หน้าเว็บ

8/30/2558

ส่องปัญหาไฟใต้…..ตอน ศาลยกฟ้องคดีน้อยลง โจรใต้ถูกประหารชีวิตและติดคุกสูงขึ้น

ส่องปัญหาไฟใต้…..ตอน ศาลยกฟ้องคดีน้อยลง โจรใต้ถูกประหารชีวิตและติดคุกสูงขึ้น
แบดิง โกตาบารู


ปัญหาไฟใต้ที่เผาผลาญมานานนับสิบกว่าปี และไม่มีทีท่าว่าจะดับลงเมื่อไหร่? อานุภาพการทำลายล้างที่เกิดจากน้ำมือของกลุ่มขบวนการโจรใต้  ย่อมเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าได้สร้างผลกระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ภายใต้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างกลุ่มที่คิดต่างกับรัฐบาลไทย ประชาชนคือตัวประกันที่ตกเป็นเป้าและได้ถูกกระทำ มีผู้คนจำนวนไม่น้อยได้ทยอยอพยพออกนอกพื้นที่เพื่อหลีกหนีความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินไปปักหลักเริ่มต้นชีวิตใหม่ในถิ่นอื่น

ปัญหาของรัฐบาลไทยที่ผ่านมาคือการติดตามจับกุมตัวผู้กระทำความผิด ซึ่งจากการเข้าทำการตรวจสอบและทลายฐานปฏิบัติการรวบรวมหลักฐานนำไปสู่การจับกุมตัวสมาชิกโจรใต้ โดยมีการใช้โรงเรียนสอนศาสนาและบ้านเครือญาติเป็นที่พักพิง นำตัวไปเข้าสู่ขั้นตอนดำเนินกรรมวิธีซักถามหาความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ความรุนแรง เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมส่งตัวฟ้องศาล สุดท้ายศาลได้ยกฟ้องปล่อยตัวให้เป็นอิสระจำนวนมาก

หากย้อนกลับไปดูข้อมูลสถิติคดีความมั่นคงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2558  พนักงานสอบสวนส่งฟ้องดำเนินคดี จำนวน 1,904 คดี ชั้นอัยการส่งฟ้อง 827 คดี แต่เมื่อเข้าสู่การพิจารณาชั้นศาลได้ยกฟ้อง 431 คดี คิดเป็นร้อยละ 60.79 จะเห็นได้ว่าเกิดจากหลักฐานไม่แน่นหนาพอ ผู้ที่ถูกดำเนินคดีจะได้รับการยกฟ้องซึ่งมีจำนวนสูงมากเกือบ 61% เลยทีเดียว

นั่นคือความเป็นจริงที่จะต้องยอมรับในจุดอ่อนที่จะต้องได้รับการแก้ไข แต่หากมาแจกแจงดูสถิติผลการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายต่อผู้ก่อเหตุรุนแรง ตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2557 จนถึงปัจจุบัน กลับมีข้อมูลที่น่าสนใจ พบว่าศาลพิพากษาแล้ว จำนวน 18 คดี มีผู้ต้องหา 25 คน โดยศาลพิพากษาลงโทษ 15 คดี คิดเป็นร้อยละ 83.33 และยกฟ้องเพียง 3 คดี คิดเป็นร้อยละ 16.67

จะเห็นได้ว่าจากการติดตามจับกุมนำตัวผู้กระทำความผิด ส่งตัวฟ้องศาลตามกระบวนการขั้นตอนของกฎหมาย ตั้งแต่ปี 56 เป็นต้นมา ศาลได้มีคำสั่งยกฟ้องของคดีน้อยมาก ประมาณ 17% ซึ่งหากเปรียบเทียบกับการยกฟ้องของศาลสถิตยุติธรรมที่ผ่านมาสูงถึง 61%
จากสถิติดังกล่าวข้างต้นนั่นแสดงให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมของรัฐบาลไทย ได้ตัดสินคดีความที่มีความเที่ยงตรงเสมอภาคและมีความเท่าเทียม ไม่มีการแยกแยะ แบ่งแยกเชื้อชาติศาสนา การยกฟ้องเนื่องจากข้อมูลหลักฐานไม่เพียงพอ การตัดสินคดีด้วยการลงโทษของศาลนั่นย่อมแสดงให้เห็นว่าหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดต่อผู้กระทำความผิดได้


อย่างเช่นล่าสุด เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม เวลา 14.30 น. ศาลจังหวัดปัตตานี ได้อ่านคำพิพากษาตัดสินประหารชีวิตนายยัฟรี สารอเฮง อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 113 ม.3 ต.บือเร๊ะ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เลขคดีดำ 3465/57 และคดีแดง 2650/2558 เหตุเกิดพื้นที่อำเภอสายบุรี จ.ปัตตานี โดยนายยัฟรีฯ ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวได้ในพื้นที่กะพ้อ เมื่อปี 2557 ในข้อหาคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงร่วมกันฆ่าเจ้าพนักงานโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พยายามชิงทรัพย์และมีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง

ในส่วนตัวของผู้เขียนกับการที่ศาลยกฟ้องคดีน้อยลง และพิพากษาผู้กระทำความผิดให้รับโทษต้องติดคุก ติดตาราง หรือถึงขั้นประหารชีวิตสูงขึ้นนั้น มิได้เป็นการเขียนเพื่อจุดประสงค์ใดๆ ที่มีการแอบแฝง หรือสะใจที่สมาชิกกลุ่มขบวนการต้องถูกลงโทษ แต่เพื่อต้องการชี้ให้เห็นถึงการเรียกความศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรม และการบังคับใช้กฎหมายที่มีความศักดิ์สิทธิ์ของประชาชนกลับคืนมา และเป็นการป้องปรามยับยั้งชั่งใจไม่ให้ผู้ที่คิดร้ายลงมือทำการก่อเหตุ และต้องการสื่อให้เห็นจุดจบของผู้ที่ก่อเหตุสร้างสถานการณ์คือความตายหรือติดคุกสถานเดียวเท่านั้น

ปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่ากระแสการตอบรับการสร้างสันติสุขร่วมกันของทุกภาคส่วนค่อนข้างมาแรง การประณามการกระทำที่สุดโต่งต่อต้านการก่อเหตุของ ผกร. ได้เกิดขึ้นในวงกว้างอย่างไม่เคยมีมาก่อนทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเบนเข็มมุ่งไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้นในแทบจะทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน การพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน การพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ ที่สำคัญคือการอำนวยความยุติธรรมในการบังคับใช้กฎหมายที่เท่าเทียมและเสมอภาค ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่จะสร้างเงื่อนไขใหม่ให้เกิดขึ้นในพื้นที่
นับต่อจากนี้ไปการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐในการบังคับใช้กฎหมาย ทำการติดตามจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยจะมีความรัดกุมยิ่งขึ้น และที่สำคัญปฏิบัติภายใต้กรอบของกฎหมาย ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน นำกระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์ในการตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล (DNA) มาปรับใช้เพื่อความแม่นยำในกระบวนการชั้นสอบสวนเป็นหลักฐานในการส่งตัวฟ้องศาลเพื่อดำเนินคดี

การออกมากล่าวหาเจ้าหน้าที่จับผิดตัว หรือจับแพะจะไม่เกิดขึ้นอีก เนื่องจากการตรวจ DNA พิสูจน์ตัวบุคคล มีความน่าเชื่อถือ และมีมาตรฐานระดับ ISO เป็นที่ยอมรับของสากล และปัญหาการยกฟ้องเนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอของศาลจะหมดสิ้นไป ผู้ที่กระทำความผิดจะต้องได้รับโทษ ไม่ปล่อยให้ลอยนวลหวนกลับไปทำการก่อเหตุร้ายซ้ำอีก.....

