หน้าเว็บ

8/30/2562

"แขวนป้ายผ้า พ่นสีสเปรย์ สร้างความปั่นป่วน" ผิดกฎหมายมาตรา 116



เนื่องจากในวันที่ 31 สิงหาคมนี้ เป็นวันชาติของประเทศมาเลเซีย และเป็นวันสถาปนากลุ่มเบอร์ซาตู ซึ่งสุ่มเสี่ยงที่จะตกเป็นเป้าหมายโจมตีของกลุ่มก่อความไม่สงบ เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ สร้างสถานการณ์เพื่อหวังก่อกวน สร้างความระส่ำระสายต่อบ้านเมืองเพื่อให้เกิดความวุ่นวาย และก่อเหตุความไม่สงบให้เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมักจะทำการก่อเหตุลอบวางระเบิด เผายางรถยนต์ เผาธงชาติไทย ปักธงชาติมาเลเซีย พร้อมทั้งวางวัตถุต้องสงสัยทั้งระเบิดจริง ระเบิดปลอมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอ จ.สงขลา ซึ่งการกระทำของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในการก่อเหตุก่อกวนป่วนใต้ เป็นการหวังผลทางการเมือง ซึ่งมีการเผาทำลายธงชาติไทย แล้วเอาธงชาติมาเลเซียขึ้นแทน เพื่อให้เกิดความขัดแย้งด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย พร้อมทั้งขอความร่วมมือจากประชาชนช่วยกันเป็นหูเป็นตา สอดส่องดูแลบุคคลแปลกหน้า วัตถุต้องสงสัยที่กลุ่มผู้ไม่หวังดีอาจลักลอบนำเข้ามาก่อเหตุเพื่อสร้างสถานการณ์ในช่วงนี้ได้


การแขวนป้ายผ้า พ่นสีสเปรย์มีความผิดหรือไม่? เมื่อมาเปิดดูประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ความผิดตามมาตรานี้คือ “ยุยงปลุกปั่น” ได้บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันไม่ใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต (๑) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจ หรือใช้กำลังประทุษร้าย (๒) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ (๓) เพื่อให้ประชาชน ล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี”

ตัวอย่างการกระทำความผิดดังกล่าวมีให้เห็นจากคำพิพากษาของศาลจังหวัดนาทวี เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2562  สั่งจำคุก นายมูฮัมหมัด เปาะเล๊าะ จำนวน 4 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นศาล ศาลจึงลดโทษกึ่งหนึ่ง คงเหลือ “จำคุก 2 ปี”

 

นายมูฮัมหมัด เปาะเล๊าะ ทำการแขวนป้ายผ้าเขียนข้อความโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐรวม 3 จุด ประกอบด้วย จุดแรกริมถนนสายสะบ้าย้อย – กาบัง บ้านคอลอมูดอ ต.จะแหน อ.สะบ้าย้อย จุดที่ 2 บ้านสวนโอน ต.เปียน อ.สะบ้าย้อย และจุดที่ 3 ริมถนนสายลำไพล – เทพา บ้านทุ่งพระยอด ม.4 ต.เทพา อ.เทพา จ.สงขลา และข้อความทั้ง 3 จุด เป็นลักษณะเดียวกันที่พบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2561 จนกระทั่งเจ้าหน้าที่สามารถสืบหาตัวผู้กระทำผิด จึงได้ออกหมายจับ นายมูฮัมหมัด ส่งตัวฟ้องศาลดำเนินคดีตามกฎหมายตัดสินจำคุกในเวลาต่อมา


การที่ศาลสั่งลงโทษผู้ที่กระทำการแขวนป้ายผ้าเขียนข้อความโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐ สืบเนื่องจากการตรวจพบ DNA ของผู้ต้องหาที่ติดอยู่กับป้ายผ้า หรือเชือกที่ใช้ในการแขวน การนำวิทยาศาสตร์ ในการเก็บและพิสูจน์หลักฐาน ตรวจร่างกายและวัตถุพยานเพื่อช่วยในการค้นหาความจริงในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันแพร่หลาย โดยเฉพาะในชั้นการพิจารณาคดีของศาล

จึงขอความร่วมมือไปยังเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ศอ.บต. และฝ่ายปกครอง ช่วยสื่อเป็นเครื่องมือสร้างการรับรู้ ความเข้าใจต่อประชาชนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ให้ผู้ปกครองสอดส่องดูแลบุตรหลานมิให้ตกเป็นเครื่องมือของผู้ไม่หวังดี ทำการแขวนป้ายผ้า พ่นสีสเปรย์โจมตีรัฐเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร ซึ่งหากถูกจับกุมตัวได้จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ความผิดฐาน “ยุยงปลุกปั่น” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี 

………………………………………




8/29/2562

โจรใต้เป็นลมตายในมาเลย์ ญาติรับศพกลับมาฝังที่บ้านเกิด



          โจรใต้ก่อเหตุสร้างสถานการณ์ฝั่งไทย เข่นฆ่าเจ้าหน้าที่และประชาชนบริสุทธิ์หนีคดีไปอาศัยประเทศเพื่อนบ้าน หลายครั้งที่ได้รับทราบข่าวสารโจรใต้เหล่านี้เสียชีวิตยังต่างแดน บ้างนำศพมาประกอบพิธีทางศาสนายังบ้านเกิด แต่มีจำนวนไม่น้อยต้องฝั่งร่างในประเทศมาเลเซียญาติไม่สามารถนำศพกลับมายังภูมิลำเนาอาจจะมีข้อจำกัดหลายประการ ที่น่าใจหายคือไม่มีญาติไม่มีครอบครัวดูใจครั้งสุดท้ายก่อนตาย

          เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 ได้รับข่าวว่า นายมาหามะ กาเจ ปัจจุบันอายุ 57 ปี ได้เสียชีวิต (เป็นลม)  ที่โรงพยาบาลอลอสตาร์เคด้า ประเทศมาเลเซีย นายโซเฟียน กาเจ พร้อมญาติได้เดินทางไปรับศพโดยผ่านด่านประกอบ อ.นาทวี จ.สงขลา มาประกอบพิธีทางศาสนา ณ มัสยิดอุเบ็ง ม.4 ต.ปะแต อ.ยะหา จ.ยะลา   
      
          สำหรับพฤติกรรม นายมาหามะ กาเจ เป็นสมาชิก ผกร.ระดับปฏิบัติการ ได้ผ่านการฝึก RKK จากลุ่มนายฮูไบดีละห์ รอมือลี บุคคลตามหมายจับ ป.วิฯ จำนวน 13 หมาย (หน.ระดับ KOMPL รับผิดชอบพื้นที่ อ.ยะหา, อ.กาบัง จ.ยะลา)

          นายมาหามะ ยังเคยเป็นครูฝึกสอนอบรม ทำการปลุกระดมชาวบ้านในพื้นที่ เคยเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ฝ่ายรักษาความสงบ ในเวลาต่อมาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองหัวหน้ากลุ่มแทน นายมาดาโอ๊ะ สนิมิง เนื่องจาก นายมาดาโอ๊ะ ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวเมื่อ 30 มีนาคม 2553 นายมาหามะ เคยก่อเหตุยิง นายไพรัตน์ แซ่เหง่า ร่วมก่อเหตุลอบวางระเบิดและซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปะแต ขณะลาดตระเวนด้วย จยย.เป็นเหตุให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 1 นาย ได้รับบาดเจ็บ 5 นาย เหตุเกิดเมื่อ 30 กันยายน 2548 ทำการก่อเหตุร่วมกันลอบโจมตีและวางเพลิงบ้าน นายดอเลาะ เซ็งมะสู เมื่อ 25 สิงหาคม 2554

          นายมาหามะ เคยถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2549 ตามหมายจับที่ จส.323/2548 ลง 20 ก.ค.48 จากเหตุเหตุยิง นายไพรัตน์ แซ่เหง่า แต่อัยการสั่งไม่ฟ้องเนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ


          ก่อนหลบหนีไปอยู่ประเทศมาเลเซีย นายมาหามะ มีหมายจับ ป.วิอาญา จำนวน 1 หมาย ตามหมายจับเลขที่ จส.444/2549 ลง 18 ต.ค.48 จากเหตุลอบวางระเบิดและซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปะแต ขณะลาดตระเวนด้วย จยย.เป็นเหตุให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 1 นาย ได้รับบาดเจ็บ 5 นาย เหตุเกิดเมื่อ 30 กันยายน 2548

          ชีวิตคนเราไม่แน่ไม่นอนอยู่ดีๆ ก็เป็นลมตายนับประสาอะไรกับกรณีการช็อกหมดสติของนายอับดุลเลาะ  อีซอมูซอ ในศูนย์ซักถามที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์กล่าวหามีการซ้อมทรมาน ก็คงเป็นลมหรือเกิดจากโรคประจำตัวอย่างใดอย่างหนึ่งต้องหามส่งโรงพยาบาลทำการรักษา สุดท้ายไม่สามารถยื้อไว้ได้และได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา...
-------------------

8/28/2562

Statement Southern Border Provinces Human Rights Protection Committee In the case of Mr Abdullah Isawmusaw losing consciousness while in custody.



At approximately 3:00 AM of 21 July 2019 Mr Abdullah Isawmusaw, a detainee being for questioning in connection with insurgent activity at the interrogation facility of 43 Ranger Regiment in Camp Ingkhayuthaboriharn, lost consciousness. He later died at 4:00 AM  on Sunday 25 August 2019 at Songkhla Nakharin Hospital due to complications from a lung infection.

In response to the initial incident the Southern Border Provinces Human Rights Protection Committee appointed a panel of respected representatives of human rights organizations, civic society, religious organizations, academics, the public sector and government officials to examine the facts and ensure an independent, fair and transparent investigation. The investigation examined the interrogation facility, interviewed personnel involved and gathered other relevant information. A summary of the committee's findings are as follows:

1.The staff of the interrogation facility followed correct procedure and no irregularities were found in their conduct.

2. The interrogation facility was found to be set up according to standard. However at the time of the incident the CCTV camera system was not operational. Investigation found that the building had recently been completed on 22 May 2019. The CCTV cameras had been installed but system had not yet been turned over by the contractor. ISOC Region 4 Forward has since taken delivery of the system and it is now operational. ISOC Region 4 Forward has said it welcomes requests by any organization to inspect the facility.

