขากล่าวถึงกลุ่มคนในระดับนำของขบวนการอย่างประชดประชันว่า “ระดับบน ต้องการอำนาจ ไม่ถูกยิง ไม่ตาย นั่งเครื่องบินตลอด ระดับล่างต้องการสวรรค์ พวกนี้ตาย ติดคุก พิการ”
นักรบฟาตอนีมาจากไหน
จากการที่ผู้เขียนได้พูดคุยกับ RKK
ที่กลับใจเบื่อหน่ายกับการต่อสู้ที่เขาถูกหลอกลวงมาตลอดกว่า 10 ปี
ที่ต้องเข้าไปต่อสู้เขาถูกคัดเลือก และได้รับการปลูกฝังที่เน้นในเรื่องประวัติศาสตร์
“บาดแผล” โดยการเล่าถึง
ความรุ่งเรืองของอาณาจักรปาตานีในอดีตซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของศาสนาอิสลามในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นเมืองท่าที่มีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์และพูดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายลงหลังจากถูกสยามยึดครองและรัฐสยามได้ดำเนินนโยบายในการ
“กลืนวัฒนธรรม” ดังนั้นเองจึงมีความจำเป็นที่คนมลายูมุสลิมจะต้องต่อสู้เพื่อนำอิสรภาพและเอกราชกลับคืนมา
มีการนำเอากรอบคิดทางศาสนาเรื่องดารุลฮัรบีมาสนับสนุนการต่อสู้ โดยย้ำว่าเป็นวาญิบที่คนมุสลิมจะต้องญิฮาดกับผู้รุกราน
แล้วคนกลุ่มนี้ทำอะไรไว้กับ
สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ที่พยายามจะให้เป็นรัฐฟาตอนี
เริ่มจากการเผาโรงเรียน สังหารและทำร้ายบุคคลากรทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
เพื่อไม่ให้เยาวชนได้มีการศึกษาจะได้หลอกเข้าเป็นสมาชิกของขบวนการ สามารถปลูกฝังความคิดความเชื่อที่ผิดๆ
ที่พวกเขาต้องการได้ง่ายผลลัพธ์ที่ตามมาคืออะไร
โอกาสทางการศึกษาของเยาวชนในสามจังหวัด ที่จะนำความรู้ไปประกอบอาชีพหายไป และหลังจากการปล้นปืนกองพันพัฒนาที่
4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อ 4 มกราคม พ.ศ.2547 กลุ่มคนเหล่านี้ก็ได้พยายาม ทำทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนในสามจังหวัด
ลุกขึ้นมาต่อสู้ ด้วยการสร้างสถานการณ์ โดยใช้ชีวิตเลือดเนื้อของชาวบ้าน ผู้บริสุทธิ์
มาเป็นเหยื่อ เช่น กรณีเหตุการณ์ที่มัสยิดกรือเซะ และตากใบ
ที่ชาวบ้านถูกหลอกมาเพื่อให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งในกรณีนี้ ดร.ดันแคน แม็กคาร์โก
ศาสตราจารย์ด้านการเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประจำมหาวิทยาลัยลีดส์สหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นนักวิชาการที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่
ได้ลงหาข้อมูลในพื้นที่อย่างจริงจังและได้ทำการวิจัยในปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย
โดยใช้เวลาราวหนึ่งปี แล้วนำมาเขียนหนังสือชื่อว่า “Tearing Apart the
Land” ซึ่ง ดร.ชัยวัฒน์สถาอานนท์
ได้นำมาแปลเป็นภาษาไทยโดยใช้ชื่อว่า “ฉีกแผ่นดิน”
อิสลามและปัญหาความชอบธรรมในภาคใต้ ประเทศไทย
ที่ชี้ให้เห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นคือสิ่งที่ขบวนการได้วางแผนไว้เป็นอย่างดี
โดยใช้ชีวิตพี่น้องมุสลิมเป็นเครื่องมือ
นอกจากนั้น BRN
ยังพยายามที่จะสร้างสถานการณ์ต่างๆ
เพื่อให้สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยกลายเป็นพื้นที่วิกฤติที่ประชาคมระหว่างประเทศหันมาสนใจและเข้ามาแทรกแซง
โดยพยายามทำทุกอย่างให้เข้าเงือนไขที่องค์การสากล เช่น OIC
หรือองค์การสหประชาชาติ ต้องเข้ามาแทรกแซง
