สงครามข่าวสารในพื้นที่
จชต.ในวันนี้หากเปรียบเป็นการแข่งขันคงเป็นการแข่งขันที่กำลังเข้มข้น โดยผู้แข่งขันแต่ละฝ่ายต่างใช้วาทกรรมเข้าห้ำหั่นกันอย่างถึงพริกถึงขิง ยิ่งในช่วงที่ฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำอีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่รีรอที่จะถล่มให้จมดิน
ซึ่งหากพิจารณาในแง่ของการทำหน้าที่สื่อสารมวลชนอย่างตรงไปตรงมาแล้ว ผู้ที่ได้ประโยชน์โดยตรงก็คือผู้บริโภคข่าวสารซี่งจะได้รับข้อเท็จจริงเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลจนนำไปสู่การเชื่อหรือไม่เชื่อข่าวสารนั้นๆ
ซึ่งเป็นเรื่องของตัวบุคคล
แต่หากสื่อมวลชนนำเสนอแบบมีควมประสงค์อื่นใดแอบแฝงกลุ่มคนที่น่าสงสารที่สุดก็คือผู้บริโภคข่าวสารนั้นเอง เพราะหากนำไปวิเคราะห์แล้วเชื่อในข่าวสารนั้นๆ
อย่างที่บอกขั้นต้นอาจส่งผลร้ายแรงตามเจตนาและความต้องของสื่อมวลชนนั้นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเปราะบางเช่นจังหวัดชาย
แดนภาคใต้แห่งนี้
เพื่อยืนยันว่าสงครามข่าวสารในพื้นที่นี่เกิดมีอยู่จริงและกำลังขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้น จึงขอเสนอเนื้อหาเหตุการณ์ที่สื่อของสองฝ่ายนำเสนอเพื่อให้ผู้อ่านพิจารณาในต่อไปนี้
ที่มาสำนักข่าวไทยมุสลิม http://www.thaimuslim.com/overview.php?id=17792
ปัญหาชู้สาวในชายแดนใต้ ทำหญิงมุสลิมเป็นหม้ายกว่าพันคน
ประธานยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
เผย มีแม่หม้ายเกิดจากปัญหาชู้สาวในจังหวัดชายแดนภาคใต้กว่า 1,000 คน ชี้ทางองค์กรศาสนาต้องเข้ามามีส่วนร่วมช่วยแก้ไขด้วย
อย่าหวังรัฐแก้ไขฝ่ายเดียว
ที่มา ข้อความโพสต์ชมรมเสียงมุสลิม
“ไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล คางคกขึ้นวอ
มะเร็งร้ายของวงการสื่อฯ”
ในท่ามกลางเหตุการณ์การก่อเหตุความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้แห่งนี้ ที่นับวันเหตุการณ์ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงได้ง่ายๆ
การบาดเจ็บล้มตายทั้งของเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนผู้บริสุทธิ์ยังเกิดขึ้นวันแล้ววันเล่าด้วยน้ำมือของผู้แอบอ้างว่าทำเพื่อประชาชนชาวมุสลิมมลายู
แต่ก็ยังฆ่าได้แม้จะมีความเชื่อความศรัทธาในสิ่งเดียวกัน ทั้งๆ ที่ทุกภาคส่วนต่างร่วมแรงร่วมใจกันด้วยความพยายามทุกวิถีทางที่จะนำสันติสุขกลับมายังดินแดนปลายด้ามขวานนี้ให้ได้ และแม้ว่าเหตุการณ์จะกลับดีขึ้นหรือไม่ ช้าเร็วอย่างไรก็ตาม
ยังคงเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายที่จะต้องร่วมมือกันต่อไปมุ่งสู่จุดมุ่งหมายคือความสงบสันติที่วาดหวังว่าจะกลับคืนมาในเร็ววัน
แต่ในความร่วมแรงร่วมใจนั้นๆ ยังคงมีกลุ่มบุคคลหนึ่งคือ “สื่อมวลชน”
ที่มีความสำคัญในฐานะผู้มีอิทธิพลใช้สื่อของตนในการปลุกกระแสความต้องการความสงบสุขของประชาชนในพื้นที่
เพื่อร่วมเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ต่อต้านเหตุรุนแรงที่ส่งผลกระทบกับชีวิตของพวกเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเพื่อให้เรื่องเลวร้ายนี้จบลง
นี่เป็นบทบาทของสื่อมวลชนทั้งหลายที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมพึงกระทำและส่วนใหญ่ได้ทำแล้ว
แต่หากสื่อใช้อำนาจที่มีในทางตรงกันข้ามแน่นอนว่าย่อมเป็นอุปสรรคสำคัญที่จะสกัดกั้นกระบวนการสร้างสันติสุขให้สดุดล้มลงได้อย่างน่ากลัว ซึ่งขึ้นอยู่กลับว่าสื่อมวลชนนั้นๆ
จะใช้อำนาจของตนไปในทางใด
กรณีล่าสุดเกี่ยวกับข่าวฉาวของทหารเกณฑ์กับเด็กสาวที่มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวที่กำลังเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ตั้งแต่โต๊ะในร้านน้ำชาจนถึงโลกไซเบอร์อยู่ในขณะนี้ก็ดูเหมือนจะอธิบายการใช้สื่อเพื่อสร้างผลในทางลบได้เป็นอย่างดี
และสำหรับสื่อมวลชนที่มักมีการนำเสนอด้วยวิธีการนี้โดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะตามมาในพื้นที่ภาคใต้นี้มีอยู่คนหนึ่งที่เป็นผู้ที่มีบทบาทโดดเด่นเห็นจะไม่มีใครเกิน นายไชยยงค์
มณีรุ่งสกุล หรือนามสกุลเดิม “มณีพิลึก” ผู้สื่อข่าวที่เป็นที่รู้กันในแวดวงของผู้พยายามสร้างความสงบสันติว่ามีพฤติกรรมน่ารังเกียจ
