หน้าเว็บ

6/19/2557

เมื่อ‘อับดุลอากิม ดาราเซะ’ประกาศแตกหักกับขบวนการ

แบมะ ฟาตอนี
เขาถือว่าผมสกปรกแล้ว มีอะไรเกิดขึ้นก็มาโยนใส่ กล่าวหาว่าผมเป็นคนทำทั้งหมด นี่คือคำกล่าวของ อส.ฮากิม หรือ นายอับดุลฮากิม ดาราเซะ อดีต อส.บันนังสตา จ.ยะลา ถึงเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่บ้านเกิดของเขา และถูกโยงมาถึงตัวเขา ในอำเภอซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแดนสนธยาของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
          ชื่อของ อส.ฮากิม ปรากฏเป็นข่าวหลายครั้งหลังเกิดเหตุรุนแรงในหลายพื้นที่ของ จ.ยะลา ช่วงเดือน มีนาคม ถึง เมษายน 2557 เพราะผู้ก่อเหตุได้ทิ้งใบปลิวเอาไว้ เขียนข้อความคล้ายๆ กันว่า เป็นการแก้แค้นตอบโต้ที่รัฐปล่อยให้ อส.ฮากิม ระรานชาวบ้าน
         อส.ฮากิมถูกระบุว่าเกี่ยวพันกับเหตุคนร้ายบุกยิง นายดอเลาะ ผดุง อายุ 66 ปี และ นางมารีแย ผดุง อายุ 60 ปี สองสามีภรรยาจนเสียชีวิตคาบ้านเลขที่ 67/1 หมู่ 4 บ้านบันนังกูแว อ.บันนังสตา ซึ่งหลังก่อเหตุได้มีการจุดไฟเผารถ เผาบ้านซ้ำ
          ทั้งหมดไม่ได้กล่าวหาว่า อส.ฮากิม เป็นคนทำ แต่อ้างว่าเป็นการกระทำต่อผู้บริสุทธิ์อีกศาสนาหนึ่ง เพื่อแก้แค้นตอบโต้พฤติกรรมของ อส.ฮากิม ที่ถูกอ้างว่ากระทำต่อผู้บริสุทธิ์ในศาสนาอิสลาม...ศาสนาเดียวกับเขา
          อย่างไรก็ดี ในอีกด้านหนึ่ง อส.ฮากิม เองก็ถูกกระทำเช่นกัน แต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง โดยเฉพาะเหตุลอบวางระเบิดหวังสังหารเขากับน้องชายและเพื่อน ขณะขับรถยนต์อยู่ในพื้นที่บ้านบันนังกูแว เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2557 แต่เขารอดชีวิตมาได้ ถัดจากนั้นเพียง 7 วันสองสามีภรรยาตระกูล ผดุง ก็ถูกสังหาร และมีกระแสข่าวว่าเป็นการกระทำของเขาเพื่อแก้แค้นที่ลูกลอบวางระเบิด 

          กระทั่งเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2557 ความสูญเสียของครอบครัวของ อส.ฮากิม ก็มาถึง  นายดอรอแม ดาราเซะ พ่อวัย 54 ปี นางอาอีเสาะ เฮงดาดา แม่วัย 49 ปี และ เด็กหญิงนูรอีมาน ดาราเซะ หลานสาววัยเพียง 2 ขวบ ก็ถูกคนร้ายยิงตายคารถทั้ง 3 คน บนถนนสาย 410 ที่เชื่อมต่อระหว่างบันนังสตากับเมืองยะลา 

ถูกชวนเข้าขบวนการ
          ฮากิมเป็นชายหนุ่มวัย 26 ปี รูปร่างสมส่วน สูงราวๆ 170 เซนติเมตร หน้าตาคมเข้ม ผมหยิกฟู เขาเริ่มเล่าเรื่องราวของตัวเองสมัยเรียนศาสนาและถูกชักชวนเข้าร่วมขบวนการเอกราชปัตตานี 
