หน้าเว็บ

12/31/2560

เมื่อทหารสร้างรอยยิ้ม NGOs ไทย บอกว่าเป็นการละเมิดสิทธิเด็ก

"กะ กันดา"

           ตามที่องค์กร HAP, มูลนิธิสงเคราะห์เด็กยากจน CCF, กลุ่มด้วยใจ (Hearty Support Group) และ สลาตันเนเจอร์ (Selatan Nature) ได้จัดประชุมเครือข่ายปกป้องคุ้มครองเด็กขึ้นเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2560 ณ สำนักงานกลุ่มด้วยใจ โดยเนื้อหาการประชุมมีการกล่าวถึงกรณีภาพเจ้าหน้าที่ทหารถืออาวุธไปทำการสอนหนังสือหรือทำกิจกรรมร่วมกับเด็กตาดีกาในศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมัสยิด ซึ่งเครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมดังกล่าวได้ชี้นำสังคมให้เห็นว่าเป็นการละเมิดสิทธิเด็ก โดยมีการเตรียมรวบรวมข้อมูลเพื่อนำเสนอสู่สาธารณะ อีกทั้งรายงานไปยังองค์กรต่างประเทศอีกทางหนึ่งด้วย
          นับเป็นความพยายามขององค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านสิทธิส่งท้ายปี และพยายามหยิบยกประเด็นที่มีความอ่อนไหวในเรื่องของความรู้สึกชี้นำสังคมให้เห็นด้วย และคอยจับผิดเจ้าหน้าที่ในการสอนนักเรียนตาดีกาว่าแต่งกายอย่างไร? ในระหว่างสอนถืออาวุธและมีการบังคับเด็กหรือไม่? องค์กรภาคประชาสังคมบางกลุ่มมีความย่ามใจหลังจากก่อนหน้านี้เคยเปิดประเด็นการซ้อมทรมานในพื้นที่ จชต. จนถูกหน่วยงานภาครัฐฟ้องร้องดำเนินคดีมาแล้ว ในข้อหาจัดทำรายงานเสนอต่อสาธารณชนอันเป็นเท็จ อีกทั้งนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ แต่มีการถอนฟ้องและสั่งไม่ฟ้องในเวลาต่อมาเนื่องจากทางรัฐต้องการให้กลับตัวมาช่วยแก้ปัญหา


          องค์กรภาคประชาสังคมเหล่านี้รู้หรือไม่ว่าปัญหาความไม่สงบใน จชต. ผู้ก่อเหตุรุนแรงส่วนหนึ่งที่ก่อเหตุร้ายรายวันเป็นใครมาจากไหน? รู้หรือแกล้งไม่รู้ ต้องยอมรับความจริงว่าผู้ก่อเหตุรุนแรงส่วนหนึ่งมาจากจากการบ่มเพาะเด็กและเยาวชนที่ศึกษาอยู่ในศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมัสยิด (ตาดีกา), สถาบันศึกษาปอเนาะ และโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานศึกษาธิการภาค 8 ในพื้นที่ 3 จชต.และ   จ.สงขลา มีมากกว่า 2,489 แห่ง มีผู้เรียน 408,890 คน ซึ่งในอดีตเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าถึงตาดีกา หรือสถาบันศึกษาปอเนาะเหล่านี้เลย กลายเป็นช่องว่างให้กลุ่มขบวนการทำการบ่มเพาะเด็กและเยาวชน ปลูกฝังอุดมการณ์ที่ผิดๆ บิดเบือนประวัติศาสตร์ปัตตานี บิดเบือนหลักคำสอนศาสนา อีกทั้งยังใช้สถานศึกษาเหล่านี้ ในการเก็บซุกซ่อนอาวุธปืน เป็นที่หลบซ่อนตัว และใช้เป็นสถานที่ประกอบวัตถุระเบิด


          ตั้งคำถาม!! ไปยังองค์กรภาคประชาสังคม จะป้องกันไม่ให้เด็กและเยาวชนซึ่งเปรียบเสมือนผ้าขาวเหล่านี้ ตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มขบวนการได้อย่างไร? ในเมื่อเป้าหมายกลุ่มขบวนการต้องการบ่มเพาะ สร้างคนดีให้กลายเป็นคนไม่ดี เราจะนั่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนธุระไม่ใช่..ได้หรือ? ในเมื่อมีเด็กและเยาวชนจำนวนมาก ที่ถูกหลอกให้เข้าสู่วังวนความชั่วร้าย ต้องหมดสิ้นอนาคตบางรายถึงต้องตายและมีจำนวนไม่น้อยต้องติดคุก เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการระงับยับยั้งป้องกันไม่ให้กลุ่มขบวนการบ่มเพาะหน่อพันธุ์ที่ไม่ดี มีวิธีเดียวเท่านั้น   คือเจ้าหน้าที่ทหารจะต้องเข้าไปในศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมัสยิด (ตาดีกา), สถาบันศึกษาปอเนาะ และโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา มีความจำเป็นที่ต้องพบปะบุคลากรครู เจ๊ะกู เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน ป้องกันการสร้างความเกลียดชังเพิ่ม ไม่ให้สร้างความแตกแยกในสถานศึกษา อีกทั้งยังให้การสนับสนุนในด้านต่างๆ ตามโอกาสที่เอื้ออำนวย ล่าสุดจะมีการจัดตั้ง“ชมรมตาดีการะดับตำบล” ซึ่งจะเป็นศูนย์รวมของผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ คณะกรรมการมัสยิด ผู้ทรงคุณวุฒิในหมู่บ้าน ผู้ปกครองเด็กนักเรียนตาดีกา และผู้ที่มีอุดมการณ์ที่จะสร้างเด็กให้เป็นผู้ใหญ่ที่ดี มีคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม อีกทั้งยังเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ เป็นการเสริมสร้างให้คนในชาติอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขในสังคมที่มีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน โดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา และมีอุดมการณ์รักชาติร่วมกันพัฒนาชาติไทยสืบไป

