หน้าเว็บ

5/30/2557

ศึกชิงเก้าอี้ประธาน “PerMAS”

นักรัก ปัตตานี

เมื่อเกิดความขัดแย้งภายในองค์ PerMAS นายสุไฮมี ดูละสะ ประธานคนปัจจุบัน บริหารงานผิดพลาดโดนตำหนิจากคณะที่ปรึกษา ถึงคราวจะต้องระหกระเหินพ้นจากตำแหน่ง หรืออาจจะเป็นคราวเคราะห์กรรมตามซัด ทั้งๆ ที่วาระการดำรงตำแหน่งประธาน PerMAS จะสิ้นสุดลงในปี 58 อีกประการหนึ่ง นายสุไฮมี เพิ่งพ้นสภาพจากการเป็นนักศึกษา ตัวจริงเสียงจริงของคณะที่ปรึกษา คือผู้กำหนดอนาคตของกลุ่ม PerMAS จะต้องเฟ้นหาตัวนักศึกษาและเยาวชนในพื้นที่ปาตานี มาดำรงตำแหน่งประธานคนใหม่เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นไปตามทิศทางตามที่ผู้มีอำนาจตัวจริงคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง
มูลเหตุความแตกร้าวภายในกลุ่ม “PerMAS”
ขัดแย้งกับคณะที่ปรึกษา
        ตั้งแต่ห้วงเดือนมีนาคม - เมษายน 2557 ที่ผ่านมา ได้เกิดกระแสข่าวความขัดแย้งขึ้นอย่างเงียบๆ ระหว่างนายสุไฮมี ดูละสะ ประธานกลุ่ม PerMAS กับสมาชิกและคณะที่ปรึกษา เนื่องจากนายสุไฮมี แสดงความไม่พอใจในการจัดการบริหารองค์กร ส่งผลให้การปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามแผนและเกิดความล่าช้า โดยเฉพาะการไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ ต้องขอความเห็นชอบจากกลุ่มที่ปรึกษาแทบจะทุกเรื่อง และถูกตำหนิเรื่องการออกแถลงการณ์ กรณีการเสียชีวิตของนายมุกตาร์ อาลีมามะ และบุตรชาย เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2557 เนื่องจากประชาชนในพื้นที่และหน่วยงานความมั่นคงต่างทราบดีว่าการเสียชีวิตของนายมุกตาร์ เป็นเรื่องส่วนตัว เกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลในธุรกิจไม้เถื่อน และกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ เลยกลายเป็นประเด็นให้ฝ่ายตรงข้าม PerMAS นำไปตอบโต้ดิสเครดิสในสื่อสังคมออนไลน์

ถังแตก การใช้งบประมาณเกินขอบเขต
        การใช้งบประมาณที่เกินขอบเขต เนื่องจากที่ผ่านมา นายสุไฮมี ได้นำงบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนจากแหล่งเงินทุน หรือจากองค์กรระหว่างประเทศที่ไม่แสวงหาผลกำไร หรือจากการฟอกเงินของขบวนการค้ายาเสพติดผู้อยู่เบื้องหลังในการสนับสนุนกิจกรรมไปใช้เป็นจำนวนมาก และไม่สามารถชี้แจงได้ว่านำเงินดังกล่าวไปใช้ในการจัดกิจกรรมใดบ้าง และส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะล่าสุดปรากฏข่าวสารออกมาว่า มูลนิธิเอเชีย(The Asia Foundation) จะมอบเงินสนับสนุนให้กับกลุ่ม PerMAS หลักล้าน เพื่อนำไปใช้กิจกรรม แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่ได้รับเงินทุนสนับสนุนแต่อย่างใด อาจจะเป็นเพราะความไม่โปร่งใสเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินของกลุ่ม PerMAS
สุไฮมี โดนเบรกแต่งตั้งคณะกรรมการพิเศษและฝ่ายบริหารเพิ่มเติม
        เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่ยืนยันของความแตกแยกภายในกลุ่ม PerMAS ได้อย่างชัดเจน รอยร้าวเล็กๆ ได้ขยายรอยแตกให้เห็นนำไปสู่ความไม่พอใจ มีการทักท้วงและคัดค้านกันวุ่นวายในที่ประชุมสมาชิก, ที่ปรึกษา และฝ่ายบริหาร ณ มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา และไม่สามารถหาข้อสรุปได้ มีการยุติแนวคิดดังกล่าวไป แต่นายสุไฮมี ยังคงยึดถือในแนวทางเดิม คือ จะต้องจัดสรรคณะกรรมการและฝ่ายบริหารเพิ่มขึ้น ทำให้ภายในกลุ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์ ไม่พอใจในแนวคิดดังกล่าวเป็นอย่างมาก ฝ่ายบริหารทั้งหมดรวมตัวกันกำหนดวันประชุมหารือเพื่อให้มีการเลือกสรรหาประธานคนใหม่แทนนายสุไฮมี
สุไฮมี พ้นสภาพนักศึกษา เตรียมศึกษาต่อต่างประเทศ
        วาระการดำรงตำแหน่งประธาน PerMAS ของนายสุไฮมี ดูละสะ ยังเหลืออีกหนึ่งปี ซึ่งจะสิ้นสุดลงในปี พ.ศ.2558 แต่เนื่องจากได้เกิดปัญหาความขัดแย้งภายในองค์กรอย่างรุนแรง อีกทั้งนายสุไฮมีพ้นจากสภาพนักศึกษา จำเป็นจะต้องเป็นไปตามกฎข้อบังคับขององค์กร ผู้ที่จะก้าวมาเป็นประธานคนใหม่เพื่อสานกิจกรรมและขับเคลื่อนองค์กร PerMAS ต่อไปจะต้องเป็นนักศึกษา เยาวชนในพื้นที่ปาตานี คาดว่านายสุไฮมี น่าจะไปเป็นที่ปรึกษากลุ่ม PerMAS แทน
3 ตัวเต็งประธานกลุ่ม PerMAS คนใหม่