          "ช่วงปี 2546 ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ชั้น 8 ที่โรงเรียนอาลาวียะห์วิทยา (โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามใน อ.บันนังสตา ) ผมเป็นลูกอุสตาซ (ครูสอนศาสนา) พ่อผมเป็นอุสตาซสอนอยู่ที่โรงเรียนคัมภีร์วิทยา ตัวผมเองชอบศึกษาศาสนา ชอบฟังบรรยายและชอบฟังธรรม อะไรที่เกี่ยวกับศาสนาชอบฟังหมด หากรู้ว่าที่ไหนมีบรรยายศาสนาจะชอบไปฟัง จนมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นเพื่อนต่างโรงเรียนได้ชวนไปที่บ้านกาสัง (หมู่บ้านหนึ่งใน อ.บันนังสตา) บอกว่าที่นั่นมีบรรยายศาสนาผมก็ไปกับเขา ตามไปฟังทุกวัน ชอบมาก เขาเปลี่ยนสถานที่ไปที่อื่น ผมก็ตามไปฟัง"
          "สุดท้ายไปอยู่ที่บาตูกอ (อ.กรงปินัง รอยต่อกับ อ.บันนังสตา) วันนั้นพอไปแล้วกลับไม่ได้ เริ่มมีการปลุกระดมให้เข้าร่วมขบวนการ ตอนนั้นผมคิดว่าเมื่อกลับไม่ได้แล้ว ก็ทำตามที่เขาบอกก็แล้วกัน ก็เลยตัดสินใจอยู่กับเขา เรียนไปเรียนมาตามที่เขาสอนจนครบ ก็ได้เข้าหลักสูตรฝึกปฏิบัติการ รุ่นผมที่ได้ฝึกมีทั้งหมด 12 คน ผมเป็นคนแรกที่ได้ยศฆอรี (ลำดับชั้นหนึ่งในฝ่ายทหารของกลุ่มขบวนการ) จากการฝึกจบหลักสูตรคอมมานโด"
          เมื่อ ฮากิม ฝึกจนจบหลักสูตรคอมมานโดแล้ว ก็ถึงเวลาออกปฏิบัติการจริง งานแรกของเขา คือ บุกโจมตีโรงพักบันนังสตา เมื่อช่วงค่ำคืนของวันที่ 7 พฤศจิกายน 2548
          "การถล่มโรงพักบันนังสตาคืองานแรกที่ผมได้ออกปฏิบัติการหลังฝึกหลักสูตรคอมมานโด การออกปฏิบัติการของผมกับพวกกว่าสิบคนในครั้งนั้น มี แบมิง (นายหาสือมิง จารง) เป็นหัวหน้ากลุ่ม เขาเป็นแกนนำและสั่งการในการออกมาก่อเหตุ หลังจากแบมิงถูกยิงเสียชีวิต ผมเป็นคนพาปืนของแบมิงหนี ซึ่งก็หลบหนีรอดมาได้"
เปลี่ยนฝ่ายไปอยู่กับรัฐ
          ฮากิม เล่าว่า จากเหตุการณ์โจมตีโรงพักบันนังสตา ทำให้รู้สึกกลัวมาก จนเขาไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวด้วย จึงตัดสินใจหันหลังให้ขบวนการ
          "ผมทิ้งปืนทิ้งอะไรที่เกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นทั้งหมด แล้วไปหลบซ่อนอยู่ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง เป็นบ้านของโต๊ะครูที่สนิทกับพ่อ ผมอยู่บ้านเขา เขาสอนผมทุกอย่าง ทั้งอ่านอัลฮาดิษ (คำสอนของท่านนบี) อ่านอัลกุรอาน เขาจะแปลและสอนอธิบายทุกอย่างที่ถูกต้อง ทำให้รู้ว่าสิ่งที่ผมเรียนและรับรู้มาในอดีตเป็นสิ่งที่ผิด ผมมุ่งสนใจเรียนศาสนาต่อจนจบชั้น 10 (ในอดีตเป็นชั้นสูงสุดของการเรียนศาสนา)"
          "ต่อมาในช่วงปี 2550 ผมตัดสินใจเข้ามอบตัวกับทางราชการ และได้พูดคุยกับปลัดอำเภอบันนังสตาเพื่อขอสมัครเข้าเป็น อส. (อาสารักษาดินแดน) และได้เป็น อส.ใน อ.บันนังสตา โดยเป็น อส.อยู่บนอำเภอ ทำงานฝ่ายทะเบียนและบัตร สมัยนั้นผู้กำกับสมเพียร (พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา) เป็นผู้กำกับการ สภ.บันนังสตา"
          ฮากิม บอกว่า หลังเข้าเป็น อส.ใหม่ๆ ได้ทำงานบนที่ว่าการอำเภอบันนังสตา ช่วงนั้นการติดต่อระหว่างเขากับขบวนการก็ยังมีอยู่  แต่เป็นลักษณะช่วยบริจาค เพราะเขาไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับขบวนการอีกแล้ว 