          เจ้าหน้าที่มีความจำเป็นในการพกพาอาวุธไว้เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่ไม่คาดฝันเป็นการเตรียมความพร้อมในทุกโอกาส เอาไว้ปกป้องคุ้มครองประชาชนผู้บริสุทธิ์  และป้องกันตนเองในขณะเดินทางเพื่อพบปะนักเรียน บุคคลากรครูในสถานศึกษา แต่ไม่ได้ใช้อาวุธในการสอน หากมีภาพเด็กและอาวุธหมายถึงเด็กร้องขอที่จะศึกษา ไม่ต่างจากกิจกรรมวันเด็ก แต่จากการชี้ให้สังคมเกิดการเข้าใจผิดว่าเป็นการละเมิดสิทธิเด็กขององค์กรภาคประชาสังคม หากพิจารณาสาเหตุอาจมาจากกลุ่มขบวนการไม่สามารถบ่มเพาะเด็กและเยาวชนอีกต่อไปได้เหมือนดั่งเช่นในอดีตที่ผ่านมา อีกทั้งยังเสียมวลชนเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าไปปฏิบัติ  ในสถานศึกษาของเจ้าหน้าที่ทหาร จึงใช้ภาคประชาสังคมเคลื่อนไหวกดดันผ่านสื่อและองค์กรต่างๆ
          อยากจะรู้เหมือนกันองค์กรภาคประชาสังคมใดบ้างที่ออกมาสร้างเงื่อนไขและต้องการสิ่งใดกันแน่!! ช่วยตอบเสียงดังๆ ให้พ่อแม่ผู้ปกครองนักเรียนตาดีกา, สถาบันศึกษาปอเนาะ และโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาได้ยินกันถ้วนหน้าทีว่า แท้จริงแล้วองค์กรภาคประชาสังคมเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่ หรือมีหน้าที่สนับสนุนกลุ่มขบวนการในการสร้างความเกลียดชังและใช้ความรุนแรง คอยปกป้องผู้กระทำความผิด ให้พ้นผิด มุ่งส่งเสริมให้มีการบ่มเพาะต้นกล้าที่ไม่ดีในสถานศึกษาไว้เข่นฆ่าประชาชน หลังจากนี้ไปขอให้พี่น้องประชาชนช่วยกันจับตาและสอดส่องกลุ่ม NGOs ทาสขบวนการที่จะเคลื่อนไหวต่อไป   
----------------------



12/25/2560

10 เรื่องเด่น“ความจริงจากจังหวัดชายแดนใต้ 2560”





ปีเก่าจะลาจากไป ปีใหม่กำลังจะมาถึง สื่อต่างๆ ได้มีการจัดอันดับความนิยม ทางเราก็เช่นกันมาดูกันว่าในรอบปีที่ผ่านมาบล็อคของเราได้รับแรงใจจากท่านผู้อ่าน และมีแฟนคลับติดตามให้กำลังใจในงานเขียนตีแผ่ความจริงเพื่อให้สังคมได้รับรู้ และได้จัด 10 เรื่องเด่น“ความจริงจากจังหวัดชายแดนใต้”(Thailand South Situation) ซึ่งทำการเผยแพร่ในและได้รับความนิยมจากผู้อ่านสูงที่สุดในรอบปี 2560 ซึ่งยอดผู้ติดตามกว่า 2,074,724 คน คือสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดี

10 บทความเด่นรอบปี 2560 ที่ทางกองบรรณาธิการข่าว “บล็อกความจริงจากจังหวัดชายแดนใต้” ได้จัดอันดับจากยอดผู้อ่าน ซึ่งพบว่าบทความที่มีผู้คนให้ความสนใจสูงสุด คือ บทความเรื่อง “เหตุผลหลักที่กลุ่ม ผกร.เลือก นายนูร์ฮาซัน ทำการก่อเหตุ” ซึ่งเขียนโดย “กะ กันดา” รองลงมาคือ บทความเรื่อง “สำนึกหน้าที่ NGOs…กรณีโจรปล้นเต็นท์รถทำคาร์บอม” เขียนโดย “กะ กันดา” เช่นกัน  เรามาดู Top Ten บทความแห่งปีกันค่ะ...

อันดับที่ 1 บทความ เรื่อง เหตุผลหลักที่กลุ่มผกร.เลือก นายนูร์ฮาซัน ทำการก่อเหตุ  
เผยแพร่เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 60 ผู้เข้าชม 78,960 ครั้ง  
เขียนโดย กะ กันดา

          เป็นเรื่องราวกลุ่มคนร้ายได้ก่อเหตุบุกปล้นรถจำนวน 6 คัน ที่ อ.นาทวี เมื่อ 16 ส.ค.60 เพื่อนำไปทำคาร์บอม ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวเจ้าหน้าที่ได้วิสามัญ นายนูร์ฮาซัน อาแว คนร้ายเสียชีวิตหลังขับแหกด่านเกาะหม้อแกง ทั้งที่ นายนูร์ฮาซัน อาแว เป็นคนดี เรียนเก่ง เคร่งศาสนา  แต่กลับหลงเชื่อกลุ่มขบวนการจนนำมาสู่ความสูญเสียความเสียใจต่อครอบครัว
http://pulony.blogspot.com/2017/08/normal-0-false-false-false-en-us-x-none.html


อันดับที่ 2 บทความ เรื่อง มะรอโซ จันทราวดี “วีรบุรุษ”หรือ“อาชญากร” 
เผยแพร่เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 60 ผู้เข้าชม 47,245 ครั้ง
เขียนโดย Ibrahim

