โดย....ชบาสีขาว
ตราบใดที่ผู้ก่อเหตุรุนแรงหรือผู้ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงยังคงอาศัยมวลชนเป็นเกราะกำบังซึ่งยากต่อการแยกแยะว่าใครคือผู้ก่อเหตุรุนแรงยากต่อการดำเนินการสืบหาตามจับกุมเพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมาย ตราบใดที่ผู้ก่อเหตุรุนแรงยังคงไม่เข้าสู่กระบวนการตามนโยบายของฝ่ายความมั่นคงที่เปิดโอกาสให้ผู้หลงผิด
หรือผู้มีความเห็นต่างจากรัฐเข้าพูดคุยเข้าต่อสู้ตามขั้นตอนกระบวนการทางกฎหมาย นั้นหมายถึงความจำเป็นที่ต้องใช้กฎหมายพิเศษเข้าใช้แก้ไขปัญหา
ซึ่งเชื่อว่าฝ่ายความมั่นคงเองก็ไม่ปรารถนาที่จะใช้กฎหมายพิเศษนั้นเท่าไรนัก
ประเทศไทยได้มีบทบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงที่ตราเป็นพระราชบัญญัติพระราชกําหนด และประมวลกฎหมายทั้งสิ้น จํานวน 75
ฉบับ และมีการแบ่งระดับของความรุนแรงของสถานการณ์เป็น 3 ระดับ คือ สถานการณ์ปกติ สถานการณ์ในภาวะคับขัน
และสถานการณ์สงคราม หากมีสถานการณ์หรือพฤติการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง จะใช้บทบัญญัติของกฎหมายที่แตกต่างกันตามสถานการณ์เช่น ในกรณีเหตุการณ์หรือสถานการณ์ทั่วไปอยู่ในภาวะปกติกฎหมายที่นํามาใช้บังคับ
คือ กฎหมายที่มีโทษทางอาญาและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เมื่อปรากฏเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรที่เกิดจากบุคคลหรือกลุ่มบุคคลก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในประเทศและเป็นภัยต่อความสงบสุขของประชาชนทําลายหรือทําให้เสียหายแก่ชีวิตร่างกายทรัพย์สินของประชาชนหรือรัฐ
กฎหมายที่นํามาใช้บังคับ คือ พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
พ.ศ.2551และเมื่อปรากฏเหตุการณ์ขยายตัวลุกลามเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินหรือสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงหรืออาจทําให้ประเทศหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของประเทศตกอยู่ในภาวะคับขันหรือที่พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
พ.ศ.2551 ไม่สามารถควบคุมได้กฎหมายที่นํามาใช้บังคับ คือ
พระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เมื่อปรากฏเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักรจนกลายเป็นภาวะสงคราม
หรือจลาจลกฎหมายที่นํามาใช้บังคับ คือ พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.2457
จากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ผลสืบเนื่องมาจากการกระทำของขบวนการ BRN.
และพฤติกรรมของกลุ่มองค์กรที่แสวงประโยชน์จากเหตุการณ์ ปลุกระดมบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อปลุกกระแสต่อต้านรัฐสนับสนุนการก่อเหตุรุนแรงของขบวนการ
BRN.
ซึ่งเท่าที่เห็นอยู่ในปัจจุบันคือกลุ่มนักศึกษาที่พยายามสร้างความมึนงงให้กับประชาชนทั้งที่เป็นมุสลิมและพุทธ
นั่นคือกลุ่ม PerMAS ที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ณ
ปัจจุบันหากจะถามว่าพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จําเป็นหรือไม่ที่จะต้องมีกฎหมายความมั่นคง
คําตอบที่สามารถตอบได้ทันทีคือ จําเป็นต้องมีกฎหมายความมั่นคง
แม้แต่รัฐอื่นๆ ในโลกปัจจุบันก็ยังมีความจําเป็นต้องมีกฎหมายในลักษณะนี้ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม
นานาอารยประเทศที่ใช้กฎหมายในการปกครองประเทศต่างก็มีกฎหมายความมั่นคงบังคับใช้ในระบบกฎหมายของประเทศตนเอง
ปัจจุบันในพื้นที่
3 จังหวัดชายแดนภาคภาคใต้ กลุ่มองค์กรภาคประชาสังคม
(NGOs) รวมทั้งกลุ่มPerMAS ได้รณรงค์ปลุกกระแสให้ยกเลิกการใช้กฏหมายพิเศษในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ ตามที่ปรากฏบนภาพข่าวทั้งบนเว็บไซต์ สื่อสิ่งพิมพ์ และการจัดประชุมเสวนาโดยองค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆ
ทั้งในและนอกพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้อย่างกว้างขวางและต่อเนื่องรวมทั้งมีความพยายามในการนำเข้าไปสู่การเขียนรายงานประเทศไทย
นำเสนอต่อองค์การสหประชาชาติและองค์กรระหว่างประเทศซึ่งเนื้อหาเป็นการนำข้อมูลในแง่ลบบางด้านโดยไม่ครอบคลุมถึงความถูกต้องสมบูรณ์
ครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่บวก ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวนั้นในมุมกลับแล้วจะเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนกลุ่ม
ผู้ก่อเหตุรุนแรงโดยไม่รู้ตัว ซึ่งก็ไม่ทราบว่า กลุ่มองค์กรภาคประชาสังคม (NGOs)
กำลังคิดอะไรอยู่
แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นแน่นอนคือ สร้างผลกระทบต่อความพยายามในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล
และของฝ่ายความมั่นคงอย่างกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงที่ปฏิบัติงานในพื้นที่
กฏหมายพิเศษที่ใช้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้
ปัจจุบันเท่าที่ศึกษา จะเห็นว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้ใช้อยู่ด้วยกัน 3 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 พระราชบัญญัติกฏอัยการศึก พุทธศักราช 2457 เป็นกฏหมายที่เน้นความรวดเร็วเพื่อประโยชน์ในการระงับเหตุการณ์ร้ายแรงให้สงบโดยเร็ว
ฉบับที่ 2 พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พุทธศักราช 2548 เป็นกฏหมายที่เน้นการป้องกันและปรับเปลี่ยนทัศนคติให้กับผู้หลงผิด
ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการขยายผล ให้ข้อมูลกลุ่ม เครือข่ายและแนวร่วม
ผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่
และที่สำคัญจะเป็นกฏหมายที่มีความยุติธรรมโดยให้อำนาจทั้งฝ่ายพลเรือน ตำรวจ ทหาร
และอยู่ในอำนาจการควบคุมของศาลยุติธรรม และฉบับที่ 3 พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
พุทธศักราช 2551 เป็นกฏหมายที่เน้นการเปิดโอกาสให้คนที่กระทำความผิดสามารถกลับตัวกลับใจเข้ามาร่วมพัฒนาประเทศได้
ซึ่งกฏหมายทั้ง 3 ฉบับนี้ถือว่าเป็นเครื่องมือที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐในการนำมาใช้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้เนื่องจากเป็นพื้นที่พิเศษที่ต้องใช้การผสมผสานกฏหมายทั้งข้อดีและข้อเสียเข้าด้วยกัน
รัฐบาลไทยมีนโยบายการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ด้วยสันติวิธีอย่างชัดเจน
และในห้วงที่ผ่านมา หน่วยงานในจังหวัดชายแดนใต้ ได้ใช้กฏหมายความมั่นคงอย่างระมัดระวังและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกฏหมายนั้นๆ
รวมทั้งเลือกใช้เฉพาะเท่าที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่
เพื่อให้ประโยชน์ต่อการสร้างความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์ในพื้นที่เป็นหลัก การใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่นั้นจะมีการตรวจสอบโดยศาล
หากผู้ใดเห็นว่า มีการใช้อำนาจโดยมิชอบ เจ้าหน้าที่จะถูกดำเนินการตามกฏหมายได้
เห็นด้วยกับการใช้กฏหมายพิเศษในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
เพราะตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนับว่าเกิดประโยชน์อย่างมาก โดยสามารถรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างดี
สำหรับในด้านการใช้นั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นกฎหมายพิเศษก็ตาม แต่การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ต่อพี่น้องประชาชนจะไม่ต่างกับกฏหมายปกติเลย
ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางการประกอบอาชีพ
การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา หรือแม้แต่การดำเนินชีวิตประจำวันก็ไม่ส่งผลกระทบใดๆ
ทั้งสิ้น
มีแต่เพียงกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงเท่านั้นที่จะได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่
จะสังเกตได้จากการปิดล้อมตรวจค้นจะสามารถจับกุมกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงหรือแนวร่วมได้เกือบทุกครั้ง
ผลจากการใช้กฏหมายพิเศษทำให้เจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างรวดเร็ว แน่นอน
และไม่ผิดตัว
ที่กล่าวมาทั้งหมด เราลองมาวิเคราะห์กันอย่างจริงจังสิว่า การใช้กฏหมายพิเศษในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ใครได้รับผลประโยชน์หรือใครเสียผลประโยชน์ จากคำตอบของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ประชาชนได้ประโยชน์”
แน่นอน แต่ผู้เสียผลโยชน์และเดือดร้อนที่เห็นชัดเจนคือขบวนการผู้ก่อเหตุรุนแรง
-------------------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น