หน้าเว็บ

2/14/2559

กลุ่มด้วยใจ-มูลนิธิผสานวัฒนธรรม กับการทำลายภาพลักษณ์ของประเทศ

แบดิง โกตาบารู

กลุ่มด้วยใจ ร่วมมือกับ องค์กรเครือข่ายสิทธิมนุษยชนปาตานี และมูลนิธิผสานวัฒนธรรม” มั่วหลอกประชาชนให้หลงเชื่อ รายงานซ้อมทรมานในห้วงปี 2557-2558 มุ่งทำลายความน่าเชื่อถือในระบบอำนาจรัฐ และทำลายภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีสากล ส่วนใหญ่เป็นการนำข้อมูลเก่าตั้งแต่ปี 2547 มารายงานซ้ำ เป็นการกล่าวอ้างจากคำบอกเล่าที่เลื่อนลอย โดยขาดหลักฐานเชิงประจักษ์ และไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน
          นับเป็นการแหกตาประชาชนครั้งมโหฬารอีกครั้งหนึ่ง รวมไปถึงองค์กรต่างประเทศผู้ที่สนับสนุนในเรื่องทุนในการเคลื่อนไหวของทั้งสองนาง ในนามส่วนตัวผู้เขียนเองเข้าใจดีที่นางทั้งสองเร่งทำผลงานเพื่อดูดงบ เข้าใจดีว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นอาชีพหนึ่งที่ทำเงินมีรายได้เป็นกอบเป็นกำเข้าสู่ครอบครัว ไม่ได้เคลื่อนไหวด้วยอุดมการณ์ใดๆ เลย หรือกระทำเพื่อสังคม เพื่อประชาชนด้วยการอุปโลกน์ตัวเองขึ้นมาเป็น ผอ.โน่นนี่
          แต่ที่ประชาชนทั่วไปรับไม่ได้กับพฤติกรรมของนางทั้งสองคือ ความหน้าด้าน ไร้ยางอาย ด้วยการนำข้อมูลเก่ามาเล่าใหม่ โดยไม่มีการตรวจสอบ นำข้อมูลมาเปิดเผยต่อสาธรณชนแบบมั่วๆ กลับทำลายภาพลักษณ์ของประเทศที่คุณซุกหัวนอน โดยไร้จิตสำนึกมุ่งแต่ผลประโยชน์ส่วนตน
          ในความจริงสถานการณ์การซ้อมทรมานในปัจจุบันแทบจะไม่มี ให้เห็น เจ้าหน้าที่ตระหนักดีในเรื่องสิทธิมนุษยชน ปฏิบัติหน้าที่ภายในกรอบของกฎหมาย ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยด้วยความระมัดระวัง และมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอนกระบวนการ ภายใต้การมีส่วนร่วมของผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำศาสนา และบุคคลในครอบครัวตามแนวทางสันติวิธี ตั้งแต่ขั้นตอนของการจับกุม โดยใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก
          การเปิดโอกาสให้บุคคลในครอบครัวเข้าเยี่ยมได้ทุกวันตามห้วงเวลาที่กำหนด โดยไม่เคยกีดกัน หรือขัดขวางตามที่ถูกกล่าวอ้างในระหว่างที่มีการซักถาม พร้อมทั้งจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกให้ญาติ เช่น ที่พัก (หากมีความต้องการ) มีกิจกรรมนันทนาการ และการประกอบศาสนกิจตามหลักศาสนา
          การเปิดโอกาสให้เครือข่ายองค์กรต่างๆ ทั้งองค์กรระหว่างประเทศ กาชาดสากล คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ทั้งใน และต่างประเทศ ตลอดจนสื่อมวลชน รวมทั้งมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กลุ่มด้วยใจและเครือข่ายองค์กร สามารถเข้าเยี่ยมชมสถานที่ควบคุมตัว และซักถามในหน่วยทหารได้ตลอดเวลา โดยไม่เคยปิดกั้นแต่อย่างใด