          เรียกได้ว่าสังคมไทยให้ความสนใจปัญหาชายแดนใต้ได้มากที่สุดเหตุการณ์หนึ่ง กรณี เมื่อกลางดึกวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2556  กลุ่มคนร้าย จำนวนไม่น้อยกว่า 50 คน บุโจมตีฐานปฏิบัติการทหารนาวิกโยธินในพื้นที่ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส  ก่อนจะเกิดการปะทะกันอย่างดุเดือด หลังจากการปะทะ พบศพ นายมะรอโซ จันทราวดี แกนนำอาชญากรชายแดนใต้คนสำคัญ มีคดีความมั่นคงหลายหมาย ขณะฝ่ายตรงข้ามยกย่องผู้ร้ายว่าเป็นวีรบุรุษ แต่สำหรับใครหลายคนเรียกว่าอาชญากร
อันดับที่ 3 บทความ เรื่อง  สำนึกหน้าที่ NGOs…กรณีโจรปล้นเต็นท์รถทำคาร์บอม  
เผยแพร่เมื่อวันที่ 18 ส.ค. 60 ผู้เข้าชม 45,790  ครั้ง
เขียนโดย  กะ กันดา

           สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยังคงอยู่ในความรู้สึกของใครๆ หลายคนทั่วประเทศ ถึงการทำหน้าที่ของนักสิทธิในสามจังหวัดชายแดนใต้ กรณีคนร้ายปล้นรถยนต์ทำคาร์บอม แต่กลุ่ม NGOs กลับหายเงียบไม่มีออกมาแถลงการณ์ประนามแม้แต่น้อย ทวงถามถึงการทำหน้าที่ของกลุ่ม NGOs คืออะไร? เรียกร้อง  “สิทธิ” ให้กับประชาชนทุกคนใช่หรือไม่? จัดตั้งขึ้นมาโดยไม่ “แสวงผลกำไร” และ  “ผลประโยชน์ใดๆ” ในการเคลื่อนไหว
อันดับที่ 4 บทความ เรื่อง จับโจรใต้ใจบาปยิงหญิงท้อง9 เดือนสารภาพสิ้นเคยก่อคดีสำคัญหลายเหตุ 
เผยแพร่เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 60  ผู้เข้าชม 42,194 ครั้ง
เขียนโดย กะ กันดา

          สำหรับเรื่องเป็นเรื่องที่สะเทือนใจคนทั่วประเทศ สร้างความหดหู่ใจเป็นอย่างมาก กรณีคนร้ายได้ประกบยิงน.ส.รัตติกาล จ่าวัง อายุ 26 ปี ตั้งครรภ์ ๘ เดือน เสียชีวิตคาที่ เหตุเกิดเมื่อ  26 พ.ย.59 จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าที่เร่งไล่ลาตัวคนร้ายมาดำเนินคดี จนกระทั่งนำไปสู่การจับกุมตัว
นายรอซาลี วาปิ  และยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุและเป็นแนวร่วม
RKK ก่อเหตุมาแล้วกว่า 8 คดี 
https://pulony.blogspot.com/2017/02/9.html

อันดับที่ 5 บทความ เรื่อง งามไส้!! อัญชนา - พรเพ็ญพฤติกรรมที่ไม่เคยเปลี่ยน เผยแพร่เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 60 ผู้เข้าชม 27,240  ครั้ง  
เขียนโดย Ruslan

          นี้คงเป็นอีกเรื่องที่โซเซียลและคนในพื้นที่ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก กรณีนายดาโห๊ะ มะถาวร  ครูโรงเรียนตาดีกา  ได้หายไปจากบ้าน ก่อนจะโทรบอกครอบครัวว่าไปกับทหาร จนกลายเป็นประเด็นว่าโดนทหารอุ้ม จนทำให้ นักสิทธิ ที่ทำหน้าที่เงียบ นิ่งๆ ออกมาแถลงการณ์ปล่อยตัว และโจมตีใส่ร้ายเจ้าหน้าที่  ก่อนที่ความจริงปรากฎ นายดาโห๊ะ มะถาวร ไม่ได้โดนอุ้ม แต่กลับไปหากิ๊กสาวที่สตูล เลยต้องกุเรื่องบอกภรรยาเพราะกลัวภรรยาจะรู้  งานนี้เลยเป็นเรื่อง โอ้ละพ่อ  ขณะที่กลุ่มนักสิทธิกลับไม่มีความรับผิดชอบไม่มีแถลงการณ์ขอโทษอะไรเลย https://pulony.blogspot.com/2017/06/blog-post.html

อันดับที่ 6 บทความ เรื่อง พี่เป็นโจร น้องเป็นสื่อพี่น้องท้องเดียวกันความสัมพันธ์กับกลุ่มขบวนการโจรใต้ 
เผยแพร่เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 60 ผู้เข้าชม 26,153 ครั้ง 
เขียนโดย Ruslan

          นายทวีศักดิ์ ปิ อดีตบรรณาธิการสำนักสื่อวาร์ตานี ซึ่งหลายคนที่ติดตามสถานการณ์สามจังหวัดชายแดนใต้ จะรู้ว่านายทวีศักดิ์ ปี เป็นตัวละครตัวหนึ่งที่คอยเคลื่อนไหวทางปีกการเมืองให้กับกลุ่มขบวนการ โดยอาศัยสื่อตนเองเคลื่อนไหวเผยแพร่โจมตีเจ้าหน้าที่ตลอดเวลาเมื่อมีโอกาส ขณะที่พี่ชายตนเอง ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมก่อเหตุระเบิดเมื่อ ปี 57  แล้วนายทวีศักดิ์ ปี ผู้เป็นน้องจะใช้สื่อตนเองช่วยพี่น้องหรือไม่ สามารอ่านติดตามได้ที่ลิงค์ด้านล่าง
อันดับที่ 7 บทความ เรื่อง ขบวนการบีอาร์เอ็น กับปัญหายาเสพติด  
เผยแพร่เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 60 ผู้เข้าชม 22,044  ครั้ง
เขียนโดย  Ibrahim

