หน้าเว็บ

6/09/2561

คนบางจำพวกมักจะเชื่อ เรื่องโกหกมากกว่าเรื่องจริง



พฤติกรรมการเข่นฆ่าของผู้ก่อความไม่สงบ เริ่มกลับก่อนจะถึง 10 วันสุดท้ายรอมฎอนซึ่งเป็นเดือนอันประเสริฐของพี่น้องมุสลิม  แต่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบก็ยังคงพยายามในการก่อเหตุในเดือนรอมฎอน เพราะหลงผิดเชื่อว่าจะได้บุญหลายเท่า และสร้างตราบาปให้บุคคลอื่นหลงเชื่อ 
หลายปีที่ผ่านมากับเหตุการณ์ความสูญเสีย  เราก็จะเห็นรูปแบบของผู้ก่อความไม่สงบในการสร้างความเกลียดชังให้เกิดความหวาดระแวงระหว่างไทยพุทธ - มุสลิม และประชาชนกับเจ้าหน้าที่
ซึ่งรูปแบบการใส่ร้ายป้ายสีเจ้าหน้าที่ที่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบใช้ก็จะเป็นการเล่าบอกต่อกันในร้านน้ำชาแหล่งชุมชน มัสยิด โดยเฉาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันแล้ว สังคมโลกมีการพัฒนาเทคโนโลยีไปสู่ยุคแห่งการติดต่อสื่อสาร จึงไม่แปลกที่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบนำมาใช่เป็นเครื่องมือในการสร้างความเกลียดชังซ้ำเติมปัญหาราดน้ำมันเติมเชื้อไฟให้ลุกโชนตลอดเวลา ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับกลุ่มนักการเมืองในประเทศก็ใช้เครื่องมือนี้ในการทำมาหากินโจมตีรัฐบาลเพื่อลดความน่าเชื่อถือดังที่เราเห็นในปัจจุบัน  



          การสร้างความขัดแย้งความเกลียดชังในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ยกตัวอย่างเพจแนวร่วม Suara Patani  ที่มีผู้ติดตามกว่าเจ็ดหมื่นกว่าคน ซึ่งถ้าใครติดตามก็จะเห็นสมาชิกส่วนใหญ่จะคอมเม้นวิจารณ์ด่าซะมากกว่าชื่นชมหรือเห็นด้วย รูปแบบการใส่ร้ายป้ายสีของเพจนี้ส่วนมากแล้วเมื่อเกิดเหตุการณ์จะใส่ร้ายเจ้าหน้าที่โดยทันทีหรือสร้างข่าวลวงก่อนก่อเหตุเหมือนจะรู้ว่าเหตุต้องเกิด
โดยทีไม่เคยมีพยานหลักฐานอะไรมาแสดง ส่วนมากจะอ้างบิดเบือนบอกว่า “จากแหล่งข่าว
ที่น่าเชื่อถือ”  แต่ก็ไม่สามารถที่จะบอกว่า ว่าแหล่งข่าวนั้นมาจากไหน ซึ่งแท้ที่จริงแล้วคนเขียนคิดขึ้นมาเอง  มาดูการใส่ร้ายป้ายสีแบบง่าย ๆ ไม่มีหลักฐาน ไม่มีเหตุผล  แต่คนบางจำพวกกลับหลงเชื่อแบบไร้สติปัญญาวิเคราะห์ข้อมูลข้อเท็จจริง

          “ศิลปะแห่งการสร้างความแตกแยก” วิธีหนึ่งที่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบมักจะทำและได้ผล
คือการชี้ให้เห็นว่า “เขาไม่เหมือนกับเรา”
เป็นความจริงที่ว่า คนเราทุกคน เกิดมาย่อมไม่เหมือนกัน
มีจุดที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น หน้าตา สีผิว ศาสนา ความเชื่อ ถิ่นที่อยู่ วัฒนธรรมอัตลักษณ์หรืออะไรก็ตาม ถ้าถูกหยิบยกเอาประเด็นนั้นมาเป็นความแตกต่าง ก็ใช้ได้ทั้งนั้น ดังเช่นกรณีไทยมุสลิม 4 ศพ ถูกยิงเสียชีวิต อ.สุคิริน จ.นราธิวาส กลุ่มขบวนการก็นำมาเป็นเครื่องมือการสร้างกระบวนการความร้าวฉาน ความแตกแยกในครั้งนี้ 


