จากสถิติการกระทำความผิดในคดีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีผู้กระทำความผิดและหลบหนีคดีอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีที่เกี่ยวเนื่องกับการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ และเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่หลงผิดหรือกระทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้มีโอกาสพิสูจน์ตัวเองตามขั้นตอน เพื่อกลับมาร่วมกันพัฒนาถิ่นฐานบ้านเมือง พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.๒๕๕๑ มาตรา ๒๑ จึงได้ถูกประกาศใช้ในพื้นที่ ๔ อำเภอในจังหวัดสงขลา ประกอบด้วย อำเภอจะนะ นาทวี เทพา สะบ้าย้อย และจังหวัดปัตตานีในพื้นที่อำเภอแม่ลาน ทั้งนี้เพื่อเป็นกฏหมายทางเลือกให้ผู้หลบหนีคดีแต่ได้กลับตัวกลับใจเข้ามามอบตัวต่อทางราชการด้วยความสมัครใจและได้รับความเห็นชอบจากศาล และพร้อมที่จะเข้ารับการอบรมตามที่กำหนดไม่เกิน ๖ เดือนแทนการจำขัง ซึ่งเมื่อผ่านการอบรมแล้วผู้ต้องหาเหล่านั้นก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุขดังเดิม
ห้วงที่ผ่านมาผู้ต้องหาชุดแรกจำนวน ๔ คน ประกอบด้วย นายมะซับรี กะบูติง นายซุบิร์ สุหลง นายสะแปอิง แวและ และนายอับริก สหมานกูด ได้สมัครใจเข้าสู่กระบวนการตามมาตรา ๒๑ โดยยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอเข้ารับการอบรมแทนการจำขัง ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนแห่งพระราชบัญญัติ โดยมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ ซึ่งการดำเนินงานมีความก้าว หน้ามาโดยลำดับ จนถึงวันที่ศาลนัดไต่สวนคำร้องเพื่อให้ผู้ต้องหายืนยันต่อศาลว่า จะเข้ารับการอบรมแทนการจำขัง ปรากฏว่า ทนายความของผู้ต้องหาทั้ง ๔ ซึ่งเป็นทนายความจากมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมได้แถลงต่อศาลว่าจะไม่ขอรับการอบรมตามมาตรา ๒๑ และขอต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมปกติ
การกลับคำให้การและขอถอนตัวจากกระบวนการตามมาตรา ๒๑ ดังกล่าวโดยทั่วไปแล้วถือเป็นสิทธิของผู้ต้องหาเอง แต่กรณีของผู้ต้องหาทั้ง ๔ ซึ่งก่อนหน้านี้มีความสมัครใจและให้การรับสารภาพตามเงื่อนไขของมาตรา ๒๑ แล้ว กลับตัดสินใจเลือกที่จะต่อสู้คดีโดยใช้ประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา หรือ ป.วิอาญา ขณะที่ผู้ต้องหารายหนึ่งระบุว่าช่วงแรกไม่เข้าใจว่ากระบวนการเป็นอย่างไร เมื่อได้รับการอธิบายจากทนายความแล้วจึงเปลี่ยนใจ นั่นแสดงให้เห็นว่าทนายความเป็นผู้ชี้นำให้ผู้ต้องหากลับคำให้การ จึงกลายเป็นคำถามว่า ทนายความจากมูลนิธิทนายความมุสลิมซึ่งเป็นผู้รู้กฏหมาย และรู้ดีว่าจากการรับสารภาพของ ผู้ต้องหาในขั้นต้น หากต่อสู้คดีตามกฏหมาย ป.วิอาญา อาจนำไปสู่การถูกพิพากษาให้จำคุกตามเหตุแห่งการกระทำผิดได้ แล้วทำไมถึงต้องชี้นำให้ผู้ต้องหาใช้หนทางนี้ ทั้งๆ ที่หน้าที่ของทนายความตามจรรยานั้นต้องช่วยเหลือลูกความให้ได้รับประโยชน์และความเที่ยงธรรมสูงที่สุดแม้ว่าจะเป็นผู้กระทำผิดก็ตาม