          ซึ่งทุกองค์กรต่างให้การยอมรับในการพยายามปรับปรุงสถานที่ให้เหมาะสม และวิธีการดำเนินการตามคำแนะนำ ประเด็นการร้องเรียนจากการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ดีขึ้นโดยลำดับ
ชำแหละรายงานสถานการณ์การซ้อมทรมาน
          เมื่อผู้เขียนได้อ่านรายงานสถานการณ์การซ้อมทรมานในพื้นที่ จชต. ของมูลนิธิผสานวัฒนธรรมและกลุ่มด้วยใจ โดย น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ และ น.ส.อัญชนา หีมมิหน๊ะ ด้วยความเคารพ ด้วยใจที่เป็นกลางกลับพบว่าเป็นการ ต้มคนอ่าน หลอกคนดู นำเสนอข้อมูลแบบมั่วๆ เพื่อวัตถุประสงค์อะไรบางอย่างมิอาจทราบได้
          รายงานดังกล่าวมีการนำเสนออย่างเป็นทางการ ครั้งล่าสุดคือวันที่ 10 ก.พ.59 แต่ข้อมูลต่างๆ ในรายงานทั้งหมดเป็นข้อมูลเก่าที่เคยดำเนินการแล้วเมื่อ 28 พ.ค.55 โดยมีกลุ่มเป้าหมาย และการรายงานรูปแบบการซ้อมทรมานที่เหมือนๆ เดิม
          อย่างไรก็ดี เมื่อศึกษาเนื้อหาอย่างละเอียดพบว่า ส่วนใหญ่เป็นการนำข้อมูลเก่าตั้งแต่ปี 2547 มาฉายซ้ำ รูปแบบยังเป็นลักษณะเดิม คือการกล่าวแอบอ้างลอยๆ จากคำบอกเล่า เค้าเล่าว่าโดยขาดหลักฐานเชิงประจักษ์ และไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้นก่อนที่จะนำมาเสนอต่อสาธารณชน
          ในรายงานทั้ง 2 ครั้ง มีการระบุนอกจากไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ยังมีข้อสังเกตในหลายประเด็นที่เป็นไปไม่ได้ หรือนางทั้งสองแค่มโนไปเอง เช่น การข่มขืน การผ่าตัดนำอวัยวะภายในออก บังคับให้ทานสารเคมี การเผาไหม้
          และประเด็นล่าสุดที่นางทั้งสองช่างกล้าอย่างหน้าด้านๆ ชนิดสัตว์บางชนิดยังอาย คือการเสนอข้อมูลกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ ให้ทหารพรานหญิงใช้นมปิดใบหน้าให้ผู้ต้องสงสัยขาดลมหายใจตาย หรือประเด็นการทำร้ายร่างกาย เช่น ใช้ลำกล้องปืนกระแทกจนฟันกรามหัก ศีรษะแตก เป็นต้น ซึ่งหากเป็นเรื่องจริงย่อมมีร่องรอย หรือหลักฐานให้ปรากฏต่อแพทย์ผู้ตรวจร่างกาย ทั้งก่อน และภายหลังการควบคุมตัว รวมทั้งปรากฏต่อญาติ และครอบครัวที่เข้าเยี่ยมได้ทุกวัน ซึ่งเครือข่ายองค์กรเหล่านี้ต่างก็ทราบดีอยู่แล้ว แต่นางทั้งสองยังหน้าด้านนำเสนอข้อมูลที่บิดเบือน
       ดังนั้นจากพฤติกรรมของ น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ และ น.ส.อัญชนา หีมมิหน๊ะ ในการเคลื่อนไหวตลอดเวลาที่ผ่านมา ถือได้ว่า เป็นการจงใจพยายามทำลายความน่าเชื่อถือในระบบอำนาจรัฐ และทำลายภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีสากล สร้างความเสื่อมเสียที่ไม่น่าให้อภัย
          จากการติดตามข่าวล่าสุด ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้ให้ความสนใจต่อกรณีดังกล่าว และได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงของรายงานที่ถูกกล่าวอ้างอย่างเร่งด่วน พร้อมทั้งพิสูจน์ความจริงการให้ปรากฏต่อสาธารณชนว่าเป็นอย่างไร? มีมูลความจริงหรือไม่? หากเป็นความจริงที่มีการกล่าวอ้างให้ทำการลงโทษทางวินัยกับเจ้าหน้าที่โดยทันที พร้อมทั้งเอาผิดทางอาญาอย่างเด็ดขาด แต่หากไม่เป็นความจริง หรือมีเจตนาบิดเบือนข้อเท็จจริง นางทั้งสองและองค์กรเหล่านี้ก็จะต้องรับผิดชอบจากสิ่งที่ได้กระทำไป
          นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผอ.มูลนิธิผสานวัฒนธรรม เคยถูกกองทัพไทยแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญา โดยแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาททำให้กรมทหารพรานที่ 41 จังหวัดยะลา ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 จากกรณีที่นางสาวพรเพ็ญฯ บิดเบือนข้อเท็จจริง และเรียกร้องให้มีการสอบสวนข้อกล่าวหาว่ามีการทำร้ายร่างกายผู้ถูกควบคุมตัว
          ซึ่งในภายหลังเรื่องกลับเงียบไป จากข้อมูลเชิงลึกทราบมาว่าหน่วยงานที่ฟ้องร้องยอมถอนแจ้งความไม่อยากรังแกผู้หญิง ให้โอกาสกลับเนื้อกลับตัว แต่นางไม่เคยสำนึกกลับเคลื่อนไหวรุกหนัก จ้องจังหวะและโอกาสในการขุดคุ้ย บิดเบือนข้อมูลมาโดยตลอด แล้วอย่างนี้สมควรจะปล่อยให้ปากดีอยู่ต่อไปอีกหรือ?
          องค์กรภาคประชาสังคมหลายองค์กรใน จชต. ใช้เพศหญิงซึ่งเป็นเพศแม่ แต่ได้เปรียบในเชิงจิตวิทยา โดยรัฐหรือเจ้าหน้าที่ไม่กล้าเตะจะเป็นข้อครหา รังแกผู้หญิง แต่หากดูจากพฤติกรรมของทั้งสองนาง ที่มุ่งกระทำความเสื่อมเสียมาสู่ประเทศชาติอยู่บ่อยๆ ไม่สมควรที่จะไว้หน้าอีกต่อไป
          หลายองค์กรเคลื่อนไหวเรียกงบสนับสนุนโครงการจากต่างชาติจนร่ำรวย ผู้นำองค์กรหลายคน ซื้อที่ดิน ซื้ออสังหาริมทรัพย์ราคาหลายสิบล้าน มีรถยนต์หรูขับ รูปแบบการจัดกิจกรรมมีการเชื้อเชิญคนใหญ่คนโตมาเป็นประธานเปิดงานยิ่งเป็นการดี เพราะภาพดังกล่าวจะเป็นสิ่งยืนยันแนบรายงานในการแลกงบ
       อยากจะเห็นมิติใหม่ในการจัดระเบียบองค์กรภาคประชาสังคมที่มีอยู่ยั๊วเยี๊ยะเต็มพื้นที่ จชต.จัดการกับองค์กรที่บิดเบือนข้อมูลเพื่อทำลายประเทศชาติ เป็นภัยต่อความมั่นคง ความสงบเรียบร้อยของผู้คนส่วนใหญ่  ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยให้กระทำได้ตามใจชอบ รัฐต้องเชือดไก่ให้ลิงดู มิเช่นนั้นองค์กรเหล่านี้ยังเหิมเกริมมุ่งทำลายประเทศชาตินำความเสื่อมเสียมาสู่มาตุภูมิอยู่ต่อไป
          ในส่วนสื่อมวลชนในการนำเสนอข่าวสาร โปรดระมัดระวังโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคง และทำลายภาพลักษณ์ของประเทศ โดยขอให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน ก่อนนำเสนอข้อมูลข่าวสารอย่างสมดุล เพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของผู้ไม่หวังดีอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ดังสองนางที่กำลังยืมมือสื่อมวลชนทำการเคลื่อนไหวเรียกงบอยู่ในปัจจุบันอยู่คือ น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ และ น.ส.อัญชนา หีมมิหน๊ะ....

---------------------

          

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น