3/24/2555

บิดเบือนศาสนา สร้างความแตกแยก ทาสแท้นักรบฟาตอนี


     
     ความจริงที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เกิดจากการกระทำอย่างไร้จิตสำนึกของโจรที่เรียกตัวเองว่า “นักรบฟาตอนี” ในเวลานี้นั้น นอกเหนือจากการใช้อาวุธเข้าข่มขู่เข่นฆ่าทำร้ายผู้บริสุทธิ์ไม่ว่าศาสนาใดที่เข้ามาขัดขวางการกระทำอันหยาบช้าของกลุ่มตนไม่เว้นแม้แต่ชาวบ้านตาดำๆ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยแล้ว  การแอบอ้างเอาอุดมการณ์ซึ่งคำๆ นี้ไม่คู่ควรจะใช้กับคนบาปเหล่านี้มาสร้างความชอบธรรมในการทำชั่ว   โดยเฉพาะการบังอาจแอบอ้างถึงองค์อัลเลาะฮฺผู้ประเสริฐโดยการบิดเบือนทั้งคำสอนทางศาสนาและประวัติศาสตร์ยังเป็นวิธีการหนึ่งที่ขบวนการผู้หิวโหยใช้  มุ่งหวังให้พี่น้องมุสลิมซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่คล้อยตาม

3/09/2555

ฤาสื่อไซเบอร์ จะกำหนดชะตากรรม จชต.


               

            สงครามข่าวสารในพื้นที่ จชต.ในวันนี้หากเปรียบเป็นการแข่งขันคงเป็นการแข่งขันที่กำลังเข้มข้น  โดยผู้แข่งขันแต่ละฝ่ายต่างใช้วาทกรรมเข้าห้ำหั่นกันอย่างถึงพริกถึงขิง  ยิ่งในช่วงที่ฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำอีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่รีรอที่จะถล่มให้จมดิน  ซึ่งหากพิจารณาในแง่ของการทำหน้าที่สื่อสารมวลชนอย่างตรงไปตรงมาแล้ว  ผู้ที่ได้ประโยชน์โดยตรงก็คือผู้บริโภคข่าวสารซี่งจะได้รับข้อเท็จจริงเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลจนนำไปสู่การเชื่อหรือไม่เชื่อข่าวสารนั้นๆ ซึ่งเป็นเรื่องของตัวบุคคล  แต่หากสื่อมวลชนนำเสนอแบบมีควมประสงค์อื่นใดแอบแฝงกลุ่มคนที่น่าสงสารที่สุดก็คือผู้บริโภคข่าวสารนั้นเอง  เพราะหากนำไปวิเคราะห์แล้วเชื่อในข่าวสารนั้นๆ อย่างที่บอกขั้นต้นอาจส่งผลร้ายแรงตามเจตนาและความต้องของสื่อมวลชนนั้นได้เป็นอย่างดี  โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเปราะบางเช่นจังหวัดชาย แดนภาคใต้แห่งนี้

          เพื่อยืนยันว่าสงครามข่าวสารในพื้นที่นี่เกิดมีอยู่จริงและกำลังขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้น  จึงขอเสนอเนื้อหาเหตุการณ์ที่สื่อของสองฝ่ายนำเสนอเพื่อให้ผู้อ่านพิจารณาในต่อไปนี้

          ที่มาสำนักข่าวไทยมุสลิม   http://www.thaimuslim.com/overview.php?id=17792

ปัญหาชู้สาวในชายแดนใต้ ทำหญิงมุสลิมเป็นหม้ายกว่าพันคน

           ประธานยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เผย มีแม่หม้ายเกิดจากปัญหาชู้สาวในจังหวัดชายแดนภาคใต้กว่า 1,000 คน ชี้ทางองค์กรศาสนาต้องเข้ามามีส่วนร่วมช่วยแก้ไขด้วย อย่าหวังรัฐแก้ไขฝ่ายเดียว


              


          ที่มา   ข้อความโพสต์ชมรมเสียงมุสลิม     

“ไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล คางคกขึ้นวอ มะเร็งร้ายของวงการสื่อฯ”
ในท่ามกลางเหตุการณ์การก่อเหตุความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้แห่งนี้ ที่นับวันเหตุการณ์ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงได้ง่ายๆ  การบาดเจ็บล้มตายทั้งของเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนผู้บริสุทธิ์ยังเกิดขึ้นวันแล้ววันเล่าด้วยน้ำมือของผู้แอบอ้างว่าทำเพื่อประชาชนชาวมุสลิมมลายู  แต่ก็ยังฆ่าได้แม้จะมีความเชื่อความศรัทธาในสิ่งเดียวกัน  ทั้งๆ ที่ทุกภาคส่วนต่างร่วมแรงร่วมใจกันด้วยความพยายามทุกวิถีทางที่จะนำสันติสุขกลับมายังดินแดนปลายด้ามขวานนี้ให้ได้  และแม้ว่าเหตุการณ์จะกลับดีขึ้นหรือไม่  ช้าเร็วอย่างไรก็ตาม  ยังคงเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายที่จะต้องร่วมมือกันต่อไปมุ่งสู่จุดมุ่งหมายคือความสงบสันติที่วาดหวังว่าจะกลับคืนมาในเร็ววัน

