หน้าเว็บ

3/04/2557

เหตุเกิดที่ บันนังกูแว บันนังสตา

ตนไทยปลายด้ามขวาน

          เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ จากการรวบรวมสถิติย้อนหลังมีอยู่หลายหมู่บ้านด้วยกันที่มีเหตุเกิดขึ้นค่อนข้างถี่ และรุนแรง บ้านบันนังกูแว อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา เป็นหนึ่งหมู่บ้านในจำนวนนั้น ที่เหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ทั้งเหตุลอบวางระเบิด  เผาบ้าน เผารถ และเหตุการณ์ล่าสุดที่คนร้ายสร้างสถานการณ์กราดยิงสองสามีภรรยาด้วยอาวุธสงครามเสียชีวิตคาบ้านพัก
          ประวัติบ้านบันนังกูแว จากการบอกเล่าของชาวบ้าน เล่าว่าในอดีตตามตำนานที่ตั้งเป็นบันนังกูแว เข้าใจว่า มีทุ่งนามากในพื้นที่ และมีต้นกูแว (ต้นกก) ที่ใช้ในการสานเสื่อไว้ใช้สอยในครัวเรือน บ้านกูแว เป็นพื้นที่เล็กๆ อยู่ห่างจากหมู่บ้านอื่น สมัยก่อนชาวบ้านสัญจรไปมาโดยใช้พื้นที่นาเป็นทางผ่าน เรียกว่า บือแนกูแว จนกระทั่งในปัจจุบันได้เพี้ยนมาเป็น บันนังกูแว จนกระทั่งในปัจจุบัน ในอดีตพื้นที่แห่งนี้มีการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างกลมเกลียว สามัคคีกัน มีการปลูกบ้านเรือนตั้งอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีที่ดินทำกินแยกออกต่างหากจากหมู่บ้าน ซึ่งไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก ประชากรส่วนใหญ่ มีจิตใจเอื้ออารีย์ ถ้อยทีถ้อยอาศัย พึ่งพาช่วยเหลือซึ่งกันและกันค่อนข้างสูง มีการพูดคุยปรึกษาหารือซึ่งกันและกัน การเคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ คนแก่ คนเฒ่า
          ปัจจุบันบ้านบันนังกูแว ได้เปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยอยู่กันอย่างสงบสุขอย่างสิ้นเชิง แต่กลับเกิดเหตุรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องในหมู่บ้าน ในรอบสามเดือนที่ผ่านมา เกิดอะไรขึ้นกับหมู่บ้านแห่งนี้ อะไรคือสาเหตุนำไปสู่การก่อเหตุ เรื่องขัดแย้งผลประโยชน์ เรื่องส่วนตัว ปัญหาการเมืองท้องถิ่น หรือเป็นเรื่องของปัญหาความมั่นคง เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ไฟใต้  แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อการรับรู้ของประชาชนทั่วไป กลับมองบ้านบันนังกูแว คือพื้นที่แห่งความขัดแย้ง เป็นพื้นที่สีแดง ยุคของสังคมข้อมูลข่าวสาร ยุคของการใช้สื่อ Socail Media มิอาจยับยั้งต่อการรับรู้ของสังคมภายนอกได้ กลุ่มหรือองค์กรที่คอยสั่นคลอนสร้างความแตกแยกในสังคม ได้หันมาใช้กลอุบาย กลวิธี สร้างความหวาดระแวงในหมู่ประชาชนต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อทุกรูปแบบ ซึ่งเป็นกรรมวิธีสร้างความเสียหายให้กับคู่ขัดแย้ง พร้อมสาดโคลนต่อฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นผู้ลงมือกระทำเข่นฆ่าประชาชน โดยปราศจากข้อมูลความจริงที่มิอาจยอมรับได้
      ย้อนไปเมื่อปลายปี 2556 วันที่ 23 ธันวาคม  เวลาประมาณ 19.45 น. คนร้ายได้ลงมือก่อเหตุ กราดยิงชาวบ้านบริเวณหน้ามัสยิดบ้านบันนังกูแว เป็นเหตุให้ชาวบ้านเสียชีวิตทันที 1 ราย บาดเจ็บจำนวน 3 ราย มีเด็ก อายุ 12 ปี คนชราอายุ 70 ปี รวมอยู่ในนั้นด้วย ที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนอาก้า และ M-16 จำนวนหลายสิบปลอกตกอยู่ ถัดมาเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2557 เวลาประมาณ 13.45 น. ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นบริเวณทางโค้งในหมู่บ้าน เหตุการณ์ครั้งนั้น ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ อส. และชาวบ้านได้รับบาดเจ็บรวม 3 คน และเหตุการณ์ล่าสุดเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2557 เวลาประมาณ 01.00 น. คนร้ายใช้รถกระบะเป็นยานพาหนะ กราดยิงแล้วเผาบ้านชาวบ้าน 2 หลัง เป็นเหตุให้ชาวบ้านสองสามีภรรยาเสียชีวิต 2 ราย บ้านเรือนเสียหาย รถยนต์โดนเผา 3 คัน ในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนอาก้า และ M-16 ตกเกลื่อนกว่า 50 ปลอก หลังก่อเหตุคนร้ายได้ขับรถหลบหนีและโปรยตะปูเรือใบระหว่างเส้นทาง
          ากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที้บ้านบันนังกูแว จะเห็นได้ว่าคนร้ายมุ่งเป้าก่อเหตุกับประชาชนในหมู่บ้าน จนกระทั่งเสียชีวิตถึง 3 ราย ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 6 ราย ภายในระยะเวลาแค่ 3 เดือน และเป็นที่น่ากังขาอาวุธที่ใช้ก่อเหตุเป็นอาวุธปืนสงครามชนิดเดียวกัน คือ อาก้า และ M-16 และล่าสุดได้ใช้ยุทธวิธีโปรยตะปูเรือใบเส้นทางในระหว่างหลบหนี ซึ่งเป็นวิธีเดิมๆ ของคนร้ายที่ได้ใช้หลังการก่อเหตุในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ถึงกระนั้นกลุ่ม PerMAS (สหพันธ์นิสิตนักศึกษา และเยาวชนปาตานี) โดยนายสุไฮมี ดูละสะ ประธานกลุ่มฯ ได้นำเยาวชนนักศึกษาลงพื้นที่แสดงสัญลักษณ์ในที่เกิดเหตุเพื่อสร้างกระแส พร้อมทั้งบิดเบือนใส่ร้าย กล่าวหาเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ในขณะที่ขั้นตอนพิสูจน์หลักฐาน การเก็บรวบรวมหลักฐาน และวัตถุพยานในที่เกิดเหตุยังคงดำเนินอยู่ เพื่อดำเนินไปสู่กระบวนการยุติธรรมนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ ตามกฎหมาย แต่นายสุไฮมี ดูละสะ กลับตั้งตนเป็นศาลเตี้ยตัดสินคดีเสร็จสรรพ โดยไม่รอผลสืบสวนทางคดีของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง
         