        เมื่อพิจารณาดูผลงานและบทบาทผู้ที่น่าจะมาเป็นประธานกลุ่ม PerMAS คนใหม่ ผู้ที่ผ่านคุณสมบัติในการถูกเสนอชื่อเพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการคัดเลือกประธานคนใหม่ เรามาดูชื่อชั้นของแต่ละคนในฐานะว่าที่ประธานและลองเลือกกันในใจกันเล่นๆ ดูว่าจะออกที่คนไหน
        ตัวเลือกที่ 1 นายฟัรดี ซาและ เลขา PerMAS เป็นนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการเกษตร สาขาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา บทบาทที่สำคัญ เป็นผู้กำหนดยุทธศาสตร์และแนวทางการเคลื่อนไหวของกลุ่ม กำกับดูแลการเบิกจ่ายเงิน ที่สำคัญมีความใกล้ชิดแนบแฟ้นกับแหล่งเงินทุนหลักอย่าง มูลนิธิเอเชีย
        ตัวเลือกที่ 2 นายอาร์ฟาน วัฒนะ รองประธาน PerMAS, ประธาน IRIS กำลังศึกษาคณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เป็นหลานชายแท้ๆ ของนายอาเต็ฟ โซ๊ะโก ที่ปรึกษา PerMAS นอกจากดำรงตำแหน่งรองประธาน PerMAS และประธาน IRIS แล้ว ยังได้รับการคัดเลือกให้เป็นประธานโครงการ หนึ่งศตวรรษกฎอัยการศึกแห่งสยามกับหนึ่งทศวรรษกฏอัยการที่ปาตานี
        ตัวเลือกที่ 3 นายบูคอรี ลาเตะ รองประธาน PerMAS กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ สถาบันอิสลามและอาหรับศึกษา เป็นผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานในอันดับที่ 4 เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 มีประสบการณ์ด้านงานมวลชนสัมพันธ์ เป็นผู้กุมกำลังมวลชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้อย่างแท้จริง ที่สำคัญได้รับการยอมรับจากองค์กรชี้นำ และรับผิดชอบโครงการ เพิ่มศักยภาพแกนนำองค์กรเยาวชนเพื่อสันติภาพซึ่งเป็นโครงการสำคัญเกี่ยวกับการสร้างหมู่บ้านปกครองตนเองตัวอย่าง ที่ขอรับเงินทุนสนับสนุนจากมูลนิธิเอเชีย
แนวโน้มว่าที่ประธานคนใหม่กลุ่ม PerMAS

        แนวโน้มประธาน PerMAS คนใหม่ 99.99% หวยล็อคน่าจะลงที่ นายอาร์ฟาน วัฒนะ ตำแหน่งในปัจจุบัน คือ รองประธาน PerMAS อีกทั้งยังดำรงตำแหน่ง ประธาน IRIS และประธานโครงการ "หนึ่งศตวรรษกฏอัยการศึกแห่งสยามกับหนึ่งทศวรรษกฏอัยการที่ปาตานี" แต่ที่แน่ยิ่งกว่าแน่ คืออาร์ฟาน วัฒนะ เป็นหลานแท้ๆ ของนายอาเต็ฟ โซ๊ะโก เนื่องจากสามารถควบคุมสั่งการได้โดยตรง ไม่เหมือนนายสุไฮมี ดูละสะ ที่ได้ดำเนินการผิดพลาดในการบริหารจัดการหลายต่อหลายเรื่องในห้วงที่ผ่านมาคอยจับตาดูว่านายอาเต็ฟ โซ๊ะโก สามารถผลักดันหลานตัวเองขึ้นแท่น ประธาน PerMAS สำเร็จหรือไม่

        ตัวเลือกทั้ง 3 ว่าที่ประธาน PerMAS เป็นแค่นอมินีของนายอาเต็ฟ โซ๊ะโก คงไม่มีผลอะไรมากมายในแง่ของความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในองค์กรกลุ่ม PerMAS อยู่ที่ว่าคณะที่ปรึกษากล้าที่ปล่อยมือให้ประธานบริหารจัดการ กำหนดอนาคตของกลุ่ม PerMAS มากน้อยแค่ไหน หากยังเป็นเช่นนี้อีก ปัญหาเดิมๆ ยังตกอยู่ที่ประธาน PerMAS คนใหม่ ที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ อุปสรรคปัญหาความล่าช้าในการดำเนินกิจกรรม การจัดการภายในองค์กรก็จะไม่เอกภาพ สุดท้ายจะแตกเหมือนนายสุไฮมี ดูละสะ บริหารจัดการ มาจับตาดูกันว่าจะไปถึงฝั่งฝันกันหรือไม่
@@@@@@@@@@@@@@

        

หัวอกแม่เมื่อลูกน้อยเสียขา และเด็ก 12 คน เป็นเหยื่อระเบิดเมืองปัตตานี

โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้(DSJ)



