เหตุ "คาร์บอมบ์"
หน้าโรงแรมฮอลิเดย์ฮิลล์ ในเขตเทศบาลเมืองเบตง อ.เบตง จ.ยะลา เมื่อวันศุกร์ที่ 25 ก.ค.57 ทำให้มีผู้เสียชีวิต
2 ราย และบาดเจ็บกว่า 40 รายนั้น
หนึ่งในผู้เสียชีวิต คือ เดโช ดารีเย๊าะ
อายุ 32 ปี พนักงานรักษาความปลอดภัย (รปภ.) ของโรงแรม
ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ใกล้รถกระบะบรรทุกระเบิดที่คนร้ายขับมาจอดมากที่สุด
และเขาเสียชีวิตทันทีหลังเสียงระเบิดกัมปนาท!
การจากไปของเดโช ส่งผลกระทบกับอีก 4 ชีวิตซึ่งเป็นสมาชิกในครอบครัวของเขา คือ มะลิวัลย์
ผลสมบูรณ์ ภรรยาวัย 32 ปี และลูกน้อยอีก 3 คน คือ ด.ญ.ภควดี ดารีเย๊าะ อายุ 6 ขวบ ด.ญ.ภัทรวดี
ดารีเย๊าะ อายุ 4 ขวบ และ ด.ช.ภูมิกร ดารีเย๊าะ อายุ 11 เดือน
เป็นเหตุร้ายใกล้วันวันฮารีรายอ
ซึ่งเป็นวันเฉลิมฉลองหลังสิ้นสุดเดือนรอมฎอน
หรือเดือนแห่งบุญของพี่น้องมุสลิมที่ใครๆ ก็ต่างรอคอย...
"เขาหวังจะได้รายอพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว
และเป็นฮารีรายอแรกในชีวิตของลูกชายคนเล็กที่อายุยังไม่ถึงปีเลย แต่เขาก็ไม่มีโอกาส"
มะลิวัลย์เอ่ยเสียงเศร้าถึงความตั้งใจของสามี sad1
เธอเล่าว่า สามีเพิ่งถูกเรียกตัวกลับไปทำงานที่โรงแรมเมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมานี้เอง
เท่ากับว่า
ทำงานได้ไม่ถึง 10
วันก็ต้องเจอเหตุร้ายถึงขั้นทำให้เสียชีวิต
"วันที่ไปทำงานวันแรกก็เกิดลางไม่ดีกับเขา คือลูกคนที่ 2 หยิบรูปถ่ายของเขาจากกระเป๋าสตางค์ออกมา แล้วใช้กรรไกรตัดเล่น
ปกติลูกก็เล่นกระเป๋าสตางค์ หยิบโน่นหยิบนี่ออกมาเล่นอยู่แล้ว
แต่ไม่เคยเล่นรูปถ่ายของพ่อ วันนั้นเขาเห็นเขาก็โกรธ จึงได้ดุและตีลูก
พร้อมกันหันมาถามฉันด้วยความกังวลว่าเป็นลางไม่ดีหรือเปล่า จะเกิดเรื่องร้ายๆ
กับตัวเขาหรือเปล่า ฉันก็ได้ปลอบเขาไปว่าคงไม่มีอะไรมั้ง อย่าคิดอะไรมาก
แต่เขาก็ยังกังวลตลอด"
แล้วก็ถึงวันเกิดเหตุ ซึ่งมะลิวัลย์บอกว่าพฤติกรรมของสามีก็ผิดปกติ
เหมือนเป็นลางบอกเหตุ...
"วันนั้นเป็นวันศุกร์ เขาก็ไปทำงานตามปกติ ฉันกับลูกทั้ง 3 คนก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์ซื้อข้าวไปให้เขาที่หน้าโรงแรม
เพื่อไว้กินหลังเปิดบวช (หลังพระอาทิตย์ตกดิน) ปกติทุกวันก็เอาข้าวไปให้
เขาจะคุยกับหนูและเล่นกับลูกสักพักหนึ่งจึงจะบอกให้ฉันกับลูกๆ กลับบ้าน
แต่วันนั้นเมื่อรับข้าวไปแล้ว เขาก็บอกให้ฉันรีบพาลูกกลับบ้านทันที"
"เชื่อไหมว่าเขาบอกกับฉันเองว่ารู้สึกผิดปกติกับรถกระบะที่จอดอยู่หน้าโรงแรม
มีเสียงดังหน้ารถ และไฟหน้าหลุดออกมาก ตอนนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจเรื่องรถกระบะ
แต่ก็ทำตามที่เขาบอก รีบขับรถพาลูกกลับบ้านทันที"
ฝันร้ายของมะลิวัลย์ก็คือ เธอออกรถไปได้เพียงไม่ถึง 2 นาทีก็ได้ยินเสียงระเบิด...
