หน้าเว็บ

6/21/2557

ดินแดนปัตตานีไม่ใช่ญีฮาดสงครามรอมฎอนอันบริสุทธิ์ เข่นฆ่าชีวิตมนุษย์บาปเป็น ๒ เท่าทวีคูณ

บินหลา   ปัตตานี

          เดือนรอมฎอนเป็นห้วงการปฏิบัติศาสนกิจที่สำคัญของพี่น้องประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลามโดยกำหนดขึ้นในเดือนที่ ๙ ตามปฏิทินอิสลาม ซึ่งในปี ฮ.ศ.๑๔๓๕ อยู่ในห้วงประมาณวันที่ ๒๙ มิ.ย.-๒๘ ก.ค.๒๕๕๗ ซึ่งในคืนวันที่ ๒๗,๒๘ มิ.ย.๕๗ จะมีการดูดวงจันทร์ถ้าดวงจันทร์มืด (แรม ๑๕ ค่ำ) เช้าวันรุ่งขึ้นจุฬาราชมนตรี  จะประกาศวันเริ่มต้นเดือนรอมฎอนที่ชัดเจนในห้วงนี้ผู้นับถือศาสนาอิสลามจะมีการปฏิบัติศาสนกิจที่สำคัญคือการถือศีลอดโดยงดบริโภคอาหารเครื่องดื่ม และการร่วมประเวณีระหว่างรุ่งสางจนตะวันลับขอบฟ้า         


         
การถือศีลอด เป็นข้อที่ ๓ ของหลักปฏิบัติ ๕ ประการของศาสนาอิสลาม การถือศีลอดเป็นการทดสอบและฝึกหัดร่างกายให้รู้จักอดกลั้นให้รู้สภาพอันแท้จริงของผู้ที่อัตคัดขัดสนทำให้เกิดความเห็นอกเห็นใจกัน เป็นการขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์ ผ่องแผ้วพ้นจากอำนาจใฝ่ต่ำและมีคุณธรรมในห้วงเดือนรอมฎอนจะมีการปฏิบัติศาสนกิจและปฏิบัติตามหลักศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด เช่น ตั้งมั่นในดูอาร์ ละทิ้งสิ่งไร้สาระ บริจาคทานอ่านอัลกุรอานมากๆ ละหมาดญะมาอะห์ทุกเวลา ซิกรุลลอฮ นึกถึงอัลลอห์มากๆ และละหมาดตอนกลางคืนมากๆ หรือละหมาดตาราเวียะห์ ผู้ปฏิบัติจะได้บุญและเพิ่มพูนความดีงามเท่าทวีคูณโดยเฉพาะในห้วง ๑๐ วัน สุดท้ายของการถือศีลอดหรือห้วงเอี๊ยะติกาฟจะได้บุญมากขึ้น



          กลุ่มขบวนการใช้การบิดเบือนหลักศาสนาอิสลามและประวัติศาสตร์ปลุกระดมบ่มเพาะสร้างกระแสสงครามญีฮาดเพื่อสร้างแนวร่วมขบวนการรุ่นใหม่ และแนวร่วมมวลชนโดยอ้างว่า เป็นหน้าที่ของคนมลายูทุกคนต้องต่อสู้เพื่อแยกรัฐปัตตานี เป็นเอกราชถ้าใครไม่ปฏิบัติจะเป็นบาป โดยเฉพาะปฏิบัติในห้วงเดือนรอมฎอนจะได้บุญเป็น ๒ เท่า ถ้าปฏิบัติในห้วงเอี๊ยะติกาฟจะได้บุญมากขึ้นทวีคูณเมื่อปฏิบัติแล้วตายไปจะได้ขึ้นสวรรค์โดยไม่มีข้อแม้จึงเป็นแรงจูงใจให้ผู้ที่ถูกหลอกหรือหลงผิดก่อเหตุรุนแรงในห้วงเดือนรอมฎอนโดยปลูกฝังหรือบ่มเพาะความคิดที่ผิดๆ ตั้งแต่เด็กในครอบครัวหมู่บ้านหรืออาเยาะห์เมื่อโตขึ้นในวัยเรียนจะปลูกฝังในโรงเรียนตาดีกา, โรงเรียนปอเนาะ, โรงเรียนเอกชนสอน ศาสนา และในระดับมหาวิทยาลัยทั้งในพื้นที่ จชต. ต่างจังหวัด และกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นการปลูกฝังแบบเป็นระบบ          เป็นขบวนการ หยั่งรากลึกยากที่จะลบล้างและเปลี่ยนแปลงความคิดดังกล่าวได้


          ผู้เขียนขอเรียนให้ผู้อ่านได้ทราบว่าการแอบอ้างศาสนาว่าเป็นญีฮาดสงคราม และเข่นฆ่าชีวิตมนุษย์   ในห้วงเดือนรอมฎอนได้บุญเป็น ๒ เท่าไม่เป็นความจริงโดยอธิบายเหตุผลพอสังเขปดังนี้
          ประการแรก ไม่มีบัญญัติและหลักของศาสนาอิสลามที่กำหนดว่าการฆ่ามนุษย์หรือทำสงครามในห้วงรอมฎอนจะได้บุญเป็น ๒ เท่า มีแต่ทำความดีปฏิบัติศาสนกิจอย่างเคร่งครัดจึงได้บุญมากขึ้นจะเห็นว่าในเดือนรอมฎอน แม้ในสงครามเช่นสงครามครูเสดคือ การทำสงครามระหว่างพวกคริสเตียนในยุโรปกับพวกมุสลิมที่ยึดครองนครเยรูซาเล็มในปาเลสไตน์ใน ค.ศ.๑๐๙๖-๑๒๙๑ ยังหยุดการต่อสู้พยายามที่จะหลีกเลี่ยงการต่อสู้  จะต่อสู้ก็เมื่อจำเป็นหรือเพื่อป้องกันตัวเท่านั้น