3. Information from doctors who provided medical to Mr Abdullah was as follows:

     3.1 Cause of death was due to severe pneumonia and septic shock. There was no blood circulation in the brain and the patient had also suffered from lack of oxygen to the brain or hypoxic ischerric encephalopathy (as stated in the medical report).

     3.2 In regards to the initial conditions of lack of oxygen and swelling of the brain the doctors who provided treatment said this could have various causes as follows:

          3.2.1 Severe external trauma causing severe internal injuries. Thorough investigation, including external physical examination, x-rays and scans found no such injuries.

          3.2.2 Cerebral hemorrhage due to an aneurysm. This condition usually does not show symptoms beforehand and can cause severe damage to brain tissue. A scan of Mr Abdullah's brain showed bleeding in the inner part of the brain or a subarachnoid hemorrhage. However there was no bleeding in the outer part of the brain, as would happen in the case of severe blunt force trauma. It is possible that an aneurysm resulted in the brain being deprived of oxygen. However further detailed investigation was not possible while Mr Abdullah was still alive because the lack of blood circulation to the brain made it impossible to inject intravenous x-ray solutions. A request to conduct an autopsy after his death was also denied. Therefore the cause of the bleeding in the brain cannot be confirmed.

         3.2.3 Oxygen deprivation. This can result from both external force applied by another individual or by a immediate medical condition. In the case of the former this can include torture, such as having a plastic bag placed over the  head or covering the face with a damp cloth and pouring water onto it. In the latter it can mean the person lost consciousness, stopped breathing and was not treated in time. However in the medical opinion of the examining doctors the application of force in such a manner usually results in a rupture of the minor blood vessels. This is usually most clearly noticeable in bleeding in the eyes and gums, dark discoloration of the lips and a darkened, swollen face. There could also be some tissue damage. There were no such signs on Mr Abdullah.

4. The committee finds that the conditions which led to Mr Abdullah's death happened while he was in custody and his family should be compensated for this loss. This report with all relevant information, including the medical report will be sent to the SBPAC for further consideration on this matter. His family should receive humanitarian assistance and the committee will invite his wife and family members to discuss this.


Southern Border Provinces Human Rights Protection Committee
                                 
                                                            27 August 2019

8/26/2562

คำสารภาพโจรใต้.. ฆ่าตัดคอคนแก่อ้างหลงผิด!! ให้แง่คิดอะไรกับสังคม


         


         พฤติกรรมของโจรใต้ยังคงมุ่งสร้างความเดือดร้อนด้วยการก่อเหตุสร้างสถานการณ์นับตั้งแต่ต้นปี 47 จวบจนกระทั่งปัจจุบัน มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือความชั่วช้าสุดโต่งที่ได้ประทับตราบาปและยัดเยียดให้กับพี่น้องในพื้นที่ตลอด 15 ปี ที่ผ่านมา

          รูปแบบการก่อเหตุยังคงมุ่งไปยังเป้าหมายที่อ่อนแอ ไร้อาวุธ ไร้การต่อสู้มีแต่กระทำฝ่ายเดียว นี่หรือ!! นักรบฟาตอนีหน้าตัวเมียนุ่งโสร่ง และปฏิเสธไม่ได้ว่าโจรใต้ฟาตอนีขี้ขลาดมีอัตลักษณ์อย่างหนึ่งที่มีการส่งต่อกันนั่นคือ ฆ่าผู้หญิง ยิงเด็ก ทำร้ายคนชรา

          ย้อนกลับไปเมื่อปี 50 ได้เกิดเหตุสะเทือนขวัญต่อพี่น้องไทยพุทธ เมื่อโจรใต้ได้ทำการก่อเหตุฆ่าตัดคอนายจวน แก้วทองประคำ อายุ 72 ปี อยู่บ้านเลขที่ 79/1 หมู่ 1 ต.นาประดู่ สภาพศพสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้น กางเกงขาสั้น ตามร่างกายถูกฟันด้วยมีดจนเป็นแผลฉกรรจ์หลายแห่ง โดยคนร้ายนำศีรษะของผู้ตายติดมือไปด้วย

          นายจวน แก้วทองประคำ เป็นเหยื่อชาวไทยพุทธคนที่ 2 ที่ถูกฆ่าแล้วตัดศีรษะในเดือน ก.พ.50 โดยก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 1 ก.พ. คนร้ายก่อเหตุฆ่าตัดคอนายวีระชัย อุตระนิยัง อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 187 หมู่ 1 ต.วังทอง อ.นาวัง จ.หนองบัวลำภู พ่อค้าเร่ขายไอศกรีม เหตุเกิดที่หมู่ 3 บ้านกือยา ต.ปะกาฮารัง อ.เมืองปัตตานี ต่อมาอีก 2 วัน คนร้ายนำศีรษะนายวีระชัยไปทิ้งไว้ในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี

          ในที่สุดเจ้าหน้าที่ได้รวบตัวโจรใต้ที่ก่อเหตุคือ นายมะรอมลี แปแนะ และนายมูหะมะ แวกาจิ หนึ่งในสองผู้ต้องหาในในคดีฆ่าตัดคอ นายจวน ทองประคำ อายุ 72 ปี เจ้าของโรงสีใน ต.นาประดู อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ซึ่งทั้งสองได้ให้การรับการสารภาพ หลังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกจับกุมขณะหลบหนี     
          นายมูหามะ แวกาจิได้เปิดใจว่าตนเองเสียใจที่หลงผิดเพราะถูกเพื่อนชักชวนไปก่อเหตุ ที่ผ่านมาเคยฆ่าตัดคอ และเผาโรงงานที่ ต.นาประดู่ จ.ปัตตานี รู้สึกเสียใจที่ได้กระทำลงไป หลังจากเข้าร่วมขบวนการใหม่ๆ ทางแกนนำจะมีการสอนในเรื่องศาสนาและเรื่องประวัติศาสตร์ปัตตานี จากนั้นจะมีการฝึกด้านร่างกาย การใช้อาวุธปืน การต่อสู้ด้วยมือเปล่าเป็นเวลานาน 3 เดือน ซึ่งก่อนที่จะถูกจับกุมตนได้เข้าร่วมขบวนการเป็นเวลา 5 ปี

          นายมูหามะ ยังบอกฝากผู้ปกครองให้ช่วยกล่าวตักเตือนบุตรหลานเยาวชนอย่าให้เป็นเหมือนตน เพราะได้หลงผิดไปแล้ว ไม่อยากให้มีเยาวชนมาหลงผิดอีก รวมถึงเพื่อนๆ ที่กำลังหลงผิดให้ออกมามอบต่อเจ้าหน้าที่

คำสารภาพโจรใต้ ให้แง่คิดอะไร!!

          1. เหตุการณ์ฆ่าตัดคอคุณตาวัย 72 ปี เป็นพฤติกรรมที่โหดเหี้ยมผิดมนุษย์ ไม่มีศาสนาไหนสอนให้มีการฆ่าเพื่อนร่วมชีวิตด้วยกันแล้วได้บุญ แม้แต่การฆ่าสัตว์ยังเป็นบาป การก่อเหตุมีการมุ่งไปยังเป้าหมายอ่อนแอ เด็ก ผู้หญิง คนชรา....

          2. โจรใต้ได้เปิดเผยว่าได้เข้าร่วมขบวนการมาแล้วกว่า 5 ปี เมื่อบวกลบจากปีที่เกิดเหตุคือปี 50 แสดงว่าได้เข้าร่วมขบวนการเมื่อปี 45 ก่อนเกิดเหตุการณ์ตากใบ กรือเซะ นั่นย่อมสื่อให้เห็นอีกว่าเหตุการณ์ตากใบ กรือเซะ เปรียบเสมือนกองฟางที่โจรใต้วางแผนไว้อย่างดี โดยหลอกล่อให้พี่น้องมุสลิมมารวมตัวกัน แล้วจุดเชื้อไฟโยนเข้ากองฟางให้ไฟใต้ลุกโชน สร้างเงื่อนไขไม่สนใจใยดีต่อชีวิตพี่น้องประชาชนในพื้นที่ไม่ว่านับถือศาสนาไหน!!

          3. กลุ่มขบวนการโจรใต้ ปลุกระดมบ่มเพาะเชื้อร้ายโดยมุ่งเน้นไปที่เยาวชนอายุตั้งแต่ 16-25 ปี (ณ ขณะนั้น) แต่ในปัจจุบันกลับพบว่ามีการปลูกฝังตั้งแต่เด็กในโรงเรียนตาดีกา....

          4. โจรใต้บิดเบือนศาสนา และเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่ให้ผิดเพี้ยน!! ฆ่าคนได้ขึ้นสวรรค์ เปรียบเหมือนสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่อิสลามจะต้องไม่อยู่ภายใต้การปกครองของคนต่างศาสนา พร้อมหว่านเมล็ดความเคียดแค้นชังแก่เด็ก "เราถูกรังแก" "เราถูกข่มเหง" "เราไม่ได้รับความยุติธรรม"....

          5. คำสารภาพของโจรใต้ ไม่ได้ชี้ว่าโจรใต้กลับใจ แต่สื่อให้เห็นถึงความต้องการเอาตัวรอดที่ได้รับการเสี้ยมมาจากทนายความโจร เพื่อต้องการผ่อนหนักเป็นเบา วางแผนฆ่าตัดคอชายชราแล้วหลบหนีเป็นพฤติกรรมที่ไม่ได้แสดงถึงการกลับใจ ถ้าหากไม่ถูกจับกุมตัวได้เสียก่อนจะมีอีกกี่รายที่ถูกเชือดคอ อีกทั้งท่านจะเห็นโจรใต้กลุ่มนี้มีทำการโพสต์ปลุกระดมยั่วยุ "วิ่งพล่านอยู่บนโลกออนไลน์"....

          สิ่งที่ยืนยันการเอาตัวรอดของโจรใต้ ดูสิ่งที่มันแถหลังจากศาลยกฟ้อง (บางคน) มันบอกว่าเจ้าหน้าที่ทหารซ้อม มีการทำร้ายทรมานร่างกายเพื่อให้สารภาพ แต่ตอนที่จับได้คาหนังคาเขามันกลับบอกว่าหลงผิด และจะกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีของสังคมพร้อมที่จะช่วยพัฒนาชาติ แหม!!!

