การรับรู้ความเป็นไปของสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของคนทั่วไปทั้งในพื้นที่สามจังหวัดและพื้นที่อื่นของประเทศรวมถึงประชาคมโลกนั้น หากไม่ใช่ผู้ที่ประสบเหตุด้วยตนเองแล้ว ล้วนได้รับข่าวสารผ่านทางสื่อมวลชนแขนงต่างๆ
ทั้งสิ้น ซึ่งที่ผ่านมาในประเด็นของการนำเสนอทั้งทิศทางของความรุนแรง ความน่าสะพรึงกลัวหวาดหวั่น ขวัญกำลังใจในการดำรงชีวิตอยู่ในพื้นที่ของประชาชน
การปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ยุทธวิธีของฝ่ายความมั่นคง
หรือในแง่ความร่วมมือร่วมใจในการสร้างสันติสุข รวมถึงความเบื่อหน่ายของประชาชนจากการก่อเหตุของขบวนการ แม้แต่การวิพากษ์วิจารณ์ตามข้อมูลที่มีของเหล่านักคิดนักเขียนคอลัมนิสต์ต่างๆ ที่ผลิตสื่อออกไป ล้วนสร้างความรับรู้ในมุมมองที่หลากหลายทั้งที่ถูกต้องและไม่ถูกต้องให้แพร่กระจายผ่านสื่อของตนไปสู่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายต่างๆ
ซึ่งเป็นผู้รับสารได้ทั้งสิ้น
จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า ภายใต้แรงขับเคลื่อนของสื่อนั้นหากนำเสนออย่างถูกต้องตรงไปตรงมาก็จะเป็นประโยชน์ต่อผู้รับสารในการได้รับข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์เพื่อนำเสนออย่างถูกต้อง และถ้าเป็นข่าวสารที่มุ่งสร้างความร่วมมือสร้างความรักความสามัคคีของคนในพื้นที่ ข่าวนั้นจะเป็นส่วนสนับสนุนสำคัญที่จะช่วยระดมสรรพสิ่งที่เป็นตัวแปรให้เกิดความสงบสันติได้ แต่หากเป็นการนำเสนอโดยมุ่งหวังให้เกิดภาพลบ แอบแฝงไว้ด้วยเจตนาที่จะทำลายความน่าเชื่อถือในกลุ่มคนหรือบุคคลโดยใช้สถานการณ์ภาคใต้ที่หาทางออกได้ยากยิ่งนี้ล่ะ เรื่องแบบนี้ย่อมส่งผลเลวร้ายกว่าที่คิด
สองสามวันที่ผ่านมานี่จากกระแสกดดันให้รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ได้ออกมาแสดงบทบาทโดยการกำหนดทิศทางการแก้ไขปัญหาภาคใต้ให้ชัดเจนหลังจากปล่อยปละละเลยจนดูเหมือนกับไม่ทำอะไรเลยตั้งแต่เป็นรัฐบาล จนต้องมีการตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
หรือ ศปก.จชต.
ขึ้นมาเพื่อปรับเปลี่ยนบริบทของการแก้ไขปัญหาให้มีการบูรณาการมากขึ้น ซึ่งการกำหนดแนวทางครั้งนี้แม้ว่าปัจจุบันยังไม่ได้เริ่มทำอะไรอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ที่ชัดเจนและเริ่มขึ้นแล้วอย่างเผ็ดร้อนคือกระแสวิพากษ์มากมายจากนักวิชาการและพระเอกของเรื่องคือสื่อมวลชนสำนักต่างๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลด้วยข้อหาหนักหลายข้อหา โดยรวมคือน่าจะกลายเป็นคลื่นกระทบฝั่งที่ค่อยๆ
จางหายไปอีกละรอก
ที่เผ็ดร้อนจนแสบแก้วหูและสะเทือนไปถึงฝ่ายความมั่นคงและสำนักงานตำรวจแห่งชาติเห็นจะได้แก่
คอลัมนิสต์คนหนึ่งซึ่งใช้นามปากกา “สิริอัญญา” นักกฏหมายและนักเขียนฝีปากกล้าที่ใครๆ
ก็รู้ว่าห่มเหลืองที่ใช้สื่อในแวดวงของตนถล่มฝ่ายตรงข้ามคือรัฐบาลซึ่งทราบกันดีเช่นเดียวกันว่าฉากหลังนั้นใส่เสื้อแดง ซึ่งได้แสดงออกอย่างชัดเจนถึงอุดมการณ์ทางการเมืองที่โอนเอียง ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ที่บอกกับผู้บริโภคข่าวสารว่าเป็นหนังสือพิมพ์ชั้นนำระดับหน้าในคอลัมน์บ้านเกิดเมืองนอน
ตอน “จับตา! รัฐบาลทิ้งสามจังหวัดชายแดนภาคใต้”
ซ้ำร้ายกว่านั้นข้อมูลที่ท่านได้นำออกมาสนับสนุนแนวคิดเพื่อฝังฝ่ายรัฐบาลให้จมดิน
ที่ได้เห็นแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะออกมาจากปลายปากกาของ “นักเขียนบทความดีเด่นประจำปี
52”
ที่มุ่งสร้างภาพสถานการณ์และความเป็นไปในจังหวัดชายแดนภาคใต้เฉกเช่นพื้นที่แห่งนี้ในวันนี้ได้ถูกยึดครองโดยขบวนการแบ่งแยกดินแดนไปเรียบร้อยแล้ว อำนาจรัฐเกือบเป็นศูนย์