------------------------------

8/27/2558

ขบวนการ BRN องค์กรแห่งความตลบตะแลง

ขบวนการ BRN องค์กรแห่งความตลบตะแลง
แบดิง โกตาบารู

ขบวนการ BRN เป็นองค์กรที่มักอ้างตนเสมอว่าเป็นนักต่อสู้เพื่อพี่น้องมลายูปาตานี หรือแม้กระทั่งเคยประกาศออกสื่อสาธารณะว่าขบวนการเป็นตัวแทนของประชาชน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ว่าชาวไทยพุทธหรือมุสลิม แต่ในความเป็นจริงไม่เคยถามพี่น้องประชาชนเลยสักคำว่าต้องการอะไร? และยินยอมเห็นด้วยกับขบวนการ BRN หรือไม่?  หรือแค่มโนไปเองเพียงเพื่อหาข้ออ้างในการมุ่งไปสู่ผลประโยชน์ของกลุ่มตน

หากย้อนมองพฤติกรรมที่ผ่านมาของขบวนการ BRN คงบอกได้คำเดียวอย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า การกระทำขององค์กรนี้เป็นการกระทำที่ สุดโต่ง และยังห่างไกลกับคำว่า "ทำเพื่อพี่น้องประชาชน" เป็นอย่างมาก  หรือแทบจะตรงกันข้ามกันเลยทีเดียว  ไม่ว่าจะเป็นการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของกลุ่มตน การสร้างความเดือดร้อนด้วยการขัดขวางการพัฒนาท้องถิ่น  เช่นการเผาโรงเรียน  เผาป้ายบอกทาง  เผาอาคารบ้านเรือนร้านค้าของประชาชน เผาทำลายเสาไฟฟ้า เสาสัญญาณโทรศัพท์ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ มีแต่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนแทบทั้งสิ้น


อย่างเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อกลางดึกของคืนวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา กลุ่มขบวนการโจรใต้ได้ทำการก่อเหตุสร้างความปั่นป่วนด้วยการลอบระเบิดเสาไฟฟ้าในพื้นที่อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส จำนวนหลายต้นส่งผลให้กระแสไฟฟ้าดับบางส่วน ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน เป้าหมายในการก่อเหตุดังกล่าวเพื่อหวังจะให้การจัดงานแข่งขันชกมวยไทยไฟต์  ซึ่งได้มีการจัดงานขึ้นเพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจเมืองสุไหงโก-ลก ให้มีอันต้องล้มเลิกไป แต่ผลกลับตรงกันข้ามประชาชนในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือชาวมาเลเซีย ไม่ได้มีความรู้สึกกลัวกับการกระทำดังกล่าวเลย  แถมยังแห่แหนเข้ามาชมมวยไทยไฟต์จนแน่นขนัดเกินความคาดหมายของผู้จัดเสียอีก  หากผู้ที่คิดแผนชั่วทำลายบรรยากาศงานวันดังกล่าวได้ดูจากการถ่ายทอดสดมวยไทยไฟต์ทางทีวีเชื่อเหลือเกินว่าคงต้องเจ็บใจจนนอนไม่หลับเป็นแน่แท้...

สุดท้ายเมื่อการกระทำไม่ประสบผล  ถ้าจะอ้างความรับผิดชอบก็คงจะต้องขายหน้าเป็นที่สุด   องค์กร BRN องค์กรแห่งความตลบตะแลงนี้ก็ปล่อยแผนการอันไร้ซึ่งศักดิ์ศรีอีกครั้ง  ด้วยการให้สมาชิกแนวร่วมขบวนการของตนเองทำการปล่อยข่าวลือในร้านน้ำชา แหล่งชุมชนว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของกลุ่มพูโล

ซึ่งในความเป็นจริงแล้วหากทำการศึกษายุทธวิธีในการก่อเหตุของ กลุ่มพูโล จะไม่เห็นด้วยอย่างที่สุดในการปฏิบัติการต่างๆ ที่จะส่งผลกระทบหรือสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนโดยทั่วไป หรือแม้แต่ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ เป้าหมายปฏิบัติการของกลุ่มพูโลนั้น  มีเพียงเจ้าหน้าที่รัฐที่ติดอาวุธเท่านั้น  และสิ่งนี้เป็นอุดมการณ์ของพูโลมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นถ้าใครทราบเรื่องนี้ดี  ย่อมไม่หลงเชื่อแผนชั่วกับการปล่อยข่าวลวงขององค์กร BRN อย่างแน่นอน

ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นแค่เศษเสี้ยวของความชั่วช้า สามาน ของกลุ่มขบวนการ BRN ที่ได้กระทำต่อพี่น้องมลายูปาตานีในหลากหลายรูปแบบ แต่กลับไม่สำนึกยังแอบอ้างเสมอว่าทำเพื่อพี่น้องมลายูปาตานี หรือแม้กระทั่งแอบอ้างเป็นตัวแทนทำการเคลื่อนไหวเพื่อประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นส่วนรวม พยายามยกตัวเองขึ้นเหนือกลุ่มอื่นๆ เพื่อแย่งชิงการเป็นองค์กรนำและมีบทบาทสำคัญต่อรองในเวทีการเจรจากับรัฐบาลไทย  เพียงหวังผลประโยชน์จากการเจรจา เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มตนโดยไม่คิดถึงชะตากรรมของประชาชนตามตามที่ได้ประกาศไว้

แล้วพวกเราในฐานะเจ้าของพื้นที่ตัวจริงที่จะต้องทนอยู่กับสภาวะแวดล้อมของสถานการณ์ ใช้ชีวิตประจำวันท่ามกลางเสียงปืน  เสี่ยงตายกับระเบิด จะยินยอมให้ขบวนการ BRN ซึ่งเป็นผู้ร้ายตัวจริงที่สร้างสถานการณ์เข่นฆ่าผู้คน แต่กลับแอบอ้างการกระทำเพื่อประชาชนในการเคลื่อนไหวอยู่อย่างนี้หรือ?  ขบวนการ BRN ไม่มีแม้แต่ความสัตย์หรือศักดิ์ศรี ไม่ว่าฝ่ายเดียวกันเองที่เคยร่วมอุดมการณ์ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน หรือแม้กระทั่งสมาชิกแนวร่วมกลุ่มขบวนการอื่นๆ ในขณะนี้  กลุ่มขบวนการ BRN ไม่เคยเห็นประชาชนอยู่ในสายตา ไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนมลายูปาตานีอย่างแท้จริง แต่หวังแค่ผลประโยชน์ทางการเมืองขององค์กรตัวเองเป็นหลักเท่านั้น  จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าหน้าตาของ 3 จชต. จะเป็นอย่างไร?  หากยังทำตามข้อเสนอเรียกร้องขององค์กรนี้อยู่แล้วอนาคตลูกหลานของเราในวันข้างหน้า....จะเป็นเช่นไร จะฝากชีวิตไว้กับขบวนการ BRN กระนั้นหรือ?

------------------------

8/26/2558

ใคร? คือผู้ทำให้ปอเนาะด่างพร้อย และเยาวชนต้องเปรอะเปื้อน

''อิมรอน"

เป็นที่ทราบกันดีว่า ประชากรส่วนใหญ่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้นับถือศาสนาอิสลาม ทุกครอบครัวนิยมที่จะส่งบุตรหลานให้เรียนศาสนาอิสลามตั้งแต่เยาว์วัย เพราะการศึกษาศาสนาถือเป็นการศึกษาภาคบังคับสำหรับมุสลิมทุกคน สถาบันศึกษาปอเนาะและโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามจึงมีบทบาทสำคัญในการให้การอบรมและขัดเกลาจิตใจของเยาวชนให้เป็นคนดี มีความรู้คู่คุณธรรม  


 ท่านผู้ชมครับ ขบวนการ BRN เลือกเป้าหมายที่ง่ายที่สุดในการดำเนินการคือ เด็ก เยาวชน ที่กำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชน โดยใช้ครูสอนศาสนา, อุสตาซ และเจ๊ะฆู ทำการปลูกฝัง ปลุกระดมแนวความคิดต่อต้านอำนาจรัฐ ซึ่งรูปแบบในการปลูกฝังให้เด็กเกลียดชังเจ้าหน้าที่วิธีหนึ่งที่มักจะได้ผลเสมอคือการเล่านิทานให้เด็กฟัง อย่างเช่นนิทานเรื่อง วอตอเป๊าะฮิญาหรือแอ๊ปเปิ้ลสีเขียว โดยเน้นให้มีทัศนคติ ความคิดต่อต้านเกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐ  ปลุกระดมให้เห็นว่าดินแดนที่เรียกว่าปาตานีแห่งนี้ถูกรุกรานและยึดครองโดยสยาม ชาวปาตานีถูกสยามกระทำย่ำยีอย่างทารุณ ส่งผลให้เด็กและเยาวชน มีความรู้สึกเคียดแค้นชิงชังต่อคนไทยหรือสยามอย่างเข้ากระดูกดำ ปรากฏการณ์แบบนี้พบได้จากการปฏิบัติการอย่างโหดเหี้ยม เช่น ฆ่าแล้วเผา การฆ่าตัดคอเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย 
  