          ปัญหาที่รุมเร้าสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบันไม่ได้มีแค่เฉพาะปัญหาความไม่สงบที่กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงหยิบยื่นให้กับประชาชนแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ภายใต้สถานการณ์ความไม่สงบที่ยืดเยื้อมายาวนานนั้น กลับมีปัญหาอื่นๆ ซุกซ่อนอยู่ และเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่ามีความเชื่อมโยงกับกลุ่มขบวนการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และหนึ่งในนั้นคือ‘ปัญหายาเสพติด’ https://pulony.blogspot.com/2017/01/blog-post_23.html

อันดับที่ 8 บทความ เรื่อง BRN กับ น้ำกระท่อม
เผยแพรเมื่อวันที่ 14 ม.ค. 60  ผู้เข้าชม 20,923 ครั้ง
เขียนโดย Ibrahim

          เมื่อกลุ่มเยาวชน วัยรุ่น ซึ่งเป็นคนว่างงานและติดสี่คูณร้อยอย่าง “งอมแงม” แบบขาดไม่ได้ กลับกลายเป็นช่องว่างให้กลุ่มขบวนการ BRN ชักนำชักจูงให้เข้าร่วมก่อเหตุสร้างสถานการณ์เพื่อแลกกับยาเสพติด มีหลายครั้งที่พบกลุ่มคนที่ขาดสติ ไม่กลัวตายบุกเข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่ด้วยมีด ด้วยมือเปล่าอย่างบ้าบิ่น สืบพบเบื้องหลังได้มีแกนนำให้กลุ่มคนเหล่านี้กินน้ำกระท่อมสี่คูณร้อย โดยทำการหลอกว่าเมื่อกินแล้วว่าเจ้าหน้าที่ไม่สามารถมองเห็นตัวตน http://pulony.blogspot.com/2017/01/ibrahim-9.html

อันดับที่ 9 บทความ เรื่อง กลุ่มขบวนการโคตรใจดำ...หลอกให้“นูร์ฮาซัน” ไปตาย
เผยแพร่เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 60  ผู้เข้าชม 18,235 ครั้ง
เขียนโดย แบมะ ฟาตอนี

          ผลพวงจากการหลงผิดเข้าร่วมขบวนการ ทำให้ นายมารูดิง อาแว บิดาของ นายนูร์ฮาซัน อาแว กล่าวว่า “รู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่า ลูกจะเลือกใช้วิธีรุนแรง เพราะที่ผ่านมาลูกไม่เคยเกเร มุ่งแต่เรียน ทำงานเพื่อเลี้ยงตัวเอง และส่งเสียตัวเองจนจบปริญญาตรี ไม่เคยรบกวนพ่อแม่” สุดท้ายแล้วกลุ่มขบวนการที่หลอกใช้ก็ไม่เคยหยิบยื่นความช่วยเหลือใดๆ นอกจากภาครัฐที่ยังคอยให้กำลังใจและให้การช่วยเหลือ
อันดับที่ 10 บทความเรื่อง กลุ่มได้ใจโจรใต้ กับพฤติกรรมเดิมที่ไม่เคยเปลี่ยน!!
เผยแพร่เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 60  ผู้เข้าชม 18,224  ครั้ง 
เขียนโดย Ruslan

ใครคือผู้ก่อเหตุ ใครคือผู้สนับสนุน ใครคือผู้บงการ กลุ่มปีกการเมืองของขบวนการอาชญากรชายแดนใต้เวาลเกิดสร้างความรุนแรงจากฝีมืออาชญากร ไม่ว่าจะระเบิด ยิง ฆ่าผู้บริสุทธิ์ กลุ่มพวกนี้ไม่เคยออกมาเรียกร้องประนามการกระทำที่สุดโต่ง ไม่เคยมีกลุ่ม หรือองค์กรหน้าไหนโผล่หน้าออกมาพูดกล่าวหาว่าโจรใต้ทำเกินกว่าเหตุประณามทำร้ายผู้บริสุทธิ์  แต่ตรงกันข้ามเวลาคนร้ายถูกจับกุมหรือปะทะถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญ ก็จะออกมาดิ้นช่วยเหลือคนร้ายพร้อมกัน และยังกล่าวหาเจ้าหน้าที่ทำเกินกว่าเหตุ 
        นี่คือ 10 เรื่องเด่นประจำปี 2560  ที่กองบรรณาธิการข่าวความจริงจากจังหวัดชายแดนใต้ได้สรุปมาให้ทุกท่านได้อ่านทบทวนอีกรอบ.. และในปีใหม่ที่จะถึงนี้ ขออวยพรให้คนไทยทุกคน จงมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง  มีแต่ความสุข คิดหวังสิ่งใดสมใจปราถนาทุกประการ  คณะทำงานกองบรรณาธิการ ขอขอบคุณแฟนคลับทุกท่านที่ยังคอยติดตามอยู่เสมอ เรายังคงจะทำหน้าที่ในการตีแผ่ความจริง เปิดโปงความชั่วของพวกทำลายประเทศชาติ ให้สังคมได้รับรู้ต่อไป....


-----------------------

12/21/2560

PerMAS ต้องการอะไร? ในการเคลื่อนไหว

"แบดิง โกตาบารู"


เมื่อวันที่ 10 ธ.ค.60 ณ อาคารสถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา ม.อ.ปัตตานี สหพันธ์นิสิตนักศึกษา นักเรียน และเยาวชนปาตานี (PerMAS) จัดกิจกรรม "มหกรรมนิทรรศการเนื่องในวันสิทธิมนุษยชนสากล" เนื่องในวันสิทธิมนุษยชนสากล ซึ่งมีการอภิปรายและเสวนาบนเวที และได้มีการถ่ายทอดสดผ่านทาง facebook Live โดยเพจสื่อแนวร่วม อีกทั้ง PerMAS ยังได้ออกแถลงการณ์ ขอให้ประชาชนจับตาสถานการณ์ด้านสิทธิฯ ในปาเลสไตน์ เฝ้าระวังและร่วมขับเคลื่อนเพื่อสิ่งแวดล้อมกรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ย้ำการแสวงหาทางออกความขัดแย้งในพื้นที่ คู่สงครามต้องเคารพในสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างแท้จริง

