นักรัก
ปัตตานี
การต่อสู้ของขบวนการ
“บีอาร์เอ็น” ตัวการป่วนใต้”ที่ยังคงก่อเหตุร้ายรายวัน ได้ลอกยุทธวิธีจากกลุ่มก่อการร้าย “เจไอ” นำมาฝังหัวเยาวชน
สร้างกองกำลังติดอาวุธ-มวลชนจัดตั้งในทุกระดับขึ้น “สวมทับ” อำนาจรัฐ
ปัญหาไฟใต้ที่ยังคงรูปแบบการก่อเหตุแบบคงเส้นคงวามาตลอดช่วงระยะเวลา
10
ปี หลังจากค้นหาความจริงมาตลอดว่าได้ต่อสู้อยู่กับใคร?
หน่วยงานความมั่นคงก็ได้ความกระจ่างชัดว่าผู้ “ชักใย” ให้เกิดความปั่นป่วนในสามจังหวัดชายแดนใต้
คือ ขบวนการบีอาร์เอ็น (BRN-Coordinate)
รากเหง้าของขบวนการนี้ว่า
เดิม ขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี หรือ BRN (Barisan
Revolusi Nasional) อยู่ภายใต้การนำของ นายอับดุลการิม ฮัสซัน
ถือเป็นกลุ่มขบวนการสำคัญและทรงอิทธิพลมากที่สุด ซึ่งภายในองค์กรนี้ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
1. BRN-Congress ถือเป็น
“กลุ่มติดอาวุธ” ของบีอาร์เอ็นเดิม
แต่ค่อยๆ ลดบทบาทลงและทยอยออกมามอบตัว โดยชุดสุดท้ายที่ออกมามอบตัว คือ กลุ่ม
นายสะอารี ดาฮง เมื่อต้นปี 2546
2. BRN-Ulama เป็น
“กลุ่มผู้นำศาสนา”
3. BRN-Coordinate เป็นกลุ่มที่ไม่รับคำวินิจฉัยของนายอับดุลการิม
ขบวนการ BRN-Coordinate
ถูกโดดเดี่ยวในช่วงแรก เนื่องจากกลุ่มพูโล
ซึ่งเป็นพันธมิตรสลายไปก่อน เพราะ ต่วนกูบีรอ กอตอดีรอ ป่วย และภาวะผู้นำหดหาย BRN-Coordinate
จึงไปขอความช่วยเหลือจาก “ฮัมบาลี” แกนนำ “กลุ่มเจไอ” ซึ่งสนับสนุนอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนของชาวอาเจะห์
ประเทศอินโดนีเซีย ขบวนการBRN-Coordinate จึงมีความผูกพันอย่างลึกซึ้งกับนายฮัมบาลี
(ซึ่งถูกทางการไทยจับกุมแล้วส่งตัวให้สหรัฐ) ได้ซึมซับและเรียนรู้ในการปฏิบัติการทางทหารและได้เอา
“ยุทธวิธีก่อการร้าย” ของเจไอมาใช้ในการก่อเหตุในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้
ของประเทศไทย
ขบวนการ BRN-Coordinate
ได้แตกหน่อเพาะพันธุ์ความชั่วร้ายด้วยการฝึกปรือฝีมือด้วยการจับมือกับกลุ่มเจไอเคลื่อนไหวอยู่ในอินโดนีเซีย
ซึ่งเป็นช่วงของการเรียนรู้และลอกแบบ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ครูสอนศาสนาหลายๆ คนในโรงเรียนปอเนาะ
หรือคนของกลุ่มขบวนการหากไปพลิกปูมประวัติกลับพบว่าได้เคยไปศึกษาต่อที่ประเทศอินโดนีเซีย
เมื่อกลับมาประเทศไทยผู้ที่ไปฝึกฝนเหล่านี้กลับมาปฏิบัติการสร้างแนวร่วมขึ้นมาเพื่อจัดตั้งเป็นกองกำลังติดอาวุธเคลื่อนไหวก่อเหตุต่อต้านรัฐไทย
ด้วยการชักจูงเยาวชนมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนใต้มาปลูกฝังแนวความคิด ความเชื่อเรื่อง
“รัฐปัตตานี” และเข้าพิธี “ซุมเปาะ” (สาบานตน) ตัวอย่างของผู้ที่ต้องการออกจากการเป็นแนวร่วมหลายครั้งเมื่อเจ้าหน้าที่จับกุมตัวได้
และดำเนินกรรมวิธีซักถามแนวร่วมหลายคนมีความต้องการถอน “ซุมเปาะ”
(ถอนคำสาบาน)
การฝึกยุทธวิธีของขบวนการ BRN-Coordinate
มีการคัดเลือกผู้ที่มีหน่วยก้านดี มีลักษณะเป็นผู้นำ ก็จะมีการส่งไปฝึกหลักสูตร
“รบพิเศษ”
(อาร์เคเค) ที่อาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อสำเร็จหลักสูตรมาแล้ว