          "ตอนนั้นก็ยังติดต่อกับพวกเขาบ้าง เพราะผมไม่อยากมีปัญหา ผมต้องแบ่งเงินเดือน อส.ที่ได้รับทุกๆ เดือนออกมาส่วนหนึ่งเพื่อซื้อข้าวสารบริจาคให้พวกเขา ผมออกมาแล้ว ไม่อยากกลับเข้าไปอีก ผมขอแค่ช่วยในแบบนี้ ซึ่งพวกเขาก็ไม่ว่าอะไรผม และไม่เคยมายุ่งเกี่ยวอะไรกับผมและครอบครัว เป็นอย่างนี้มานานหลายปี"
ความขัดแย้งก่อตัว
          ฮากิม เชื่ออยู่ในใจตลอดมาว่า แม้เขาจะช่วยเหลือบริจาคข้าวสารให้ขบวนการมาตลอด แต่ลึกๆ แล้วคนของขบวนการคงไม่ไว้ใจเขาเหมือนในอดีต เพียงแต่ว่าวันนั้นเขาไม่ได้สร้างปัญหาหรือความไม่พอใจอะไรให้กับคนในขบวนการ    
          กระทั่งวันที่ 26 เมษายน 2556 มีการยิงปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับคนของขบวนการ ในพื้นที่บ้านเจาะปันตัง หมู่ 9 (ใกล้กับบ้านบันนังกูแว) ทำให้คนของขบวนการเสียชีวิต 3 คน หลังเหตุการณ์ปะทะจบลง ปัญหาความขัดแย้งกับคนในขบวนการจากความไม่ไว้ใจในตัวฮากิมก็เกิดขึ้น
          "เหตุการณ์คนของพวกเขายิงปะทะกับเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 3 ศพ ผมได้ไปในที่เกิดเหตุด้วย แต่ไปในฐานะของ อส.บันนังสตา ที่เป็นชุดเยียวยา หัวหน้าสั่งให้ผมไปถ่ายรูปคนตายเพื่อจะเอารูปไปเดินเรื่องเยียวยาตามหลักเกณฑ์ของอำเภอให้กับครอบครัวผู้ตาย แต่วันนั้นมีนักข่าวทีวีช่องหนึ่งไปทำข่าวในที่เกิดเหตุ นักข่าวเป็นผู้หญิง แล้วมีภาพของผมติดไปในข่าวเหตุการณ์วันนั้นออกไปด้วย ยิ่งหนึ่งในคนที่เสียชีวิตเป็นน้องชายของโต๊ะอิหม่ามคนหนึ่งในบันนังกูแวบ้านเดียวกับผม จึงทำให้คนในขบวนการเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นหนึ่งในกำลังเจ้าหน้าที่ อส.ที่ยิงปะทะ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาระหว่างผมกับขบวนการ"
          "หลังจากเหตุปะทะในครั้งนั้น ผมไม่สบาย เข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล 1 สัปดาห์ ระหว่างนั้นได้มีโทรศัพท์จากคนที่ผมไม่รู้จักโทรเข้ามาบอกว่า ผมอยู่ร่วมกับพวกเขาไม่ได้แล้ว และบอกให้ผมไปหากุโบร์ (สุสาน) เลือก 2 แห่งที่มีอยู่ในบันนังกูแว ให้ผมไปเลือกว่าจะอยู่กุโบร์ไหน หลังจากนั้นผมก็ปิดเครื่อง ไม่อยากคุยต่อ"
ประกาศแตกหัก
          "จนกระทั่งวันศุกร์ ผมออกจากโรงพยาบาลพอดี ผมได้ไปละหมาดที่มัสยิดบันนังกูแว มีอุสตาซวันรุดี (นายมาวาดี ดอเลาะ ปัจจุบันหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่) ดึงตัวผมไปคุยที่หลังมัสยิดแล้วถามผมว่า หากุโบร์ได้หรือยัง ผมก็บอกไปว่าผมไม่อยากตายนะ ผมมีเมียมีลูกที่ต้องดูแล พวกเขาบอกผมว่าให้เวลา 3 วันนะ ผมพยายามขอร้องพวกเขา แต่พวกเขาไม่ฟังและยืนยันว่าอย่างไรเสียผมกับพวกเขาจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้อีกแล้ว"