จับตาการเคลื่อนไหวของ นายสุไฮมี ดูละสะ ประธานกลุ่ม PerMAS ไว้ให้ดีผู้ซึ่งได้ใช้ชีวิตคน คราบเลือด และรอยเปื้อนน้ำตา จะมีอีกกี่ที่ เลือดอีกกี่รอย น้ำตาอีกกี่หยด ที่ถูกใช้เป็นฉาก เป็นตัวละคร เป็นส่วนประกอบ ในการถ่ายทำสารคดีสั้น สกู๊ปชีวิต เพื่อนำเสนอ UN เรียกร้องความสนใจ กับการสร้างกระแสเรียกร้องกล่าวหารัฐละเมิดสิทธิมนุษยชน อีกกี่ชีวิต กี่ศพ ที่จะเป็นอนุสรณ์ กลายเป็นสถานที่ดูงานของนักเรียน นักศึกษา ที่ถูกนายสุไฮมีฯ ประธาน PerMAS จอมปลอม ปลุกระดมชักจูงหลอกมาเพื่อแสดงเชิงสัญลักษณ์ นายคนนี้ไปที่ไหน ที่นั้นต้องมีเลือด มีศพ มีชีวิตที่ต้องจากไป อย่างไม่มีวันกลับมา อนิจจาปัญญาชนกลับโดนชักจูงไปในทางที่ผิด น้องๆ นักศึกษาที่เดินตามก้นนายสุไฮมีฯ หันกลับไปทำกิจกรรมที่ดีมีประโยชน์ต่อสังคมไม่ดีกว่าหรือ? ตราบใดที่ยังไม่รู้เท่าทันการแสวงหาผลประโยชน์บนความสูญเสียของนายผู้นี้ นำมาซึ่งการสร้างความแตกแยก ความขัดแย้งเพิ่มขึ้นไปอีกในสังคม อย่าขยายรอยปริอีกต่อไปเลย นับต่อจากนี้ไปคอยจับตาติดตามข่าวสาร ดูกันให้ดี คิดตามให้หนักกับคำโฆษณาชวนเชื่อลวงโลก ฟังแล้วไตร่ตรอง ฟังแล้วคิด เขาได้อะไร ใครเสียอะไร ทำไม?......ตายแล้วต้องมาเป็นเครื่องมือขององค์กรนักศึกษาจอมปลอมที่เคลื่อนไหวสร้างกระแสปั่นราคาไปวันๆ

*************************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น