"ฉันกับลูกขี่รถออกมาจากหน้าโรงแรมได้แค่ 2 นาทีมั้ง
ไปจอดติดไฟแดงห่างโรงแรมประมาณ 700
เมตรก็ได้เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น จึงรีบหันหน้าไปดู ก็เห็นว่าจุดที่เกิดระเบิดคือที่หน้าโรงแรมที่เขาทำงานอยู่
ตอนนั้นฉันตกใจมาก เห็นภาพไฟลุกและควันไฟดำหนาทึบ ฉันคิดอะไรไม่ออกเลยตอนนั้น
ได้แต่รีบขับรถย้อนกลับไปทางหน้าโรงแรมโดยเร็วที่สุด
พร้อมภาวนาในใจว่าอย่าให้เขาเป็นอะไรเลย หลังรับข้าวห่อจากฉันแล้ว
เขาคงเดินเข้าไปในตัวอาคารโรงแรม และปลอดภัยจากแรงระเบิด"
แต่ความจริงที่เกิดกับเธอและครอบครัว ไม่เป็นไปอย่างที่เธอภาวนา...
"พอย้อนกลับไปใกล้ๆ โรงแรม ก็ยังเข้าไปตรงจุดเกิดเหตุไม่ได้
เพราะเจ้าหน้าที่กันเอาไว้ ฉันกับลูกจึงไปรอที่โรงพยาบาล
แล้วก็ทราบภายหลังว่าสามีเสียชีวิตแล้ว ก็รู้สึกตกใจมาก ทำอะไรไม่ถูก พูดไม่ออก
เหมือนโดนทุบเข้าที่หน้าอกอย่างแรง"
มะลิวัลย์ บอกว่า
หากวันนั้นเธอกับลูกยังอยู่คุยเล่นกับสามีเหมือนเช่นทุกวัน
ครอบครัวของเธอคงต้องเสียชีวิตจากแรงระเบิดทั้งหมด สามีบอกให้เธอรีบกลับบ้าน
เป็นการช่วยชีวิตเธอกับลูกเอาไว้ แต่เขาต้องมาเสียชีวิตไปแทน
มะลิวัลย์ พูดถึงสามีว่า เป็นคนรักครอบครัวมาก
จะทำอะไรแต่ละอย่างจะคิดถึงลูกตลอด
เธอเอ่ยถึงความในใจว่า หลังจากสูญเสียสามีไปแล้ว
ตอนนี้ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะอยู่กันอย่างไร
"เราเคยมีกันพร้อมหน้าพร้อมตา ทุกวันนี้ลูกร้องคิดถึงพ่อตลอด สงสารลูก
แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อยากถามไปยังคนก่อเหตุวางระเบิดว่า พวกคุณไม่มีครอบครัว
ไม่มีคนที่รักหรือ ทำไมต้องมาทำอย่างนี้
รู้ไหมว่าการกระทำของคุณทำให้สามีของฉันที่เป็นแค่คนหาเช้ากินค่ำต้องเสียชีวิต
ทำให้ลูกๆ ต้องขาดพ่อ ทำให้ครอบครัวของฉันขาดหัวหน้าครอบครัว
อยากให้เรื่องแบบนี้ไปเกิดกับครอบครัวของพวกคุณบ้าง
จะได้รู้ว่าการสูญเสียคนที่รักมันเป็นอย่างไร" มะลิวัลย์ กล่าวอย่างอัดอั้น
ด้าน วาฮับ ดารีเย๊าะ อิหม่ามประจำมัสยิดดารุลมะห์มูร บ้านฮางุส ต.เบตง อ.เบตง
บิดาวัย 65 ปีของเดโช
กล่าวทั้งน้ำตาว่า เป็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นเร็วมากจนครอบครัวตั้งรับไม่ทัน
"เสียใจมากจริงๆ ที่ครอบครัวของเราต้องขาดเขาไป
ทั้งที่ฮารีรายอปีนี้สำคัญกับเขามาก
เขาดูตื่นเต้นที่ลูกคนเล็กจะได้ฉลองฮารีรายอร่วมกับสมาชิกทุกคนในครอบครัวเป็นปีแรก
เขาบอกกับผมว่าข้าวสารจ่ายซะกาตให้มัสยิดของครอบครัวเขา จะให้เพิ่มมากกว่าปีก่อนๆ
จาก 4 กันตังเป็น 5
กันตังตามจำนวนสมาชิกของครอบครัว
ทั้งยังเบิกเงินที่ทำงานมาเพื่อซื้อเสื้อผ้าข้าวของให้ลูกและครอบครัว"
วาฮับ บอกด้วยว่า เบตงไม่ค่อยมีเหตุร้าย
เคยดูแต่ข่าวเวลาเกิดระเบิดหรือยิงกันในพื้นที่อื่น
เห็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากข่าว ไม่เคยคาดคิดเลยว่าวันหนึ่งเหตุร้ายๆ
จะมาเกิดขึ้นกับลูกชายของตัวเอง
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา:http://www.isranews.org/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น