          เมื่อเห็นว่าคำร้องขอของตัวเองไม่เป็นผล ฮากิมจึงเดินตามหลังอุสตาซคนนั้นไปถึงร้านน้ำชาในหมู่บ้าน ซึ่งกำลังมีชาวบ้านหลายคนนั่งชมรายการถ่ายทอดชกมวยทางโทรทัศน์ เขาเดินไปปิดทีวี แล้วประกาศแตกหักกับขบวนการต่อหน้าชาวบ้านในหมู่บ้านทั้งหมด
          "หากต้องการอย่างนั้นก็ได้ ทุกคนไม่ว่าใครก็รักชีวิตของตัวเอง คุณก็รักชีวิตคุณ ผมก็รักชีวิตผม หากใครอยากได้ชีวิตผมก็เข้ามา ถ้าพวกคุณได้พวกคุณก็ชนะ ถ้าผมได้ผมก็ชนะ" เป็นคำประกาศของ อส.ฮากิม ต่อหน้าชาวบ้าน
ถูกตามไล่ล่า
          หลังจากนั้นเป็นต้นมา ฮากิม ก็ถูกคนของขบวนการติดตามทำร้ายมาตลอด ทั้งไล่ยิงรถ ซึ่งเกิดขึ้นถึง 4 ครั้ง และลอบวางระเบิดรถยนต์ เกิดขึ้น 2 ครั้ง ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวตามที่ปรากฏเป็นข่าว
          "พวกเขาส่งคนติดตามความเคลื่อนไหวและประกบยิงผมขณะขับรถยนต์ถึง 4 ครั้ง โชคดีที่ผมเป็นคนขับรถเร็ว จึงปลอดภัยจากกระสุนปืนของพวกเขา แต่ก็มีร่องรอยกระสุนที่รถ และผมไม่ได้แจ้งความ เพียงแต่นำเรื่องไปบอกตำรวจที่อยู่กับผู้กำกับสมเพียร และปลัดอำเภอที่เป็นหัวหน้าผมว่าผมถูกตามยิง ทางตำรวจและหัวหน้าก็ให้ผมระมัดระวังตัวมากขึ้น"
          เมื่อส่งการส่งคนตามลอบยิงไม่เป็นผล และฮากิมก็ระมัดระวังตัวมากขึ้น ทำให้ขบวนการหันมาใช้วิธีวางระเบิดรถยนต์ของฮากิมแทน โดยครั้งแรกไม่สำเร็จ เพราะเขาสามารถขับรถหลบไปได้ แต่ครั้งที่สอง (16 กุมภาพันธ์ 2557) รถยนต์เก๋งของฮากิมถูกระเบิดจนเสียหาย และเกิดการยิงปะทะกันระหว่าง ฮากิมกับคนร้ายที่มาซุ่มโจมตีด้วย
          "วันนั้น ผม น้องชาย และเพื่อนกำลังเดินทางกลับเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งนายก อบต.ผมเป็นคนขับ เมื่อถึงจุดเกิดเหตุได้เกิดระเบิดขึ้น แรงระเบิดอัดเข้าที่หน้าห้องเครื่องของรถ น้องชายและเพื่อนสลบติดอยู่ในตัวรถ ตัวผมกระเด็นออกมานอกรถ แต่ยังพอมีสติ จึงได้เอาปืนยิงสวนออกไปข้างทางริมถนน จนพวกเขาหลบหนีไป ทราบภายหลังว่าจุดที่พวกเขาซ่อนอยู่ระหว่างก่อเหตุระเบิดรถผม มีแกลลอนน้ำมัน 20 ลิตรทิ้งเอาไว้ด้วย หากวันนั้นผมไม่สามารถยิงตอบโต้ได้ คงถูกพวกเขาลงมาเผาซ้ำอย่างแน่นอน"
แจงปมฆ่าสองสามีภรรยา
          นับเป็นโชคดีของฮากิมและพรรคพวกที่เอาชีวิตรอดจากเหตุระเบิดมาได้ แต่ฮากิมบอกว่าฝ่ายขบวนการยังคงตามเล่นงานเขาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการพยายามปล่อยข่าวใส่ร้ายว่าเขาเป็นผู้ก่อเหตุฆ่าคนตระกูลผดุง (ฆ่าสองสามีภรรยาวัยชราและเผาบ้านซ้ำ ที่บ้านบันนังกูแว เมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2557)