รายงานเคล้าน้ำตาเหยื่อระเบิดปัตตานี  เมื่อเด็กหญิงวัย 5 ขวบ ต้องเสียขาขวาจากระเบิดในเซเว่นอีเลฟเว่นถนนนาเกลือ ในขณะที่รอฮีมะห์ สิเดะ ครอบครัวที่มีอาชีพขับมอร์ไซค์รับจ้างต้องสูญเสียลูกชายคนเล็กที่กำลังเรียน ป.1 จากระเบิดเสาไฟฟ้าที่ล้มทับพ่อลูก ในส่วนผู้บาดเจ็บกว่า 61 ราย เป็นเด็ก 12 เยาวชน 6 ด้านหมอเพชรดาวเผยถึงวันนี้มีเด็กกำพร้าจากสถานการณ์กว่า 5 พันคน
น้ำตาแวซีตีอัยซะห์ แวหลง ที่ต้องเสียขาขวาและหัวอกผู้เป็นแม่ที่เตียงโรงพยาบาลปัตตานี เด็กหญิงแวซีตีอัยซะห์ แวหลง อายุ 5 ปี ร้องไห้ครวญครางด้วยความเจ็บปวดแผลอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้เธอคงจะรูตัวแล้วว่าเธอได้สูญเสียขาขวาไปแล้วตลอดชีวิต
เด็กหญิงแวซีตีอัยซะห์ แวหลง เป็นหนึ่งในเหยื่อเด็ก 12 คนที่ถูกแรงระเบิดเมื่อช่วงค่ำวันที่ 24 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา กระชากเนื้อขาจนหลุดลุ่ยเหลือแต่กระดูก เหตุการณ์เกิดขึ้นต่อหน้านางนะดา สาวิชัย แม่ของเธอเอง และแม่ของเธอก็คงเจ็บปวดไม่แพ้เหยื่อคนอื่นอีกหลายสิบคนที่ประสบเหตุอีกหลายจุดในคืนเดียวกัน
แม้เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นจะผ่านมาหลายวันแล้ว แต่เสียงระเบิด ยิงและฆ่ายังกึกก้องโหยหวนวนเวียนอยู่ในพื้นที่ แต่ก็ยังไม่มีท่าทีใดๆมากนักจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.ที่กำลังทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองบริหารประเทศและกำลังวุ่นๆอยู่กับการจัดการคู่ขัดแย้งกลุ่มต่างๆอยู่ในขณะนี้
นางนะดา สาวิชัย แม่ของเด็กหญิงแวซีตีอัยซะห์ เล่าถึงเหตุระทึกในคืนนั้นว่า เวลาประมาณ 19.00 น. เธอกับลูกสาวแวะเข้าไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น สาขา ถ.นาเกลือ หลังกลับเยี่ยมเพื่อน หลังจากเลือกสินค้าเสร็จ ขณะลูกสาวเดินไปหาเธอเป็นจังหวะที่เกิดระเบิดพอดี จุดที่ระเบิดอยู่ใกล้ขาของลูกสาวของเธอมาก แรงระเบิดทำให้ขาขวาเนื้อหลุดจนเหลือแต่กระดูกอย่างสยดสยอง ส่วนข้างซ้ายเละ
 “หลังเสียงระเบิดไฟฟ้าก็ดับประมาณ 1 นาที แต่ดิฉันไม่ได้คิดว่าเป็นระเบิด เพราะมองไม่เห็นอะไร กระทั่งเมื่อไฟสว่างขึ้นอีกครั้ง ลูกสาวก็เรียกฉันให้ดูที่ขาของเขาซึ่งทำให้ฉันตกใจมาก เพราะขาข้างหนึ่งเหลือแต่กระดูกซะแล้ว
 “ฉันร้องขอความช่วยจากคนบริเวณนั้น แต่ไม่มีใครมาช่วย ฉันจึงอุ้มลูกสาวออกไปนอกร้าน เพื่อขอให้คนมาช่วย กระทั่งมีเจ้าหน้าที่กู้ภัยมาช่วยพาไปโรงพยาบาล
เธอเล่าด้วยว่า ที่จริงจุดที่เธอยืนอุ้มลูกสาวรอความช่วยเหลืออยู่นั้น อยู่ใกล้ๆ กับถังขยะใบหนึ่ง ซึ่งทราบทีหลังว่ามีระเบิดอยู่ในนั้นอีก 2 ลูก แต่โชคดีระเบิดไม่ทำงาน ซึ่งจะด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ที่ไม่เกิดระเบิดซ้ำ แต่หากมันระเบิดขึ้นในตอนนั้นเธอกับลูกสาวคงตายอยู่ตรงนั้นไปแล้ว
 “ตอนนั้น ฉันพยายามพูดคุยกับลูกตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ลูกหลับและบอกลูกตลอดเวลาว่า ให้นึกถึงอัลลอฮ (พระเจ้าที่ชาวมุสลิมนับถือ) ไว้เมื่อถึงโรงพยาบาลเจ้าหน้าที่ก็นำตัวเข้าห้องฉุกเฉินทันที ซึ่งผลจากระเบิดครั้งนี้ทำให้แพทย์ต้องตัดขาข้างนั้นไป
นางนะดา เล่าว่า ตอนนี้ลูกสาวยังต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลปัตตานีอยู่อีก และมีอาการสะดุ้งอยู่ด้วยวันละ 3-4 ครั้ง ส่วนสภาพจิตใจน่าจะยังไม่ดีต้องรักษากันต่อไป
 “หมอบอกว่าลูกสามารถเดินได้ด้วยการใส่ขาเทียม แต่ต้องรักษาให้หายตามปกติเสียก่อน จากนั้นทำกายภาพบำบัดและฝึกเดินด้วยขาเทียมส่วนเรื่องอนาคตค่อยว่ากันว่าจะเอาอย่างไร แต่อยากสนับสนุนให้ลูกได้เรียนหนังสือตามที่เขาต้องการ
สิ่งที่นางนะดาอยากฝากบอกคนก่อเหตุดูเหมือนจะคล้ายกับเสียงผู้สูญเสียคนอื่นๆ ที่มักบอกว่า หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับครอบครับของพวกเขา พวกเขาจะรับได้หรือเปล่า หากยังรับได้คิดว่าเขาคงไม่ใช่คนแล้ว
 “วันหนึ่งเราเล่นกับลูกอย่างร่าเริงและมีความความสุข แต่หลังจากนี้ความร่าเริงและความสุขนั้นก็อาจจะหายไป ฉันก็พยายามที่จะยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้นางนะดา กล่าว
รอฮิมะ สิเดะ ผู้สูญเสียลุกชายคนเล็กที่กำลังเรียน ป.1บึ้ม! เสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วเมืองปัตตานี ทันใดนั้นไฟฟ้าก็ดับลง แต่เสียงระเบิดยังดังต่อเนื่องอีกหลายลูก ผู้คนเริ่มแตกตื่น
ก๊ะมะห์ หรือ นางรอฮิมะ สิเดะ วัย 41 ปี กำลังซื้อกับข้าวอยู่ที่ย่านปากน้ำ เสียงระเบิดลูกแรกเธอคิดว่าเป็นฟ้าผ่า แต่เมื่อตามด้วยไฟดับ เธอก็มั่นใจทันทีเหมือนคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ว่ามันต้องเป็นระเบิดแน่ๆ เธอรีบไปรับลูกชาย 2 คนที่กำลังเรียนคัมภีร์กุรอานที่หมู่บ้านปากน้ำนำกลับไปที่บ้านสามีที่บ้านเจ๊ะดีซึ่งอยู่นอกเมืองปัตตานีไม่ไกล ที่จริงเธอมีบ้านอยู่ในตัวเมืองย่านปากน้ำ แต่คืนนั้นเธอยืนยันกับสามีว่าอยากกลับไปที่บ้านเจ๊ะดีเหมือนทุกวัน