          -เพจ Suara Patani อ้างว่า ชายไทยมุสลิม 4 ศพ ที่เสียชีวิตจากการถูกยิงจากอาวุธปืน M16 ขณะไปร่อนทอง ในพื้นที่ อ.สุคิริน จ.นราธิวาส เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ (กองโจรสยามไทย
เป็นวาทกรรมที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้คนไทยรู้สึกเกลียดชัง) ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ข้อมูลหลักฐานเบื้องต้นของผู้เสียชีวิตไม่มีคดีเกี่ยวกับความมั่นคงหรือคดีอื่น ๆ เบื้องต้นพบข้อมูลเรื่องการขัดผลประโยชน์เรื่องการร่อนทองและเจ้าหน้าที่เร่งทำการสืบสวนโดยการเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุ อย่างปลอกกระสุนปืน ไปตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ว่าปลอกกระสุนที่คนร้ายใช้ในการก่อเหตุเคยก่อเหตุคดีความมั่นคงหรือไม่ อีกไม่นานเกินรอความจริงจะปรากฏว่าฝีมือใคร ขอให้รอผลนิติวิทยาศาสตร์ก่อนเถอะ  นี้ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่กลุ่มขบวนการพยายามสร้างความรู้สึกว่าคนที่ตายคือมุสลิม
สร้างความรู้สึกเชิงเดียวว่าเขาไม่เหมือนเรา เขาไม่ใช่พวกเรา เขาฆ่าพวกเรา มักจะสร้างความรู้สึกเป็นพวกมากอยู่เหนือความถูกต้อง  เลือกป้อนข่าวแต่ด้านเดียว ซึ่งวิธีที่ดีก็คือ อย่าโกหกทั้งหมด แต่ใช้วิธี “เล่าความจริงไม่หมด” จะได้ผลดีที่สุด เพราะมนุษย์จะเชื่อเรื่องโกหกทันทีที่มีเรื่องจริงปะปนอยู่นิดหน่อย โดยขั้นตอนนี้ จะมุ่งสร้างความรู้สึกว่า ถ้าไม่ออกมาต่อสู้ล่ะก็ ฝ่ายเราจะพ่ายแพ้ ถ้าสามารถสร้าง
Awareness ในประเด็นความแตกต่าง ให้เกิดขึ้นได้แล้ว ก็ถือว่า จุดไฟติดละ เริ่มเติมเชื้อต่อไปได้เลย เหมือนที่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบกระทำอยู่ในปัจจุบัน 