ส่วนการเสวนาบนเวทีภายใต้หัวข้อ Respect-Right-Dignity of PATANI อาจารย์ ซากีย์ พิทักษ์คุมพล อาจารย์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หนึ่งในผู้อภิปรายได้กล่าวว่า PerMAS คือองค์กรทางการเมือง ไม่ใช่แนวร่วมขบวนการ เป็นองค์กรทางเลือกที่เคลื่อนไหวให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ทำอย่างไร? เมื่อ PerMAS เสนออะไร? รัฐและกลุ่มขบวนการจะต้องรับฟัง เหตุและผลเป็นเช่นไร!! ผู้เขียนไม่สามารถทราบได้ว่าเหตุใด ผู้อภิปรายจึงมีความเชื่อมั่นขนาดนั้น แต่เมื่อมีการการันตีว่า PerMAS ไม่ใช่แนวร่วมขบวนการ หรือเป็นปีกการเมืองขบวนการ เป็นแค่องค์กรทางการเมืองที่ขับเคลื่อนโดยกลุ่มเยาวชนที่ผู้ใหญ่ต้องฟัง อีกทั้งยังได้กล่าวการมีส่วนร่วมที่องค์กรอื่นๆ จะต้องให้มีความร่วมมือ การกล่าวดังกล่าวเพื่อวัตถุประสงค์อะไร? จะต้องตั้งคำถามกลับไปว่าแท้จริงแล้ว PerMAS ต้องการอะไรมากกว่า ซึ่งจะต้องถอดแนวความคิดและวิเคราะห์พฤติกรรมที่ผ่านมาของ PerMAS แท้จริงแล้วที่เคลื่อนไหวมีใครให้การสนับสนุน และในการทำกิจกรรมมีอะไรที่แอบแฝงอยู่? หากเราไปไล่เรียงเรื่องราวเก่าๆ ปะติดปะต่อดู พบว่าจุดหมายที่แท้จริงขององค์กรนี้ ต้องการเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ “เอกราช” ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากจุดหมายของ BRN เลย แต่ที่ต่างกันคือรูปแบบและวิธีการต่างหาก แทนที่ PerMAS จะหยิบอาวุธลุกขึ้นมาต่อสู้กับรัฐไทยก่อความรุนแรง แต่กลับใช้งานการเมืองโดยไม่ใช้กำลัง (nonviolent) มุ่งสร้างเครือข่ายในพื้นที่และต่างพื้นที่ สร้างการมีส่วนร่วม สร้างการรับรู้ของประชาชน มีการใช้ วาทกรรม ปลุกกระแสชาตินิยมปาตานี รณรงค์ให้ความรู้ในเรื่องกฎหมาย เรื่องสิทธิ ความเหลื่อมล้ำ (ความไม่เท่าเทียม) ทางสังคมในพื้นที่ปาตานี อีกทั้งชูประเด็นปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน เรียกร้องการเคารพความเท่าเทียม ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และสิทธิในความเป็นเจ้าของ เพื่อมุ่งไปสู่สิทธิการกำหนดใจตนเองด้วยการลงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชจากรัฐบาลไทย ซึ่งเป็นความหวังหนึ่งเดียวที่จะประสบความสำเร็จโดยใช้ปีกทางการเมือง ยิ่งในพื้นที่ จชต.น่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากพื้นที่แห่งนี้แตกต่างโดยสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ ทั้งในเรื่องปัญหาที่รุมเร้า รากเหง้าในเรื่องประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์ อัตลักษณ์วิถีชีวิตความเป็นอยู่ โดยเฉพาะในเรื่องการนับถือศาสนา เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม เชื่อฟังผู้นำศาสนา ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ที่ผ่านมา ชี้ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปี 2559 จากผลการลงประชามติใน 3 จชต.ออกมาเช่นไร? เป็นที่ทราบกันดี ส่วนบนเวทีเสวนา นายสุไฮมี ดุลสะ รองผู้อำนวยการสถาบันปาตานี ได้ตอกย้ำผลการทำวิจัยด้วยการทำแบบสอบถามผู้คนในพื้นที่ โดยตั้งคำถามว่าเป็น คนไทย หรือ คนมลายูปาตานี ซึ่งผลที่ออกมาผู้ตอบแบบสอบถาม 80% ตอบว่าเป็น “คนมลายูปาตานี” นี่คือผลพวงทางการเมืองของ PerMAS มิใช่หรือ?


การสร้างเครือข่ายของ PerMAS ซึ่งเป็นองค์กรทางการเมือง ที่มีการการันตีจากนักวิชาการว่าไม่ใช่แนวร่วมขบวนการ เป็นองค์กรทางเลือกที่เคลื่อนไหวให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม นอกจากในพื้นที่แล้วยังมีการเชื่อมต่อไปยังการเมืองส่วนกลางและภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศ จะเห็นได้ว่าอดีตประธาน PerMAS แต่ละคนถึงแม้พ้นตำแหน่งไปแล้ว แต่ในความเป็นจริงยังคงมีบทบาท ร่วมวางแผนยุทธศาสตร์งานการเมืองร่วมกัน อย่างเช่นผู้ก่อตั้ง PerMAS รุ่นแรก นายอาเต๊ฟ โซ๊ะโก และ นายตูแวดานียา ตูแวแมแง ยังคงทำงานในบทบาทองค์กรภาคประชาสังคม ในนามสำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา (LEMPAR) และเป็นที่ปรึกษาให้กับ PerMAS อีกด้วย ส่วน นายสุไฮมี ดุลสะ ที่เพิ่งพ้นวาระประธาน PerMAS ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง รองผู้อำนวยการสถาบันปาตานี ก็ยังคงทำงานประสานเนื้อเดียวกัน เสมือนหนึ่งแยกร่างออกจาก PerMAS เพื่อทำงานควบคู่และเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน หากตีแผ่ยุทธศาสตร์ของสถาบันปาตานี ซึ่งมี 4 ด้าน ด้วยกัน (1) สนับสนุนแนวทางสันติวิธีของขบวนการในการต่อสู้ไม่ให้ใช้ความรุนแรง ชี้นำแนวทางการต่อสู้แบบสันติวิธี ต้องมีพัฒนาการแนวทางการเมืองนำการทหาร กองกำลังมีไว้เพื่อใช้อำนาจการต่อรองเท่านั้น (2) ยุทธศาสตร์กลไกระหว่างประเทศ เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการต่อสู้ เป็นเครื่องมือให้เกิดการยอมรับจากต่างประเทศมากยิ่งขึ้น (3) องค์กรในพื้นที่จะต้องเชื่อมโยงกับกลุ่มการเมืองส่วนกลาง กับเครือข่ายองค์กรอื่นๆ ภายในประเทศ ซึ่งการต่อสู้ไม่ใช่แค่ผูกขาดเฉพาะแค่คนในพื้นที่เท่านั้น (4) การสร้างความเข้มแข็งจากภายใน ประชาชนจะต้องรู้สิทธิของตนเอง การมีความรู้สึกร่วม ความเป็นเจ้าของ การตระหนักรู้ และเป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคนในพื้นที่