แต่ในส่วนของผู้ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการศึกษาด้านศาสนา ต่างดาหน้าออกมาปกป้องกล่าวหาว่า ทำเกินกว่าเหตุ ไม่ให้เกียรติเคารพสถานที่ซึ่งเป็นที่ศึกษาด้านศาสนา และสถานศึกษาไม่ใช่สมรภูมิการสู้รบ

คำถามที่ว่า ใครคือผู้ที่ทำให้ปอเนาะต้องด่างพร้อย ใครคือผู้ที่กำลังละเลงสีอย่างเมามันทำให้เด็กและเยาวชนต้องเปรอะเปื้อน  ตอบคำถามข้อสงสัยได้ว่าครูสอนศาสนา, อุสตาซและเจ๊ะฆูบางคน ที่อยู่ภายใต้การสั่งการของขบวนการ BRN คือผู้สร้างและละเลงสีทำให้เด็ก เยาวชนต้องด่างพร้อย สิ่งที่ยืนยันผลงาน คือการแสดงออกของเด็กนักเรียนที่เป็นผลผลิตทางการศึกษาด้วยการขีดเขียนบนโต๊ะเรียน บอร์ดกระดานดำ ฝาผนัง และห้องน้ำ ด้วยข้อความที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งยังไม่นับรวมถึงการแสดงออกในสื่อสังคมออนไลน์ที่เด็กๆ เหล่านี้ได้เข้าถึง  อย่างเช่นโรงเรียนสอนศาสนาเอกชนโรงหนึ่งพื้นที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี บริเวณฝาผนังห้องน้ำ มีการเขียนข้อความภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ว่า นักรบฟาตอนีfathoni Darussalam” โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาชื่อดังในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ยังคงมีการแสดงออกของนักเรียนด้วยการขีดเขียนข้อความ “FATONI MERDIKA 30”(การปลดปล่อยรัฐปัตตานี) และข้อความ “RKK”ในสถานที่สาธารณะของโรงเรียนดังกล่าวจำนวนหลายจุดด้วยกัน  สถาบันปอเนาะในพื้นทีอำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส  นักเรียนซึ่งเป็นผลผลิตได้มีการเขียนในกระดาษข้อความภาษาไทยว่า นักรบฟาตอนีดารุสลามมีเครื่องหมายลูกศรชี้ไปที่คำว่า “RKK”และอีกข้อความ จาก RKK ดารุสลามนักรบฟาตอนีส่วนกระดาษอีกแผ่นมีการวาดรูปปืน และมีข้อความภาษาไทยทับศัพท์ว่า บาบีอายิงแปลว่า หมูหมานอกจากนี้บนแผ่นไม้ชั้นวางหนังสือเรียนในศาลาเอนกประสงค์ มีการเขียนข้อความเป็นภาษาไทยว่า กูรักฟาตอนีมีรูปสัญลักษณ์กริช และซองกริช โดยมีข้อความไว้บนซองกริชว่า ฟาตอนี”  สถาบันศึกษาปอเนาะ ในอำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส อีกแห่งหนึ่งมีการขีดเขียนข้อความด้วยปากกาที่โต๊ะภายในห้องเรียน, ห้องละหมาด ข้อความว่า กูเป็นนักรบฟาตอนี, กูฟาตอนี, RKK, ”  โรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชนบางแห่งยังตรวจพบว่าเป็นแหล่งพักพิง ซ่องสุมกำลัง ซุกซ่อนอาวุธปืน เป็นแหล่งประกอบวัตถุระเบิด รวมไปถึงฝึกปรือวิทยายุทธ์ก่อนจะออกทำการก่อเหตุสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่ และหลบหนีภายหลังการก่อเหตุ

ที่กล่าวมาข้างต้นชี้ให้เห็นแล้วว่าขบวนการ BRN ได้ใช้โรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชนบางแห่ง เป็นแหล่งบ่มเพาะของกลุ่มขบวนการ  และยังมีผู้บริหารของโรงเรียนบางแห่งเห็นแก่ได้มีการเบิกเงินอุดหนุนซ้ำซ้อน ทำธุรกิจทางการศึกษาโดยไม่ยอมพัฒนาคุณภาพทางด้านการศึกษาและคุณภาพชีวิตของเด็กเยาวชน  

-----------------------------------------

8/22/2558

เสียงเล็กๆ ของคนในพื้นที่...ต่อการแก้ไขปัญหาไฟใต้

เสียงเล็กๆ ของคนในพื้นที่...ต่อการแก้ไขปัญหาไฟใต้
แบดิง โกตาบารู


เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องจริง ของผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ระบายออกมาเป็นตัวอักษรแทนความรู้สึก...เป็นแค่เสียงเล็กๆ ไม่ได้มีอะไรที่แอบแฝงหรือหมกเม็ดต่อสิ่งที่ได้เขียน แต่ต้องการสะท้อนปัญหาที่แท้จริงให้ผู้ที่มีอำนาจได้ตัดสินใจ เป็นมุมมองอีกด้านหนึ่งในการแก้ปัญหาด้วยการคิดวิเคราะห์ด้วยข้อมูล ข้อเท็จจริง และที่สำคัญการดำเนินการแก้ปัญหาไฟใต้ได้ถูกทาง ไม่ต้องคลำทางเหมือนคนตาบอดดั่งเช่นที่ผ่านมา ผู้เขียนอยากให้ทุกท่านได้อ่านให้จบแล้วเราจะได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน...ลองมาอ่านดูกันครับ....

เมื่อไม่นานมานี้ผมเห็นผู้หลักผู้ใหญ่ท่านหนึ่งออกมาให้สัมภาษณ์ ว่าถ้าไทยทำตามข้อเรียกร้อง 7 ข้อ ของ "ฮัจยีสุหลง" และอีก 5 ข้อ ของ BRN ได้ ภาคใต้ก็จะสงบ  ผมอ่านแล้วถึงกับตกใจ เพราะเหตุผลที่ท่านนั้นยกมาไม่ว่าจะเรื่องข้อเรียกร้องหรือเหตุผลที่ทำให้
อาเจะห์สงบ  มาจากการโอนอ่อนผ่อนตามผู้ที่ต่อต้านรัฐ แล้วการเจรจาจึงจะดำเนินไปได้ด้วยดี  ผมก็เพิ่งเคยเห็นทฤษฎีนี้ครั้งแรกจริงๆ  ที่กล่าวว่าถ้าจะเจรจาต่อรองกับใครต้องยอมฝ่ายตรงข้ามก่อน เพราะโดยปกติแล้วผู้ที่เสนอขอเจรจาจะต้องเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ  หรือเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติของตนเพิ่มมากขึ้นต่างหาก 

ลองจินตนาการดูสิครับ  ถ้าคนตัวใหญ่เจรจากับคนตัวเล็กอะไรจะเกิดขึ้น  คนตัวเล็กก็ต้องยอมทุกข้อแม้ว่าจะเสียเปรียบอยู่เห็นๆ ก็ตาม    นั้นเป็นเพราะเค้าไม่สามารถต่อรองอะไรได้เลย  ซึ่งการเจรจาแบบนี้นำไปสู่ความเสียเปรียบของคนตัวเล็กอย่างแน่นอน  เพราะฉะนั้นในขณะที่การเจรจายังดำเนินอยู่  การบังคับใช้กฎหมายของรัฐก็ต้องกระทำควบคู่ไปด้วยครับ  จะปล่อยให้เกิดเป็นสุญญากาศ  ในพื้นที่ของความขัดแย้งนี้ไม่ได้เด็ดขาด  คนที่ทำผิดก็ต้องถูกไล่ล่าและนำตัวมาดำเนินคดีรับกรรมที่เค้าก่อต่อไป  แต่ถ้าใครที่ทำไปแล้วสำนึกได้ก็เชิญมามอบตัว  รัฐก็มีทางออกที่ผ่อนปรนกว่าการดำเนินคดีไว้รองรับอยู่หลายทางแล้วในขณะนี้ ยิ่งถ้าพูดถึงเรื่องอาเจะห์  ผมเชื่อว่าผู้ที่ติดตามสถานการณ์ของอาเจะห์ต้องทราบดีแน่นอน  ว่าที่อาเจะห์สงบลงได้ทุกวันนี้เป็นเพราะอะไร  อาจมีคนบอกว่าใช้หลักทางศาสนาแต่จริงๆแล้วไม่ใช่  เพราะอาเจะห์สงบก่อนที่จะเจรจาแล้ว  โดยสาเหตุสำคัญที่สุดที่เป็นจุดผกผันของกลุ่มต่อต้านเลย  ก็คือ ซึนามิครับ  

