คำกล่าวที่ว่าในเมฆหมอกแห่งความชั่วร้ายยังมีประกายแห่งความหวังเสมอนั้น ถึงชั่วโมงนี้คงสามารถนำมาใช้เปรียบเปรยกับเหตุการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยได้อย่างใกล้เคียงที่สุด
ด้วยความเดือดร้อนสูญเสียทั้งคนใกล้ชิดและพี่น้องร่วมชาติ ตลอดจนการสูญเสียโอกาสในทุกๆ ด้านของพี่น้องประชาชนในพื้นที่นั้น ตลอดเวลา9 ปีที่ผ่านมาไม่อาจประมาณออกมาเป็นจำนวนนับได้
แต่วันนี้ดูเหมือนว่าเมฆหมอกนั้นกำลังจะจางหายไปพร้อมกับน้ำตาแห่งความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชนที่กำลังจะเหือดแห้งลงเช่นกัน
ด้วยในช่วงปี 2555 ที่ผ่านมาได้ปรากฏความร่วมมืออย่างจริงจังจากทุกภาคส่วนที่จะยุติเหตุรุนแรงในจังหวัดชายแดนใต้ลง ทั้งในส่วนของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
หรือ ศอ.บต.
และองค์กรภาคประขาสังคมต่างๆ
ที่เห็นได้ชัดที่สุดคงหนีไม่พ้นฝ่ายความมั่นคงโดย พลโทอุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4
ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ที่ประกาศจุดยืนชัดเจนโดยการชูนโยบายพาคนกลับบ้าน
เพื่อโน้มน้าวให้ผู้เห็นต่างจากรัฐวางอาวุธและหันมาร่วมมือกันตามแนวทางสันติ ซึ่งดูจะได้รับการตอบรับมาด้วยดีตามลำดับ
สังเกตได้จากการออกมารายงานตัวของผู้เห็นต่างเป็นระยะๆ ตั้งแต่ระดับปฏิบัติการถึงแกนนำ
ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 ม.ค.55 ที่ผ่านมา
ภาพของเส้นทางแห่งสันติยิ่งถูกย้ำชัดด้วยการจัดกิจกรรมเสวนา
“สานใจสู่สันติ” ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมซีเอสปัตตานี
มีผู้เข้าร่วมเสวนาซึ่งล้วนเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องและรับทราบปัญหาที่เป็นรากเหง้าของเหตุการณ์รุนแรงจากหลายฝ่ายเข้าร่วมกันถกแถลง
ได้แก่ อาจารย์ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี จาก
มอ.คณะรัฐศาสาตร์ มอ.ปัตตานี ในฐานะ ผอ.ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ชายแดนใต้ นายแวดือราแม
มะมิงจิ
ประธานคณะกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี
ผู้ทรงคุณวุฒิด้านศาสนาและเป็นที่ยอมรับในบทบาทการสร้างสันติภาพในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีสื่อมวลชนที่ติดตามทำข่าวเหตุการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้มาโดยตลอดจากสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส นายเสริมสุข
กษิติประดิษฐ์
รวมทั้งที่เป็นไฮไลท์ของการเสวนาซึ่งนับได้ว่าเป็นตัวแทนของผู้เห็นต่างซึ่งปัจจุบันยอมวางอาวุธแล้วหันมาต่อสู้ตามแนวทางสันติคือ
นายยะยา การูมอ อดีตอุสตาซโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิผู้ซึ่งเคยหลบหนีไปพร้อมๆ
กับนายสแปอิง บาซอ แกนนำคนสำคัญ
ตัวแทนสื่อแจงผู้เห็นต่างต้องคำนึงถึงประชาชน
โดยในมุมมองของสื่อมวลชน
นายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ แสดงทัศนะว่าจากการติดตามทำข่าวมาตลอด 9
ปีที่ผ่านมา ได้เห็นความพยายามของหลายฝ่ายในอันที่จะแก้ปัญหานี้
แต่ด้วยความไม่ชัดเจนทางนโยบายของรัฐบาลในห้วงที่ผ่านมาหรือแม้แต่รัฐบาลปัจจุบันก็ยังคงไม่มีความชัดเจนอยู่เช่นเดิม ส่วนปฏิบัติในพื้นที่ต่างหากที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการแก้ปัญหานี้ โดยเฉพาะในช่วงปีที่ผ่านมาสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนและมีแนวโน้มว่าจะรังสรรค์สันติภาพให้เกิดขึ้นได้จริงคือ ความพยายามของทั้งส่วนที่มีบทบาทในการพัฒนาคือ
ศอ.บต.