จากข้อมูลข้างต้นคงพอจะเห็นเจตนา ด้วยเหตุและผลในมุมองของอาจารย์ ซากีย์ พิทักษ์คุมพล อาจารย์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ที่ได้กล่าวไว้บนเวทีเสวนาว่า PerMAS คือองค์กรทางการเมือง ไม่ใช่แนวร่วมขบวนการ เป็นแค่องค์กรทางเลือกที่เคลื่อนไหวให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ผู้เขียนเชื่อตามที่ อาจารย์ ซากีย์ฯ ได้กล่าวซึ่งอาจจะเป็นความจริง แต่ที่ไม่ได้กล่าวถึงคือ PerMAS ต้องการอะไร? ในการเคลื่อนไหวและเป้าหมายที่แท้จริงคืออะไร? เชื่อเหลือเกินว่าอาจารย์ ซากีย์ฯ ย่อมรู้ดีแต่ละเว้นไว้ในฐานที่เข้าใจ หรือเป็นเครื่องหมายคำถาม? ให้สาธารณชนได้ฉุกคิด ซึ่งหลายๆ ครั้งที่จับประเด็นได้จากการเคลื่อนไหวของ PerMAS คงมิได้แตกต่างจาก BRN สักเท่าไหร่ยังคงมีจุดหมายเดิมๆ นั่นคือ เอกราช แต่ต่างกันตรงที่ไม่ใช้อาวุธ ไม่ใช้ความรุนแรง ใช้งานการเมืองในการขับเคลื่อนไปสู่จุดหมายด้วยการลงประชามติกำหนดใจตนเอง คนเหล่านี้ส่วนมากแล้วสักที่อยากจะได้ เห็นแก่ประโยขน์กลุ่มตน เห็นต่างประเทศเรียกร้องจะเอาแบบเขาบ้าง!! ไม่เคยเหลียวมองตนเองว่าเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน!! ยิ่งในเรื่องเศรษฐกิจถามว่าจีดีพีมวลรวม 3 จชต.มีเท่าไหร่!! และที่สำคัญถามใจประชาชนในพื้นที่หรือยัง!! ว่าความต้องการที่แท้จริงต้องการอะไร!!....

----------------------

12/18/2560

เผารถบัส แผนเชือดไก่เรียกค่าคุ้มครองของกลุ่มอาชญากรใต้

"แบมะ ฟาตอนี"


จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา อาชญากรใต้ ได้ลงมือปฏิบัติการเย้ยอำนาจรัฐ นัดรวมพลกว่า 10 คน สวมชุดดำหมวกไหมพรมสวมเป็นไอ้โม่งพร้อมอาวุธครบมือดักปล้นรถทัวร์โดยสารประจำทางสายเบตง-กรุงเทพฯ บนทางหลวงสาย 410 (ยะลา-เบตง) เขตพื้นที่บ้านคลองน้ำขุ่น หมู่ 5 ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา โดยคนร้ายไล่พนักงานขับพร้อมกระเป๋ารถ และผู้โดยสารชายหญิงรวม 17 คน ลงจากรถ ก่อนราดน้ำมันเบนซินแล้วจุดไฟเผารถและทรัพย์สินวอดกลางวันแสกๆ โดยไม่ได้ทำร้ายผู้โดยสารและพนักงานขับรถแต่อย่างใด นำมาซึ่งข้อสงสัยต่อประชาชนทั่วไป และยิ่งคิดไปไกลเมื่อสื่อได้จุดประเด็นเหตุใดการก่อเหตุครั้งนี้ ไม่มีการทำร้ายประชาชนให้ได้รับบาดเจ็บแม้เล็บแมวข่วน ดั่งเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เราไม่รู้ว่าเป็นการกระทำของกลุ่มไหน ที่แน่ๆ เป็นการกระทำที่ไม่มีความเกรงกลัวต่อกฎหมาย และสื่อแนวร่วมอาชญากรใต้ได้ชิงนำในการใช้ความเนียน โดยพยายามสื่อ เรารู้เพียงว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุใส่ชุดทหาร ใช้ไอ้โม่งปิดหน้า มีอาวุธสงครามครบมือ ใช้ภาษามลายูปาตานีและใช้ภาษาไทย การปฏิบัติการครั้งนี้โดยไม่มุ่งหวังต่อชีวิตผู้ที่อยู่ในรถ แต่เป้าหมายคือต้องการทำลายทรัพย์สิน อีกทั้งกลุ่มผู้ก่อเหตุได้ช่วยกันขนกระเป๋าของผู้โดยสารออกจากรถ ให้ผู้โดยสารอยู่ในที่ปลอดภัย ก่อนทำการจุดไฟเผา และได้มีการสื่ออีกว่า จุดเกิดเหตุอยู่ตรงกลางระหว่างด่านเจ้าหน้าที่ตำรวจบ้านบันนังบูโบ และฐานทหารพรานสามแยกเขื่อนบางลาง ห่างจากด่านตำรวจประมาณ 1 กิโลเมตร และจากจุดเกิดเหตุถึงฐานทหารพรานประมาณ 1 กิโลเมตร การสื่อดังกล่าวของ สื่อแนวร่วมอาชญากรใต้ ถามว่าต้องการอะไร? ต่อความพยายามทั้งหมดที่โยงโน่นนิด ผสมนี่เข้าไปหน่อย หากจะมองคงจะมีประเด็นเดียว เพียงเพื่อให้สังคมเข้าใจผิดคิดว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการแต่งกาย การใช้ภาษาในการสื่อสาร อีกทั้งยังมีน้ำใจช่วยผู้โดยสารขนกระเป๋าก่อนจุดไฟเผารถทัวร์ ซึ่งจะมีคนร้ายที่ไหน!! ใจดีขนาดนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นแผนชั่วที่ได้มีการตระเตรียมไว้แล้วล่วงหน้าของกลุ่มอาชญากรใต้ เมื่อก่อเหตุเสร็จให้สื่อแนวร่วมชิงนำโฆษณาชวนเชื่อในสื่อสังคมออนไลน์ ตั้งคำถามต่อสังคม!! ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากเจ้าหน้าที่เท่านั้นที่มีศักยภาพ.... แผนการชั่วอาชญากรชายแดนใต้ล้ำลึกจริงๆ


แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง กับโลกเสมือนจริงในสื่อสังคมออนไลน์ช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เมื่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากการสืบทราบเบาะแสของเจ้าหน้าที่ พบว่าผู้ลงมือก่อเหตุครั้งนี้เป็นกลุ่ม นายอาหามะ ลือแบซา แกนนำระดับปฏิบัติการอาชญากรใต้ ซึ่งรับผิดชอบในพื้นที่ อ.บันนังสตา และ อ.ยะหา จ.ยะลา ซึ่งหากวิเคราะห์ถึงสาเหตุของการปฏิบัติการเผารถทัวร์ โดยไม่เตะต้องทำร้ายผู้โดยสาร หรือแม้กระทั่งพนักงานขับพร้อมกระเป๋ารถแต่อย่างใด เนื่องจากกลุ่มอาชญากรใต้เหล่านี้ขาดการสนับสนุนจากแกนนำใหญ่ ต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวในพื้นที่ตามยถากรรม อีกทั้งความระส่ำระส่ายภายในองค์กรเอง ผสมกับความไม่ชัดเจนในเรื่องของอุดมการณ์ที่แน่นอน บางกลุ่มเอาตัวรอดถึงกับปล้นเขากิน ทำธุรกิจที่ผิดกฎหมาย แต่สาเหตุหนึ่งที่สำคัญในปัจจุบัน เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐมีความเข้มแข็งขึ้น ในขณะที่กลุ่มอาชญากรใต้เองที่ผ่านมาเกิดความผิดพลาดเสียมวลชน จากการก่อเหตุต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ไม่มีการแยกแยะเป้าหมาย โดยเฉพาะต่อเป้าหมายที่อ่อนแอไม่มีแม้อาวุธต่อสู้ ซึ่งมีมวลชนหันมาให้ความร่วมมือกับภาครัฐเพิ่มมากขึ้น และนี่คือเหตุผล!! ที่หลายคนสงสัยว่าเหตุใดพฤติกรรมกลุ่มอาชญากรใต้จึงเปลี่ยนไป.. และเหตุการณ์เผารถบัส.. อาจจะเป็นแผนเชือดไก่ให้ลิงดู เพื่อเรียกค่าคุ้มครองของกลุ่มอาชญากรใต้ก็เป็นได้.
-------------------------


12/15/2560

ตีแผ่!! คำให้การ.. อาชญากรชายแดนใต้เมื่อถูกซักถาม

"แบมะ ฟาตอนี"


          อีกเพียงไม่กี่วันปีเก่าก็กำลังจะผ่านไปปีใหม่กำลังย่างเข้ามา แม้จะก้าวสู่ปีที่ 14 ของเหตุการณ์ไฟใต้ แต่เหตุร้ายยังคงเกิดขึ้นไม่เว้นวัน แต่ในภาพรวม ณ วันนี้สถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ดีขึ้นมากแล้ว และกำลังจะดีขึ้นเรื่อยๆ ในวันนี้สิ่งที่นับเป็นความสำเร็จของเจ้าหน้าที่รัฐคือ “กลุ่มอาชญากรชายแดนใต้” ที่ถูกจับกุมดำเนินคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ถูกจำคุกไปแล้วถึง 70% จากในอดีตที่อาชญากรชายแดนใต้ส่วนใหญ่จะถูกศาล “ยกฟ้อง” หรือถูก “สั่งไม่ฟ้อง” เพราะพยานหลักฐานอ่อน จนมีผู้ได้รับโทษไม่ถึง 30% ด้วยซ้ำ จากความสำเร็จดังกล่าวส่งผลให้ “กลุ่มอาชญากรชายแดนใต้” พยายามดิ้นและได้หยิบยกวันครบรอบแห่งการสูญเสียมารำลึก เพื่อเป็นการ “ตอกย้ำ” ให้คนในพื้นที่คิดถึงเรื่องราวในอดีตที่เคยเกิดขึ้น โดยหวังผลให้เกิดความเคียดแค้นชิงชังเจ้าหน้าที่รัฐ