          "เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นหลังจากผมออกจากโรงพยาบาล เพียง 7 วันนับจากเหตุการณ์ที่ผมโดนระเบิด มีการกล่าวหาว่าเป็นฝีมือผม ซึ่งจริงๆ แล้วผมกับ อาแซ ผดุง (ลูกของสองสามีภรรยาที่ถูกฆ่า) ไม่เคยมีปัญหาอะไรกัน เจอหน้ากันที่ไหนก็ทักทายกันตลอด"
          "กรณีคนร้ายมายิงพ่อกับแม่ของเขาเสียชีวิต แล้วเขามากล่าวหาผมว่าเป็นคนทำ แบบนี้มันก็เหมือนกับว่าพวกเขาร้อนตัวกันขึ้นมาเองว่าการวางระเบิดรถผมเป็นฝีมือของพวก จึงกล่าวหาว่าผมมาแก้แค้นโดยทำกับพ่อแม่เขา"
          ฮากิม บอกว่า จริงๆ แล้วเขารู้เพียงว่าพ่อของอาแซที่ถูกยิงเสียชีวิต เป็นระดับแกนนำคนสำคัญในพื้นที่ หากมีงานอะไรในหมู่บ้าน พ่อของอาแซจะเป็นคนเก็บเงินจากชาวบ้านในหมู่บ้านให้ทางขบวนการ
          "เมื่อพ่อของอาแซถูกยิง ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใคร เขาก็ต้องพุ่งเป้าว่าผมทำเป็นธรรมดา เขาถือว่าผมสกปรกแล้ว มีอะไรเกิดขึ้นก็มาโยนใส่ กล่าวหาว่าผมเป็นคนทำทั้งหมด"
          "คดีนี้หากผมตกเป็นผู้ต้องสงสัยหรือมีหลักฐานว่าผมเกี่ยวข้อง ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจคงเรียกตัวผมไปสอบสวนแล้ว แต่ไม่มีการเรียกตัวใดๆ เลย ที่ผ่านมาผมก็ไม่เคยมีประวัติก่อคดีอะไรมาก่อน มันยิ่งทำให้พวกเขาเจ็บแค้นผมมาก"
ครอบครัวถูกคุกคาม
          ฮากิม เชื่อว่าเมื่อไม่สามารถทำร้ายตัวเขาได้ ทางขบวนการจึงเบนเป้าไปคุกคามคนในครอบครัวของเขาแทน กระทั่งครอบครัวของเขาต้องทิ้งบ้านทิ้งสวนยางพาราย้ายออกจากบ้านบันนังกูแว ไปอาศัยอยู่ในตัวเมืองยะลา
          "ครอบครัวผมอยู่ในหมู่บ้านไม่ได้ ตั้งแต่ผมถูกปองร้ายหลายครั้ง ก็เลยย้ายกันเข้าไปอยู่ในตัวเมืองยะลา ทิ้งบ้าน ทิ้งสวนยาง ทิ้งทุกอย่างออกมาจากหมู่บ้านบันนังกูแว หลังออกมาแล้ว สวนยางก็จ้างคนงานให้มาตัดแทน ตัดได้เพียง 3 วันพวกเขาก็ไปขู่โดยทิ้งปลอกกระสุนไว้ในถ้วยน้ำยาง ทำให้ไม่มีคนงานรับจ้างคนใดกล้าเข้าไปกรีดยางให้ ผมประกาศขายสวนยางก็ไม่มีใครกล้าซื้อ เขาสั่งห้ามคนในพื้นที่ไม่ให้ใครยุ่งกับผมและครอบครัว"
          และแล้วการสูญเสียคนในครอบครัวของฮากิมก็เกิดขึ้น เมื่อพ่อ แม่ รวมถึงหลานสาววัยเพียง 2 ขวบ ถูกคนร้ายที่เขาเชื่อว่าเป็นคนของขบวนการ ใช้อาวุธปืนยิงถล่มรถยนต์จนเสียชีวิตทั้ง 3 คน เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2557
          "ปกติพ่อเป็นคนอยู่นิ่งไม่ได้ หลังจากย้ายไปอยู่ยะลาก็ไม่มีอะไรทำ ผมสงสารพ่อ ผมก็เลยบอกว่าเอาอย่างนี้ ถ้าอยู่เฉยๆไม่ได้ ผมจะหาเช่าที่ให้พ่อกับแม่เปิดร้านขายข้าวในตัวเมืองยะลา โดยผมไปหาเงินมาลงทุนให้"