ที่ลงพื้นที่เข้าถึงและเข้าใจประชาชนมาเป็นอย่างดี ในขณะที่ฝ่ายความมั่นคงคือ กอ.รมน.ภาค 4
ส่วนหน้า ได้หันมาใช้การเจรจาเพื่อสันติภาพมากขึ้น การแสดงออกอย่างชัดเจนของแม่ทัพภาคที่ 4
ที่ไม่ต้องการใช้การต่อสู้ด้วยอาวุธแต่ต้องการให้มาพูดคุยกันเป็นทางออกที่ดี
และจะส่งผลให้ผู้ที่ยังเห็นต่างออกมาพูดคุยกันมากขึ้น
นอกจากนี้ยังได้ยกตัวอย่างกลุ่มอาเจะห์ในอินโดนีเซียที่สามารถพูดคุยกับรัฐบาลอินโดนีเซียได้จนเหตุการณ์คลี่คลายลง
เพราะกลุ่มอาเจะห์ยังคิดถึงประชาชนซึ่งได้รับผลกระทบจากการสู้รบด้วย
“ผู้นำของกลุ่มอาเจะห์ถามผมว่าเหตุการณ์ในภาคใต้ของไทยเป็นอย่างไร ผมก็เล่าให้เค้าฟัง
เค้าก็แสดงความแปลกใจว่าทำไมกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในประเทศไทยต้องทำร้ายประชาชนแบบไม่แยกแยะ ทำร้ายครูทำร้ายเด็ก
แล้วจะได้รับความร่วมมือจากประชาชนส่วนใหญ่ได้อย่างไร” นายเสริมสุขฯ
กล่าวในที่สุด
อดีตอุสตาสวอนเลิกสู้รบ หันมาใช้แนวทางสันติ
นายยะยา การูมอ
ซึ่งได้เปิดใจบอกเล่าถึงเส้นทางการต่อสู้อย่างยาวนานซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะชนะจนต้องออกมารายงานตัวร่วมสร้างสันติว่า
ตนได้เข้าสู่กระบวนการของภาครัฐด้วยสาเหตุหลักคือ
มีความไว้วางใจต่อนโยบายของทางกองทัพ
เพราะมีรูปธรรมและความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องครอบครัวที่ต้องดูแล
โดยคนในเครือข่ายได้มาชี้แนะให้เข้าพบแม่ทัพภาคที่ 4 และเริ่มเห็นกระบวนการยุติธรรมว่าเป็นสิ่งที่พึงได้ สามารถนำกลับบ้านได้จริง “ผู้ผิดอย่างผมคิดว่า การแก้ปัญหาตรงจุดนี้ควรจะทำต่อไป
ยกตัวอย่างสมมุติว่า เรามีเชือก ๒ เส้น และมีปมอยู่ตรงกลาง เชือด ๒ เส้นนี้มี ๔
มุม ให้ท่านประธานแวดือราแมถือ ๑ มุม ส่วนผมถืออีก ๑ มุม ท่านอาจารย์ศรีสมภพถือ ๑
มุม คุณเสริมสุขถืออีก ๑ มุม
ทุกคนต่างถือกันคนละมุม แล้วต่างคนต่างดึงเชือกเส้นนั้น
สังเกตว่าจะมีโอกาสที่จะแก้ปมที่มัดได้หรือไม่ แล้วถ้าต่างคนต่างดึงเชือก
มันไม่มีวันที่จะแก้มัดหรือปมนั้นได้เลย แต่ถ้าหากทั้ง ๔ ท่านมีท่านใดท่านหนึ่งยอมที่จะหย่อนเชือกให้ลดลงบ้าง
ผมว่าการที่จะแก้มัดแก้ปมนั้นจะง่ายมากขึ้น” นอกจากนี้นายยะยาฯ ยังได้เสนอแนวความคิดในทัศนะของผู้ที่เคยร่วมในขบวนการฯ
ถึงกระบวนการสร้างสันติภาพว่าทุกคนต้องมีส่วนร่วมหันมาพูดคุยกัน เจ้าหน้าที่ทหารตำรวจต้องปฏิบัติงานให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตนเชื่อว่าไม่นานเหตุการณ์จะดีขึ้น
และพร้อมที่จะชักชวนกลุ่มคนที่หลงผิดที่ยังคงใช้ความรุนแรง ขอให้ช่วยกันบอกช่วยกันคุยให้คนที่ยังสู้อยู่กลับมาต่อสู้ด้วยวิถีทางที่ถูกต้อง
ผู้นำศาสนาชี้ต้องพูดคุย เคารพสิทธิ
มุมมองของผู้นำศาสนา
นายแวดือราแม มะมิงจิ
ประธานคณะกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี กล่าวว่าวันนี้ทุกคนอยากให้เกิดสันติภาพ
แต่การสร้างสันติภาพจะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย
ส่วนของตนได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาในหลายกรณี
ตลอดจนเป็นตัวกลางระหว่างผู้ได้รับผลกระทบกับฝ่ายความมั่นคงในการประสาน ซึ่งก็ได้นำปัญหาต่างๆ เสนอต่อแม่ทัพภาคที่ 4
มาโดยตลอด และได้รับความโอกาสพร้อมกับความเมตตาจากท่านเสมอมา
ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่น
มั่นใจเพิ่มมากขึ้น “ต้องขึ้นอยู่กับตัวบุคคล
ไม่ควรกดดันเขา ในส่วนของท่านแม่ทัพภาคที่ ๔
ก็จะช่วยในเรื่องของการพูดคุยทางด้านกฎหมาย โดยมีหน่วยงานหลายฝ่าย ทั้งทนายความ
และส่วนต่าง ๆ มาช่วย ถ้าเขาพร้อมก็จะเปิดโอกาสให้
แล้วพาเขาไปหาหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ต้องรอจังหวะที่แน่นอนจากเสียงกระแสต่าง ๆ
ซึ่งเป็นความหวังของเจ้าหน้าที่ในการสร้างเอกภาพ ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ให้ความเคารพเกี่ยวกับเรื่องสิทธิอะไรต่าง ๆ ทั้งทางด้านความคิด
อย่าใช้ความรุนแรงในการประสานกัน”
ทำลายกำแพงความเกลียดชัง ทุกฝ่ายพร้อมแล้ว ขึ้นอยู่กับประชาชน
พลโทอุดมชัยฯ แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะหัวเรือใหญ่ฝ่ายความมั่นคงที่ช่วงหลังๆ
มานี่ได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนที่จะสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นโดยใช้แนวทางสันติ
ที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตและวิจารณ์อย่างฟันธงว่ามุ่งมั่นมากกว่าอดีตแม่ทัพคนใดๆ
ในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับกิจกรรมครั้งนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อย้ำถึงเจตนารมณ์ของแม่ทัพท่านนี้ว่างานนี้เอาจริง ได้ให้ความเห็นในช่วงท้ายของการจัดกิจกรรมว่า พื้นฐานของเหตุรุนแรงส่วนหนึ่งเกิดจากความเกลียดชังซึ่งเกิดมากจากภาพลักษณ์ในอดีต หรือส่วนหนึ่ง ขบวนการ BRN ได้สร้างขึ้นจากการถ่ายทอดประวัติศาสตร์และความเชื่อเพื่อให้เยาวชนเกลียดชังกับพี่น้องอีกส่วนหนึ่ง
เมื่อถึงจุดที่รั้งไว้ไม่อยู่ก็เปลี่ยนเป็นความรุนแรงและคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ
ประชาชน ส่วนของฝ่ายความมั่นคงนั้นได้พยายามแก้ไขร่วมกับกลุ่ม
BRN ส่วนที่ใม่ต้องการความรุนแรงเพื่อลดระดับลงให้มากที่สุด และนโยบายของรัฐบาลก็มีความชัดเจนที่จะขับเคลื่อนและส่งเสริมคนที่ยุติความรุนแรงมาต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมตามระบอบประชาธิปไตย
“ผมได้นัดหลายภาคส่วนมาพบเจอ
