หน้าเว็บ

7/13/2561

แนวร่วมโจรใต้กับสื่อทางเลือกในการโฆษณาชวนเชื่อ


" Ibrahim"


การพัฒนาที่ทันสมัยของเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้ส่งผลให้สื่อสังคมออนไลน์ เข้ามามีบทบาทสำคัญในการกระจายข่าวสาร การประชาสัมพันธ์ผลงานของฝ่ายกองกำลังทหาร และฝ่ายการเมืองของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้มากขึ้น ปัจจุบันพบว่ามีการขยายตัวแบบก้าวกระโดดของแนวร่วมในการใช้สื่อในพื้นที่เพื่อทำการเคลื่อนไหวย้อนแย้งกับรัฐในโลกไซเบอร์ โดยเฉพาะในสื่อสังคมออนไลน์ สำหรับรูปแบบการเคลื่อนไหวในสื่อสังคมออนไลน์พบว่า ส่วนใหญ่จะเน้นการเผยแพร่ภาพ ข้อความ มีการแบ่งปันข้อมูลหรือเชื่อมโยงข้อมูล ในลักษณะการยั่วยุเจ้าหน้าที่ มีการสร้างขวัญ กำลังใจ หรือกระตุ้นให้กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงลงมือก่อเหตุกระทำต่อเป้าหมายเชิงสัญลักษณ์ของหน่วยงานภาครัฐ ต่อเป้าหมายอ่อนแอ อีกทั้งการออกมาใส่ร้ายป้ายสี กล่าวหาโจมตีการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ สร้างความแตกแยกระหว่างไทยพุทธและมุสลิม รวมทั้งมีการข่มขู่จะสังหารเจ้าหน้าที่รัฐที่มีพฤติการณ์หมิ่นศาสนา สอดรับกับการการดำเนินงานของสื่อทางเลือก สื่ออิสระ ที่นำเสนอข่าวในลักษณะตอกย้ำ สร้างกระแสความเกลียดชังทางด้านเชื้อชาติ และศาสนาอีกทางหนึ่งด้วย

แนวโน้มที่เป็นไปได้ว่า แนวร่วมกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ได้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการจัดหาสมาชิก และการเผยแพร่แนวคิด รัฐเอกราชปาตานี เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการจัดฝึกอบรมด้านการผลิตสื่อในระดับสถาบันปอเนาะ โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ในระดับมหาวิทยาลัยทั้งในพื้นที่ จชต. และนอกพื้นที่ จชต. เพื่อทำหน้าที่ในการโฆษณาชวนเชื่อสร้างการรับรู้ อีกทั้งทำการตรวจสอบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ หาจุดบกพร่องโจมตีและสื่อไปยังองค์กรต่างประเทศ กลุ่ม PerMAS มีบทบาทในการชี้นำทางความคิด ที่ผ่านมามีการติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์เข้าไปฝึกอบรมการผลิตและการเผยแพร่สื่อ มีการใช้เป็นช่องทางติดต่อนัดหมาย จัดประชุม เผยแพร่ภาพ และเฝ้าระวังแจ้งเตือน ที่สำคัญมีการปลุกระดมมวลชนพร้อมเคลื่อนไหวกดดันเจ้าหน้าที่ทันทีเมื่อมีการตรวจค้นบ้านพักสมาชิกในกลุ่ม หรือกรณีมีการจับกุมกลุ่ม ผกร.

เว็บไซต์และเครือข่ายสังคมออนไลน์ ซึ่งเป็นสื่อทางเลือก สื่ออิสระ ที่มีบทบาทเคลื่อนไหวสนับสนุนกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง บิดเบือนข้อเท็จจริง ปลุกระดมทางความคิด ความเชื่อของแนวร่วมเยาวชนคนรุ่นใหม่ ได้แก่ www.puloinfo.org เว็บไซต์ khabarfathani.blogspot.com เว็บไซต์ suaraampera17.blogspot.com และอีกหลายเว็บไซต์ที่ไม่ได้กล่าวถึง


ส่วนในเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่เป็นขาประจำกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐ และบิดเบือนข้อมูลแบบสุดโต่ง ได้แก่ เพจ: Suara Patani, เพจ: Patani Peace สันติภาพปาตานี, เพจ:Patani Darussalam News ฯลฯ อีกทั้งยังมีสมาชิกแนวร่วมสมัครใช้ Facebook เพื่อใช้ในการแชร์ต่อข้อมูลไปยังกลุ่มต่างๆ และทำการแท็กไปยังผู้ใช้ Facebook รายอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีสถานีวิทยุมีเดียสลาตัน ซึ่งเป็นกระบอกเสียงในการออกอากาศ มีการถ่ายทอดสัญญาณสดจากเวทีเสวนาไปยังสถานีวิทยุในเครือข่ายที่ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา สำนักสื่อ Wartani เป็นสื่อทางเลือกที่มีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหว โดยมีการผลิตสื่อมัลติมีเดีย รวมทั้งสื่อทุกชนิดในการสนับสนุนขบวนการ ในห้วงที่ผ่านมาได้ปลุกกระแสในเรื่องชาติพันธุ์มลายูต่อกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง

กลุ่มขบวนการได้แสวงประโยชน์ของสื่อทางเลือก และสื่ออิสระในการโฆษณาชวนเชื่อต่อกลุ่มเป้าหมาย มีการโน้มน้าวทางความคิดและจูงใจมวลชนด้วยวิธีการต่างๆ ให้เห็นดีเห็นงาม หรือให้เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐด้วยการปิดบังอำพรางข้อเท็จจริง กลบเกลื่อนสิ่งเลวร้ายให้กลายเป็นดี มีความพยายามปิดบังซ่อนเร้นผู้กระทำหรือต้นตอของข่าวสาร มีการใส่ร้ายป้ายสีด้อยค่าเจ้าหน้าที่รัฐหรือฝ่ายที่คิดต่างกับขบวนการ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของฝ่ายตน อีกทั้งได้มีการพัฒนาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ จัดเสวนาระดมความคิด การจัดตั้งองค์กรขึ้นมาเคลื่อนไหวงานการเมืองเพื่อทำการตอบโต้ บิดเบือน สร้างกระแส และเน้นงานเชิงรุกต่อฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐทุกรูปแบบ 

ธรรมชาติของการใช้งานสื่อในเครือข่ายสังคมออนไลน์ คือ ยากต่อการปิดกั้น ขัดขวาง เนื่องจากผู้ใช้สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ภายในเวลาที่รวดเร็ว ไม่เกิน 5 นาที การสกัดกั้น ยับยั้ง เครือข่ายนักรบไซเบอร์ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน ควรใช้วิธีการเฝ้าระวังป้องกัน การพิสูจน์ทราบตัวบุคคล และการรวบรวมข้อมูลของผู้ใช้ที่เข้าข่ายมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ดำเนินการจับกุมตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดี  ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชนทุกแขนงในพื้นที่เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้เข้าถึงเป้าหมายในทุกระดับ ทั้งที่อยู่ในโลกไซเบอร์ซึ่งเป็นโลกเสมือนจริง และโลกแห่งความจริง ให้ทราบถึงข้อกฎหมาย บทลงโทษในการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันกับผู้ใช้สื่อ เพื่อป้องปรามไม่ให้บุคคล กลุ่มบุคคลกระทำความผิด ยุติการนำเข้าข้อมูลในคอมพิวเตอร์ที่ผิดกฎหมาย เป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่จะต้องดำเนินการควบคู่กับการแก้ไขปัญหาในด้านอื่นๆ เพื่อนำไปสู่สันติสุขที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
***********************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น