          ประการที่สอง การอ้างว่าเป็นสงครามญีฮาดในพื้นที่ จชต. ไม่ถูกต้อง  การที่จะกำหนดว่าเป็นสงครามญีฮาดได้ต้องเป็นดินแดนดารุลอิสลาม หรือดารุสสลาม คือ เป็นดินแดนของอิสลามปกครองด้วยศาสนาอิลาม เมื่อถูกรุกรานจะต้องต่อสู้ปกป้องประเทศและศาสนา หรือเป็นดินแดนดารุลฮัรบี คือดินแดนที่เมื่อก่อนเป็นประเทศที่ปกครองด้วยคนอิสลามแล้วถูกคนนอกศาสนารุกราน ทุกคนต้องเข้าร่วมต่อสู้เป็นสงครามญีฮาด แต่ในพื้นที่ จชต. ไม่เข้าหลักเกณฑ์ทั้ง       ๒ กรณี ความจริงแล้วดินแดน ๓ จชต.หรือรัฐปัตตานีในสมัยเก่าไม่ได้ปกครองโดยคนมลายูหรืออิสลามมาก่อน เดิมคนพื้นเมืองอาศัยในดินแดนนี้มาก่อน พ.ศ. ๗๐๐ ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธและพราหมณ์ ณ เวลานั้น    คนมลายูยังไม่เข้ามา ศาสนาอิสลามยังไม่กำเนิด ศาสนาอิสลามกำเนิด พ.ศ.๑๑๒๒ ประเทศสยามหรือประเทศไทยเข้ามาปกครองและอาศัยอยู่ที่ปรากฎหลักฐานชัดเจนคือสมัยสุโขทัย ตั้งแต่ พ.ศ.๑๘๓๖ เรื่อยมาจนถึงสมัยอยุธยาปกครองในระบบเจ้าเมือง ซึ่งปรากฏหลักฐานทางโบราณวัตถุปรากฏในพื้นที่ จชต. จนถึงปัจจุบัน


          กำเนิดเมืองปัตตานีในปี พ.ศ.๑๙๙๘ ในช่วงต้นสมัยอยุธยาจะเห็นว่ารัฐปัตตานีและคนมลายูเข้ามาใน จชต. ที่หลังประเทศสยามจึงอ้างสิทธิว่าถูกรุกรานเพื่อทำสงครามญีฮาดไม่ได้ สำหรับในเรื่องผู้ปกครองเมืองไม่ได้เป็นคนมลายูทั้งหมดในสมัยที่คนมลายู       เข้ายึดครอง เมืองไหนมีประชาชนนับถือศาสนาพุทธมากกว่าก็ให้คนไทยพุทธเป็นเจ้าเมือง เมืองใดประชาชนนับถือศาสนาอิสลามมากกว่าก็ให้คนมาลายูเป็นเจ้าเมือง จึงไม่สามารถอ้างความเป็นเจ้าของดินแดนเพื่อทำสงครามญีฮาดเพื่อแยกดินแดนเป็นเอกราชได้
          ท้ายนี้ ตามที่ได้กล่าวแต่ต้นแล้วว่าไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ไม่เข้าหลักการที่จะกำหนดเป็นสงครามศาสนาหรือสงครามญีฮาดเพื่อแยกดินแดนได้แต่กลุ่มขบวนการพยายามบิดเบือนให้เป็นสงครามญีฮาดซ้ำร้ายยังปฏิบัติผิดหลักการทำญีฮาดอีก ในหลักของสงครามญีฮาดกำหนดไว้ว่า ๑)จะไม่ทำร้ายเด็กสตรีและคนชรา ๒) ไม่ทำร้ายผู้นำศาสนาอื่น ๓) ไม่ทำลายศาสนสถาน ๔) ต้องดำรงอยู่ในข้อตกลง ๕) ไม่เป็นผู้รุกรานหรือเริ่มต้นก่อน ๖) ห้ามทำลายสัตว์เลี้ยงและพื้นที่การเกษตรจะเห็นว่า ผกร. ในพื้นที่ จชต. ละเมิดเกือบทุกข้อแบบนี้จะมาอ้างทำญีฮาดได้อย่างไรไม่อายผู้นำศาสนาหรือผู้รู้เขาบ้างหรือ ในส่วนของผู้นำศาสนาขออย่าได้นิ่งเฉยอย่าได้กลัวเมื่อมีผู้มาบิดเบือนศาสนาถือว่าเป็นผู้ทำลายศาสนาอิสลามจะต้องรวมพลังกันต่อสู้เพื่อขับไล่พวกมารศาสนาให้หมดไปเพื่อให้ศาสนาอิสลามบริสุทธิ์แผ่นดินบ้านเกิดมีความสงบสุข ตลอดไป

---------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น