หน้าเว็บ

9/28/2557

ใครอยู่เบื้องหลัง เวที Bicara Patani

แบมะ ฟาตอนี

เมื่อวันที่ 21 ก.ย.57 ที่มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี สำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา (LEMPAR) ร่วมกับมูลนิธิศักยภาพชุมชน และเครือข่ายประชาสังคมเพื่อสันติภาพ จัดกิจกรรมเสวนาครบรอบ 1 ปี Bicara Patani “ตอบโจทย์พื้นที่ทางการเมืองปาตานีหรือไม่?ซึ่งเวทีเสวนาในวันนั้นมีการเสวนากันในหัวข้อ ทำไม Bicara Patani ต้องมี?และ อนาคตปาตานีกับวาทกรรมสันติภาพและสันติสุขมีผู้เข้าร่วมเสวนาประมาณ 4,500 คน

ทำไมเวที Bicara Patani ต้องมี?

นายฮารา ชินทาโร่ อ.ประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มอ.ปัตตานี นายมูฮำหมัดอาลาดี เด็งนิ ที่ปรึกษาองค์กร NUSANTARA นายฮากิม พงติกอ รองประธาน PerMAS นางรอมละห์ แซเยะ ตัวแทนสตรีที่ได้รับผลกระทบใน จชต. และนายเจ๊ะมุ มะมัน บุตรถูกยิงเสียชีวิต 3 คน เมื่อ 2 ก.พ.57
อาจารย์นายฮารา ชินทาโร่ อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ถือได้ว่าเป็นแนวร่วมขาประจำของเวทีเสวนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่แล้ว อีกทั้งยังเป็นกระบอกเสียงให้กับแนวร่วมโจรใต้ หลายต่อหลายครั้งที่ล้ำเส้นในฐานะผู้อาศัยใบบุญผืนแผ่นดินไทยแสดงจุดยืนที่ยากเกินกว่าจะยอมรับได้
นายฮากิม พงติกอ รองประธาน PerMAS เข้าร่วมเวทีเสวนา Bicara Patani ครบรอบ 1 ปี แต่ที่น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งที่ไร้เงาของนายสุไฮมี ดุลละสะ ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ทั้งๆ ที่เป็นประธานกลุ่ม PerMAS และยังเป็นแกนนำหลักในการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ร่วมกับนายตูแวดานียา ตูแวแมแง ผอ.สำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา (LEMPAR) น่าจะเป็นสิ่งยืนยันจากกระแสข่าวก่อนหน้านี้ว่ากลุ่ม PerMAS ได้เกิดปัญหาระส่ำระสายแตกร้าวภายในองค์กร เกิดความขัดแย้งระหว่างผู้นำกับสมาชิก
นายเจ๊ะมุ มะมัน ผู้ที่สูญเสียบุตรถูกยิงตาย 3 คน เมื่อ 2 ก.พ.57 หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นโดนจองตัวจากกลุ่ม PerMAS เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบ่อนทำลายเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งที่เจ้าตัวรู้อยู่เต็มอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปัญหาขัดแย้งส่วนตัว แต่ก็ยังออกมาใส่ไฟกล่าวหาอย่างชนิดหน้าไม่อาย กว่าความจริงมาเปิดเผยจากปากผู้ก่อเหตุพี่น้องชาวปาตานีที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้เกลียดชัง แช่งด่าเจ้าหน้าที่ยับเยิน
วาทกรรมเด็ด ที่ปลุกกระแสเรียกร้องหนีไม่พ้นพิมพ์เขียวที่ได้รับการกลั่นกรองจากเวทีเสวนาย่อยก่อนหน้านี้ของกลุ่ม PerMAS ซึ่งในความรู้สึกของผู้เขียนที่เข้าร่วมรับฟังเสวนาในครั้งนี้ถือได้ว่าไม่เกินความคาดหมายแต่ประการใด มีการเรียกร้องไปในแนวทางเดียวกันของผู้เสวนา ให้ประชาชนชาวปาตานีกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นของตนในทุกเรื่อง และ ลุกขึ้นต่อสู้นำสิ่งที่เคยเป็นของตนกลับคืนมา โดยไม่ยอมให้ใครมากำหนดชะตากรรมของตน แต่จะต้องเป็นคนกำหนดชะตากรรมเอง
ขณะเดียวกันมีผู้เข้าร่วมเสวนา ได้แสดงความคิดเพิ่มเติมว่า เกิดอะไรขึ้นกับคนปาตานีที่เคยร่ำรวยมาก แต่กลับไม่มีแผ่นดินเป็นของตัวเอง ซึ่งต่างกับพม่า หรือกัมพูชาที่ยากจนแต่มีแผ่นดินเป็นของตัวเอง ดังนั้นพวกเราคนปาตานีต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ เพื่อให้ได้แผ่นดินของเราคืนมา
การปลุกระดมในลักษณะนี้มีให้เห็นกันมาอย่างต่อเนื่องทั้งในเวที และนอกเวทีของการเสวนา เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนปาตานีลุกขึ้นต่อสู้เพื่อเรียกร้องดินแดนคืนจากรัฐบาลไทย โดยเฉพาะกลุ่ม PerMAS ที่มีการจัดเวทีเสวนาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีกลุ่มขบวนการคอยบิดเบือนข้อเท็จจริง ปลอมประวัติศาสตร์ ทำให้เชื่อว่าปัตตานีและอีกหลายจังหวัดเป็นส่วนหนึ่งของมลายู แต่ต้องเสียดินแดนให้ไทยเพราะอังกฤษเข้ามารุกราน แล้วอังกฤษก็แบ่งส่วนนี้ให้ประเทศไทยเข้าทำการยึดครอง
เมื่อประเทศมลายูทั้งหมดได้รับเอกราชจากอังกฤษแต่ประเทศไทยไม่ยอมให้เอกราชแก่ปัตตานีแม้เพียงตารางนิ้วเดียว สิ่งเหล่านี้คือ การบิดเบือนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์