          6. การบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์โจรใต้เกิดขึ้นมานานแล้ว และมีวิวัฒนาการผ่านยุคต่างๆ ส่งต่อความเลวจากรุ่นสู่รุ่น โดยเฉพาะสถานศึกษาที่เราเข้าใจกันว่าเป็นแหล่งประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ เรียนจบนำความรู้ไปประกอบอาชีพ แต่ในพื้นที่แห่งนี้กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น พบว่าโรงเรียนปอเนาะหลายแห่งมีการบ่มเพาะโจร ชักนำให้เด็กนักเรียนหลงผิดจนต้องหมดสิ้นอนาคต ไม่ว่าอยู่ใกล้ หรือไกลจากตัวเมืองไร้การควบคุมจากผู้มีอำนาจ ทำให้ผ้าขาวต้องกลายเป็นเทาและดำในที่สุด เห็นได้จากกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐในคราบนักศึกษา พวกนี้คือผลผลิตจากการบ่มเพาะตอนยังเป็นเด็ก ตอนนี้เมล็ดพันธุ์ชั้นเลวเหล่านั้นกำลังร่ำเรียนมันอยู่ในมหาวิทยาลัย และได้เวลาที่มันจะสอนน้องๆ ให้เคลื่อนไหวต่อต้านอำนาจรัฐ และปลูกฝังความชั่วกันไปเรื่อยๆ จากรุ่นสู่รุ่น

          สุดท้ายผลผลิตสายพันธุ์โจรได้สอดแทรกเข้าไปเป็นมะเร็งร้ายทุกวงการ บ้างที่เรียนจบเป็นทนาย เป็นครู เป็น NGOs เป็นนักการเมืองท้องถิ่น เป็นข้าราชการ เป็นอัยการ เป็นหมอ เป็นพยาบาล ลองคิดเล่นๆ อะไรจะเกิดขึ้นกับบ้านเมือง ที่เห็นๆ เป็นรูปธรรมในปัจจุบันนี้ คราใดโจรใต้ถูกควบคุมตัว หรือตายจากการปะทะติดตามจับกุม ใครหนอ!! ที่เคลื่อนไหวกดดันรัฐแทนขบวนการ ใครหนอ!! ที่รวมตัวกันเรียกร้องให้ยกเลิกกฎอัยการศึก ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไม่ใช่ผลผลิตของขบวนการโจรใต้ที่จับต้องได้หรอกหรือ!!!

          หากยังคงเป็นอยู่เช่นทุกวันนี้!!! อีก 20 ปีข้างหน้า ท่านคิดว่า!!! อนาคต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะเป็นเช่นไร..???
-------------------

8/20/2562

ความเชื่อมโยงหลายเหตุการณ์ ชี้ชัด!! เป็นฝีมือโจรใต้กลุ่มเดียวกัน


          รูปแบบการก่อเหตุของโจรใต้ที่ผ่านมา หลายคนมีความเชื่อว่า มีการแบ่งมอบพื้นที่รับผิดชอบในการก่อเหตุ ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นในพื้นที่ไหนจะมีการตั้งสมมติฐานทันทีว่าเป็นฝีมือของใคร? แต่ผู้เขียนไม่เคยเชื่อแบบนั้นจากการเฝ้าติดตามการก่อเหตุหลายๆ ครั้งมีการก่อเหตุในลักษณะหมุนเวียนไปในหลายๆ พื้นที่ นอกจากจะมีการก่อเหตุในเชิงลักษณะการก่อกวนที่มีการก่อเหตุพร้อมๆ กันหลายจุด ซึ่งการก่อเหตุดังกล่าวเป็นการทดสอบกำลังใจของแนวร่วมที่ผ่านการฝึกมาใหม่และผ่านการซุมเปาะฮ์

          เชื่อเหลือเกินว่าผู้ก่อเหตุรุนแรงตัวจริงในปัจจุบันได้ลดน้อยลงจำนวนมาก เพราะที่ผ่านมามีผู้เข้าร่วมโครงการพาคนกลับบ้านจำนวนมาก อีกทั้งรายงานตัวตามมาตรา 21 ของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 เข้ารับการอบรมตามคำสั่งของศาล แทนการดำเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญาปกติ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้กระทำผิดกลับตัว และมีบางส่วนถูกจับกุมดำเนินคดี เสียชีวิตจากการปะทะในการติดตามจับกุมบังคับใช้กฎหมาย

          เหตุผลสนับสนุนความคิดความเชื่อว่า การก่อเหตุในห้วงนี้เป็นฝีมือโจรใต้กลุ่มเดียวกัน มาจากผลการพิสูจน์หลักฐานของ ศพฐ.10 จากการตรวจสอบปลอกกระสุนปืน จำนวน 33 ปลอก จากเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดตู้เอทีเอ็มธนาคารอิสลาม บริเวณโรงเรียนมูลนิธิอาซิซสถาน พบประวัติในสารบบ 27 คดี และจากการตรวจสอบปลอกกระสุนปืน จำนวน 17 ปลอก เหตุยิงนายอับดุลตอเละ กาสอ เสียชีวิต พบประวัติในสารบบ 13 คดี ซึ่งเป็นสิ่งชี้ชัดว่ามีความเชื่อมโยงกันและเป็นคนร้ายกลุ่มเดียวกัน เพียงแค่ต่างพื้นที่ ต่างเวลา แต่ที่ไม่เคยเปลี่ยนคือความชั่วช้าสามานของกลุ่มโจรใต้สุดโต่งกลุ่มนี้