 “อาแบก็ถามแล้วว่าจะกลับบ้าน ที่เจ๊ะดีแน่หรือ ก็ยังยืนยันว่าอยากกลับ แล้วอาแบก็ถามอีกว่าจะกลับด้วยรถมอเตอร์ไซค์กี่คัน ก็บอกว่าจะกลับด้วยรถมอเตอร์ไซค์คันเดียว
จากนั้นนายอิสเฮาะ สิเดะ สามีของเธอก็ขับรถมอเตอร์ไซค์ออกไปโดยมีเด็กชายมูฮำหมัดอิลฟาน สิเดะ ลูกชายคนสุดท้องอายุ 6 ปีนั่งหน้าสุด ส่วนเด็กชายมูฮำหมัดอิลฮัม วัย 8 ปีลูกชายคนที่ 3 นั่งกลางและเธอเองที่นั่งซ้อนท้ายสุด
ครั้นขับมาตามทางหลวงหมายเลข 42 ใกล้ถึงทางเข้าบ้านเยื้องกับอาคารสำนักงานบริษัท TOT ม.8 ต.ปะกาฮะรัง อ.เมืองปัตตานี ก็ได้ยินเสียงบึ้มดังขึ้นอีกและเสาไฟฟ้ากำลังล้มลงมา ในจังหวะที่สามีควบมอเตอร์ไซค์มาถึงพอดี และเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เสาไฟฟ้าล้มฟาดลงลงทับบนร่างของ ด.ช.มูฮำหมัดอิลฟานพอดี และมอเตอร์ไซค์ก็ล้มลง
 “ฉันเรียกหาลูกก่อนเลย แล้วก็สอนให้กล่าวคำกาลิมะห์ชาฮาดะห์(คำปฏิญาณภาษาอาหรับแปลว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลเลาะห์ เพื่อให้คนเจ็บกล่าวเป็นประโยคสุดท้ายก่อนเสียชีวิต) จากฉันเองก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย
กะมะห์ เล่าต่อไปว่า เธอมารู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ที่โรงพยาบาลปัตตานีแล้วและเห็นคนเจ็บเต็มไปหมด แต่ข้างตัวเธอมีเพียงลูกชายคนที่ 3 เธอตามหาลูกคนเล็กอยู่ 2 ชั่วโมง มาเจออีกทีก็อยู่ที่ห้อง ICU แล้วและเป็นจังหวะเดียวกับที่หมอเพิ่งถอดเครื่องช่วยหายใจ
 “หมอให้เซ็นชื่อรับรองการเสียชีวิต.... ศพถูกนำกลับถึงบ้านประมาณเที่ยงคืน และได้ทำพิธีการฝังในตอนเช้า
ระหว่างตามหาลูกคนเล็ก ลูกคนที่ 3 คือเด็กชายมูฮำหมัดอิลฮัม สิเดะก็ต้องทนต้องทนทรมานอยู่หลายชั่วโมง เนื่องจากทั้งหมอ พยาบาลและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลมีจำนวนไม่เพียงพอกับจำนวนคนเจ็บ ตอนนั้นมีคนเจ็บราว 50 คน เป็นช่วงเวลาที่ชุลมุนมาก จึงทำให้หมอ พยาบาลและเจ้าหน้าที่เลือกที่จะช่วยคนที่เจ็บหนักกว่าไว้ก่อน ปล่อยให้คนที่บาดเจ็บน้อยกว่านั่งทนความเจ็บปวดทรมานทั้งทางกายและทางใจไปก่อน
เธอเล่าว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ทำแผลให้มูฮำหมัดอิลฮัมแล้ว เขาก็ยังคงบ่นถึงความเจ็บปวดที่แขนซ้ายทั้งคืนจนถึงเช้า ซ้ำเมื่อกินอาหารเข้าไปแล้วก็อาเจียนออกมาเป็นเลือด เธอจึงขอให้พยาบาลมาตรวจหลายครั้งกว่าจะได้ตรวจ กระทั่งพบว่ากระดูกแขนซ้ายร้าว และมีเลือดคั่งอยู่ในท้อง เป็นเหตุให้อาเจียนออกมาเป็นเลือด
 “ฉันขอดุอา(ขอพร)อยู่เสมอว่าขอให้เหตุการณ์แบบนี้อยู่ไกลห่างจากตัวเรา แต่ก็หนีไม่พ้นโดยไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
ส่วนนายอิสเฮาะ สิเดะ สามีของเธอก็บาดเจ็บช้ำในพอสมควร ตอนนี้ก็ปลอดภัยและรู้สึกตัวดีแล้ว แต่หมอก็ยังคงให้รอดูอาการอยู่ห้อง I.C.U ไปก่อน ส่วนเธอเองได้รับบาดเจ็บไม่มากนัก รู้สึกดีขึ้นบ้างแล้ว
ครอบครัวสิเดะมีลูก 4 คน คนแรกเป็นลูกชาย กำลังเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนศาสนูปถัมภ์ จ.ปัตตานี คนที่ 2 เป็นลูกสาว กำลังเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนสะบารัง จ.ปัตตานี ลูกคนที่ 3 คือมูฮำหมัดอิลฮัม สิเดะ ที่บาดเจ็บกำลังเรียนชั้น ป.3 โรงเรียนสะบารัง และคนสุดท้องที่เสียชีวิตกำลังเรียนชั้น ป.1 โรงเรียนสะบารัง
ครอบครัวสิเดะเป็นชาวบ้านธรรมดา โดยนายอิสเฮาะหาเลี้ยงครอบครัวจากการขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างในตัวเมืองปัตตานี ส่วนกะมะห์เป็นแม่บ้าน พวกเขาไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง บ้านที่อาศัยอยู่ปัจจุบันก็เป็นของญาติสามี ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงหวังที่จะให้ลูกทั้ง 3 คน ที่มีผลการเรียนอยู่ในขั้นเรียนดี จะได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการเยียวยาทั้งทางทุนทรัพย์และทางจิตใจให้กลับคืนสู่ปกติในเร็ววัน
เด็ก 12 คน เหยื่อระเบิดปัตตานี
ศูนย์ปฏิบัติการร่วมทางยุทธศาสตร์วิธี กองอำนวยการักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า สรุปเหตุการณ์ในคืนดังกล่าว พบว่า มีทั้งเหตุลอบวางระเบิดและก่อกวนในพื้นที่ อ.เมือง และ อ.หนองจิก รวมกว่า 13 จุด มีผู้เสียชีวิต 3 ราย หนึ่งในนั้น คือ ด.ช.มูฮำหมัดอิลฟาน สิเดะ อายุ 6 ปี อยู่บ้านเลขที่ 112/1 ม.3 ต.บางปู อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 61 ราย ในจำนวนนี้เป็นเด็ก 12 คน มีรายชื่อดังนี้
1.ด.ญ.อัสมา มีเด็ง อายุ 7 ปี 
2.ด.ช.ธนกิจ แดงมณี อายุ 2 ปี อาการสาหัส รักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา
3.ด.ช.ศุภกิจ แดงมณี อายุ 2 ปี
4.ด.ญ.ณิชานันท์ ธรรมปิลัน อายุ 11 ปี