ทำไม? ต้องเลือกมัสยิดกลางปัตตานี จัดกิจกรรม

เป็นที่น่าสังเกตว่าการจัดเวที Bicara Patani และการจัดกิจกรรมของกลุ่ม PerMAS มักใช้มัสยิดกลางปัตตานีเป็นสถานที่ในการจัดกิจกรรมอยู่บ่อยครั้ง ทั้งก่อนหน้านี้สมัยที่อิหม่ามยะโก๊ป หร่ายมณี ยังมีชีวิตอยู่จะไม่อนุญาตให้กลุ่ม PerMAS จัดกิจกรรมในมัสยิดกลางเลย นอกจากนี้กลุ่ม PerMAS ยังนิยมเน้นการจัดกิจกรรมในโรงเรียนตาดีกา และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชนอิสลาม
หากจะอ่านเกมส์วัดใจ กลุ่ม PerMAS ที่มักเน้นสถานที่ดังกล่าวนั้นเป็นเพราะเนื่องจากโรงเรียนตาดีกา และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชนอิสลาม สามารถปลุกระดมแนวความคิด และสร้างกระแสชาตินิยมมลายู เพื่อมุ่งสร้างนักต่อสู้ นักเคลื่อนไหวตัวตายตัวแทนได้ง่ายกว่าสถานที่อื่นๆ และกระแสตอบรับจากประชาชนในบางพื้นที่พบว่าไม่ต้องการให้ กลุ่ม PerMAS เข้าไปจัดกิจกรรมในหมู่บ้านของเค้า
เน้นใช้ภาษามลายูถิ่นและภาษามลายูกลางในการเสวนา มีอะไร? แอบแฝง
การจะใช้ภาษาอะไรก็แล้วแต่ย่อมเป็นสิทธิของผู้จัดการเวทีเสวนาในการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจของผู้เข้าร่วมการเสวนาร่วมกัน แต่ผู้เขียนคิดว่ามีจำนวนคนไม่น้อยที่เข้าร่วมเสวนาในวันนั้นไม่สามารถรับรู้ในสิ่งที่ผู้จัดต้องการจะสื่อ
นัยยะในการในเรื่องของการใช้ภาษามลายูถิ่น และมลายูกลางในการสื่อสาร รวมทั้งการแต่งกายด้วยชุดประจำถิ่นมลายู เพื่อตอกย้ำแนวคิด การร่วมเป็นหนึ่งเดียว หรือ SATU PATANI และต้องการสื่อไปยังต่างชาติแสดงตัวตนของชาวมลายูปัตตานีมีอยู่จริง ปลุกกระแสชาตินิยมปัตตานี แต่เป็นการพรางกิจกรรมในละกษณะเปิดกว้างแต่จำกัดในบางประเด็นให้เฉพาะผู้ที่สามารถใช้ภาษามลายูถิ่น และมลายูกลางเท่านั้น
ในขณะที่ระหว่างการดำเนินรายการเสวนาบนเวทีได้มีการถ่ายทอดสดผ่าน You Tube ให้ผู้สนใจทั้งในและต่างประเทศได้รับรู้ติดตามผ่านช่องทางดังกล่าว จุดประสงค์หลักเพื่อสื่อให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงการแก้ปัญหา จชต. และเพื่อต้องการแสดงศักยภาพในการใช้สื่อของกลุ่ม PerMAS