กลุ่มนักรบเหล่านี้จะเดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อสมัครเข้าเป็น “ครูสอนศาสนา” ในโรงเรียนตาดีกา หรือโรงเรียนปอเนาะ จากนั้นจะเข้าสู้กระบวนการถ่ายทอดแนวความคิดแบ่งแยกดินแดนให้กับนักเรียนในโรงเรียนที่นักรบเหล่านี้เป็นครูสอนศาสนาอยู่
โดยจะมีเฝ้ามองในการคัดเลือกนักเรียนที่จะมาเป็นแนวร่วมจะต้องเป็นไปตามคุณสมบัติที่กลุ่มขบวนการได้วางไว้
คือ ต้องเรียนเก่ง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เพราะถือว่าเป็นคนที่ “มีอุดมการณ์” จากนั้นจะดึงมาเข้าพิธี “ซุมเปาะ” ก่อนจะส่งเข้าทำการฝึกยุทธวิธีทางทหาร
ยุทธวิธีการก่อเหตุของกลุ่มขบวนการ
BRN-Coordinate
ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้
หากทำการศึกษารูปแบบที่โจรใต้เหล่านี้ได้ก่อการอยู่
และหากท่านผู้อ่านที่มีความสนใจและได้ศึกษายุทธวิธีการก่อเหตุของเจไอที่มีการรบกับรัฐบาลอินโดนีเซีย
จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ากลุ่มโจรในภาคใต้ลอกเลียนแบบมาจากอาเจะห์ประเทศอินโดนีเซียในการก่อเหตุ
การจัดโครงสร้างของขบวนการ
BRN-Coordinate
หากมองผิวเผินจะมีความคล้ายคลึงกับการจัดองค์กร “โครงสร้างสงครามประชาชน” ของ “เหมา เจ๋อ ตุง” แต่ความแตกต่างที่ชัดเจนในขณะที่ของประธานเหมา จะมีการสร้างกำลังกองโจรไว้อย่างเปิดเผย
และมีฐานที่มั่นอยู่ในป่าเขา แต่สำหรับ BRN-Coordinate
กลับจัดตั้งกองกำลังปกปิดและเร้นลับ โดย “ฐานที่มั่น” คือ อาศัยปะปนอยู่กับชาวบ้านทั่วๆ ไป
ยุทธวิธีวิธีการแสวงหา
และจัดตั้งกองกำลังของขบวนการ BRN-Coordinate
ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบเป็นผู้จัดหา และผลิตนักรบ
กลุ่มเป้าหมายหลักที่จะต้องชักนำให้เข้ามาเป็นสมาชิกแนวร่วม คือ “เยาวชนชาย” หรือ “เปอร์มูดอ” ที่กำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนปอเนาะดั้งเดิม
โรงเรียนเอกชนสอนศาสนา ที่อยู่ในหมู่บ้าน และชุมชนในเขตหรือชุมชนที่ตนเองรับผิดชอบดูแล
ในส่วนของผู้นำศาสนาแนวร่วมขบวนการ
BRN-Coordinate
จะมีการจัดตั้ง “อุสตาส” เพื่อการบิดเบือนหลักคำสอนศาสนา ดึงมวลชนให้เข้าสู่แนวร่วม “อุสตาส”เหล่านี้จะได้รับการจัดตั้งจากภายในองค์กร
ในส่วนของ ครูฝึกที่จะมาทำการฝึกยุทธวิธีการสู้รบแบบกองโจรเป็นการจัดหาจากภายนอก
หลังจากนั้นจะมีพิธีสาบานตน
“ซุมเปาะ”
ต่อคัมภีร์อัลกุรอาน โดยจะให้ผู้ที่จะเข้าร่วมกับขบวนการ ทำการเปล่งวาจาสาบาน 3 ข้อ ด้วยกัน กล่าวคือ
“จะยอมเสียสละทรัพย์สินชีวิตเพื่อกอบกู้รัฐปัตตานี
และปกป้องศาสนาอิสลาม”
“จะไม่ยอมแพร่งพรายความลับขององค์กรให้ผู้ใดทราบโดยเด็ดขาด”
ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกหลังจากได้รับการปลูกฝังแนวความคิด
ความเชื่อเรื่อง “รัฐปัตตานี” และเข้าพิธี
“ซุมเปาะ” (สาบานตน) แล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนของการการฝึกทางทหาร ซึ่งในขั้นตอนนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งจะมีการแยกกำลัง
โดยใช้หลักสูตรของการฝึก ผ่าน หรือ ไม่ผ่าน จะมี 2 ขั้นตอนด้วยกัน
คือ การฝึกขั้นต้น ฝึกรวมการ จะมุ่งเน้นการในการฝึกฝนร่างกาย และความศรัทธาต่อขบวนการ