ซึ่งแม้แต่กลุ่มต่อต้านและรัฐบาลอินโดนีเซียก็เห็นตรงกันในเรื่องนี้   เพราะเหตุการณ์ซึนามิในครั้งนั้น  สร้างความเสียหายให้กับ อาเจะห์เป็นอย่างมากจนไม่สามารถพื้นตัวได้ด้วยตนเอง  ทำให้กองกำลังติดอาวุธต้องยอมจำนนเจรจาสงบศึกกับรัฐบาลอินโดนีเซียในที่สุด เพื่อรับการช่วยเหลือจากภายนอกนั้นเอง

ผมใช้ชีวิตใน จชต. มาหลายสิบปีแล้ว  จนกระทั้งบัดนี้ผมยังไม่ทราบเลยว่า แท้จริงแล้วรัฐเอาเปรียบคนมุสลิมหรือคนมุสลิมเอาเปรียบกันเองกันแน่ อย่างหนึ่งที่รัฐต้องยอมรับในความผิดพลาดในอดีตก็คือ เมื่อสมัยก่อนพื้นที่ จชต.เป็นพื้นที่ที่รัฐมักจะโยกย้ายข้าราชการที่ทำผิดจากที่อื่นให้มาอยู่ที่นี่ นั้นเป็นเพราะว่าพื้นที่ จชต.นี้ ไม่มีใครอยากมาทำงาน  ยกเว้นแต่คนที่มีภูมิลำเนาอยู่ที่นี่นั้นเอง แต่ปัญหานี้ในปัจจุบันผมไม่เห็นว่ามันจะมีอีกแล้ว หนำซ้ำข้าราชการที่มีความสามารถและต้องการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาของชาติกลับอยากมาทำงานที่นี่มากขึ้น

แต่หากมองในมุมของคนมุสลิมด้วยกันแล้ว  คนมุสลิมที่อยู่ในเมืองหรือคนพอมีฐานะ ก็จะส่งให้ลูกหลานได้เรียนสูงๆ ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็จะไม่ได้รู้สึกถูกเอาเปรียบมากมายนัก เพราะเค้าสามารถทำอะไรได้เหมือนคนอื่นๆทั่วประเทศ แต่คนมุสลิมที่อยู่ในชนบทนั้น ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยสนใจเรื่องการศึกษาสายสามัญเท่าไรนัก ยิ่งมีกลุ่มก่อความไม่สงบพยายามยุแหย่อีกว่า อย่าไปเรียนโรงเรียนรัฐนะมันบาป มันจะทำลายอัตลักษณ์ของเรา  มันพยายามกลืนชาติของเรา  ก็ยิ่งทำให้คนกลุ่มนี้ไม่อยากจะไปเรียนกันมากขึ้นไปอีก  หนักไปกว่านั้นมีถึงขั้นการปล่อยข่าวว่า "การหยอดยาปอริโอ คือการทำหมันคนมุสลิม" ก็ไม่มีใครไปหยอด.....สุดท้ายคนที่ลำบากก็คือคนในชนบทนั้นเอง

เมื่อเกิดความเดือดร้อนก็เป็นช่องว่างให้ผู้ไม่หวังดีมาชักจูงได้ง่ายเข้าไปอีก ว่ารัฐเค้าไม่รับคนมุสลิมหรอกเค้ารับแต่คนพุทธเป็นข้าราชการ  ทั้งๆที่ไม่ได้มองว่าแท้จริงแล้วตนให้ความสำคัญกับการศึกษาหรือไม่  หรือจบทางด้านไหนมา  ซึ่งนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนในชนบทเรียนแต่ศาสนาแล้วก็หางานทำตามมีตามเกิดไม่สามารถเข้ารับราชการได้เลย ยิ่งถ้าสังเกตเหตุการณ์ที่ผ่านมาจะเห็นว่าเป้าหมายที่โจรใต้ต้องการมากที่สุดก็คือครูสายสามัญนี่เอง เพราะสิ่งที่องค์กรพวกนี้กลัวที่สุดคือ "ประชาชนของที่นี่มีการศึกษา"  และ "การพัฒนาที่เข้าถึงชนบท" เพราะจะทำให้แนวคิดหัวรุนแรงและไร้เหตุผลสูญพันธุ์ไปในที่สุด  

ผมจึงอยากขอร้องให้กระทรวงศึกษาได้เห็นความสำคัญของการแก้ปัญหาในจุดนี้ด้วยครับ อย่าปล่อยให้เจ้าหน้าที่ความมั่นคงแก้ไขอยู่ฝ่ายเดียว ยิ่งโรงเรียนปอเนาะที่ผุดขึ้นมาเหมือนดอกเห็ด ก็ไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งไม่ดี แต่มีใครสามารถความคุมมาตรฐานได้หรือไม่ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าจุดเริ่มต้น ของคนหัวรุนแรงใน จชต. ก็ถูกกล่อมเกลามาจากสถาบันลักษณะนี้ทั้งสิ้น แม้ว่าปอเนาะส่วนใหญ่จะสอนตามแนวทางศาสนาที่ถูกต้องแล้วก็ตามแต่มันไม่ใช่ทุกแห่งเสมอไป

มามองในแง่ของเศรษฐกิจกันบ้าง เหมือนว่ามีคนพยายามเรียกร้องว่าเงินภาษีที่จัดเก็บได้ในสาม จชต. ต้องใช้ใน จชต.เท่านั้น ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าข้อนี้จะเป็นประโยชน์กับคน จชต.จริงหรือไม่ เพราะลองพิจารณาดูดีๆ สิครับ เงินภาษีที่เก็บได้ของ จชต. ส่วนหลักๆ ก็น่าจะมาจากการนำเข้าและส่งออกสินค้าใช่หรือไม่ครับ แต่ลองย้อนถามกลับไปว่าแล้วผู้บริโภคหรือผู้ผลิตสินค้านำเข้าส่งออกนั้นอยู่ใน จชต.หรือไม่ครับ  ถ้าเป็นอย่างนั้น  รายได้ของภาษีที่จัดเก็บได้  ก็ไม่ได้เกิดจาก จชต. เป็นหลัก แต่เกิดจากอีกหลายพื้นที่สนับสนุนกันใช่หรือไม่  และถ้ามองไปที่ภาษีท้องถิ่น ทุกวันนี้ภาษีท้องถิ่นก็ใช้จ่ายอยู่ที่ อบต. และ อบจ.ใช่หรือไม่  แล้วนายกอบจ. นายก อบต.มาจากไหน  มาจากภูมิภาคอื่นหรือไม่  ก็เป็นคนมุสลิมในพื้นที่นั้นๆเอง 

ผมไม่แน่ใจว่าเคยมีพี่น้องตามชนบทเคยสนใจหรือไม่ว่าที่ อบต.ของตนเองมีงบให้พัฒนาแต่ละปีรวมแล้วเป็นเงินเท่าไหร่  และมีโครงการจะทำอะไรบ้าง  แล้วดำเนินการแล้วหรือไม่   ผมเชื่อว่าคนชนบทใน จชต.ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ครับ  จะด้วยว่าไม่ทราบหรือกลัวก็เป็นได้  แต่สุดท้ายกลุ่มผู้ไม่หวังดีก็จะบอกว่าที่บ้านเราไม่พัฒนาเพราะรัฐเห็นว่าเราเป็นมุสลิมจึงไม่ยอมให้เงินมาพัฒนา ซึ่งคำถามที่ถูกต้องควรถามว่า ปีหนึ่งๆ รัฐให้เงินมาพัฒนาเท่าไหร่  และเงินมันไปไหนหมดต่างหากครับ    เพราะการจัดสรรงบประมาณของภาครัฐ   ไม่ได้นำเรื่องศาสนามาเกี่ยวข้องอยู่แล้ว ไม่ว่าจะศาสนาใดก็มีความเป็นคนเท่าเทียมกันทั้งนั้น หรือถ้าจะมองเรื่องภาษีเงินได้บุคคลที่จัดเก็บเข้าส่วนกลาง  ผมเชื่อว่าทุกวันนี้ พื้นที่ จชต. ได้งบประมาณมาพัฒนามากกว่าที่จัดเก็บภาษีเงินได้จากคนที่นี่อย่างแน่นอน  แต่ถ้าจะบอกว่าเงินที่จัดเก็บจากที่นี่ต้องอยู่ที่นี่  แต่ถ้ารัฐจะให้เพิ่มก็ดี  ผมคิดว่าความคิดแบบนี้เป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวอย่างมากๆ เลยล่ะหรือว่าไม่จริง  

นี่ยังไม่รวมถึงเมื่อยามมีอุทกภัยหรือวาตภัย  ซึ่งในพื้นที่ จชต.มักจะเกิดพร้อมๆ กัน  แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น  ใครละครับที่จะช่วยได้ถ้าไม่ใช้จากภูมิภาคอื่นๆ  ในเมื่อความเสียหายเกิดขึ้นทั่วทั้ง จชต. พืชผลการเกษตรก็เสียหายหมด และอีกหลายๆคนอาจจะไม่ทราบว่าใน จชต.ยังมีเงินที่ต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศมุสลิมด้วยกัน บริจาคมาเพื่อบำรุงศาสนารวมๆอีกเป็นหลายล้านต่อปี  ซึ่งก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเงินเหล่านั้นได้นำไปใช้ในทางที่ถูกต้องตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้ให้หรือไม่อย่างไร.....

ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นอีกหนึ่งเสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งของคน จชต. 
ที่อยากให้คนไทยอยู่ด้วยกัน อย่างพหุวัฒนธรรม การอยู่ร่วมกันของคนหลากหลายเชื้อชาติ ศาสนา ไม่ว่าพุทธ คริสต์ หรือมุสลิม หรือศาสนาใดก็ตามแต่ ผู้เขียนอยากให้ท่านผู้อ่านมองปัญหาใน จชต.
อย่างมีเหตุมีผลครับ....
------------------------

8/21/2558

DNA…พิสูจน์ความจริง...หนทางสู่ใต้สันติสุข

DNA…พิสูจน์ความจริง...หนทางสู่ใต้สันติสุข
อิมรอน




เป็นที่ทราบกันดีว่าพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดเหตุความไม่สงบอยู่บ่อยครั้ง การจะนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน แต่จะต้องยึดหลักความยุติธรรมเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ซึ่งต้องตอบคำถามของสังคมได้อย่างไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัย หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์จึงมีความจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการตรวจ DNA

ที่ผ่านมากลุ่มภาคประชาสังคมยื่นหนังสือให้หน่วยงานความมั่นคงชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นใน 2 ประเด็น กล่าวคือ การตรวจ DNA โดยมิชอบ การใช้กฎหมายโดยไม่สุจริต และการโจมตีใส่ร้ายป้ายสี กล่าวหาอย่างเสียหายในสื่อสังคมออนไลน์ และกลุ่มสหพันธ์นิสิตนักศึกษา เยาวชน และประชาชนทั่วไป ล้วนตั้งข้อสงสัยถึงการปฏิบัติของภาครัฐต่อประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

ท่านผู้ชมครับ ข้อมูลสถิติความมั่นคงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ถึงวันที่ 31 พ.ค.2558  ซึ่งเป็นตัวชี้วัดของการส่งตัวผู้ต้องหาดำเนินคดีในชั้นพนักงานสอบสวน ชั้นอัยการ และชั้นศาล คดีที่เกิดขึ้นทั้งหมดซึ่งเป็นคดีอาญามีมากถึง 163,085 คดี แยกเป็นคดีความมั่นคงที่ 9,933 คดี ในจำนวนนี้ไม่รู้ตัวผู้กระทำผิด  7,634 คดี เจ้าหน้าที่รู้ตัวผู้กระทำผิด 2,299 คดี ในชั้นพนักงานสอบสวนส่งฟ้อง 1,904 คดี ชั้นอัยการส่งฟ้อง 827 คดี แต่เมื่อเข้าสู่การพิจารณาชั้นศาลได้ยกฟ้อง 431 คดี คิดเป็นร้อยละ 60.79  จะเห็นได้ว่าหลักฐานไม่แน่นหนาพอ ผู้ที่ถูกดำเนินคดีจะได้รับการยกฟ้องซึ่งมีจำนวนสูงมาก

ท่านผู้ชมครับ คำถามที่ว่าการเก็บ DNA ของบุคคลของเจ้าหน้าที่นั้นกระทำได้หรือไม่  อย่างไร  และมีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด  การตรวจ DNA ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้  เป็นที่ถกเถียงของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายเจ้าหน้าที่บอกว่ากระทำได้ ฝ่ายที่ถูกกระทำออกมาเคลื่อนไหวกล่าวหาว่าเป็นการละเมิด

ที่ผ่านมา ในทางปฏิบัติเจ้าหน้าที่รัฐจะต้องปฏิบัติภายใต้กรอบของกฎหมาย โดยจะต้องคำนึงถึงหลักสัดส่วนของกฎหมายมหาชน กล่าวคือ ชั่งน้ำหนักการคุ้มครองสิทธิของประชาชน กับอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนให้อยู่ในระดับพอดี ซึ่งพื้นที่ จชต. เหตุการณ์ความไม่สงบได้เกิดขึ้นเป็นวงกว้าง เจ้าหน้าที่รัฐจึงจำเป็นต้องใช้มาตรการในการป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่เข้มข้นมากกว่าปกติ อาจไปกระทบสิทธิของประชาชนบ้างแต่ก็ใช้อย่างระมัดระวัง เช่นการตรวจเก็บ DNA บุคคลหรือการไม่ได้รับความสะดวกในการตรวจค้น

          ท่านผู้ชมครับ อำนาจในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่มาจากไหน? ก็มาจากกฎหมายปกติ คือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความซึ่งบังคับใช้ทั่วประเทศอยู่แล้ว ในมาตรา 17 กล่าวคือ พนักงานฝ่ายปกครองหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน และเพื่อจะทราบรายละเอียดแห่งความผิดหลังเกิดเหตุ ดังนั้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชนนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถใช้อำนาจดังกล่าวได้ แต่อาจไปกระทบสิทธิของบุคคลบ้าง ต้องสมเหตุสมผล ไม่ใช่การที่เจ้าหน้าที่รัฐลุแก่อำนาจ ไปจับตัวใครก็ได้มาทำประวัติตรวจ DNA โดยไม่มีเหตุผล

          เจ้าหน้าที่อาจมีการใช้กฎหมายมาตรา 131/1 ป.วิ.อาญา ซึ่งเป็นการใช้อำนาจของพนักงานสอบสวน ที่จะต้องปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหา หากผู้ต้องหาไม่ยินยอมให้ตรวจ DNA ให้สันนิษฐาน ว่าผลเป็นไปตามที่ตรวจพิสูจน์ คือเป็นผลร้ายต่อผู้ต้องหา ซึ่งจะเห็นได้ว่า มาตรา 17 เป็นเรื่องของการรักษาความสงบเรียบร้อย (ก่อนเกิดเหตุ) ส่วนมาตรา 131/1 เป็นเรื่องของการสอบสวน(หลังเกิดเหตุ)

การเก็บ DNA ไว้ในฐานข้อมูลเป็นสิ่งที่ดี แม้กระทั่งภาครัฐเองได้ร่วมกับศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 สำนักงานตำรวจแห่งชาติทำการเก็บ DNA เจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะอาสาสมัครทหารพราน อาสาสมัครรักษาดินแดนและอื่นๆ รวมทั้งการจัดเก็บหลักฐานจากอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ทุกกระบอกไว้เป็นหลักฐาน การที่ภาครัฐจัดเก็บข้อมูล ดีเอ็นเอของเจ้าหน้าที่เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นมา หรือบางเหตุการณ์ที่มีการกล่าวหาว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 สามารถตรวจสอบได้ทันทีว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ หรือใครเป็นผู้กระทำ

สิ่งที่เคลือบแคลงสงสัย  โดยเฉพาะการเก็บ DNA ของญาติผู้ต้องสงสัยตามกระบวนการทางกฎหมาย และประโยชน์ของ DNA ตามที่กล่าวมา  คงจะสามารถลดความหวาดระแวงซึ่งกันและกันได้แล้วนะครับ  ดังนั้นผู้ที่ ถูกตรวจ DNA ทั้งๆ ที่มิได้กระทำความผิดก็สบายใจได้แล้ว หากท่านไม่ผิดใครก็ไม่สามารถยัดเหยียดความผิดให้ท่านได้  หรือใครคือผู้สร้างความเดือดร้อน สร้างความเสียหายทั้งต่อชีวิตทรัพย์สินในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็จะสามารถตรวจสอบได้จากฐานข้อมูล DNA
----------------------------------------------------



8/04/2558

เบื้องหลัง ‘เด็ดหัวโจรใต้’ คาห้องลับที่บาตง

เบื้องหลัง เด็ดหัวโจรใต้ คาห้องลับที่บาตง.....