          เมื่อไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ เริ่มตั้งแต่กลุ่มโจรใต้ลอบวางระเบิดและลอบยิง เจ้าเจ้าหน้าที่ อส.อำเภอสะบ้าย้อย ชุดคุ้มครองตำบลห้วยเต่า เหตุเกิดบนถนนสายห้วยเต่า-ควนหมาก หมู่ที่ 7 ต.คูหา อ.สะบ้าย้อย     จ.สงขลา ได้รับบาดเจ็บ 6 นาย เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2562 ถัดมาเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2562 กรณีเจ้าหน้าที่ปะทะกับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ในพื้นที่ ต.ท่าหมอไทร อ.จะนะ จ.สงขลา และคดีคนร้ายโจมตีจุดตรวจบ้านกอแลบีเละ ตำบลปะกาฮะรัง อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี เจ้าหน้าที่เสียชีวิต 4 นาย เมื่อ 23 กรกฎาคม 2562

          หลังจากนั้นกลุ่มคนร้ายกลุ่มนี้ได้ทำการก่อเหตุลอบวางระเบิดตู้เอทีเอ็มธนาคารอิสลาม บริเวณ โรงเรียนมูลนิธิอาซิซสถาน และใช้อาวุธปืนที่ปล้นมาจาก ชคต.บ้านกอแลบีเละ ยิงก่อกวนในพื้นที่ ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี และใช้อาวุธปืนกระบอกเดียวกันไปก่อเหตุยิงนายอับดุลตอเละ กาสอ เสียชีวิต ในพื้นที่   ต.ท่าม่วง อ.เทพา จ.สงขลา เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2562

          วันที่ 8 สิงหาคม วันเดียวกันที่คนร้ายก่อเหตุยิง นายอับดุลตอเละ เสียชีวิต เจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังทำการลาดตระเวนเพื่อพิสูจน์ทราบ ในพื้นที่ ต.กระโด อ.ยะรัง จ.ปัตตานี พบกลุ่มวัยรุ่นประมาณ 6 - 7 คน จึงแสดงตัวเข้าทำการตรวจสอบกลุ่มวัยรุ่นได้วิ่งหลบหนี เจ้าหน้าที่สามารถไล่ติดตามควบคุมตัวไว้ได้ 1 คน ตรวจพบยาบ้า จำนวน 11 เม็ด น้ำต้มพืชกระท่อม จำนวน 53 ถุง จากนั้นได้ทำการลาดตระเวนต่อไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร พบเพิงพัก จำนวน 1 หลัง ขณะเข้าตรวจสอบ ได้มีบุคคลต้องสงสัย จำนวน 2 คน วิ่งหลบหนีไป จากการตรวจสอบบริเวณเพิงพัก พบตะปูเรือใบ จำนวน 1 กระสอบ และ รถจักรยานยนต์ จำนวน 2 คัน ต่อมาได้ทำการขยายผลบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ ต.กอลำ อ.ยะรัง สามารถควบคุมตัวบุคคลต้องสงสัย 4 คน นำตัวไปซักถามขยายผลคาดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดตู้ ATM บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยฟาฏอนี ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2562

          ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดเครื่องแต่งกายของเจ้าหน้าที่ และสิ่งของอื่นๆ อีกหลายรายการ จึงนำตัวบุคคลต้องสงสัยส่งตัวดำเนินกรรมวิธีซักถามหาความเชื่อมโยงในการก่อเหตุ เนื่องจากหลายๆ เหตุการณ์จากภาพกล้องวงจรปิดคนร้ายมักแต่งกายเลียนแบบทำการก่อเหตุ สื่อแนวร่วมได้โฆษณาชวนเชื่อชี้นำทางความคิดและโยนผิดกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่เป็นผู้กระทำ สร้างความเสียหาย ความสับสนของข้อมูลข่าวสาร และทำลายความเชื่อมั่นต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่เมื่อผลพิสูจน์หลักฐานของ ศพฐ.10 ที่ทำการตรวจปลอกกระสุนปืนที่คนร้ายใช้ก่อเหตุ ชี้ชัดความเชื่อมโยงของเหตุการณ์หลายเหตุเป็นฝีมือโจรใต้กลุ่มเดียวกัน... ที่สร้างสถานการณ์ขึ้นมาแล้วโยนผิดให้เจ้าหน้าที่รัฐ...
------------------------

8/10/2562

แนวร่วม ผกร.ติดยา ใช้ยาบ้า น้ำกระท่อม จ้างเด็กติดยาผลิตตะปูเรือใบ เฝ้าดูต้นทาง



การก่อเหตุของโจรใต้กับการใช้สารเสพติดมอมเมาเด็กและเยาวชน หรือแม้แต่ ผกร. ผู้ลงมือก่อเหตุเองในหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมา ยาเสพติดทำให้คนเหล่านี้มีความฮึกเหิม ไม่กลัวตาย หรือบางเหตุการณ์ให้ดื่มน้ำผสมยาเสพติดแล้วหลอกว่าหายตัวได้ สิ่งเหล่านี้คือภัยใกล้ตัวของผู้ปกครองที่มีบุตรหลานที่อาจถูกชักจูงให้เข้าร่วมทำการก่อเหตุโดยไม่คาดคิด และนี่คือหลักฐานชี้ชัดแนวร่วม ผกร. ติดยา ใช้ยาบ้า น้ำกระท่อม จ้างเด็กติดยาผลิตตะปูเรือใบ เฝ้าดูต้นทางในการก่อเหตุ


เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2562 เจ้าหน้าที่สนธิกำลังเพื่อเข้าทำการพิสูจน์ทราบเป้าหมายยาเสพติดซึ่งเป็นพื้นที่ทิ้งขยะ ม.1 ต.กระโด อ.ยะรัง จ.ปัตตานี หลังการตรวจสอบพบบ้านพัก 2 ชั้น ไม่มีเลขที่ มีกลุ่มวัยรุ่นประมาณ 6 -7 คน อยู่ในบ้านหลังดังกล่าว เมื่อกลุ่มวัยรุ่นเห็นเจ้าหน้าที่ได้วิ่งหลบหนี เจ้าหน้าที่ไล่ติดตามควบคุมตัวไว้ได้ 1 คน ทราบชื่อคือ นายมูฮำหมัด คางา พร้อมตรวจพบยาเสพติด (ยาบ้า) จำนวน  11 เม็ด น้ำต้มพืชกระท่อม บรรจุในถุงจำนวน  53 ถุง 


จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ทำการลาดตระเวนลึกเข้าไปบริเวณรอยต่อ อ.มายอ ได้ตรวจพบสถานที่ลักษณะเหมือนเพิงพัก ผกร. ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปข้างหลังบริเวณบ้านหลังดังกล่าวประมาณ 1 กม. จากการตรวจสอบโดยรอบบริเวณเพิงพักมีน้ำขวางเส้นทางหลบหนี ขณะเจ้าหน้าที่เข้าไปมีชาย 2 คน วิ่งหลบหนีข้ามน้ำไป ไม่สามารถติดตามจับกุมได้ทัน 


เมื่อทำการตรวจสอบเพิงพักพบ ตะปูเรือใบ ดัดเป็นรูปตัว L จำนวน 1 กระสอบ และ รถ จยย. 2 คัน ซึ่งได้จอดทิ้งไว้ จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ยะรัง จ.ปัตตานี เเละ ศพฐ. เข้าทำการเก็บหลักฐานเพื่อดำเนินการตรวจหาทางนิติวิทยาศาสตร์ นำไปสู่ความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในพื้นที่ต่อไป


ปัญหายาเสพติดเป็นภัยร้ายสำคัญ เป็นตัวทำลายความสงบสุขของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริงยิ่งกว่าภัยใดๆ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยแล้วมีความเชื่อมโยงกับการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ เป็นเชื้อไฟที่ลุกโหมไฟใต้ 15 ปีที่ผ่านมา ฝากไปยังพ่อแม่ผู้ปกครองช่วยกันดูแลบุตรหลานอย่าไปข้องเกี่ยวกับยาเสพติด ช่วยกันสอดส่องดูพฤติกรรมมีส่วนร่วมในการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้กับโจรใต้ ไม่ว่าจะเป็นการผลิตตะปูเรือใบ เฝ้าดูต้นทาง หรือการกระทำอื่นใดในลักษณะมีส่วนร่วมในการก่อเหตุ ถือว่ามีความผิดจะต้องถูกควบคุมตัวดำเนินคดีตามกฎหมายหมดสิ้นอนาคต..