หน่วยงานที่รับผิดชอบพื้นที่ไม่กล้าแม้แต่จะปริปากพูดถึงความรับผิดชอบและการป้องกันแก้ไขปัญหา ไล่เรียงตั้งแต่ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ผู้บัญชาการกองทัพบกถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ยังไม่พอ...ยังได้กล่าวถึงการยกระดับความรุนแรงให้มากยิ่งขึ้นด้วยการทำลายระบบพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
คมนาคม
แถมด้วยการคาดการณ์ว่าจะทำลายระบบการสื่อสารในเวลาอันใกล้ วาดภาพสร้างความตื่นตระหนกของประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธและคนไทยเชื้อสายจีนว่าได้อพยพออกนอกพื้นที่จนเหลือเพียง 50,000
คน ทั้งๆ ที่ข้อมูล ณ ปัจจุบันมีอยู่กว่า 300,000 คน ยิ่งกว่านั้นยังกล้ากล่าวว่าหากลดเหลือ
30,000 คน จะทำให้สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ขาดจากการปกครองของรัฐบาลและประเทศไทยทันที ก็ในเมื่อไม่ว่าประชาชนในพื้นที่จะเหลือผู้นับถือศาสนาใดประชาชนทุกคนก็ยังเป็นคนไทยอยู่มิใช่หรือ แล้วมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ช่างจิตนาการเหมือนกับเคยมาอยู่ในพื้นที่ทั้งๆ
ที่ไม่เคยมาเหยียบพื้นที่แห่งนี้เลยได้อย่างน่าชื่นชม
เข้าตำรา
“ว่าแต่เหลิม
ไพ..เอ้ย...สิริอัญญาเป็นเอง”
มุ่งแต่จะสยบฝ่ายที่เห็นต่างให้ย่อยยับลงไปโดยไม่ได้คำนึงถึงการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและผลที่กระทบด้านจิตวิทยาที่จะเกิดขึ้นในลักษณะไร้ซึ่งจรรยาบรรณ หรือท่านอาจจะเขียนแบบ
“เอามันส์” จนหน้ามืดตามัวไปชั่วขณะ
ทุกวันนี้ทุกหน่วยงานในพื้นที่ได้พยายามอย่างที่สุดที่จะนำสันติภาพกลับมาสู่ชายแดนใต้อย่างเร็วที่สุด
ผู้เสียสละหลายท่านทั้งครู ทหาร ตำรวจ อาสาสมัครที่ได้พลีชีพเพื่อให้บ้านเมืองนี้ดำรงอยู่ ไม่นับรวมประชาชนตาดำๆ ที่เสียชีวิตไปหลายพันคนต้องไม่ตายเปล่า อย่างน้อยที่สุดชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นจะเป็นสิ่งย้ำเตือนว่าความคิดต่างเห็นต่างคือสาเหตุที่นำไปสู่การสูญเสียอย่างสุดประมาณ ดังนั้น การคิดต่างเห็นต่างทางการเมืองของนักการเมืองและพวกพ้องก็ไม่สมควรที่จะกล่าวพาดพิงหน่วยงานที่ขับเคลื่อนอย่างมุ่งมั่นตามภารกิจหน้าที่ที่รับผิดชอบให้เสียหายด้วย
อย่าดึงเอาผู้ตั้งใจทำงานที่เสียสละได้แม้แต่ชีวิตเหล่านี้ต้องไปแปดเปื้อนกับน้ำโคลนที่พวกท่านสาดใส่กันไปมาอย่างบ้าคลั่ง ตีฝีปากใส่กันเข้าทำนอง “รักชาติจนปากคอสั่น”
การบิดเบือนข้อเท็จจริงในลักษณะ “ใส่ไข่”
โดยไม่รับผิดชอบ ใช้ความเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับจากบุคคลอื่นของตนเองโดยการให้ข่าวสารด้านเดียวโดยไม่สนใจผลเสียอื่นใดจึงไม่น่าจะใช่ผู้ที่เรียกตนเองในฐานะสื่อมวลชนว่า
“WATCH DOG”หรือ “หมาเฝ้าบ้าน”
ถ้าจะให้ดีขอฝากถึงกองบรรณาธิการสำนักข่าวฉบับนี้ด้วยว่า ดูแลกันซักนิด
เรื่องนี้ไม่ได้เป็นการเปิดโปงตัวตนที่แท้จริงของใครบางคนเท่านั้น
แต่เป็นการเปิดโปงทิศทางและคุณภาพการทำหน้าที่ในฐานะสื่อของสำนักข่าวของท่านด้วย
หรือจะเปิดตัวว่าไม่ได้อยู่ฝั่งรัฐบาลก็แล้วแต่จะไตร่ตรอง
เพราะหากบอกว่าวันนี้ผู้ก่อเหตุรุนแรงได้พยายามยกระดับการก่อการร้ายให้รุนแรงมากขึ้นโดยวิธีการของขบวนการแบ่งแยกดินแดนเพื่อให้สหประชาชาติเข้าแทรกแซงแล้ว ไม่ต้องรอให้ความพยายามยกระดับสถานการณ์ของขบวนการสำเร็จหรอก วันนี้การนำเสนอข่าวของท่านได้ทำให้การแบ่งแยกดินแดนในความรู้สึกของประชานผู้บริโภคข่าวสารสำเร็จไปแล้ว และท่านนั้นแหละคือ “สื่อมวลชนทิ้งสามจังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่ต้องจับตา
ซอเก๊าะ นิรนาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น