แบดิง โกตาบารู


จะมีใครจะสักกี่คนรู้บ้างว่าในยามดึกดื่นค่ำคืนที่ทุกคนกำลังหลับใหลอย่างมีความสุข แต่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ปลายด้ามขวานของไทยเรา เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ อาสาสมัครรักษาดินแดน และอาสาสมัครทหารพรานต้องข่มตาหลับขับตานอนปฏิบัติหน้าที่อย่างมิย่อท้อ ฝนจะตกแดดจะออกอย่างไรไม่เคยปริปากบ่น ต้องเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกปักษ์รักษาผืนแผ่นดินไทย

การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นการติดตามจับกุม ตรวจค้น หรือเชิญตัวผู้ต้องสงสัยอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย มีความชอบธรรมในการปฏิบัติแต่ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ที่ผ่านมาการประกาศใช้กฎหมายพิเศษไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ เลยต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชน มีการอะลุ่มอล่วยยกเว้นไม่ได้มีการเข้มงวดกวดขันให้คนทั่วไปต้องเดือดร้อน 


จุดจบโจรใต้ที่บาตง..ชายชุดดำในคลิปดัง

การติดตามจับกุมผู้กระทำผิดยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และในค่ำคืนของวันที่ 2 สิงหาคม 2558 ก็เป็นอีกคืนหนึ่งที่ทีมงานไล่ล่าโจรใต้ได้รวมตัวเฉพาะกิจ หลังสืบทราบว่า นายมะซูการีนอ ยะกูมอ ซึ่งเป็น ผกร. ระดับหัวหน้า kompi มีดีกรีความชั่วร้าย 9 หมาย ป.วิอาญา เป็นเครื่องหมายการันตี ได้เข้ามาหลบซ่อนตัวในพื้นที่ ตำบลบาตง อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส

ผู้เขียนได้รับข้อมูลบอกเล่าจากแหล่งข่าววงใน ได้แฉเบื้องหลัง เด็ดหัวโจรใต้คาห้องลับที่บาตง มาเล่าสู่กันฟัง ผู้เขียนหลับตานึกภาพตามในขณะรับฟังจากคำบอกเล่า

ขอพาท่านผู้อ่านย้อนกลับไปนึกภาพ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 30 ถูกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงระดมยิงบริเวณสามแยกบาตง นั่นคือจุดเริ่มต้นของการติดตามจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยในเวลาต่อมา
ความยากลำบากในการสืบหาตัวผู้กระทำผิด การรวบรวมข้อมูล พยานหลักฐาน และวิเคราะห์ความเชื่อมโยงจากความเคลื่อนไหวนำไปสู่การกำหนดตัวคนร้ายจะต้องมีความแม่นยำ หากพลาดพลั่งมานั่นหมายถึงคุกตะราง และถูกองค์กรภาคประชาสังคมโจมตีนำไปขยายผลเรียกร้องยังองค์กรระหว่างประเทศ

เมื่อข้อมูลชัดเจนการวางแผนในการเข้าทำการติดตามจับกุมจึงเริ่มขึ้น ซึ่งมีการวางแผนกันยังสถานที่แห่งหนึ่งนอกพื้นที่อำเภอรือเสาะ เพื่อเข้าพิสูจน์ทราบต่อเป้าหมายดังกล่าวในทันที โดยการปฏิบัติการในครั้งนี้ได้มีการสนธิกำลังจากหลายๆ ฝ่ายร่วมกัน

เมื่อทุกอย่างพร้อม วันนัดหมายมาถึงในค่ำคืนวันที่ 2 สิงหาคม 2558 ชุดไล่ล่าโจรใต้ฟาตอนีได้เคลื่อนเข้าพื้นที่เป้าหมายอย่างเงียบเชียบ ทุกคนต่างไม่รู้ว่าจะเจอะเจออะไร และเกิดอะไรขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า หรือในใจหลายคนต่างคิด หากเกิดการปะทะซุ่มโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามจะเอาชีวิตรอดกลับไปหาลูกเมียและครอบครัวหรือไม่?

จุดหมายปลายทางที่ทุกคนกำลังมุ่งหน้าไป และได้รับรู้จากปาก ผบ.เหตุการณ์ คือพื้นที่หมู่ที่ 3 ตำบลบาตง อำเภอรือเสาะ ซึ่งจะต้องเข้า 2 ที่หมายด้วยกัน กับการใช้กำลัง 3 ชุดปฏิบัติการพิเศษ ผบ.เหตุการณ์ เป็นผู้ควบคุมการปฏิบัติการด้วยตนเอง โดยมีหน่วยกำลังในพื้นที่นำทาง และ ควบคุมเส้นทางเข้าออกหมู่บ้านเป้าหมาย เพื่อให้ชุดปฏิบัติการพิเศษเข้าไปพิสูจน์ตามที่มีการวางแผนกันไว้

แต่แล้วการเดินทางของชุดไล่ล่าโจรใต้ฟาตอนีจะต้องหยุดชงักลง หลายคนในทีมสงสัย มีการยกเลิก การเข้าพิสูจน์ทราบ 2 ที่หมายในพื้นที่ หมู่ 3 ผบ.เหตุการณ์สั่งปรับแผนให้เข้าปฏิบัติการในพื้นที่หมู่ 5 แทน โดยเจาะจงบ้านภรรยาของ นายมะซูการือนอ ยะกูมอ แทน ในเมื่อ ผบ.เหตุการณ์ สั่งทุกคนจึงเปลี่ยนเป้าหมายในการเดินทางในค่ำคืนนี้กันใหม่

กว่าจะมาถึงที่หมายค่อนรุ่งของวันใหม่ทำเอาอ่อนล้า แต่ทุกคนไม่ท้อถอย มีการจัดวางกำลังบล็อกพื้นที่โดยรอบบริเวณบ้านเป้าหมาย ส่วนรอบนอกมีการวางกำลังควบคุมเส้นทางเข้าออกหมู่บ้าน

ท่ามกลางความเงียบสงัดของค่ำคืน ผบ.เหตุการณ์ ได้สั่งให้ไปเชิญบุคคลที่กำลังหลับไหลอยู่ภายในบ้านหลังดังกล่าวทั้งหมดออกมา พร้อมทำการชี้แจงอธิบายเหตุผลถึงความจำเป็นในการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อใช้กำลังเข้าพิสูจน์ทราบ เนื่องจากมีเบาะแสมาว่า นายมะซูการือนอ ยะกูมอ ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับ ป.วิอาญา 9 หมาย มาหลบซ่อนพักพิงอยู่ในบ้านหลังนี้

ยังไม่ทันที่มีการชี้แจงเสร็จสิ้น ทั้งภรรยา และพ่อตานายมะซูการือนอฯ รีบชิงปฏิเสธเจ้าหน้าที่ในทันทีทันใดว่า นายมะซูการือนอฯ ไม่ได้มาพักอาศัยในบ้านหลังดังกล่าว

ในเมื่อดั้นด้นมาถึงขนาดนี้แล้ว ต้องอดหลับอดนอนและใกล้จะสว่างเต็มที เพื่อความบริสุทธิ์ใจ เจ้าหน้าที่จึงขอให้ภรรยา นายมะซูการือนอฯ พาเข้าไปทำการตรวจดูภายในบ้าน เพื่อพิสูจน์ความจริงให้เห็นกับตา ตรวจค้นอย่างละเอียดกลับไม่เจออะไรที่ผิดปกติ ตามที่บุคคลในบ้านได้กล่าวไว้ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ขอเข้าไปอีกครั้งซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่ก็คว้าน้ำเหลวเหมือนเช่นในครั้งแรก

ในขณะที่ทุกคนท้อและสิ้นหวังอยู่นั้น ผบ.เหตุการณ์ ได้ให้กำลังใจกับทุกคน และ ยังมีความเชื่อมั่นว่าเป้าหมายยังคงหลบซ่อนตัวอยู่ภายในบริเวณบ้าน....

เมื่อ ผบ.เหตุการณ์ ฟันธงเช่นนั้นมีหรือลูกทีมชุดไล่ล่าโจรใต้ฟาตอนีจะไม่เอาด้วย และจะใช้การเจรจาให้เป้าหมายออกมามอบตัวเป็นหลัก ในกระบวนการนี้ผู้ที่สมควรเข้ามามีส่วนร่วมในการพูดคุย คงหนีไม่พ้นผู้นำศาสนา และผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่จะต้องมาเกลี่ยกล่อมให้เป้าหมายออกมามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ให้ได้ เพื่อลดระดับความรุนแรงหาทางออกด้วยแนวทางสันติวิธี...