5.ด.ญ.แวซีตีอัยจะ แวหลง อายุ 5 ปี
6.ด.ญ.นาอีมะ เวาะโซ อายุ 2 ปี
7.ด.ญ.ชาลิษา คงชน อายุ 3 ปี
8.ด.ช.กิตติเดช มณีรัตน์ อายุ 1 ปี
9. ด.ช.จริภาส ละอองจินดา อายุ 8 ปึ
10.ด.ช.มูฮำหมัดไอกาน เจ๊ะ อายุ 1 ปี
11.ด.ช.ชาลิดา คงชน อายุ 2 ปี
12.ด.ช.มูฮำหมัดอิลฮัม สิเดะ อายุ 8 ปี
เยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปี
1.นายซามานี ฮะ อายุ 16 ปี
2.นายมูฮำหมัดยากี สาและ อายุ 16 ปี
3.นายอิสมาแอ ดอนิ อายุ 17 ปี
4.นายสุนทร มาลายา อายุ 17 ปี
5.นายมูฮัมหมัดซอฟ ตูงา อายุ 18 ปี
6.นายอัยฟัร เจกาเดร์ อายุ 18 ปี

@@@@@@@@@@@@@@@@@

อยากรู้ไหมว่า ทำไมทหารกับนักสิทธิฯ ต้องไปเจอกันที่ศาล




ตามที่เมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 เดือนพฤษภาคม 2557 ในสังคมออนไลน์เว็บไซต์ www.deepsouthwatc.org หรือศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้  โดยบล็อกของ rungraweeหรือ รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัชได้เขียนบทความในหัวข้อ ทำไมทหารกับนักสิทธิฯ ต้องไปเจอกันที่ศาล
 ต่อกรณีที่ น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ได้ร้องเรียนผ่านสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ และทำหนังสือเปิดผนึกถึง พล.ท. วลิต  โรจนภักดี  แม่ทัพภาคที่ 4 โดยกล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่ได้ทำการซ้อมทรมาน นายอาดีลสาแม ในขณะเข้าติดตามจับกุม เมื่อ 26 เมษายน 2557 เวลา 12.30 น. เป็นเหตุให้ นายอาดีลสาแม ได้รับบาดเจ็บสาหัส จดหมายเปิดผนึกดังกล่าวได้เขียนหัวเรื่องว่า ขอให้ตรวจสอบกรณีนายอาดิลสาแม ได้รับบาดเจ็บขณะถูกจับกุมและควบคุมตัว
แต่ถ้าพิจารณาถึงเหตุผลแค่นี้ทางกองทัพภาคที่ 4 ก็คงจะไม่น่าต้องฟ้องอะไรใช่ไหมครับ เพราะมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ก็คงทำหน้าที่สมเหตุสมผลที่ขอให้มีการตรวจสอบก่อน เพื่อความไม่เคลือบแคลงสงสัยของประชาชน แต่มันไม่ใช่แค่นี้นะครับมันเป็นเรื่องน่าแปลกที่ น.ส.พรเพ็ญฯ ได้ยื่นหนังสือเปิดผนึกให้ ทางกองทัพภาคที่ 4 ในวันที่ 2 พ.ค.57 ในขณะที่มูลนิธิผสานวัฒนธรรมได้ นำเสนอข้อมูลถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เมื่อ 30 เม.ย.57 เพื่อเสนอคณะกรรมาธิการต่อต้านการซ้อมทรมานแห่งสหชาติ (Uncat) ในการประชุมคณะกรรมการสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เมื่อ 27 เม.ย. – 3 พ.ค.57 แทนที่จะส่งหนังสือเปิดผนึกถึงกองทัพภาคที่ 4 ก่อน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่นี่เป็นการกระทำให้เห็นถึงความไม่จริงใจ ไม่บริสุทธิ์ใจ และไม่ยุติธรรม เหมือนกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิฯ กล่าวอ้างว่าเป็นองค์กรที่ดำเนินการส่งเสริมการเข้าถึงความยุติธรรมแก่ประชาชนและทุกฝ่าย แต่พฤติกรรมดังกล่าวมีนัยยะแอบแฝงเป็นที่น่าสงสัยว่า การที่ได้รับข้อมูลแล้วไม่มีการตรวจสอบ โดยเฉพาะข้อมูลจากองค์กรภาคประชาสังคมบางองค์กร เช่น สำนักสือwatani , กลุ่ม PerMASและสื่ออื่น ๆ ที่มีพฤติกรรมช่วยเหลือผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ผ่านมาโดยบิดเบือนข้อเท็จจริงใส่ร้ายเจ้าหน้าที่รัฐมาโดยตลอด แต่พอความจริงปรากฏองค์กรภาคประชาสังคมเหล่านี้ไม่เคยออกมาแสดงความรับผิดชอบแม้แต่ครั้งเดียว

 ครั้งนี้ก็เช่นกันทำไมต้องรีบนำเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จที่ไม่มีการตรวจสอบก่อน ที่จะนำเสนอผ่านสื่อสู่สาธารณชนทั้งองค์กรในและระหว่างประเทศอย่างครึกโครม ทั้งที่สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนได้ แต่ได้ยื่นหนังสือเปิดผนึกให้กองทัพฯ ที่หลังเพื่อเป็นข้ออ้างแก้เก้อเท่านั้น ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้เสมือนหนึ่งจงใจสร้างความแตกแยกและหวาดระแวงระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชน ลดความน่าเชื่อถือให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ และที่สำคัญได้สร้างความเสียหายให้กับภาครัฐและทำลายความน่าเชื่อถือในเวทีสากลในระดับประเทศเป็นการทำลายความมั่นคงของชาติโดยตรง
ข้อความตอนหนึ่งที่รุ่งรวีได้กล่าวถึง ข้อมูลของมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม สถิติการร้องเรียนการซ้อมทรมานในช่วงปี 2551 – 2555 นั้น มีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ   ในปี 2551 มีการร้องเรียนเรื่องซ้อมทรมาน 88 กรณี  ในปี 2552 จำนวน  61 กรณี ในปี 2553 จำนวน 63 กรณี ในปี 2554 จำนวน 60 กรณี และในปี 2555  การร้องเรียนในเรื่องนี้ลดลงอย่างมาก จนเหลือเพียง 38 กรณี  แต่น่าเสียดายว่าการร้องเรียนกลับเพิ่มมากขึ้นอีกในปี 2556  ซึ่งมีถึง 58 กรณี
เป็นคำกล่าวอ้างข้อมูลเชิงสถิติทางตัวเลข ที่ไม่ได้คำนึงถึงสถานการณ์ในการก่อเหตุเพิ่มขึ้นในปี 2556 เพราะสถิติคดีการฟ้องร้องก็ย่อมสูงขึ้นเป็นเงาตามตัวเป็นธรรมดา แต่ในทางเหตุผลคนชั่วเหล่านี้ที่มีหมายจับตามพยานและหลักฐาน ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ก่อเหตุรุนแรงสร้างความเดือดร้อนให้กับพ่อแม่พี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างย่ามใจ เพราะมีกลุ่มองค์กรภาคประชาสังคม NGOs ออกมาปกป้อง โดยเฉพาะมูลนิธิผสานวัฒนธรรม, ศูนย์ทนายความมุสลิม, กลุ่ม PerMAS, HAP,insouthและอีกหลายองค์กรแนวร่วมที่มีพฤติกรรมส่อไปในลักษณะสนับสนุนเกื้อกูลปกป้องการกระทำทุกรูปแบบ โดยมีการติดตามตรวจสอบการละเมิดสิทธิและการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ซ้อมทรมาน
เหตุการณ์ยิงสตรี, เด็ก, พระสงฆ์ หรือเป้าหมายอ่อนแอในห้วงที่ผ่านมา แต่องค์กรเหล่านี้กลับมองไม่เห็น ทำไมไม่ประณามหรือช่วยเจ้าหน้าที่รัฐในการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนของมูลนิธิตามที่กล่าวอ้าง แต่ในทางตรงข้ามกลับพยายามหาช่องทางที่เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ นำมาเป็นข้ออ้างชูประเด็นเป็นเรื่องใหญ่ อีกทั้งบิดเบือนข้อเท็จจริงให้เป็นเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียง และให้เกิดความหวาดระแวงระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งต่างกับเหตุการณ์การเสียชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์ในห้วงที่ผ่านมา องค์กรเหล่านี้กลับนิ่งเฉยทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนธุระไม่ใช่  ก็การทำงานของมูลนิธิฯ ที่ช่วยเหลือกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงเหล่านี้มิใช่หรือ? ที่มีส่วนผลักดันและสนับสนุนให้ตัวเลขเชิงสถิติตามที่กล่าวอ้างในการก่อเหตุรุนแรงสูงขึ้น

