เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2556 ที่มัสยิดในทุกพื้นที่ของ
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา พี่น้องประชาชนชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลามได้รวมพลังกันประกอบพิธีละหมาดฮายัตเพื่อขอพรจากเอกองค์อัลเลาะฮ์
ช่วยดลบันดาลให้ยุติความรุนแรงและเกิดสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยได้ร่วมกันประกอบพิธีละหมาดฮายัต หลังจากการละหมาดญุมุอะฮฺ (ละหมาดวันศุกร์) นอกจากนี้มวลชนมุสลิมเครือข่ายโครงการญาลันนันบารู
หรือเครือข่ายแก้ไขปัญหายาเสพติดของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า
ประกอบด้วย ผู้นำศาสนา, ผู้บริหารสถานศึกษาปอเนาะและโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม, เยาวชนโครงการญาลันนันบารู,
นักศึกษาปอเนาะสานใจป้องกันภัยยาเสพติด และนักเรียนอาสาป้องกันยาเสพติด กว่า 1,000
คน ได้ร่วมกันละหมาดฮายัต “สานใจสู่สันติ” เพื่อความสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งการแสดงออกดังกล่าวของพี่น้องประชาชน
ถือเป็นการแสดงออกร่วมกันเพื่อปฏิเสธการใช้ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
จะเห็นได้ว่าสถานการณ์ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2547
กระทั่งปัจจุบันได้สร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน สูญเสียโอกาส
ในการดำรงชีวิตและการพัฒนาในทุกรูปแบบ ส่งผลกระทบ ทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อวิถีชีวิต
เศรษฐกิจและสังคม อย่างกว้างขวาง ซึ่งความสูญเสียดังกล่าวล้วนเกิดจากการกระทำอย่างโหดเหี้ยมของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง
ซึ่งมีความสุดโต่ง ทั้งแนวความคิดและการกระทำอย่างไร้มนุษยธรรม
รวมทั้งได้ทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์
ที่ต้องตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์ ต้องสังเวยชีวิตและบาดเจ็บทุพลภาพกว่า 10,000 ชีวิต ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ ล้วนแต่มีสิทธิที่จะมีชีวิตและลมหายใจ ณ
ดินแดนปลายด้ามขวานทองของไทยแห่งนี้
ความพยายามในการหยิบยกเงื่อนไข
เรื่องประวัติศาสตร์ ชาติพันธ์ และ อัตลักษณ์ มาบิดเบือนและแอบอ้างว่าเป็นดินแดน
ดารุลฮัรบี ที่ต้องทำญิฮาด แต่แท้จริงแล้ว
เป็นเพียงการหลอกลวงให้ประชาชนต้องตกเป็นเหยื่อของกลุ่มคนที่ต้องการอำนาจ
แต่ขาดอุดมการณ์เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง เพราะสิ่งที่ผู้ก่อเหตุรุนแรงพยายามดำเนินการมาตลอดห้วงเวลาที่ผ่านมา
คือ การข่มขู่ขู่เข็ญ คุกคาม
และทำร้ายพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ให้ตกอยู่ในความหวาดกลัวและยอมจำนน
พร้อมทั้งได้สร้างสถานการณ์ความขัดแย้งให้เกิดความหวาดระแวงต่อกันของพี่น้องชาวไทยที่ต่างกันเพียงแค่ความเชื่อทางศาสนา
ทำให้สังคมพหุวัฒนธรรมอันงดงามแห่งนี้เกิดมลทินและรอยร้าว
การเกิดเหตุร้ายตลอด 9 ปีเต็มที่ผ่านมา
ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ประจักษ์แล้วว่า ไม่เป็นผลดีกับทุกฝ่าย
ก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง
แก่ประเทศชาติ บ้านเมือง ประชาชนในพื้นที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่ปกติสุข ขาดโอกาสในการพัฒนา ทั้งด้านการศึกษา
ด้านการประกอบอาชีพ ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคม อย่างที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบันท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้
นอกจากเจ้าหน้าที่ภาครัฐซึ่งจะต้องแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังแล้ว
ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
คงถึงเวลาแล้วที่พี่น้องประชาชนทุกคนก็จะต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา และกล้าที่จะปฏิเสธการก่อเหตุรุนแรงในทุกโอกาสอย่างเปิดเผย
เพื่อกดดันให้ผู้ก่อเหตุ วางอาวุธ ยุติการก่อเหตุรุนแรง หันมาต่อสู้กับภาครัฐด้วยสันติวิธี ภาครัฐเองเปิดโอกาสให้ผู้ก่อเหตุรุนแรงทุกคนออกมาพูดคุย
เพื่อหาทางยุติปัญหา ซึ่งมีผู้ที่มีส่วนร่วม
ในการก่อเหตุรุนแรงส่วนหนึ่งได้ใช้โอกาสนี้แล้ว ส่วนผู้ที่พยายามต่อสู้ด้วยวิธีการที่รุนแรงต่อไป
ขอตั้งคำถามว่า
การก่อเหตุรุนแรงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายผิดหลักศาสนา ไม่เคารพต่อชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลอื่นหรือไม่...เป็นวิธีการสร้างความชอบธรรมให้แก่ตนเองได้หรือไม่...ถ้ายังกระทำการอยู่ต่อไป
จะไม่มีโอกาสได้รับชัยชนะในการต่อสู้อีกเลย แต่ถ้าหันมาต่อสู้ด้วยสันติวิธี
โอกาสแห่งชัยชนะย่อมเปิดกว้างสำหรับทุกคน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น