เพียงไม่กี่นาที โต๊ะอิหม่าม และผู้ใหญ่บ้านก็มาถึงยังบริเวณบ้านหลังดังกล่าว กระบวนการเกลี่ยกล่อมให้บุคคลเป้าหมายที่หลบซ่อนตัวอยู่ภายในบ้านให้ยินยอมออกมามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ก็ดำเนินไป แต่กลับไร้ผลไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ทั้งสิ้นมาจากภายในบ้าน...

เหลือบมองนาฬิกาที่ข้อมือ เวลาผ่านไปช่างรวดเร็วเกือบใกล้รุ่งสางของวันใหม่ ในที่สุดเจ้าหน้าที่ต้องเล่นบทบาทเข้าไปตรวจค้นอีกครั้งหนึ่งโดยมี พ่อตานายมะซูการือนอฯ พร้อมด้วย โต๊ะอิหม่าม และผู้ใหญ่บ้าน ร่วมเข้าไปตรวจสอบด้วยกัน...

การตรวจค้นยังคงดำเนินต่อไป แต่ยังคงไร้วี่แววตัวตน นายมะซูการือนอฯ แม้กระทั่งบ้านชั้นบน ซึ่งเป็นห้องนอนของนายมะซูการือนอฯ ซึ่งมีห้องน้ำส่วนตัว ก็ยังไม่พบสิ้งผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้น...

ตรวจอย่างละเอียดเท่าไหร่ก็ไมพบบุคคลเป้าหมาย ในขณะที่ทุกคนกำลังสิ้นหวัง บังเอิญเป็นเพราะความช่างสังเกตของสมาชิกทีมไล่ล่าโจรใต้ฟาตอนี ได้เหลือบไปเห็นเห็นถังน้ำหน้าห้องน้ำมีก๊อกน้ำต่อไว้ แต่ในถังกลับไม่มีน้ำสักหยดเดียว นำมาซึ่งความสงสัย จึงให้พ่อตา นายมะซูการือนอฯ เข้าไปขยับถังน้ำดังกล่าวดู...

และในทันทีที่มีการขยับถังน้ำดังกล่าว เสียงปืนนัดแรกได้แผดก้องขึ้นแทรกความเงียบสงบของค่ำคืน และต่อด้วยนัดสองนัดสาม ส่งผลให้พ่อตา นายมะซูการือนอฯ และเจ้าหน้าที่ ซึ่งอยู่บริเวณนั้นได้ผละออกจากบริเวณนั้นทันทีเข้าที่กำบังเพื่อความปลอดภัย

นายมะซูการือนอฯ ที่หลบซ่อนตัวอยู่ในห้องลับได้ทำการยิงเบิกทางเพื่อทำการหลบหนี ใช้จังหวะที่เจ้าหน้าที่กำลังชุลมุน ออกมาจากห้องลับ แล้วทำการยิงใส่เจ้าหน้าที่ซ้ำอีกระลอก กระสุนไปถูกโล่เจ้าหน้าที่ที่กำลังถืออยู่ กระสุนได้แฉลบไปถูกขาจนได้รับบาดเจ็บ...

เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ การปะทะจึงเกิดขึ้น ปรากฏว่า นายมะซูการือนอฯ รีบหนีลงไปหลบซ่อนตัวในห้องลับอีกครั้งหนึ่ง

ในวินาทีนี้อาวุธปืนนานาชนิดได้ระดมยิงเข้าใส่ภายในห้องลับหลายสิบนัดตรงปากทางเข้า แต่กระนั้นเจ้าหน้าที่ยังไม่มั่นใจว่า นายมะซูการือนอฯ ถูกกระสุนปืนดังกล่าวหรือไม่ เพื่อความปลอดภัย จึงได้ขว้าง flash bank และ แก๊สน้ำตาเข้าใส่จนกระทั่ง นายมะซูการือนอฯ หนีดิ้นทุรนทุรายออกมาจากห้องลับ และได้จบชีวิตลงตามข่าวสารที่ได้มีการนำเสนอของสื่อมวลชนทุกแขนงในเวลาต่อมา

ยุทธวิธีที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่พยายามหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง หันมาใช้แนวทางสันติวิธี...ลดการใช้กำลังใช้หลักการเจรจาเป็นสำคัญ ซึ่งปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในทุกระดับการพูดคุยเท่านั้นที่จะสร้างความเข้าใจและหาทางออกของปัญหาร่วมกัน อันจะนำไปสู่กระบวนการสร้างสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้...

นายดาโอ๊ะ หรือหะยีดาโอ๊ะ ท่าน้ำ อดีตแกนนำขบวนการพูโลใหม่ที่กำลังจะได้รับการพักโทษเพื่อกลับมาใช้ชีวิตกับครอบครัวในวัยชรา ได้กล่าวว่า กระบวนการพูดคุยสันติสุขจะสำเร็จในช่วงรัฐบาลนี้ โดยเขาเห็นด้วยกับการพูดคุย เพราะเป็นวิธีที่จะทำให้ปัญหายุติลงได้

ส่วนนายมะแอ สะอะ หรือ หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ อดีตแกนนำพูโล ที่ได้รับการพักโทษและได้รับอิสรภาพไปแล้ว เมื่อวันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม 2558 ซึ่งตรงกับวันฮารีรายอ อีฎิ้ลฟิตริ กล่าวว่า เชื่อมั่นที่รัฐบาลได้แสดงให้เห็นถึงความจริงใจในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในแนวทางสันติวิธี และการสร้างบรรยากาศของการพูดคุยเพื่อสันติสุข

ผู้ที่กระทำผิด หากสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี สังคมย่อมให้อภัยดั่งเช่นหะยีสะมะแอ ท่าน้ำและ หะยีดาโอ๊ะ ท่าน้ำ ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต้องโทษในเรือนจำ สุดท้ายได้รับการพักโทษกลับมาพัฒนาถิ่นเกิด

การต่อสู้ตามแนวทางสันติ...หันหน้ามาพูดคุย...หยุดใช้ความรุนแรง ผู้ที่หลงผิดสามารถเข้าร่วม โครงการพาคนกลับบ้าน รายงานตัวแสดงตนต่อเจ้าหน้าที่รัฐใกล้บ้าน เพื่อกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุขกับครอบครัว ดีกว่าถือปืนใช้ความรุนแรงในการต่อสู้....มีแต่ตายสถานเดียว...

เป็นอันว่าภารกิจชุดไล่ล่าโจรใต้ฟาตอนีในค่ำคืนนี้ได้จบสิ้นลงบนความสูญเสียที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ต้องได้รับบาดเจ็บ 1 นาย ส่วน นายมะซูการือนอฯ ถูกจับตาย ในความเป็นจริงแล้วต้องการจับเป็นเพื่อส่งตัวดำเนินคดีตามกฎหมายเท่านั้น เหตุการณ์เช่นนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย หากนายมะซูการือนอฯ เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตั้งแต่แรก จุดจบแบบนี้ใครๆ ต่างไม่อยากให้เกิดขึ้น และที่สำคัญครอบครัวไม่ต้องมาเสียใจกับการจากไปของบุคคลอันเป็นที่รัก...อย่างไม่มีวันหวนกลับ......

---------------------------

8/01/2558

ความลับ“กวีผีวาร์ตานี” เชื่อมโยงใบปลิว “ดราม่าหลังรอมฎอน”อย่างไร?