แต่ในความร่วมแรงร่วมใจนั้นๆ ยังคงมีกลุ่มบุคคลหนึ่งคือ “สื่อมวลชน” ที่มีความสำคัญในฐานะผู้มีอิทธิพลใช้สื่อของตนในการปลุกกระแสความต้องการความสงบสุขของประชาชนในพื้นที่  เพื่อร่วมเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ต่อต้านเหตุรุนแรงที่ส่งผลกระทบกับชีวิตของพวกเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเพื่อให้เรื่องเลวร้ายนี้จบลง  นี่เป็นบทบาทของสื่อมวลชนทั้งหลายที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมพึงกระทำและส่วนใหญ่ได้ทำแล้ว   แต่หากสื่อใช้อำนาจที่มีในทางตรงกันข้ามแน่นอนว่าย่อมเป็นอุปสรรคสำคัญที่จะสกัดกั้นกระบวนการสร้างสันติสุขให้สดุดล้มลงได้อย่างน่ากลัว  ซึ่งขึ้นอยู่กลับว่าสื่อมวลชนนั้นๆ จะใช้อำนาจของตนไปในทางใด

กรณีล่าสุดเกี่ยวกับข่าวฉาวของทหารเกณฑ์กับเด็กสาวที่มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวที่กำลังเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ตั้งแต่โต๊ะในร้านน้ำชาจนถึงโลกไซเบอร์อยู่ในขณะนี้ก็ดูเหมือนจะอธิบายการใช้สื่อเพื่อสร้างผลในทางลบได้เป็นอย่างดี

และสำหรับสื่อมวลชนที่มักมีการนำเสนอด้วยวิธีการนี้โดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะตามมาในพื้นที่ภาคใต้นี้มีอยู่คนหนึ่งที่เป็นผู้ที่มีบทบาทโดดเด่นเห็นจะไม่มีใครเกิน  นายไชยยงค์  มณีรุ่งสกุล หรือนามสกุลเดิม “มณีพิลึก” ผู้สื่อข่าวที่เป็นที่รู้กันในแวดวงของผู้พยายามสร้างความสงบสันติว่ามีพฤติกรรมน่ารังเกียจ ช่ำชองการบิดเบือนข่าวหรือภาษาของวงการสื่อมวลชนเรียกว่า “นั่งเทียนเขียนข่าว” หรือ “ใส่สีตีไข่”  สร้างเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่  ชี้นำชาวบ้านโดยการนำเสนอข่าวสารด้านเดียวมาโดยต่อเนื่อง 

กับกรณีทหารเกณฑ์กับเด็กสาวนั้นท่านสื่อมวลชนผู้ทรงเกียรติท่านนี้ซึ่งปัจจุบันเป็นใหญ่เป็นโตได้รับตำแหน่งประธานคณะยุติธรรมและสิทธมนุษยชนปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ได้ออกมาโหมโรงด้วยตัวเองกล่าวหาอย่างรุนแรงว่าเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบันนั้น  ความไม่เป็นธรรมเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ  แถมด้วยการขุดคุ้ยประเด็นหญิงหม้ายที่มีจำนวนนับพันคนซึ่งอ้างว่าเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐอีกเช่นกันซึ่งทั้งหมดนั้นมิได้มีหลักยืนยัน  หรือที่มีหลักฐานชัดเจนแล้วในบางกรณีก็เอาไปบิดเบือนเพื่อสร้างปมขัดแย้งให้เกิดขึ้น  ซ้ำร้ายยังมิได้กล่าวถึงการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่หรือพื้นฐานของปัญหาชายแดนภาคใต้ที่มีรากเหง้ามาจากหลายปัจจัยซึ่งทุกฝ่ายต่างทราบดีแต่อย่างใด  ต่อท้ายด้วยการใช้สื่อของตนและพวกพ้องร่วมอุดมการณ์ทำลายชาติประโคมข่าวเรื่องนี้ภายใต้คอนเซ็บเดิมคือ นำเสนอไปก่อนอะไรจะเกิดช่างหัวมัน  และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีพฤติกรรมแบบนี้  อะไรคือเจตนาที่แท้จริงของเขา  หรือเขาไม่ต้องการให้บ้านนี้เมืองนี้อยู่อย่างสงบ