ช่ำชองการบิดเบือนข่าวหรือภาษาของวงการสื่อมวลชนเรียกว่า “นั่งเทียนเขียนข่าว”
หรือ “ใส่สีตีไข่” สร้างเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
ชี้นำชาวบ้านโดยการนำเสนอข่าวสารด้านเดียวมาโดยต่อเนื่อง
กับกรณีทหารเกณฑ์กับเด็กสาวนั้นท่านสื่อมวลชนผู้ทรงเกียรติท่านนี้ซึ่งปัจจุบันเป็นใหญ่เป็นโตได้รับตำแหน่งประธานคณะยุติธรรมและสิทธมนุษยชนปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
ก็ได้ออกมาโหมโรงด้วยตัวเองกล่าวหาอย่างรุนแรงว่าเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบันนั้น
ความไม่เป็นธรรมเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ
แถมด้วยการขุดคุ้ยประเด็นหญิงหม้ายที่มีจำนวนนับพันคนซึ่งอ้างว่าเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐอีกเช่นกันซึ่งทั้งหมดนั้นมิได้มีหลักยืนยัน หรือที่มีหลักฐานชัดเจนแล้วในบางกรณีก็เอาไปบิดเบือนเพื่อสร้างปมขัดแย้งให้เกิดขึ้น ซ้ำร้ายยังมิได้กล่าวถึงการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่หรือพื้นฐานของปัญหาชายแดนภาคใต้ที่มีรากเหง้ามาจากหลายปัจจัยซึ่งทุกฝ่ายต่างทราบดีแต่อย่างใด
ต่อท้ายด้วยการใช้สื่อของตนและพวกพ้องร่วมอุดมการณ์ทำลายชาติประโคมข่าวเรื่องนี้ภายใต้คอนเซ็บเดิมคือ
นำเสนอไปก่อนอะไรจะเกิดช่างหัวมัน และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีพฤติกรรมแบบนี้ อะไรคือเจตนาที่แท้จริงของเขา
หรือเขาไม่ต้องการให้บ้านนี้เมืองนี้อยู่อย่างสงบ
ฟังดูช่างน่าชื่นชมในความพยายามสร้างพาวเวอร์ให้ตัวเองโดยใช้สื่อของตัวเองและใช้ตำแหน่งที่มีเกียรติ
มาเป็นตัวช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ
แต่ลึกๆแล้วใครก็รู้ว่าเขากำลังสร้างอิทธิพลและอำนาจที่ผู้อื่นมอบให้ด้วยความเชื่อใจกุยทางไปสู่ฝั่งฝันคือ
การมีบทบาทอยู่ในองค์กรที่มีความสำคัญในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้นานที่สุด
เพราะการนั่งอยู่ตรงนั้นย่อมหมายถึงอำนาจบารมีที่จะตามมา
ด้วยพื้นฐานแล้วบุคคลที่มีการศึกษาและมีแนวความคิดแยบยลขนาดนี้จะให้ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นบุคคลไม่มีสมองก็คงไม่ใช่ ต้องใช้คำว่ามีสมองแต่เอามาใช้ในทางที่ผิดน่าจะถูกต้องกว่า
น่าเสียดายที่ถึงวันนี้พี่น้องสื่อมวลชนที่ไว้เนื้อเชื่อใจเลือกให้เป็นนายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย รวมถึงเป็นตัวแทนให้มานั่งในตำแหน่งประธานคณะยุติธรรมและสิทธมนุษยชนปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้คงต้องแอบเสียใจอยู่ลึกๆ
ว่าสิ่งที่ได้ทำลงไปนั้นผิดมหันต์
เพราะนายไชยยงค์ฯ ได้ทำลายเกียรติภูมิและการทำหน้าที่อันทรงเกียรติในฐานะสื่อมวลชนในภาพรวมของทุกคนให้เสียหายไปแล้ว จรรยาบรรณที่พวกเรายึดมั่นถือมั่นที่จะวางตัวเป็นกลางและทำหน้าที่นำเสนอแต่ข้อเท็จจริงได้ถูกทำลายลงเพียงเพราะความต้องการเฉพาะบุคคลที่ไร้จุดยืน
ไร้ความรับผิดชอบต่อการกระทำ
ฝากไปถึงท่านสื่อมวลชนที่ดีท่านอื่นๆ
ลองช่วยกันตรวจสอบบุคคลคนนี้ถึงเหตุผลที่แท้จริงของความพยายามสร้างความขัดแย้งในสังคมที่บอบช้ำแห่งนี้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่
หรือหากกล้าพอก็แสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยออกมาตอบคำถามนี้เพื่อให้สังคมหายคลางแคลงสงสัย หากยังประพฤติตนเปรียบประดุจกาฝาก
เฉกเช่นเนื้อร้ายของวงการสื่อมวลชนอยู่แบบนี้ สุดท้ายท่านจะกลายเป็นเนื้อร้ายที่ต้องถูกตัดทิ้งโดยสื่อมวลชนด้วยกันเองนี่แหละ
เชื่อหรือยังว่าเดี๋ยวนี้มีการขับเคี่ยวกันถึงขนาดนี้
ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรนี่เป็นสิ่งชี้ชัดว่าชะตากรรมของพี่น้องประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ณ วันนี้อาจขึ้นอยู่กับชี้นำของสื่อมวลชนเหล่านี้
แต่ที่สำคัญเหนืออื่นใด
การพินิจพิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผลก่อนจะเชื่อหรือไม่ เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่ผู้บริโภคข่าวสารในยุคนี้ไม่ควรมองข้าม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น