อนาคตปาตานีกับวาทกรรมสันติภาพและสันติสุข

ผู้ร่วมเสวนามีความเห็นตรงกันว่า กระบวนการสันติภาพหรือสันติสุขจะเกิดขึ้นได้เมื่ออยู่ภายใต้ประชาธิปไตย การเคารพสิทธิมนุษยชน ความยุติธรรมทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในกระบวนการสันติภาพ และมีเสรีภาพในการกำหนดชะตากรรมตนเอง รวมทั้งทหารต้องลดบทบาทในพื้นที่ลง เพื่อให้ประชาชนมีพื้นที่ในการกำหนดชะตากรรมของตนเองอย่างเสรีและปลอดภัยขึ้น
อยากทำความเข้าใจกับท่านผู้อ่านก่อนว่า วาทกรรม ที่เรียกร้องบนเวทีเสวนาเป็นเพียงแนวความคิดของคนเพียงบางกลุ่มเท่านั้น ที่มีการปักธงไว้ล่วงหน้าแล้วในการจัดเวทีเสวนาในครั้งนี้ ซึ่งข้อเท็จจริงแล้วการมีส่วนร่วมในกระบวนการสันติภาพได้เปิดไว้กว้างแล้วสำหรับประชาชนทั่วไปที่มีการระดมแนวความคิดเพื่อหาทางออกของปัญหาร่วมกันในระดับเวทีย่อยอยู่แล้ว
ด้านนายตูแวดานียา ตูแวแม ได้กล่าวว่า หลังจากรัฐประหารคำว่าสันติภาพหายไป เหลือเพียงคำว่าสันติสุข ขณะที่นางชลิดา ทาเจริญศักดิ์ มีความเห็นว่า ต้องทำประชามติก่อนมีการพูดคุยเพื่อสันติสุข เพื่อรับฟังความต้องการที่แท้จริงของประชาชนในพื้นที่ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียเสียที่สำคัญ
ผู้เขียนมีความคิดเห็นว่าไม่ว่าจะใช้คำว่า สันติภาพ หรือ สันติสุข จุดมุ่งหมายปลายทางเดียวกันคือ นำความสงบสุขกลับคืนมาให้กับคนในพื้นที่จชต.หากมองอย่างใจเป็นกลางกับการใช้คำว่า สันติสุขน่าจะมีความเหมาะสมกว่า เมื่อประชาชนเกิดสันติสุข อยู่ดีกินดี มีความพร้อม อะไรๆ ก็ง่ายไปหมดจะพัฒนาไปในทิศทางใดไม่ใช่เรื่องที่ยากอีกต่อไป ขออย่างเดียวกลุ่มหรือองค์กรที่เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ จชต.ไม่ควรที่จะปลุกระดมสร้างกระแสการกำหนดชะตากรรมของตนเอง (RSD) นำไปสู่การลงประชามติเพื่อแยกตัวอิสระในการปกครองตนเอง ถือว่าเป็นเรื่องกระทบความมั่นคงแห่งรัฐ กลุ่ม PerMAS พยายามสร้างเงื่อนไขมติ UN ที่ 1514 (XV) ลงวันที่ 14 ธ.ค.1960 เรื่องการให้เอกราชแก่ดินแดนอาณานิคม ซึ่งปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ จชต.ไม่เข้าเงื่อนไขดังกล่าว ท่านผู้อ่านก็ลองใช้วิจารณญาณไตร่ตรองดูว่าการกระทำของบุคคลบางกลุ่มที่พยายามสร้างเงื่อนไขขึ้นมาเพื่อเหตุผลกลใด? หรือเพื่อใคร?

*****************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น