จากในอดีตที่อาชญากรชายแดนใต้ส่วนใหญ่จะถูกศาล “ยกฟ้อง” หรือถูก “สั่งไม่ฟ้อง” เป็นเหตุให้ “คนผิด” ที่ถูกปล่อยตัวลอยนวล แนวร่วมสื่อนำมาโฆษณาชวนเชื่อ นี่คือ “แพะ” ที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐใส่ความ กลายเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมสำหรับคนมุสลิมที่ได้รับ กล่าวหาเจ้าหน้าที่เลือกปฏิบัติ เป็นความเหลื่อมล้ำทางสังคมของมลายูมุสลิม ส่งผลให้นักสิทธิมนุษยชนนำไปขยายผลบนเวทียูเอ็นและโอไอซี ที่แน่ๆ คือกลุ่มอาชญากรชายแดนใต้ยังคงเคลื่อนไหว และมีการ “สร้างเซลล์ใหม่” ขึ้นมาเพื่อทดแทนคนเก่าที่เสียชีวิตหรือติดคุกเพื่อดำรงในการก่อเหตุ

“อาชญากรชายแดนใต้” ที่ถูกจับกุมเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวตามกฎอัยการศึกได้ไม่เกิน 7 วัน และควบคุมตัวตาม พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ ไม่เกิน 30 วัน วันนี้!! เรามาเปิดปากคำให้การของคนเหล่านี้กันว่า เมื่อถูกซักถาม!! จะให้การกับเจ้าหน้าที่ว่าอย่างไร? ตลอดระยะเวลาที่ผู้เขียนได้ติดตามข่าวสารชายแดนใต้ เมื่อ “อาชญากร” ที่กระทำความผิดไม่ว่าจากเหตุลอบวางระเบิด ทำการซุ่มยิง หรือก่อเหตุในลักษณะใดก็แล้วแต่ เมื่อเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุม มีการบังคับใช้กฎหมายต่อกลุ่มบุคคลดังกล่าว มีการควบคุมตัวเข้าสู่กระบวนการซักถามหรือสอบสวน พบว่าส่วนใหญ่จะให้การยอมรับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ แต่จะให้การต่อเจ้าหน้าที่ในลักษณะ “เป็นแค่คนดูต้นทาง เป็นผู้ชี้เป้า เป็นคนขับรถให้ผู้ก่อเหตุ เป็นผู้คอยดูความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ เป็นผู้ขับรถที่ประกอบระเบิดเสร็จแล้วไปส่งเท่านั้น” ซึ่งไม่เคยมีเลยที่จะยอมรับความจริงว่า เป็นผู้ลงมือก่อเหตุด้วยตัวเอง เป็นผู้กดระเบิด เหนี่ยวไกปืนยิงสังหารผู้บริสุทธิ์ นอกเสียแต่ว่าจนมุมด้วยหลักฐานจริงๆ จนดิ้นไม่หลุดจึงจะยอมรับว่าเป็นผู้กระทำ อย่างกรณีล่าสุดเจ้าหน้าที่จับกุม นายหามะ หะยีมะ บุคคลตามหมายจับ ป.วิอาญา คดีลอบวางระเบิดรถบัสรับ-ส่งนักเรียน ยอมรับว่าเกี่ยวข้องกับเหตุความรุนแรง 2 เหตุด้วยกัน คือเหตุลอบวางระเบิดรถบัสรับ-ส่งนักเรียน ซึ่งนายหามะฯ ยอมรับว่าทำหน้าที่ขับรถจักรยานยนต์  พ่วงข้างประกอบระเบิดไปจอด ณ จุดเกิดเหตุ อีกทั้งยังมีส่วนร่วมก่อเหตุลอบวางระเบิด 2 จุด ในบริเวณตลาดบ่อทอง อ.หนองจิก ซึ่งนายหามะฯ ยอมรับเป็นแค่ผู้ที่ติดตามความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ก่อนลงมือก่อเหตุเท่านั้น นั่นคือเสียงของคนร้ายที่ยอมปริปากพูด แต่ดูเหมือนว่าคำให้การของอาชญากรเหล่านี้ นับตั้งแต่ปี 47 จนกระทั่งถึงปัจจุบัน จะให้การในแนวทางเดียวกัน เนื่องจากมีการอบรมให้ความรู้ในข้อกฎหมายจากองค์กร ในพื้นที่ เพื่อเลี่ยงบาลีให้การในชั้นสอบสวน และจะทำอย่างไร? เพื่อให้ตัวเองพ้นผิดจนนำไปสู่ศาล “ยกฟ้อง” หรือถูก “สั่งไม่ฟ้อง”

จะเห็นได้ว่าในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้มีองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ตั้งตนขึ้นมาเพื่อให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย ให้ความรู้ในเรื่องสิทธิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมได้เปิดศูนย์ให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมาย แต่เชื่อเถอะ! ถึงแม้อาชญากรชายแดนใต้จะให้การเช่นไร!! หากพยานหลักฐานเพียงพอก็หนีไม่พ้นผิดอยู่ดี ยิ่งในปัจจุบันมีการนำหลักนิติวิทยาศาสตร์ที่ทั่วโลกให้การยอมรับมาใช้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการตรวจหาพันธุกรรม DNA ส่งผลให้ศาล “ยกฟ้อง” หรือถูก “สั่งไม่ฟ้อง” เพราะพยานหลักฐานไม่เพียงพอเหมือนสมัยก่อนมีน้อยมากหรือไม่ค่อยมีให้เห็น การที่ “แกนนำอาชญากรชายแดนใต้” ได้พยายามบิดเบือนและปลูกฝังให้สมาชิกหลงเชื่อ “งมงาย” ในการก่อเหตุ ลองคิดไตร่ตรองดูจะมีใคร    ที่ไหนต้องการ “พลีชีพ” หรือต้องการที่จะ “ติดคุก” เพราะทั้งสองอย่าง อาชญากร ทุกคนต้องการที่จะมีชีวิตรอด “หลีกเลี่ยง” ดังนั้นหากหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ร้ายได้อย่างทันท่วงที และบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง จะทำให้บรรดา “อาชญากร” เหล่านั้นเกิดเกรงกลัว จนนำไปสู่การเกิดเหตุที่ลดน้อยลง และจะส่งผลดีต่อสถานการณ์ในพื้นที่ดีขึ้นตามลำดับอย่างแน่นอน.

----------------------