มาฟังพร้อมกันว่าบ้านเราต้องการสานใจสู่สันติ ต้องการลดความเกลียดชังกลับไปแล้วต้องไปพากลับมากลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
เราจะอำนวยความสะดวกให้อย่างเต็มที่
ในเรื่องระบอบประชาธิปไตยให้การสนับสนุนกลับมาสู่อ้อมอก
มาช่วยกันลดความเกลียดชังมาสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในปีนี้
และทุกอย่างขึ้นอยู่ที่พวกเราว่าจะปฏิบัติหรือไม่ ทางผมพร้อม ทางศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้พร้อมคณะทุกภาคส่วนก็พร้อม
พี่น้องพร้อมหรือไม่อย่างไร
ขึ้นอยู่กับตัวพี่น้องประชาชนทุกคนที่จะตัดสินใจว่าจะให้ปีนี้เป็นปีแห่งความสันติสุขหรือไม่” แม่ทัพภาคที่ 4
กล่าวในท้ายที่สุดซึ่งดูจะเป็นวัตถุประสงค์หลักของกิจกรรม
อย่างไรก็ดีแม้ว่าจะเสียงสะท้อนจากวงนอกว่าการเสวนา
“สานใจสู่สันติ” ครั้งนี้จะเป็นกิจกรรมที่มองดูอย่างผิวเผินก็เป็นเพียงการพูดคุยเพื่อหาทางออกของปัญหาของคนเพียงไม่กี่คน และในช่วงหลายขวบปีที่ผ่านมานั้นก็ได้ทำขึ้นหลายครั้งหลายหน และสุดท้ายก็ไม่เกิดผลในทางที่หลายฝ่ายคาดหวัง แต่ในมุมมองของผู้เขียนเองในฐานะที่ได้ติดตามสถานการณ์ในสามจังหวัดแห่งนี้มาตั้งแต่เริ่มเหตุรุนแรง กลับเห็นว่าการเสวนา “สานใจสู่สันติ”
ครั้งนี้มีความพิเศษแตกต่างจากที่ผ่านมา
ด้วยเพราะมีองค์ประกอบที่จะเป็นปัจจัยส่งเสริมหลายประการ
ประการแรกด้วยบทบาทของผู้นำศาสนาที่คนในพื้นที่ให้ความเคารพนับถือเชื่อฟังตามวิถีของพี่น้องมุสลิม
ได้เข้ามาร่วมคิดร่วมทำและประสานกันกับทุกฝ่ายด้วยความเข้าอกเข้าใจ ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้พี่น้องในพื้นที่เห็นถึงข้อดีร่วมกันในการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้น ประการที่สองคือ ด้วยเค้าลางของความร่วมมือจากฝ่ายขบวนการเองที่เริ่มมองเห็นผลกระทบโดยตรงจากการปฏิบัติโดยใช้ความรุนแรงที่ผลนั้นไม่เพียงส่งผลกระทบต่อผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต หากยังส่งผลระยะยาวไปถึงประชาชนในพื้นที่ทุกคนและผู้แทนที่เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นครั้งนี้คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธได้ว่าไม่ใช่
“ตัวจริง” ประการสุดท้ายคือความตั้งใจจริงของฝ่ายความมั่นคงที่จะแก้ปัญหาโดยใช้แนวทางสันติแทนการต่อสู้ด้วยอาวุธ แม้ว่าแม่ทัพภาคที่ 4
ท่านนี้อาจต้องพ้นหน้าที่ไปในไม่ช้า
แต่หากผู้ที่มาสานต่อจะได้ยืนยันแนวทางนี้ต่อไปความสงบสุขที่ทุกคนคาดหวังก็คงอยู่ไม่ไกล
ทิ้งท้ายไว้ด้วยคำกล่าวที่ว่า ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ ดูจะไม่เกินจริงและเป็นที่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในสามจังหวัดภาคใต้นี้หากประชาชนในพื้นที่ร่วมมือกัน
ซอเก๊าะ นิรนาม