หน้าเว็บ

3/06/2557

เมื่อผู้นำศาสนาโดนฆ่า กับคำกล่าวหาฝีมือนักล่าอาณานิคมสยาม

ตนไทยปลายด้ามขวาน

          สถานการณ์ไฟใต้ยังคุกกรุ่นไม่เคยมีทีท่าจะดับมอด ยังคงแผดเผาทำลายชีวิตผู้คน วันแล้ววันเล่ากับเหตุร้ายรายวันที่สื่อมวลชนได้นำเสนอ การกระทำของโจรใต้ได้ทวีความรุนแรงได้บ่งชี้ไม่มีการเลือกเป้าหมายในการเข่นฆ่า แม้กระทั่งคนนับถือศาสนาเดียวกันยังไม่เว้น ไม่มีหรอกกับคำกล่าวที่ว่า คนอิสลามจะไม่เข่นฆ่าไม่ทำร้ายคนอิสลามด้วยกันเอง เหตุการณ์เมื่อตอนเช้าของวันที่ 2 มีนาคม 2557 เป็นสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดี คนร้ายได้ลงมือก่อเหตุลอบยิงนายกอรี ดอเลาะ ครูสอนศาสนาโรงเรียนปอเนาะบ้านบลูกาสนอ เสียชีวิตอย่างเลือดเย็น ในขณะที่ นายอาริส ดอเลาะ บุตรชายได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดบริเวณถนน หมู่ที่ 4 ตำบลตะปอเยาะ อำเภอยี่งอ จังหวัดนราธิวาส ส่วนความคาดหวังของประชาชนในพื้นที่ เหมือนแสงสว่างในทางตันได้แต่ตั้งหน้าตั้งตารอการพูดคุยสันติภาพ โดยมีประเทศมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวกกลับพังพาบลงอย่างไม่เป็นท่า เพราะปัญหาการเมืองภายในประเทศสยามเอง
          