การฝึกขั้นที่สอง จะแยกเป็น 2 ข้อ ผู้ที่ผ่านการคัดเลือก
จะเป็นกลุ่ม “นักรบ RKK และ คอมมานโด”
ในส่วนผู้ไม่ผ่านการคัดเลือกจะปรับเป็นกลุ่ม “ตุรงแง”(ทหารบ้าน)
ขั้นตอนการดำเนินการของกลุ่มขบวนการ BRN-Coordinate ณ ปัจจุบันนี้ คือ “สงครามกองโจรในองค์กรมวลชน”การเดินเกมทางการเมือง
การใช้กลุ่มองค์กรนิสิตนักศึกษา รวมทั้งภาคประชาสังคม ปลุกระดมแนวคิด
การสร้างมวลชนเพื่อทำการเคลื่อนไหว
นำข้อผิดพลาดจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐไปขยายผล รวบรวมและทำการสื่อไปยังองค์กรมุสลิมระหว่างประเทศ
(โอไอซี) กดดันให้สหประชาชาติ (ยูเอ็น)
เข้าแทรกแซงเพื่อให้มองเห็นความจำเป็นของการมี “รัฐใหม่”
ซึ่งเป็นรัฐที่มีความเฉพาะทางด้านเชื้อชาติ-ศาสนา
ฝ่ายตรงข้ามยังให้ความสำคัญกับ “พลังมวลชน”
(People Uprising) ซึ่งถือเป็น “พลังหลัก”
แห่งความสำเร็จในการปฏิวัติเพื่อแยกรัฐปัตตานีออกจากอำนาจรัฐไทย
โดยไม่ใช้อำนาจทางทหาร เน้นกลยุทธ์ที่ว่า “หากทำให้มวลชนเชื่อหรือศรัทธาไม่ได้…ให้ใช้วิธีทำให้กลัว”
การเตรียมการวางโครงสร้างการจัดตั้งองค์กรมวลชนของขบวนการ
BRN-Coordinate
ซึ่ง “ทับซ้อน” การจัดตั้งการปกครองของรัฐไทย
เป็นการวางแผนคิดการณ์ไกลในการนำไปสู่การปกครองตนเอง “รัฐปัตตานี”
-ระดับหมู่บ้านหมู่บ้าน/ชุมชน เรียก “อาเยาะห์”
-ระดับเขตหรือตำบล เรียก “กูมิต” หรือ “ลีการัน”
-ระดับอำเภอ เรียก “สกอม” หรือ “แดอาเราะห์”
-ระดับจังหวัด เรียก “สะกอมเวล” หรือ “วีลายะห์”
-ระดับภาค หรือเขตมณฑล เรียก “กัส”
โครงสร้างทั้งหมดจะ
“สวมทับ” โครงสร้างองค์กรของภาครัฐ
โดยเน้นความเข้มแข็งการจัดตั้งในระดับพื้นฐาน คือ “อาเยาะห์”
เป็นหลัก
นอกจากจะวางโครงสร้างการจัดตั้งองค์กรมวลชนแล้วยังมีการจัดวาง “กองกำลังติดอาวุธ” เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์การปฏิวัติอีกด้วย
กลุ่มโจรจะจัดกำลังกองโจร
หรือกำลังติดอาวุธในระดับ “หมู่บ้านจัดตั้ง” หรือ “อาเยาะห์”
ส่วน “ตำบลจัดตั้ง” หรือ
“ลีกาลัน” จะอยู่ใต้การปกป้องดูแล
และสนับสนุนจากกลุ่มประชาชนจัดตั้งถือเป็น “ทหารประชาชน”
หรือ “The people Army”
การสร้างและพัฒนาอำนาจรัฐซ้อนในหมู่บ้านจัดตั้ง
หรือ “อาเยาะห์” คือ การกดดัน คุกคาม ข่มขู่ และ
ลอบสังหารกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน
ซึ่งเป็นตัวแทนของอำนาจรัฐไทยให้ยอมจำนนต่ออำนาจทับซ้อน
เมื่อเรารู้เท่าทันขณะนี้เรายังมีโอกาส
“ตัดวงจร” ความคิดของกลุ่มขบวนการ
BRN-Coordinate ไม่ให้รุกคืบไปมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้
ยังไม่สายเกินแก้แต่หากเรารู้แล้วกลับปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินการใดๆ
สิ่งที่ขบวนการดำเนินการอยู่บอกได้คำเดียวน่ากลัวจริงๆ
เมื่อนั้นเราจะไม่เหลือมวลชนที่ให้การสนับสนุนและเห็นด้วยกับหน่วยงานภาครัฐเลย
เพราะเป็นคนของขบวนการหมดแล้ว แล้วเราจะสู้ได้หรือ? เชื่อเหลือเกินคงไม่มีใครอยากเป็นเช่นนั้นและคิดว่าจะสามารถสกัดกั้นไว้ได้…ขึ้นอยู่กับว่าจะกล้าพอหรือไม่
******************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น