------------------


8/09/2562

เบื้องหลังลอบยิงนายอับดุลตอเละ อดีตหัวหน้า RKK เสียชีวิต



          กรณีเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2562 เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนสงครามและอาวุธปืนพกสั้นกราดยิงนายอับดุลตอเละ กาสอ ซึ่งเป็นอดีตหัวหน้า RKK ซึ่งปัจจุบันประกอบอาชีพเป็นคนส่งน้ำแข็งเสียชีวิตบริเวณริมถนนสายนาจวก-พรุชิง ม.7 ต.วังใหญ่ อ.เทพา จ.สงขลา จากการตรวจสอบบริเวณจุดเกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนขนาด 5.56 จำนวน 16 ปลอก และปลอกกระสุนขนาด 9 มม. จำนวน 1 ปลอก
          ย้อนประวัติพบว่าเมื่อปี 57 นายอับดุลตอเละ กาสอ ผู้เสียชีวิตได้เข้ารายงานตัวกับทาง พล.ท.วลิต โรจนภักดี แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ในขณะนั้น โดยมีหน่วยเฉพาะกิจสงขลา และศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลาส่วนหน้า เป็นผู้รับมอบตัว ต่อมาเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2559 ศาลจังหวัดนาทวีได้อ่านคำพิพากษาปล่อยตัว โดยได้มีคำสั่งส่งตัวเข้ารับการอบรมตาม ม.21 (การอบรมแทนการฟ้อง) นายอับดุลตอเละ ผ่านเกณฑ์การประเมินผลและปฏิบัติถูกต้องตามเงื่อนไขได้ปลดหมายเรียบร้อย ต่อมาในปี 60 กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้ Set Zero ให้กับผู้เข้าร่วมโครงการ โดยส่งบัญชีรายชื่อทั้งหมดให้ฝ่ายปกครอง ปัจจุบันมีผู้ที่ผ่านการอบรมแทนการฟ้อง 51 คน
เปิดประวัติ นายอับดุลตอเละ
          นายอับดุลตอเละ กาซอ หรือ นายอารง กาสอ อยู่บ้านเลขที่ 46 ม.2 ต.เปียน อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา เป็นสมาชิกกลุ่มก่อความไม่สงบระดับปฏิบัติการ เป็นหัวหน้า Platong (3 Regu) รับผิดชอบในพื้นที่ อ.สะบ้าย้อย และ อ.นาทวี
          พฤติกรรมนายอับดุลตอเละ เคยเป็นอดีตอุสตาซโรงเรียนบำรุงศาสน์ (ปอเนาะควนหรัน) และเคยเป็นครูฝึกให้กับสมาชิกกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ อ.สะบ้าย้อย และ อ.นาทวี อีกทั้งยังพบเคยทำการก่อเหตุในพื้นที่หลายเหตุการณ์ด้วยกัน และมีหมายจับศาลจังหวัดสงขลาถึง 11 หมาย
เบื้องหลังการลอบยิงนายอับดุลตอเละ
          นายอับดุลตอเละ ทำการปลุกระดมชักชวนกลุ่มวัยรุ่น เยาวชนและบุคคลในพื้นที่ ต.เปียน อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลาและพื้นที่ใกล้เคียงให้เข้าร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดน เช่น นายบูคอรี หลำโสะ นายรอซารี หลำโสะและนายซอบรี หลำโสะ และคนอื่นๆ ในหมู่บ้านควนหรัน ต.เปียน อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา
          ในเวลาต่อมานายอับดุลตอเละ ได้กลับใจและเข้ามอบตัวกับทางการ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2557 ส่งผลให้บุคคลคนอื่นๆ ไม่พอใจและมีความหวาดระแวงว่านายอับดุลตอเละ หักหลังเปิดเผยข้อมูลให้ทางการและละทิ้งอุดมการณ์ที่เคยพูดชักชวนพวกตนให้เข้าร่วมกันต่อสู้ตั้งแต่ตอนแรก อีกทั้งยังละทิ้งแนวร่วมคนอื่นๆ ชิงมอบตัวเพื่อกลับมาอยู่กับครอบครัวอย่างสุขสบายคนเดียว ในขณะที่ผู้ที่ถูกนายอับดุลตอเละชักชวนเข้าขบวนการบางคนที่ถูกเปิดเผยข้อมูลต้องอยู่อย่างหวาดผวาและต้องหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ ต้องหนีออกจากหมู่บ้านอยู่อย่างยากลำบาก ก่อนเกิดเหตุนายอับดุลตอเละ ได้เปรยกับบุคคลใกล้ชิดในลักษณะว่าหวาดระแวงต่อกลุ่มบุคคลในขบวนการฯ จะลอบทำร้ายตนที่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ จึงน่าจะเป็นสาเหตุการลอบยิงนายอับดุลตอเละ ในครั้งนี้



          นายอับดุลตอเละ กาซอ คือ อดีตผู้หลงผิด ที่กลับใจรายงานตัวเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม มีการอบรมแทนการฟ้องตาม ม.21 ตั้งแต่ปี 57 ในขณะที่กลับมาอยู่กับครอบครัวมุ่งประกอบอาชีพอย่างสุจริต เป็นคนดีของสังคม ที่ผ่านมาให้ความร่วมมือกับภาครัฐและช่วยชี้เบาะแสคนร้าย โดยเฉพาะข้อมูลข่าวสาร ซึ่งล่าสุดให้ข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับกลุ่มคนร้ายที่ลอบยิงชาวไทยพุทธขณะกรีดยางพาราที่ บ.นาม่วง ต.บ้านโหนด อ.สะบ้าย้อย เมื่อ 27 กรกฎาคม 2562 สร้างความโกรธแค้นให้กลุ่มขบวนการ จึงเป็นขนวนเหตุสังหารนายอับดุลตอเละ ในเวลาต่อมาแล้วโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้กระทำ กลุ่มขบวนการจะใช้เป็นข้ออ้างในการสร้างความชอบธรรมก่อเหตุตอบโต้ด้วยการลอบยิง ลอบวางระเบิด เจ้าหน้าที่หรือเป้าหมายอ่อนแอในพื้นที่ อีกทั้งยังเป็นการสกัดกั้นผู้ที่หันหลังให้ขบวนการที่คิดจะให้ข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่หรือมีความคิดจะมอบตัวต่อทางการให้เกิดความหวาดกลัว นี่คือความป่าเถื่อนสุดโต่งของกลุ่มขบวนการที่พยายามกดให้ประชาชนในพื้นที่อยู่ภายใต้อาณัติ ต่อต้านรัฐ ไม่ย่ำเกรงต่อบาปกระทำต่อเพื่อนร่วมชีวิตด้วยกัน แม้แต่พี่น้องผู้ที่นับถือศาสนาเดียวกันเอง...ยังไม่ละเว้น!!

--------------------------