"แบมะ ฟาตอนี"
“ความตาย” มนุษย์ทุกคนเกิดมาไม่สามารถหลีกหนีพ้น
จุดจบ..อาจจะต่างกันซึ่งบางคนอาจจะยังไม่ถึงวัยอันควรก็มีอันเป็นไปไม่มีวันหวนกลับ..ทั้งนี้และทั้งนั้นอยู่ที่การครองตนเลือกทางเดินชีวิตเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง
“ความตาย” ของ นายนูร์ฮาซัน อาแว วัยเพียง 27 ปี
ยังไม่ถึงที่ตายกลับต้องมาตายเพียงเพราะหลงเชื่อ “ขบวนการ”
ย้อนกลับไปเหตุการณ์คนร้าย
10 คน ปล้นรถยนต์ปิกอัพ 7 คัน เพื่อนำมาประกอบระเบิด “คาร์บอม” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อวันที่
16 สิงหาคมที่ผ่านมา นายนูร์ฮาซัน อาแว ได้ขับรถยนต์ที่ปล้นมาจาก “ร้านวังโต้คาร์เซนเตอร์”
ซึ่งเป็นร้านจำหน่ายรถยนต์มือสองในอำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา
ประกอบระเบิดพร้อมถังน้ำมันขับฝ่าด่านเพื่อกลับมาก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดปัตตานี
แต่ถูกเจ้าหน้าที่ไล่ล่าเกิดการปะทะถูกวิสามัญดับ
จากข้อมูลเชิงลึกของหน่วยข่าว
นายนูร์ฮาซันฯ ไม่มีรายชื่อในสารบบของกลุ่มขบวนการ อาจจะเป็น “กลุ่มแนวร่วมรุ่นใหม่”
ที่แกนนำต้องการทดสอบกำลังใจ
และแสดงความกล้าหาญของตนเองเพื่อต้องการแสดงตัวตนให้เกิดการยอมรับจากขบวนการ
สิ่งที่เห็นได้ชัดจากเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งนี้
คือ “การตาย” ของนาย นูร์ฮาซัน อาแว กลุ่มแนวร่วมผู้ก่อเหตุรุนแรง ที่เสียชีวิตจากการปะทะ
กลับถูกยกย่องเป็น “วีรบุรุษ” สมเกียรติที่ตายแบบ “ซาฮีด” ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าการฆ่ามนุษย์เป็นสิ่งที่น่ายกย่องไปได้อย่างไร
“อิสลาม” คือ “สันติ”แต่กลับนิยมความรุนแรงมันเกิดอะไรขึ้นกับมุสลิมบางกลุ่มในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
“การฆ่าคน” คือสิ่งที่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ?
ทั้งๆ ที่ศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนเกรงกลัวต่อบาป
การฆ่าคนผิดหลักศาสนาและยังผิดกฎหมายบ้านเมืองอีกด้วย ประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่ต้องการสันติสุขจริงหรือ?
เหตุใดถึงไม่ต่อต้านความรุนแรงในพื้นที่ทั้งทางตรงและทางอ้อม
เหตุการณ์ความรุนแรง 14 ปี ยังไม่พอหรืออย่างไร?
“ไฟใต้” ได้เผาผลาญทำลายล้างชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนตลอดระยะเวลา
14 ปี ได้สร้างความเสียหายที่ไม่อาจประเมินค่าได้ “ไฟใต้” ได้ถูกจุดขึ้นเมื่อต้นปี
พ.ศ.2547 ซึ่งในขณะนั้นนายนูร์ฮาซัน อาแว ผู้เสียชีวิตมีอายุแค่เพียง
13 ปี
ยังไม่นับรวมผู้ก่อเหตุอีกหลายรายที่ถูกจับกุมบ้างยังเรียนอยู่ในระดับประถมอายุแค่ไม่กี่ขวบ
แต่ในวันนี้เด็กในวันนั้นกลับมาทำการก่อเหตุเข่นฆ่าผู้คน นี่คือ “ผลผลิต” ความชั่วที่กลุ่มขบวนการได้ปลูกเอาไว้ได้เวลาผลิดอกออกผล
แต่ที่เป็นประเด็นใหม่ที่มีการเปิดขึ้นมา
นายมารูดิง อาแว บิดาของ นายนูร์ฮาซัน อาแว กล่าวว่า “รู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่า
ลูกจะเลือกใช้วิธีรุนแรง เพราะที่ผ่านมาลูกไม่เคยเกเร มุ่งแต่เรียน
ทำงานเพื่อเลี้ยงตัวเอง และส่งเสียตัวเองจนจบปริญญาตรี ไม่เคยรบกวนพ่อแม่”
เมื่อบุคคลใกล้ชิดออกมายืนยันอย่างนั้น
กับการตายของนายนูร์ฮาซันฯ ย่อมมีเงื่อนงำ เนื่องจากเป็นผู้ที่มีความรู้
ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เคร่งศาสนา จะมองสาเหตุที่เข้าร่วมปฏิบัติการกับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงอาจจะมาจาก
2 สาเหตุด้วยกัน
ประการแรกเนื่องจาก นายนูร์ฮาซันฯ เป็นผู้ที่เคร่งในเรื่องศาสนา
อาจจะถูกหลอกให้เข้าร่วมโดยใช้การบิดเบือนหลักคำสอนนำไปสู่การกระทำพิธีสาบานตน (ซุมเปาะฮ์)
ให้ลงมือปฎิบัติการ
ประการที่สอง นายนูร์ฮาซันฯ
ถูกข่มขู่จากแกนนำในพื้นที่หมายเอาชีวิตคนในครอบครัวเป็นตัวประกัน หากไม่กระทำตาม “ต้องตาย” ทั้งบ้าน
อีกทั้งเบื้องลึกในละแวกบ้านเคยมีคนร้ายทำการก่อเหตุกราดยิงร้านน้ำชา จนมีผู้บาดเจ็บหลายราย
และหนึ่งในนั้นมี นายมารูดิง อาแว บิดาของ นายนูร์ฮาซันฯ รวมอยู่ด้วย ซึ่งเราจะต้องเฝ้าดูกันต่อไป
ฝากไปยังพ่อแม่ผู้ปกครองคอยสอดส่องดูแลบุตรหลานในความดูแลของท่าน
อย่าให้ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มขบวนการ
ซึ่งหากเข้าสู่วังวนความชั่วเมื่อไหร่จุดจบคือ “ไม่ตายก็ติดคุก”
ต้องหมดสิ้นอนาคต ดั่งเช่นกรณี “ความตาย” ของนายนูร์ฮาซันฯ ก่อนลงมือก่อเหตุแกนนำสั่งการรู้ทั้งรู้ว่า
นายนูร์ฮาซันฯ “ต้องตาย”
กลับเดินหน้าสั่งการให้ลงมือปฏิบัติตามแผนชั่วที่วางไว้
โดยไม่แยแสต่อชีวิตผู้อื่นเหมือน “กำหนด” ให้ไปตาย โดยที่แกนนำสั่งการเสวยสุขอยู่เมืองนอกอยู่อย่างสุขสบายใช้ชีวิตติดหรู...แล้วบรรดาสมาชิกที่เป็นมือเป็นเท้าละ!!..ได้อะไร?
----------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น