ข้อความอีกตอนหนึ่งที่รุ่งรวีได้กล่าวถึงว่า  กอ.รมน. ได้เรียกร้องในการแถลงข่าวว่าให้มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ทำหน้าที่ด้วยความโปร่งใส ตรงไปตรงมาและตรวจสอบได้ และแสดงความรับผิดชอบต่อเจตนาบิดเบือนข้อเท็จจริง และนำเสนอเรื่องราวอันเป็นเท็จไปสู่การรับรู้สาธารณะ ดังเช่นเหตุการณ์ครั้งนี้ และที่ผ่านๆ มาเพื่อไม่ให้สังคมเคลือบแคลงสงสัยในพฤติกรรม และเจตนาที่แท้จริงไปมากกว่านี้”  โดยระบุว่าทางกอ.รมน. ยังคงให้ความสำคัญต่อการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรม ให้การเคารพในหลักสิทธิมนุษยชน และไม่ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือและสนับสนุนการทำงานขององค์กรด้านสิทธิมนุษยชน และองค์กรเครือข่ายต่างๆ ที่มีเจตนาบริสุทธิ์ ในการเข้ามาตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่อย่างโปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ในทุกกรณี
แต่ รุ่งรวีได้แสดงความเห็นว่า เหตุการณ์นี้อาจจะ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงวิธีคิดแบบเดิมๆ ของกองทัพต่อการทำงานของนักสิทธิฯ  ที่ยังคงเชื่อว่าพวกเขามีเจตนาแอบแฝง มองไม่เห็นว่าพวกเขาทำอะไรที่เป็นประโยชน์ นอกจากคอยจับผิดทหารและขัดขวางการจับกุม  ผู้ก่อเหตุรุนแรง”  ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว  การร้องเรียนให้ทางกองทัพตรวจสอบ  การนำเสนอเรื่องราวเหล่านี้กับสาธารณชน ทั้งในและต่างประเทศเป็นบทบาทปกติขององค์กรภาคประชาสังคมที่เคลื่อนไหว รณรงค์เพื่อหยุดการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งในประเทศอารยะทั้งหลายต่างก็มีเครือข่ายขององค์กรเอกชนที่ทำงานในลักษณะนี้อยู่มากมาย    พวกเขาควรจะได้ทำหน้าที่ด้วยความเป็นอิสระและไม่ถูกข่มขู่คุกคาม
การที่รุ่งรวีได้พูดว่า เหตุการณ์นี้อาจจะ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงวิธีคิดแบบเดิมๆ ของกองทัพต่อการทำงานของนักสิทธิฯ  ก็อยากถามกลับว่าถ้าการทำงานของนักสิทธิฯ เป็นไปตามอุดมการณ์ตามที่กล่าวอ้างด้วยความสุจริตยุติธรรม โปร่งใส ต่อทุกฝ่ายโดยไม่เลือกปฏิบัติก็เป็นการสมควร แต่เหตุการณ์นี้และที่ผ่านมาการทำงานของนักสิทธิฯ นั้นเหมือนกับไม่ลืมหูลืมตาที่จะพิจารณาถึงข้อเท็จจริง แต่ดูเหมือนกับจะมีธงปักไว้แล้วจะต้องช่วยเหลือโจรชั่วให้พ้นผิดให้ได้ โดยใช้วิธีบิดเบือนข้อเท็จจริงรีบกล่าวประณามการกระทำของเจ้าหน้าที่โดยไม่มีการตรวจสอบ แล้วจะให้คิดอย่างไร?
ผู้เขียนในฐานะเป็นคนไทยที่รักชาติคนหนึ่งคิดว่าการกระทำด้วยความจงใจเช่นนี้ ได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติอย่างร้ายแรง เป็นการลดความน่าเชื่อถือจากองค์กรต่างประเทศ มองให้เห็นเจตนาของมูลนิธิที่ต้องการจะให้องค์กรภายนอกเข้ามาแทรกแซงเรื่องภายในประเทศซึ่งถือว่าเป็นผลเสียของประเทศอย่างยิ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ทางมูลนิธิผสานวัฒนธรรมออกมาแสดงความรับผิดชอบอย่างไรก็หาไม่ และที่สำคัญมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ก็ไม่มีองค์กรใดตรวจสอบการทำงานว่าโปร่งใสบริสุทธิ์ยุติธรรมหรือไม่ ก็เป็นการสมควรและยุติธรรมแล้วมิใช่หรือ?
ดาวะปูเต๊ะ.. 

เมื่อ“PerMAS”หันมาก่อเหตุป่วนเมือง


แบมะ ฟาตอนี
สหพันธ์นิสิตนักศึกษา นักเรียนและเยาวชนปาตานี (PerMAS) ที่ใครๆ ต่างรู้จักที่มีการเคลื่อนไหวเน้นงานด้านการเมือง จัดเวทีเสวนาทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเป็นปีกหนึ่งของขบวนการ BRN ล่าสุดจากการจับกุมแนวร่วมผู้ต้องหาก่อเหตุลอบวางระเบิดเขตเทศบาลนครยะลา ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า กลุ่ม PerMAS เป็นสมาชิกแนวร่วมในการก่อเหตุหลายเหตุการณ์ด้วยกัน หากเป็นเช่นนั้นจริง จากภาพความเชื่อของใครหลายๆ คนจะมองกลุ่ม PerMAS เคลื่อนไหวจัดกิจกรรมงานการเมือง เป็นงานแย่งชิงมวลชนในพื้นที่ ปลุกระดมให้ประชาชนลุกฮือต่อต้านเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อไปสู่การลงประชามติในการกำหนดใจตนเอง หน่วยงานความมั่นคงและประชาชนทั่วไปได้ประเมินศักยภาพกลุ่ม PerMAS ผิดไป

            ล่าสุด เมื่อวันที่ 3-4 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา กลุ่ม PerMAS ได้เคลื่อนไหวจัดกิจกรรมเวที Bicara Patani ครั้งที่ 67 ในพื้นที่ อ.ยะหา จ.ยะลา มีสมาชิกเข้าร่วมกิจกรรมพอสมควร นั่นคือแค่ฉากบังหน้า แต่ฉากหลังมีสมาชิกบางส่วนที่ได้เคลื่อนไหวงานการเมืองให้กับกลุ่ม PerMAS ด้วย แต่ในขณะเดียวกันเป็นสมาชิก RKK ลงมือก่อเหตุลอบวางระเบิดเข่นฆ่าผู้คนไปด้วย แสดงให้เห็นว่าในการวางแผนปฏิบัติการก่อเหตุ การใช้กำลังทางทหารในแต่ละครั้งของขบวนการ BRN กลุ่ม PerMAS จะต้องรู้เห็นเป็นใจวางแผนร่วมกัน ร่วมมือกันก่อเหตุร้าย พร้อมทั้งให้สมาชิกแนวร่วมสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน ทำการโฆษณาชวนเชื่อสร้างความชอบทำในการลงมือปฏิบัติการเข่นฆ่าประชาชนของ RKK

