"อิมรอน"
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยครับว่า
ผู้เขียนไม่ได้หมายความว่า “โรงเรียนสอนศาสนาไม่ดี” แต่ที่ต้องพูดแบบนี้เพราะด้วย
“รูปแบบ” ของโรงเรียนที่พยายามแยกเยาวชนไทยพุทธไทยมุสลิมในพื้นที่ออกจากกันมากกว่า
ผู้เขียนเห็นว่าเป็นตัวการสร้างปัญหาให้สังคมพหุวัฒนธรรมของพวกเราถูกทำลายลง
ผู้เขียนจะก้าวข้ามเรื่อง
“เปิดโปงความจริงในปอเนาะ”
ไปนะครับ เพราะเคยเขียนเรื่องสถาบันศึกษาปอเนาะหลายตอนด้วยกัน หากสนใจเปิดอ่านได้ตามลิ้งนี้นะครับ http://pulony.blogspot.com/ แต่วันนี้จะมาพูดถึง “รูปแบบ” และวิธีการของสถาบันศึกษาปอเนาะ, ศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมัสยิด
หรือที่คนส่วนใหญ่ชอบเรียกว่า “ตาดีกา” และโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในพื้นที่ ที่จะมากล่าวถึงเรื่องนี้สืบเนื่องมาจากผู้เขียนเองเคยมีโอกาสไปนั่งฟังในเวทีเสวนาเวทีหนึ่ง
แต่ไม่ขอกล่าวถึงชื่อวิทยากร “คนพุทธกับผู้เห็นต่างที่เป็นมุสลิม”
ซึ่งได้มีการตั้งโจทย์และถกกันในเรื่องต่างๆ เช่นในเรื่องของ “ฮาลาล” และอาหารการกินของคนในพื้นที่ และยังมีประเด็นปลีกย่อยอีกหลายเรื่องที่มีการหยิบยกขึ้นมาถกกันในเวทีเสวนา
แต่สิ่งที่สะดุดใจผู้เขียนคงจะเป็นการถกกันในเรื่อง “การปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนเกลียดชังพระสงฆ์” ซึ่งการเสวนาในวันนั้นตัวแทนไทยพุทธได้ตั้งคำถามกับผู้เห็นต่างที่เป็นมุสลิมต่อเรื่องดังกล่าว
คนไทยพุทธ : “ทำไม...พวกคุณปลูกฝังเยาวชน
ให้เกลียดชังพระสงฆ์!!”
ชายในกลุ่มผู้เห็นต่างคนหนึ่ง : “พวกเราไม่มีการปลูกฝังแบบนั้นแน่นอนครับ”
คนไทยพุทธ : “ถ้าไม่มีการปลูกฝัง
แล้วทำไมตอนผมและเพื่อน ๆ ผมบวชเป็นพระ เวลาเดินบิณฑบาตในตอนเช้า
เมื่อเดินผ่านบ้านของพี่น้องมุสลิม เมื่อเจอเด็กๆ อายุคงไม่เกิน 12 ปี เด็กๆ
เหล่านี้จะแสดงกริยาด้วยสายตาและสีหน้ารังเกียจ ต่อด้วยถุยน้ำลายลงพื้น
เด็กบางคนก็ยกมือตัวเองขึ้นมา โดยใช้นิ้ว 2 นิ้วแทนมีดทำท่าทางเหมือนกำลังเชือดคอหอยให้เราดู
ตามด้วยเสียงหัวเราะล่ะ”
ชายในกลุ่มผู้เห็นต่างคนเดิม : “อันนี้ผมไม่ทราบครับ
ซึ่งในโรงเรียนสอนศาสนา เราก็สอนเด็กโตแล้ว และในมัสยิดเราก็ไม่มีการสอนแบบนี้แน่นอนครับ
ผมขอยืนยัน”
คนไทยพุทธ : “ถ้าไม่มีการสอนแล้วทำไม เมื่อเด็กๆ
เจอพระสงฆ์ เด็กเหล่านั้นแสดงกริยาที่เหมือนกันแบบเดียวกันหลายราย”
ชายในกลุ่มผู้เห็นต่างคนเดิม : “อันนี้ผมก็ไม่ทราบ
เขาอาจจะไปรับมาจากที่อื่นก็ได้”
ผู้เขียน : แล้วเด็กหรือเยาวชนมุสลิมมันไปรับความคิดมาจากไหนว่ะ!!! (ผู้เขียนนั่งคิดในใจ)
เมื่อผู้ถามกับผู้ตอบออกไปคนละแนว
ตอบแบบไม่ตรงกับคำถาม คนไทยพุทธคนเดิมได้เปิดประเด็นใหม่อีกรอบโดยได้กล่าวถึง “จริงหรือไม่? ที่มีคนกล่าวกันว่า สถาบันศึกษาปอเนาะ,
โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ไม่เว้นแม้แต่ตาดีกาเป็นแหล่งบ่มเพาะอาชญากรใต้”
ชายในกลุ่มผู้เห็นต่างคนหนึ่ง : “ไม่มีทางและเป็นไปไม่ได้
มีคนที่ต้องการทำลายโรงเรียนเหล่านี้ อีกทั้งไม่ใช่เรื่องจริงอยู่แล้วครับ เพราะโรงเรียนเหล่านี้ก็มีภาครัฐเข้ามาตรวจสอบทั้งหลักสูตรและการเรียนการสอนครับ”