แบดิง โกตาบารู

เพจ: แสงสว่างที่ ปาตานี เพจแนวร่วมขบวนการโจรใต้ได้มีการโพสต์ภาพใบปลิวและข้อความ เนื้อหาพบใบปลิวปริศนาปลิวว่อนทั่วปาตานี โดยเมื่อตอนเช้าของวันที่31/7/58 ได้มีผู้พบเห็นใบปลิวพาดหัวว่า..ดราม่าหลังรอมฎอน..มีใจความเปรียบเทียบการกระทำที่ไม่เป็นธรรม กรณีที่พระภิกษุสงฆ์ได้เสียชีวิตในเหตุการณ์ระเบิดที่สายบุรี และทุกคนออกมาประณามแต่ทำไม พอโต๊ะอิหม่ามและชาวบ้านมาลายูเสียชีวิตเป็นการกระทำของเจ้าหน้าทีรัฐ ไม่มีใครออกมาประณาม..นี่เป็นส่วนหนึ่งในข้อความใบปลิว นี่คือการสื่อสารอะไรบางอย่างของผู้เห็นต่าง ว่าวันนี้ความยุติธรรมความเท่าเทียมไม่มีให้คนปาตานี นี่อาจเป็นสัญญาณที่ส่งไปในการพูดคุยที่รัฐกำลังทำอยู่ในขณะนี้...การพูดคุยต้องเท่าเทียมทั้งสองฝ่าย

ขณะเดียวกันสำนักสื่อ Wartani ได้มีการนำเสนอ กวีวาร์ตานี|ตอน : อัฟเตอร์ช๊อกที่สายบุรี โดยอับดุลเลาะ วันอะฮ์หมัด ผู้ปฏิบัติงาน สำนักพิมพ์อาวานบุ๊ค เนื้อหาไม่ได้มีความแตกต่างจากใบปลิวที่เพจ: แสงสว่างที่ ปาตานี นำเสนอ ซึ่งเป็นไปได้ว่าการสร้างความเคลือบแคลงใจ มีการวางแผนไปในทิศทงเดียวกัน

หรือไม่เช่นนั้น เพจ: แสงสว่างที่ ปาตานี อาจจะเป็นสื่อสังคมออนไลน์ ที่สำนักสื่อ Wartani รับผิดชอบ หรือหากวิเคราะห์จากการนำเสนอมีความเป็นไปได้ว่าทั้งสองกรณีเป็นการกระทำสร้างความแตกแยก และชี้นำให้สังคมเห็นความต่าง มีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐกระทำต่อโต๊ะอิหม่ามและชาวบ้านมลายูเสียชีวิต แต่ไม่มีใครออกมาประณาม พร้อมทั้งได้ทำการสร้างการรับรู้ต่อกลุ่มเป้าหมายด้วยการผลิตสื่อใบปลิว ดราม่าหลังรอมฎอนและได้มีการเขียนบทกวีห่วยๆ ในเว็บไซต์ Wartani กวีวาร์ตานี|ตอน : อัฟเตอร์ช๊อกที่สายบุรี แทบไม่มีสาระใดๆ เลย จุดประสงค์ชัดเจนไม่เห็นด้วยที่มีการออกมาเคลื่อนไหวของมวลชน และองค์กรหลายๆ กลุ่มที่ร่วมกันประณามการกระทำของผู้ก่อเหตุรุนแรงจนกระทั่งพระภิกษุสงฆ์ เจ้าหน้าที่ทหาร เสียชีวิต ประชาชนได้รับบาดเจ็บถึง 8 ราย

การกระทำดังกล่าวมันหดหู่ สลดใจกับความคิดห่วยๆ เห็นแก่ได้ของบุคคลบางกลุ่ม คนหมู่มากหรือผู้คนทั้งประเทศกำลังเศร้าโศกเสียใจและรับไม่ได้กับการกระทำของขบวนการโจรใต้ที่กระทำต่อนักบวชในพุทธศาสนา แม้กระทั่งสำนักจุฬาราชมนตรียังต้องออกแถลงการณ์ในครั้งนี้...กลับมีการบิดเบือนค่อนเคะกล่าวหาว่ากวาดต้อนผู้นำศาสนาให้ออกมาเคลื่อนไหว ฤา ความคิดของพวกคุณเสพสมกับความรุนแรงเห็นด้วยกับการกระทำของกลุ่มโจรใต้ มือไม่พายแล้วยังเอาตีนราน้ำ เตะต้องขบวนการที่เป็นพ่อไม่ได้เลยหรอ.....


ลองมาพิจารณาการเขียนในใบปลิวของ เพจ: แสงสว่างที่ปาตานี

จากการตรวจสอบอย่างละเอียดพบว่าข้อความก๊อปปี้ถอดแบบมาจากกวีวาร์ตานี: อัฟเตอร์ช๊อกที่สายบุรี ส่วนใบปลิวมีการถ่ายรูปแล้วนำมาในเพจ: แสงสว่างที่ปาตานี แล้วมาโกหกหน้าด้านๆ ว่าพบใบปลิว รอยยับด้านบนใส่ซองเอกสาร หรือหนังสือ สมุด เพราะกระดาษใบนี้ใหญ่กว่าเลยเป็นรอย ลักษณะหมึกคมชัด ปริ้นมาแน่นอนไม่ได้ถ่ายแจก มีแค่ 2 ใบ เป็นการลงทุนน้อยแต่งหวังผลกระทบที่เกิดขึ้นสูง 

เนื้อหาของกวีผีวาร์ตานี
กวีวาร์ตานี|ตอน : อัฟเตอร์ช๊อกที่สายบุรี ของสำนักสื่อ Wartani
ระเบิดทหาร
หลังโรงพัก
ทหารบาดเจ็บ
และล้มตาย
พระมรณภาพ
แลดูวุ่นวาย
เพียงไม่นาน
แถลงการณ์ถูกแถลง
เปอร์มัสรีบออกมาแจง
ฉบับนั้นเป็นของปลอม
จากนั้นเพียงอีกวัน
โต๊ะอีหม่ามละหมาดฮายัต
เสมือนตอกย้ำคนทำนั้น
คือมลายูสายสุดโต่ง
ทว่ายามโต๊ะอีหม่ามโดนยิง
ไม่มีการเคลื่อนไหวเช่นนั้นไม่
กลับเงียบเหงาราวเมืองร้าง
ที่ปราศจากผู้คนอาศัย
และแล้วชนกลุ่มน้อยในปาตานี
หยิบโอกาสในครั้งนี้
เพื่อสร้างแกนแห่งผนึกให้แข็งแกร่ง
ในนามสโลแกนเพื่อสันติภาพ
เพื่อประณามการใช้ความรุนแรง
ที่ยังไม่รู้ว่าการกระทำนั้นใครอยู่เบื้องหลัง
ทว่าครั้งนี้..มันมีข้อสงสัยที่สังคมคลางแคลงอยู่
เหตุเกิดในชุมชนพุทธ
อยู่ในบริเวณปลอดภัย
หลังโรงพักที่มีการรักษาอย่างรัดกุม
หลังเกิดเหตุมินาน
แถลงการณ์ปลอมแพร่ว่อน
โต๊ะอีหม่ามถูกต้อนให้ละหมาดฮายัต
เพื่อตอกย้ำคนที่อยู่เบื้องหลัง
ย่อมเป็นมลายูหัวรุนแรง
และแล้วชนกลุ่มน้อยในปาตานี
ได้เวลารวมตัว ณ สะพานที่ยาวที่สุดในประเทศไทย
เพื่อแสดงพลังให้โลกรู้ว่า
เหตุระเบิดที่สายบุรีในวันนั้น
มันอาจมีอะไรที่ลึกลับซับซ้อนมากกว่านั้น…
******************
กวีนิรนาม แก้ต่างกวีผีวาร์ตานี
อัฟเตอร์ช๊อก...กวีผีวาร์ตานี
อันกวี วาร์ตานี ใครแต่งตั้ง
ทำตัวดัง สู่รู้ กูไม่สน
อยากจะถาม ความคิด สัปดน
มึงเป็นคน เช่นไร ใคร่อยากรู้
เหตุระเบิด โจรใต้ ทำลายพระ
มึงคิดจะ ร่วมประณาม ก็หาไม่
ยังทำตัว เยี่ยงเดิม คนจันไร
ไปให้ไกล ตีนกู ดีกว่ามึง
โต๊ะอิหม่าม ออกมา สวดฮายัต
มึงก็กัด หาว่า ถูกกวาดต้อน
คนไทยพุทธ ในชุมชน แสนอาวรณ์
คอยพร่ำสอน อยู่ร่วม ในสังคม
กลับกล่าวหา ฉกฉวย สร้างโอกาส
ไม่เป็นทาส ความรุนแรง ของโจรใต้
อยากอยู่ร่วม ในสังคม สุขสบาย
ก็มิวาย กวีวาร์ตานี มาโจมตี
กลุ่มองค์กร แถลงการณ์ ไม่เห็นด้วย
มึงรับส่วย มาโจมตี น่าบัดสี
แต่เปอร์มัส ของมึง ช่างแสนดี
ปล่อยของปลอม ถามกระแส ของสังคม
อัฟเตอร์ช๊อก สายบุรี ทุกคนเศร้า
แม้เรื่องเล่า เช้านี้ ยังไปออก
ทุกภาคส่วน สุดแสน จะช้ำชอก
กูขอบอก พวกโจรใต้ อย่าตายดี
ฝากไปถึง กวีโง่ วาร์ตานี
น่าบัดสี ก้าวล่วง ความรู้สึก
ช่างกล้าดี อย่างไร ไม่สำนึก
จะบันทึก การกระทำ ช้ำใจคน
******************