ฟังดูช่างน่าชื่นชมในความพยายามสร้างพาวเวอร์ให้ตัวเองโดยใช้สื่อของตัวเองและใช้ตำแหน่งที่มีเกียรติ มาเป็นตัวช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ  แต่ลึกๆแล้วใครก็รู้ว่าเขากำลังสร้างอิทธิพลและอำนาจที่ผู้อื่นมอบให้ด้วยความเชื่อใจกุยทางไปสู่ฝั่งฝันคือ การมีบทบาทอยู่ในองค์กรที่มีความสำคัญในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้นานที่สุด เพราะการนั่งอยู่ตรงนั้นย่อมหมายถึงอำนาจบารมีที่จะตามมา 

ด้วยพื้นฐานแล้วบุคคลที่มีการศึกษาและมีแนวความคิดแยบยลขนาดนี้จะให้ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นบุคคลไม่มีสมองก็คงไม่ใช่  ต้องใช้คำว่ามีสมองแต่เอามาใช้ในทางที่ผิดน่าจะถูกต้องกว่า

น่าเสียดายที่ถึงวันนี้พี่น้องสื่อมวลชนที่ไว้เนื้อเชื่อใจเลือกให้เป็นนายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย  รวมถึงเป็นตัวแทนให้มานั่งในตำแหน่งประธานคณะยุติธรรมและสิทธมนุษยชนปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้คงต้องแอบเสียใจอยู่ลึกๆ ว่าสิ่งที่ได้ทำลงไปนั้นผิดมหันต์  เพราะนายไชยยงค์ฯ ได้ทำลายเกียรติภูมิและการทำหน้าที่อันทรงเกียรติในฐานะสื่อมวลชนในภาพรวมของทุกคนให้เสียหายไปแล้ว  จรรยาบรรณที่พวกเรายึดมั่นถือมั่นที่จะวางตัวเป็นกลางและทำหน้าที่นำเสนอแต่ข้อเท็จจริงได้ถูกทำลายลงเพียงเพราะความต้องการเฉพาะบุคคลที่ไร้จุดยืน ไร้ความรับผิดชอบต่อการกระทำ

ฝากไปถึงท่านสื่อมวลชนที่ดีท่านอื่นๆ ลองช่วยกันตรวจสอบบุคคลคนนี้ถึงเหตุผลที่แท้จริงของความพยายามสร้างความขัดแย้งในสังคมที่บอบช้ำแห่งนี้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่  หรือหากกล้าพอก็แสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยออกมาตอบคำถามนี้เพื่อให้สังคมหายคลางแคลงสงสัย  หากยังประพฤติตนเปรียบประดุจกาฝาก  เฉกเช่นเนื้อร้ายของวงการสื่อมวลชนอยู่แบบนี้  สุดท้ายท่านจะกลายเป็นเนื้อร้ายที่ต้องถูกตัดทิ้งโดยสื่อมวลชนด้วยกันเองนี่แหละ 

          เชื่อหรือยังว่าเดี๋ยวนี้มีการขับเคี่ยวกันถึงขนาดนี้

          ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรนี่เป็นสิ่งชี้ชัดว่าชะตากรรมของพี่น้องประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ วันนี้อาจขึ้นอยู่กับชี้นำของสื่อมวลชนเหล่านี้  แต่ที่สำคัญเหนืออื่นใด  การพินิจพิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผลก่อนจะเชื่อหรือไม่  เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่ผู้บริโภคข่าวสารในยุคนี้ไม่ควรมองข้าม

3/05/2555

แวดือราแม มะมิงจิ ประธานคณะกรรมการอิสลามปัตตานี เห็นด้วยใช้ พรก.ฉุกเฉิน ต่อไป แต่ต้องไม่ละเมิดสิทธิ

นายแวดือราแม  มะมิงจิ
ประธานคณะกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี
          
             1 มีนาคม 55  นายแวดือราแม  มะมิงจิ  ประธานคณะกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี  เห็นด้วยกับการใช้ พรก.ฉุกเฉิน ในพื้นที่ จชต.  เพราะเป็นกฎหมายที่เปิดโอกาสให้มีการพูดคุยกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้ที่อาจหลงผิด  เพื่อลดโอกาสในการถูกดำเนินคดีอาญาตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญานั้น  หากพบว่ากระทำผิดจริงจะมีความยุ่งยากมากว่า  เพราะกระบวนการตามกฎหมาย ป.วิอาญา นั้นต้องใช้เวลาในการพิจารณายาวนาน ส่งผลกระทบต่อผู้ต้องหาเป็นอย่างมากในหลายๆ ด้าน  อย่างไรก็ดีโดยส่วนตัวได้สัมผัสกับการใช้กฎหมายพิเศษ พรก.ฉุกเฉิน  และได้รับฟังจากประชาชนในพื้นที่มาแล้ว  ทราบว่าประชาชนเห็นด้วยและตนก็สนับสนุนให้ใช้  แต่การใช้ พรก.ฉุกเฉินในกรณีใดๆ  ต้องอยู่ภายใต้กรอบและไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วย  นายแวดือราแม  กล่าวในที่สุด


คลิ้ปนายแวดือราแม  มะมิงจิ  ให้สัมภาษณ์กรณีการใช้ พรก.ฉุกเฉิน