          -เพจ Suara Patani อ้างว่าเหตุยิงนายอิสมาแอ ดอเลาะ และนายอดุลย์เดช เจ๊ะแน
รองประธานกรรมการอิสลาม จ.ปัตตานี หลังกลับจากละหมาดจากมัสยิดในหมู่บ้าน เมื่อวันที่ 7
, 8 มิ.ย. ที่ผ่านมาเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่  คำถามที่เกิดขึ้นคือ เจ้าหน้าที่มีความสามารถติดตามเฝ้าตรวจพฤติกรรมของเป้าหมายที่จะลงมือได้ตลอด 24 ชม. เลยหรือ ?  คำตอบคือเป็นไปไม่ได้
แค่เจ้าหน้าที่ขับรถไปในหมู่บ้านสายตาทุกคนในหมู่บ้านก็จับจ้องแล้ว ในปัจจุบันด้วยนั้นมี ชรบ.
ในการตั้งด่านตรวจซึ่งจะรู้ว่าใครคือคนในหมู่บ้านใครไม่ใช่  ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าหน้าที่จะกระทำและไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่จะทำด้วย แต่สิ่งที่เจ้าหน้าที่กระทำได้คือการเข้าหมู่บ้านมอบของช่วยเหลือ
พี่น้องประชาชนในพื้นที่ดังที่คนในพื้นที่นั้นได้รับกันอยู่ทุกวัน  การก่อเหตุยิงนายอิสมาแอ และนายอดุลย์เดช คนที่ทำได้นั้นก็คือกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่แฝงตัวอยู่ในหมู่บ้านนั้นเองที่รู้ความเคลื่อนไหวของเป้าหมายตลอดเวลา ดังที่คติที่รู้กันของกลุ่มผู้ก่อเหตุที่ว่า  เป้าหมายชัด โอกาสมี ทางหนีพร้อม  ซึ่งคนในหมู่บ้านต่างก็รู้ดีว่าฝีมือของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ แต่พูดไม่ได้เหมือนน้ำท่วมปาก พูดไปเรื่องร้ายก็เข้าตนเองและครอบครัว  จึงไม่แปลกที่บางคนทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่หรือไม่รู้เรื่องกับคดีที่เกิดขึ้น 


          ใครจะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ ใครจะเป็นผู้เสียประโยชน์ ยิ่งเหตุการณ์ความสูญเสียด้วยแล้วไม่มีใครอยากให้เกิด เมื่อเกิดขึ้นงานยากลำบากก็ตกอยู่กับเจ้าหน้าที่ต้องสืบเสาะหาหลักฐานกว่าจะรู้ตัวบุคคลก็ปาไปเป็นปี เพื่อความโปร่งใสความยุติธรรมก็ต้องใช้เวลาในการหาตัวคนร้าย ไม่ใช่เกิดเหตุก็ด่วนสรุปว่าฝ่ายโน้นทำฝ่ายนี้ทำอย่างเพจ Suara Patani ทำอยู่ การก่อเหตุความสูญเสียใครได้ประโยชน์นอกจากลุ่มขบวนการโจรใต้ ก่อเหตุเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ต่างประเทศรู้ว่ากลุ่มตนเองยังมีศักยภาพอยู่ ก่อเหตุเพื่อสร้างความหวาดระแวงต่อพี่น้องไทยพุทธ – มุสลิม ก่อเหตุเพื่อสร้างภาพความรุนแรงให้เกิดสถิติความสูญเสียเพื่อกลุ่มภาคประชาสังคมนำไปเป็นรายงานประจำปีให้กับสหประชาชาติว่าเจ้าหน้าที่ไม่สามารถดูแล้วความปลอดภัยให้ประชาชนได้ ต่างชาติจะได้เข้ามาแทรกแซงจนนำไปสู่ RSD แยกตัวออกจากประเทศไทย จะเห็นได้ว่าทุกเหตุการณ์ความสูญเสียเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มขบวนการโจรใต้ทั้งสิ้น    

          ดังนั้นก่อนตัดสินใจเชื่อในสิ่งไหนก็ตาม ขอให้มีคำนี้สั้น ๆ คำเดียว แต่สองพยางค์ คำนั้นก็คือ “สติ” ใช้สติ ไตร่ตรอง ทบทวน คิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ แยกแยะ มองภาพรวมให้ออก เหตุการณ์นั้น ๆ ใครได้ประโยชน์ จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของการสร้างความเกลียดชังของกลุ่มขบวนการจนยากต่อการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ให้เกิดสันติสุข เพราะสุดท้ายแล้วคนที่รับชะตากรรมความเกลียดชังก็คือคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ รู้อย่างนี้แล้วก็จงรักกัน สามัคคีกัน ไม่ว่าจะพุทธ - มุสลิม พวกเราก็คือคนไทยทั้งนั้นอย่าหลงเชื่อคำบางพวกที่จะทำให้เราแยกจากกัน เราจะกอดกันและไม่มีใครจะแยกเราออกจากกันได้เพราะเราคือคนไทยไม่ใช่ปาตานี  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น