จากหลายๆ
คำตอบที่ผู้เขียนนั่งฟัง พอจะคาดเดาแนวทางคำตอบของผู้เห็นต่างที่เป็นมุสลิมได้ไม่ยาก
เพียงแต่อยากจะได้ยินได้รับฟังจากการถามตรงๆ ว่าจะตอบแนวไหน สักพักหนึ่งคนไทยพุทธคนที่ตั้งคำถามเหมือนผิดหวังกับคำตอบที่ได้รับและไม่ได้ถามอะไรต่ออีกเลย
และเปลี่ยนมาเป็นการปรึกษาหารือกับกลุ่มผู้เห็นต่างแทน
ทุกวันนี้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ว่าจะเป็นสถาบันศึกษาปอเนาะ, โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม และศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมัสยิด (ตาดีกา) ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดหากรวมกันมีมากถึง
2,705 แห่ง ซึ่งรู้สึกว่ารูปแบบของโรงเรียนเหล่านี้พยายามแยกเยาวชนไทยพุทธและไทยมุสลิมออกจากกัน
ต้องการตัดความสัมพันธ์และความผูกพันของเมล็ดพันธุ์ในชุมชนให้เหินห่างกัน
เมื่อพวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่พวกเขาไม่มีความผูกพันกันเหมือนดั่งเช่นในอดีต
การจะสร้างความรักความสามัคคีของคนในพื้นที่ก็จะยิ่งทำได้ยากมากขึ้นตามลำดับอีกด้วย
ผู้เขียนไม่ได้หมายความว่าโรงเรียนเหล่านี้ไม่ดี
และไม่ได้มีเจตนาให้มีการยุบหรือยกเลิกไป เพราะรู้ดีว่าพี่น้องมุสลิมในพื้นที่ก็คงไม่ยอม
แต่พอจะเป็นไปได้มั้ย!! ที่จะไม่แยกเยาวชนไทยพุทธและไทยมุสลิมออกจากกัน
เปิดโอกาสให้คนพุทธได้ศึกษาอยู่ในรั้วเดียวกัน เพื่อให้เด็กๆ ได้เจอได้พบหน้ากัน
อย่างน้อยได้เห็นหน้าหรือใช้เวลาว่างจากการเรียน มาเล่นหรือทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน
เป็นการสร้างการเรียนรู้และปลูกสายสัมพันธ์กันไว้
เพราะความทรงจำในวัยเด็กเป็นสิ่งสวยงามเสมอ ยิ่งเมื่อพวกเขาโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่จะได้รับรู้ว่าในสังคมยังมีคนอื่น
ยังมีศาสนาอื่นที่อยู่ร่วมกับเขา
ที่กล่าวมาทั้งหมดผู้เขียนพยายามสื่อและนำเสนอ
ไม่ได้บอกว่าแนวความคิดของผู้เขียนจะถูกต้องไปเสียทั้งหมด
แต่อยากให้ลองเอาไปขบคิดหรือวิเคราะห์กันต่อว่ามันเป็นจริงอย่างที่กล่าวมาบ้างมั๊ย!! เพราะทุกวันนี้เราเห็นเด็กๆ ไทยพุทธกับไทยมุสลิมในชุมชนของเราจะมีปฏิสัมพันธ์กันน้อยมาก
และแตกต่างจากเมื่อก่อน หากย้อนคิดแล้วพบสิ่งที่หายไป ขอแค่ร่วมกันผลักดันสร้างสัมพันธ์ของเยาวชนให้กลับมาใกล้ชิดสนิทแนบแน่นดังเดิมได้มั๊ย!!
ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่ดี เมื่อพวกเราโตเป็นผู้ใหญ่สิ่งเหล่านี้ในวัยเด็ก
ยังพอทำให้เราจดจำเพื่อนดีๆ เพื่อนต่างภาษา ต่างวัฒนธรรมและศาสนา
ซึ่งมิอาจมาขวางกั้นเป็นกำแพงของคำว่าเพื่อน หยุดพูดคุยกัน ยิ้มให้กัน
เจอกันในตลาดหรือขับรถสวนกัน
พวกเราก็ยังคุยยังหัวเราะกันถึงเรื่องราวในวันเวลาเก่าๆ เหล่านั้นอยู่...หากคิดว่าไม่สำคัญ..
ไม่จำเป็น ก็สุดแล้วแต่ อาจจะเป็นแค่ความเพ้อฝันของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว...
----------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น