เป็นที่ทราบกันดีถึงความพยายามของผู้ก่อเหตุรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้มักจะใช้ทุกวิถีทางทั้งการเกลี้ยกล่อมและข่มขู่เพื่อให้แกนนำแนวร่วมอยู่ภายใต้การควบคุม ไม่ให้หันไปให้ความร่วมมือกับทางราชการ สำหรับผู้ต้องหาทั้ง ๔ ซึ่งที่ผ่านมาก็เป็นผู้ที่อยู่ในขบวนการแต่กลับตัวกลับใจมาพิสูจน์ตัวเองโดยใช้กระบวนการทางกฏหมาย และมาตรา ๒๑ ก็เป็นกฏหมายที่ให้โอกาสกับผู้หลงผิดได้มากที่สุดในขณะนี้ จึงเป็นไปได้ว่าหากปล่อยให้ผู้ต้องหาชุดแรกนี้ผ่านกระบวนการไปได้ จะเป็นเหตุให้สมาชิกอื่นๆ หันมาให้ความร่วมมือกับทางราชการมากขึ้น และแน่นอนว่าด้วยจำนวนแกนนำแนวร่วมที่ลดลงด้วยการสมัครใจเข้าสู่กระบวนการตาม มาตรา ๒๑ ย่อมส่งผลกระทบต่อขบวนการเป็นอย่างมาก จึงเป็นสาเหตุที่จะต้องทำให้กระบวนการนี้สะดุดลงด้วยวิธีที่น่ารังเกียจเดิมๆ คือ ข่มขู่ผู้ต้องหาทั้ง ๔ และครอบครัวของเขาเหล่านั้นไม่ให้เข้าสู่กระบวนการ ซึ่งฟังดูสอดคล้องกับความต้องการของทนายความจากมูลนิธิทนายความมุสลิมที่พยายามจะทำแท้งมาตรา ๒๑ นี่ให้ได้ โดยไม่สนใจว่าลูกความในความดูแลของตนนั้น ในท้ายที่สุดของการตัดสินคดีตาม ป.วิอาญา จะต้องติดคุกหรือไม่อย่างไร หรือว่ากลุ่มคนสองกลุ่มที่มีความต้องการคล้ายๆ กันนี้ จะเป็นคนกลุ่มเดียวกันที่แบ่งงานกันทำก็เป็นเรื่องน่าคิด
หันมามองในมุมของผู้ต้องหาทั้ง ๔ ที่ขณะนี้เปรียบเสมือน “เหยื่อ” ของความพยายามล้มกระบวนการคืนคนดีสู่สังคมโดยมาตรา ๒๑ ในครั้งนี้ ความพยายามของกลุ่มบุลคลที่ทำให้เขาเหล่านั้นต้องปฏิเสธโอกาสที่จะได้กลับตัวเป็นคนดีของสังคมด้วยการเข้ารับการอบรมด้านศาสนาและอาชีพเพียง ๖ เดือน ซึ่งนอกเหนือจากการที่จะได้ใช้เวลาในการศึกษาด้านศาสนาตามวิถีของมุสลิมที่ดีแล้ว ยังจะได้รับการฝึกฝนอาชีพตามที่ตนเองถนัดและต้องการ เพื่อเป็นความรู้ติดตัวไว้ประกอบอาชีพหลังได้รับการปล่อยตัวด้วย แต่กลับต้องมาต่อสู้คดีตามกระบวนยุติธรรมปกติ ซึ่งในขั้นต้นอาจไม่ได้รับการประกันตัวเนื่องจากเป็นคดีที่มีผู้เสียชีวิต และโดยปกติต้องใช้ระยะเวลายาวนานหลายปีซึ่งมากกว่าระยะเวลา ๖ เดือนที่เข้ารับการอบรมอย่างแน่นอน ซ้ำร้ายกว่านั้น หากศาลตัดสินแล้วว่ามีความผิดจริงและพิพากษาให้จำคุก ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อการตัดสินใจครั้งนี้ มูลนิธิทนายความมุสลิมจะรับผิดชอบต่อชีวิตของเหยื่อทั้ง ๔ ที่ต้องถูกจองจำอยู่ในคุกเป็นสิบหรือยี่สิบปีได้หรือไม่
น่าเสียดายที่มาตรา ๒๑ ซึ่งเป็นกฏหมายที่ดีที่ทางราชการประกาศใช้เพราะเชื่อว่าจะนำมาซึ่งความร่วมมือระหว่างผู้หลงผิดกับเจ้าหน้าที่ และค่อยๆ ช่วยกันนำความสงบสุขกลับมาสู่พื้นที่อย่างยั่งยืน กลับมีกลุ่มคนไร้สมองพยายามที่จะทำให้เสื่อมคุณค่าลงไป ทุกอย่างกำลังไปได้ดีแล้ว อย่าทำลายบ้านเมือง ทำลายบ้านเกิดที่พวกเรารักต่อไปอีกเลย หรือหากไม่รู้สึกรู้สาอะไรก็อย่าเอาเท้าราน้ำเลยนะ....ขอร้อง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น