          "จนวันเกิดเหตุ พ่อกับแม่ได้พาหลานชายหลานสาวรวม 4 คน ขับรถกระบะกลับไปบ้านที่บันนังกูแว เพื่อไปเอาของใช้ที่บ้าน เสร็จแล้วจึงขับรถกลับ ขณะกำลังขับรถออกจากหมู่บ้านก็ถูกคนร้ายตามประกบยิงจนเสียชีวิต ผมเชื่อว่าพวกเขาเห็นว่าพ่อกลับมา จึงมาตามยิงพ่อ พวกเขาโหดเหี้ยมมาก ไม่ละเว้นแม่กระทั่งคนแก่ ผู้หญิง และเด็ก นี่เป็นวิธีของพวกเขา"
เคยถูกสั่งให้ฆ่าพ่อ
          ฮากิมเล่าย้อนไปถึงวิธีการของขบวนการที่เคยสั่งให้เขาฆ่าพ่อของตัวเอง สมัยยังร่วมอยู่กับขบวนการ  
          "พวกเขาเคยลองใจผมโดยให้ยิงพ่อ คือตอนนั้นสมัยที่ผมยังอยู่กับพวกเขา ก่อนเกิดเหตุยิงถล่มโรงพักบันนังสตาเพียง 1 สัปดาห์ ในหมู่บ้านผมมีพ่อคนเดียวที่เรียนศาสนาสูงสุดและชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้านจะชอบพ่อและเชื่อพ่อ ทุกๆ วันศุกร์พ่อจะสอนกีตาบ (หนังสือเรียนเกี่ยวกับศาสนา) ที่มัสยิด คนในหมู่บ้านไปฟังกันเยอะ เป้าหมายของพวกเขาอยากจะให้พ่อผมเข้าร่วมกับพวกเขา เพื่อพ่อจะช่วยปลุกระดมชาวบ้านในหมู่บ้านให้พวกเขาได้"
          "พวกเขาให้ผมมาชวนพ่อ แต่พ่อไม่เอาด้วย ทั้งยังด่าผมด้วย ผมจึงได้กลับไปบอกพวกเขาว่าพ่อไม่ยอม พวกเขาก็บอกว่าถ้าเป็นเช่นนั้น คุณมีสิทธิ์ไปยิงพ่อได้เลย ไม่บาปแล้ว แต่พวกเขาไม่ได้บังคับให้ทำทันที บอกว่าพร้อมจะทำเมื่อไหร่ก็มาบอกเขา"
          ฮากิม เล่าด้วยว่า เหตุที่คนในขบวนการอ้างว่าสามารถยิงพ่อตัวเองได้โดยไม่บาป เพราะพ่อไม่กระทำตามกฎของขบวนการ  
          "ตอนนั้นผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมเรียนรู้มาจากพวกเขาทั้งหมดมันไม่ใช่แล้ว หลังจากผมออกมาจากขบวนการแล้ว ผมได้เล่าให้พ่อฟังทุกอย่าง ผมเอาอัลฮาดิษที่พวกเขาสอนให้พ่อดู เพื่อให้พ่อแปลให้ฟังว่าตรงกันกับที่พวกเขาสอนหรือไม่ ปรากฏว่ามันไม่ถูกต้องเลยในสิ่งที่พวกเขาสอน อัลฮาดิษเหมือนกัน แต่คำแปลไม่เหมือนกันกับที่พ่อแปลให้ฟัง ของเขาผิดหมดเลย เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง"
          นี่คือความรู้สึกของลูกผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อ อับดุลอากิมผู้ที่กล้าหันหลังให้กับกลุ่มขบวนการที่เลวร้ายกลุ่มขบวนการที่กล้าบิดเบือนหลักคำสอนศาสนาอิสลาม เขาทนไม่ได้กับความไม่ถูกต้องกับการกระทำที่ไร้อุดมการณ์ สิ่งที่เขาผู้นี้ได้รับคือคนของขบวนการตามปองร้ายหมายเอาชีวิตมาโดยตลอด สุดท้ายสิ่งที่โจรชั่วเหล่านี้ได้กระทำต่อครอบครัว ดาราเซะไม่อาจเรียกคืนมาได้คือ 3 ชีวิตที่ต้องสังเวยให้กับความป่าเถื่อน ไร้ความเมตตาปราณี ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กและผู้หญิง ผู้ที่หลงผิดเข้าร่วมกับขบวนการยังมีอีกหลายชีวิตที่โดนหลอกให้ลงมือก่อเหตุร้าย กระทำต่อผู้บริสุทธิ์ นี่คือความจริงใจของคนที่อยู่ในขบวนการชั่วร้าย คุณพลาดวันไหนคนในขบวนการก็จะตามเก็บเอาชีวิตคุณและครอบครัว


@@@@@@@@@@@@@

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น