            จากการเปิดเผยของแหล่งข่าวหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ แหล่งข่าวคนดังกล่าวได้มีการติดตามความเชื่อมโยงของผู้ก่อเหตุรุนแรงกับกลุ่ม PerMAS และทำให้ทราบว่าสมาชิกในเครือข่ายของกลุ่มได้ร่วมกันก่อเหตุในหลายๆ เหตุการณ์ด้วยกันที่ผ่านมา หากเป็นเช่นนั้นจริงอะไรคือสาเหตุทำให้กลุ่ม PerMAS หันมาใช้กำลังทางทหารในการก่อเหตุแทนที่จะเป็นกลุ่ม RKK
            แหล่งข่าวคนเดิมยังให้ข้อมูลจากการซักถาม นายฮาซัน มูซอดี ซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยเหตุลอบวางระเบิดในเขตเทศบาลนครยะลาเมื่อวันที่ 6-7 เมษายน 2557 ยอมรับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุรุนแรง ในพื้นที่ อ.เมือง จ.ยะลา จำนวน 8 เหตุการณ์ โดยมีนายหมัดมุลกี กาโฮง เป็นผู้สั่งการในการประชุมวางแผนลอบวางระเบิดตัวเมืองยะลา นายฮาซัน ยังได้ซัดทอดไปยังนายมะซาการี มะ/ฮัมดี คนขับรถจักรยานยนต์ประกอบระเบิดแสวงเครื่อง ไปจอดบริเวณหน้าร้านข้าวมันไก่ บริเวณถนนจงรักษ์ ในเขตเทศบาลเมืองยะลา เมื่อ 31 พฤษภาคม 2555

            เมื่อมีการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกกลับพบว่า กลุ่ม PerMAS มีความเชื่อมโยงกับ หัวหน้ากัสยะลาคนหนึ่ง ที่สั่งการและกำกับดูแลกองกำลังในกัสทั้งหมด มีทั้งสมาชิกระดับปฏิบัติการ และกลุ่ม RKK ปฏิบัติการในพื้นที่เขตเมืองยะลา อีก 4 ชุดปฏิบัติการ ซึ่งจะมี 3 ชุด ปฏิบัติการยิงและระเบิด จะมีหัวหน้าชุดเป็นผู้รับผิดชอบในการปฏิบัติการ แต่ที่น่าสนใจคือ ชุดปฏิบัติการระเบิด ซึ่งมีนายราพี มามะรอยาลี เป็นหัวหน้าชุดมีหน้าที่ในการสำรวจเป้าหมาย สำรวจกล้องวงจรปิด กำหนดโซนรับผิดชอบในการก่อเหตุอีกด้วย
             นายราพี มามะรอยาลี พื้นเพเป็นคนสุไหงปาดี จ.นราธิวาส แต่รับผิดชอบเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการระเบิดในเขตเมืองยะลา จากการรวบรวมพฤติกรรมนายราพี ที่ผ่านมาทำหน้าที่รวบรวมเงินเข้าศูนย์วัฒนธรรมอิสลามเพื่อการพัฒนา เป็นหัวหน้าฝึกเด็กตาดีกา ทำหน้าที่หาข้อมูลตำแหน่งกล้องวงจรปิด สำรวจเป้าหมายหาข้อมูลเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่เขตเทศบาลนครยะลา และที่สำคัญเป็นผู้ที่ลงมือกดระเบิดด้วยตนเองเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2555
            ส่วนเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา จำนวน 2 จุด เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2557 นั้น หน่วยงานความมั่นคงได้ทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่า นายมะรูดิง สามะ สมาชิกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการเป็นผู้ที่ขับรถยนต์ติดตั้งระเบิดแสวงเครื่องเข้าไปจอดในลานจอดรถหน้าสถานที่ก่อสร้างโรงจอดรถ สถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ ในส่วนของผู้ร่วมก่อเหตุที่จับกุมตัวได้ ยอมรับสารภาพ ให้การซัดทอดว่ามือประกอบระเบิด คือ นายมะรูดิง สามะ ในส่วนของผู้ก่อเหตุลอบวางระเบิดโรงแรมลีการ์เด้นท์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2555 ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับการลอบวางระเบิดคาร์บอร์มถนนรวมมิตร เขตเทศบาลนครยะลา ให้การซัดทอดว่ามีผู้ร่วมทำการก่อเหตุ จำนวน 4 คนด้วยกัน และมือประกอบระเบิดที่รับผิดชอบในพื้นที่ จ.สงขลา ก็คือ นายมะรูดิง สามะ

            จากการประมวลเหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้เกิดขึ้น เมื่อพิจารณาถึงความเชื่อมโยงของผู้ที่ประกอบระเบิดในพื้นที่ จ.สงขลา คือ นายมะรูดิง สามะ และ นายราพี มามะรอยาลี หัวหน้าชุดปฏิบัติการระเบิดในเขตเมืองยะลา ซึ่งมีหัวหน้ากัสยะลา ที่สั่งการและกำกับดูแลกองกำลังในกัสทั้งหมด มีความเกี่ยวพันกับกลุ่ม PerMAS อีกทั้งกรณีการเกิดเหตุลอบวางระเบิดบริเวณถนนรวมมิตร เขตเทศบาลนครยะลา และเหตุระเบิดโรงแรมลีการ์เด้นท์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2555 ซึ่งเป็นวันเดียวกัน มีการวางแผนลอบวางระเบิดร่วมกันของระดับแกนนำปฏิบัติการ และคงหนีไม่พ้นที่กลุ่ม PerMAS ย่อมมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว
            อยากกระชากหน้ากากกลุ่มสหพันธ์นิสิตนักศึกษา นักเรียนและเยาวชนปาตานี หรือกลุ่ม PerMAS ให้พี่น้องปาตานีได้รับรู้ความจริง ภาพผู้ร้ายใสซื่อหลอกผู้คนให้หลงเชื่อคือนักจัดกิจกรรมตัวยงที่รักชาติปาตานี ในการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวอยู่ทุกวันนี้เป็นแค่งานเสริม งานหลัก กลุ่ม PerMAS ยังจับปืน ลอบวางระเบิดเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ ตลบตะแลงแกล้งทำไม่รู้ออกมาโฆษณาชวนเชื่อบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทุกรูปแบบ แล้วเราในฐานะประชาชนปาตานีผู้รักชาติ รักแผ่นดิน รักพี่น้องร่วมศาสนา ยังให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้แอบอ้างความต้องการของคนส่วนใหญ่ในการเรียกร้องเอกราช ทั้งที่ความเป็นจริงทั้งกลุ่ม PerMAS และขบวนการ BRN เป็นเนื้อเดียวกันอย่างชนิดแยกกันไม่ออก เข่นฆ่าชีวิตพี่น้องร่วมชาติปาตานีชีวิตแล้วชีวิตเล่าเพื่อเป็นขั้นบันไดให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้เหยียบย่ำในการก้าวไปสู่จุดหมาย มันสมควรแล้วหรือ? 