เช่นการสร้างเงื่อนไขการขัดกันด้วยอาวุธที่มิใช่ลักษณะระหว่างประเทศ (non –
international armed conflict)
เงื่อนไขสิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเอง (right to
self-determination) และเงื่อนไขสิทธิมนุษยชน (Human rights) เป็นต้น เพื่อนำไปสู่เงื่อนไขดังกล่าว
BRN จึงพยายามสร้างสถานการณ์ก่อเหตุรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยไม่คำนึงว่าชาวบ้าน
พี่น้องประชาชนจะได้รับผลอย่างไร แล้วพยายามโยนความผิดให้กับ
เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง เพื่อสร้างความเกลียดชังระหว่าง ทหาร กับ ชาวบ้าน มาในระยะหลัง
BRN ได้พยายามวางระเบิด ลอบยิง
และลอบโจมตีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงมากขึ้น เพื่อให้ ฝ่ายรัฐใช้ความรุนแรง
แต่ฝ่ายรัฐไม่เล่นด้วย เลยหันมาผลักดันให้ กลุ่ม PerMAS ออกมาสร้างกระแส การกำหนดเจตจำนงของตนเอง หรือการกำหนดใจตนเอง (right
to self-determination)โดยพยายามสร้างสถานการณ์ให้
ฝ่ายรัฐตกเป็นจำเลยสังคม ในการละเมิดสิทธิมนุษยชน การได้รับความไม่เป็นธรรมต่างๆ การกระทำนอกเหนือวิถีชีวิตของมุสลิม
สรุปได้ว่าตลอดระยะเวลา
10 ปี ตั้งแต่ BRN
ประกาศสงครามโดยการปล้นปืนจากค่ายทหาร แล้วพยายามเร่งสถานการณ์
สร้างความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยอ้างเป็นการเรียกร้องเอกราช ผมเองในฐานะประชาชนคนหนึ่งในปัตตานี
อยากขอถามว่าเอกราชที่พวกท่านเรียกร้องคืออะไร?....
ปัจจุบันไม่มีเอกราชตรงไหน ไม่ว่าจะเป็น ในเรื่องเชื้อชาติ มลายู ภาษา
การนับถือศาสนา และวัฒนธรรม
เราทุกคนต่างก็มีสิทธิสมบูรณ์ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดทั้งทางนิตินัย และพฤตินัย
ไม่ได้มีความแตกต่างไปจากประชาชนในพื้นที่อื่นของประเทศ
ซึ่งสอดคล้องตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล
ดังนั้นประชาชนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของของประเทศไทย
จึงมีสถานะความเป็นประชาชนของรัฐอย่างสมบูรณ์เช่นเดียวกับประชาชนชาวไทยทั่วไป
และยิ่งไปกว่านั้นปัจจุบันคนที่นี้ยังได้รับการดูแลเป็นพิเศษในหลายๆ เรื่อง เพื่อเป็นการชดเชยโอกาสที่พวกเราได้เสียไป
แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ชีวิตพวกเราดีขึ้น ตลอด 10
ปีที่เราต้องอยู่กันอย่างหวาดระแวง บนความแตกแยกที่ BRN
พยายามแยกคนที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามโดยเฉพาะพุทธศาสนิกชน
ออกจากพี่น้องมุสลิมในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งในอดีตพวกเขาเหล่านั้น
อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างแต่ปัจจุบันรอยแยกที่ฆาตกร BRN และพวกสุดโต่ง ได้ใช้ความโหดร้ายทารุณ ฆ่าทุกคน ไม่เว้น เด็ก ผู้หญิง
แม้กระทั่งพระภิกษุ รวมทั้งผู้ที่ไม่ให้ความร่วมมือและผู้ที่ต้องการความสงบสุข
และความเจริญที่จะมาสู่ดินแดนด้ามขวาน
ไม่เว้นว่าจะเป็นใครศาสนาใดแล้วโยนความผิดให้ ตำรวจ ทหาร
สร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในใจชาวบ้านต่อไป........แล้วเมื่อไหร่สันติภาพ
ความสงบสุข รวมถึงความเจริญ การท่องเที่ยว การลงทุนที่จะนำไปสู่ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของพี่น้องประชาชนชาวปลายด้ามขวานจะมาถึงซะที.......
********************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น