            คล้อยหลังนายกอรี ดอเลาะ เสียชีวิตเพียงวันเดียว กระแสข่าวปล่อยทั้งในพื้นที่อำเภอยี่งอ และนอกพื้นที่ แนวร่วมได้ทำการโฆษณาชวนเชื่อ ปล่อยข่าวลือว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ พร้อมทั้งทิ้งใบปลิว คนดีของสังคมต้องเสียชีวิตด้วยกระสุนปืนเนื้อหาพอสรุปประเด็นสำคัญ เจ้าหน้าที่สั่งฆ่าประชาชน แล้วดำเนินการเยียวยาตามนโยบายของสยาม ฆ่าแล้วจ่ายแล้วโยนความผิดว่าเป็นการกระทำของขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมาลายูปาตานี หรือ BRN พร้อมทั้งปูพรหมสาดโคลนในสื่อ Socail media เว็บไซต์แนวร่วม เครือข่ายสังคมออนไลน์ สอดรับกระแสดังกล่าวด้วยการกระพือข่าวปลุกกระแส ผู้นำศาสนาตกเป็นเป้าหมายการสังหารของนักล่าอาณานิคมสยาม
          ทำไม? นายกอรี ดอเลาะ ครูสอนศาสนาโรงเรียนปอเนาะบ้านบลูกาสนอ จึงถูกคนร้ายลอบฆ่า จากการเปิดเผยของผู้นำท้องถิ่น ในอำเภอยี่งอเล่าให้ฟังว่า นายกอรีฯ จบการศึกษาด้านศาสนาจากประเทศลิเบีย ในอดีตเคยมีพฤติกรรมในการปลุกระดมบ่มเพาะ สร้างอุดมการณ์แนวความคิดผิดๆ ให้กับเยาวชนในพื้นที่ และได้กล่าวโจมตีการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐมาโดยตลอด แต่ในระยะหลังๆ นายกอรีฯ ได้หันหลังให้กับขบวนการ BRNกลับมาให้ความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ สนับสนุนเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน รวมทั้งได้จัดกิจกรรมมัสยิดสานใจต้านภัยยาเสพติดขึ้นในหมู่บ้าน เพื่อให้บุตรหลานที่อยู่ในวัยเสี่ยงจะไม่ได้ถูกชักจูงไปในทางที่ผิด อาจเป็นปมสาเหตุความไม่พอใจของกลุ่มขบวนการ ซึ่งแหล่งข่าวคนดังกล่าวได้ตั้งปมชนวนนำไปสู่การลอบยิงจนกระทั่งนายกอรีฯ เสียชีวิตดังกล่าว ในส่วน นายอาริส ดอเลาะ บุตรชายนายกอรีฯ พบว่า เคยถูกเจ้าหน้าที่จับกุม พฤติกรรมปฏิบัติการก่อกวน ด้วยการก่อเหตุพ่นสีสเปรย์ แขวนป้ายผ้า โปรยตะปูเรือใบในเขตพื้นที่อำเภอยี่งอ และ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 12 และ 16 ธันวาคม 2556 ที่ผ่านมา แต่ในภายหลังเจ้าหน้าที่ได้ทำการปล่อยตัวออกมา
            การชิงความได้เปรียบของสงครามข่าวสาร เว็บไซต์ที่สนับสนุนขบวนการ ได้ทำการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อสร้างกระแสปลุกระดมในทันทีที่ได้เกิดเหตุความสูญเสีย กับคดีที่มีผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่  ผู้นำศาสนา ครูตาดีกา ผู้ที่มีหมายคดีติดตัวได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว หรือผู้ต้องสงสัยที่อยู่ในขั้นตอนกระบวนการศาลยุติธรรม การปฏิบัติมุ่งปล่อยข่าวลือซึ่งมักใช้ได้ผลในพื้นที่แห่งนี้ โดยที่ฝ่ายรัฐก็รู้ว่ากลุ่มขบวนการคิดจะทำอะไร มีการคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะมีการบิดเบือนความจริงเหมือนอย่างเช่นหลายๆ เหตุการณ์ที่ผ่านมา
           เว็บไซต์แนวร่วมขบวนการ BRN ปฏิบัติการในทันที ทั้งๆ ที่ควันปืนยังไม่ทันได้จางหาย เพราะทุกอย่างได้มีการเตรียมการล่วงหน้าไว้เป็นอย่างดี เว็บบอร์ด khabarfathani.blogspot.com เว็บไซต์ขบวนการ PULO www.puloinfo.net และ เว็บไซต์ suara-ampera.com ออกมาเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันเหมือนมีการอั๊วข้อมูลกัน กล่าวหาการกระทำที่ไม่ต้องการสันติภาพ ก่อเหตุสังหารผู้บริสุทธิ์ประชาชนชาวปาตานีดารุสลามอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ตกอยู่ภายใต้การครอบครองของอาณานิคมสยาม ประชาชนในพื้นที่เบื่อการกระทำของกาเฟรในการสร้างสถานการณ์ฆ่าผู้นำศาสนาอิสลาม อีกทั้งยังมีอีกหลายชีวิตที่ตกเป็นเป้าหมายของการถูกจับกุม และถูกตั้งข้อหาโดยเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง รวมทั้งอิหม่าม ครูตาดีกา ครูสอนศาสนา บางส่วนถูกตัดสินจำคุก เป้าหมายการกระทำดังกล่าวเพื่อต้องการข่มขู่ และสุดท้ายเพื่อลบล้างคนมลายูให้สาบสูญจากโลก ตามนโยบายของรัฐไทยที่ต้องการแทรกซึมความเป็นพุทธต่อคนมลายูมุสลิมปาตานี
          จากที่ยกตัวอย่างการโฆษณาชวนเชื่อตามข้อความข้างบน ได้นำบางส่วนมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งแค่เศษเสี้ยวเล็กๆ ที่ได้หยิบยกมา ในความเป็นจริงแล้วยังมีอีกมากที่สร้างผลกระทบต่อความรู้สึกนึกคิดต่อการรับรู้ของประชาชน ให้เกิดความเกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งจ้องทำร้ายคนต่างศาสนาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ให้เกิดความกลัวเกรง สุดท้ายต้องอพยพออกนอกพื้นที่ กลุ่มขบวนการมุ่งที่จะทำลายความแตกแยกทางสังคม การอยู่ร่วมกันอย่างพหุวัฒนธรรม ไม่อยากเห็นสันติสุขเกิดขึ้นในพื้นที่แห่งนี้ และผลสุดท้ายคือต้องการทำสงครามแย่งชิงมวลชน ด้วยการปฏิบัติการจิตวิทยาหาแนวร่วมมาสนับสนุนฝ่ายตนในการปฏิบัติการเข่นฆ่าผู้คนว่าเป็นสิ่งที่กระทำถูกต้อง มีความชอบธรรม หากเป็นเช่นนี้คงอีกนานกว่าสันติสุขจะเกิด เหมือนแสงไฟริบหรี่ที่ปลายอุโมงค์ อีกทั้งกระบวนการพูดคุยสันติภาพได้เลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด.....

********************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น