@@@@@@@@@@@@@@

5/29/2557

“ระเบิดโรงพยาบาลโคกโพธิ์”ผู้ก่อเหตุรุนแรงละเมิดหลักสากล

แบมะ ฟาตอนี

อนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4อนุสัญญาเกี่ยวกับการคุ้มครอง การกำหนดเขตโรงพยาบาล เป็นเขตปลอดภัย การให้ความคุ้มครองแก่เจ้าหน้าที่ สถานที่ การคุ้มครองบริการทางการแพทย์ การคุ้มครองโดยทั่วไปเจ้าหน้าที่แพทย์จะต้องได้รับการคุ้มครองไม่ถูกโจมตีและต้องได้รับการเคารพจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากเจ้าหน้าที่แพทย์ปฏิบัติหน้าที่เพื่อมนุษยธรรม


          เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 28 พฤษภาคม 2557 เกิดเหตุระเบิดที่บริเวณลานจอดรถของโรงพยาบาลโคกโพธิ์ ต.มะกรูด อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ในเบื้องต้นแรงระเบิดทำให้รถจักรยานยนต์ได้รับความเสียหายหลายคัน และส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนหลายรายด้วยกัน
          ผู้ก่อเหตุรุนแรงเพิ่งลอบวางระเบิดใจกลางเมืองปัตตานีไปหมาดๆ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ได้ทำลายระบบเศรษฐกิจ บั่นทอนความเชื่อมั่นของการค้าการลงทุน สร้างผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างประเมินค่ามิได้ มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากการกระทำที่ขาดความยั้งคิด ส่งผลให้เด็กเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมากกว่าสิบราย การแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีการเคลื่อนไหวในเครือข่ายสังคมออนไลน์ ออกมาประกาศว่า การลอบวางระเบิดเพื่อ ศาสนา ชาติ อัตลักษณ์ ความยุติธรรม ที่กระทำไปนั้นไม่ใช่เป้าหมาย เด็ก คนชรา หรือพี่น้องของเรากันเอง ที่โดนไปนั้นก็ถือว่าเป็นอุบัติเหตุ และผู้ที่โดนไปนั้นถ้าผู้นั้นเข้าใจในทางญีฮาด ถือว่าผู้นั้นซาเฮด (ตายเพื่อศาสนา)
          ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ได้เห็นจุดยืนของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ประกาศเจตนารมณ์ปัดความรับผิดชอบอย่างชุ่ยๆ เข่นฆ่าพี่น้องร่วมศาสนา เข่นฆ่าพี่น้องชาวปาตานีผู้อ่อนแอ นี่หรือ? นักรบฟาตอนี ที่น่ายกย่องของขบวนการ BRN


          กับเหตุลอบวางระเบิดเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2557 ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ ประชาชนต้องได้รับความเดือดร้อนจากการระเบิดเสาไฟฟ้าแรงสูง ส่งผลให้ไฟฟ้าดับทั้งเมือง น้ำประปาไม่ไหล เจ้าหน้าที่รัฐทุกฝ่ายต่างพยายามเร่งทำการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน เหตุการณ์ผ่านไปแค่ 4 วัน กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงยังไม่สะใจ หาเรื่องให้ประชาชนต้องเดือดร้อนซ้ำแล้วซ้ำอีก ด้วยทำการก่อเหตุลอบวางระเบิดลานจอดรถโรงพยาบาลโคกโพธิ์
          นี่หรือคือการกระทำของนักรบที่มีอุดมการณ์ การทำลายสถานพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ อารยะประเทศอื่นๆ ที่เจริญแล้ว เขาไม่กระทำกัน เมื่อข่าวออกไปมีการออกมาตอบโต้แก้ตัวของแนวร่วมในเครือข่ายสังคมออนไลน์ว่าไม่ได้วางระเบิดตัวอาคารสถานพยาบาล แค่ลานจอดรถ ผู้ที่มาโรงพยาบาลคือผู้ที่เดือดร้อนเป็นพ่อ แม่ พี่น้อง ญาติของผู้ป่วยเจ็บ ผู้บาดเจ็บทั้งหมดคือผู้ที่น่าสงสารต้องทนทุกข์ทรมานเป็นสองเท่ากับการกระทำที่สุดโต่ง ขาดความยั้งคิด ไหนญาติตัวเองที่เจ็บป่วยอยู่ก่อนหน้านี้ ไหนตัวเองต้องมาบาดเจ็บโดนลอบวางระเบิดซ้ำอีก พื้นที่โรงพยาบาลน่าจะเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุด ใครจะคิดว่าโจรชั่วจะแฝงตัวมาทำการก่อเหตุขึ้น 

          จากหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะนี้ ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือประชาชนผู้บริสุทธิ์ ผู้ก่อเหตุรุนแรงมุ่งเป้าไปยังเป้าหมายอ่อนแอ รายแล้วรายเล่า โดยเฉพาะพี่น้องร่วมศาสนาเดียวกันยังไม่มีการละเว้น และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ประชาชนคนไทยทั้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เอง หรือประชาชนในส่วนที่เหลือของประเทศต่างเศร้าใจต่อการกระทำ ที่ไร้มนุษยธรรม สุดโต่ง ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ มุ่งทำลายล้างอย่างป่าเถื่อนโดยไม่เลือกเป้าหมาย ไม่เลือกสถานที่ โดยเฉพาะการกระทำความรุนแรงต่อเด็กที่เป็นเสมือนผ้าขาวบริสุทธิ์ เป็นอนาคตของชาติ เติบโตขึ้นเรียนจบกลับมาพัฒนาถิ่นเกิดให้มีความเจริญและเป็นกำลังหลักในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่แห่งนี้ให้กลับมาสงบสุข แต่กลับถูกโจรใต้ในคราบสัตว์ป่าเข่นฆ่าทำลายถึงแก่ชีวิตก่อนวัยอันควร



          ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้คือปัญหาของทุกคนที่จะต้องร่วมกันแก้ ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ปัญหาไม่มีวันจบสิ้นเป็นเพราะขาดความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนปาตานี ในการช่วยกันแจ้งเบาะแสข่าวสาร สอดส่องดูแลอาคารสถานที่ราชการ อาคารบ้านเรือน สังเกตบุคคลแปลกหน้า สุดท้ายกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมีอิสระในการเคลื่อนไหวลงมือก่อเหตุนำมาซึ่งความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า หากยังเป็นอยู่อย่างนี้คิดว่าธุระไม่ใช่แล้วสักวันหนึ่งผู้ที่ได้รับผลกระทบอาจจะเป็นตัวคุณเองหรือครอบครัว...ถึงวันนั้นทุกสิ่งทุกอย่างอาจจะสายเกินแก้ไม่มีโอกาสย้อนเวลากลับไปแก้ตัว......หากไม่คิดถึงตัวเราเอง ให้คิดถึงลูกหลานที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า ว่าเราได้ร่วมมือสร้างความปลอดภัยในการใช้ชีวิตให้กับเค้าแล้วหรือยัง ร่วมแรงร่วมใจสร้างสันติสุข อย่าปล่อยให้คนชั่วกระทำการก่อเหตุทำร้ายลูกหลานเราอีกเลย หากความร่วมมือไม่มี....สันติสุขจะเกิดได้อย่างไร?

@@@@@@@@@@@