"ลูกเราเกิดมาอนาคตจะเป็นอย่างไร เราก็เข้าๆ ออกๆ หนีบ้าง อยู่บ้าง งานการก็ไม่ได้ทำ" เป็นคำพูดเปิดใจของ "มะนาวี" มือประกอบระเบิดซึ่งมีพื้นที่ปฏิบัติการอยู่ใน อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ที่ได้อธิบายเหตุผลของการตัดสินใจหันหลังให้ขบวนการที่อ้างอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดน ซึ่งก่อความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้อย่างต่อเนื่องมานานเกือบ 9 ปี
เหตุผลของ "มะนาวี" ไม่ต่างอะไรกับ "บักรี" หัวหน้ากองกำลังติดอาวุธผู้รับผิดชอบหนึ่งในสามโซนของ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส "ทุกคนอ่อนที่ครอบครัวทั้งนั้น พอได้แฟน ได้ลูก เราก็จะกลับมาคิด"
"เรามองชีวิตที่เป็นอยู่แล้วไม่สบายใจ เห็นคนอื่นซื้อไอศครีมแท่งละ 25 บาทให้ลูก เราต้องซื้อลูกชิ้นไม้ละ 5 บาทมี 4 ลูก ช่วงรายอต้องหลบๆ ซ่อนๆ พาลูกไปหาปู่ย่าตายายก็ไม่ได้ ส่วนลูกคนอื่นใส่ชุดหล่อไปเที่ยว เราพาไปไม่ได้ สายตาของลูกที่ผิดหวังทำให้เราคิดหนัก" บักรี บอก
มะนาวี กล่าวเสริมว่า ทำหน้าที่ประกอบระเบิดมาหลายปี ไม่เคยมีอุปกรณ์ป้องกันสารพิษ วันหนึ่งก็ล้มป่วย อาการหนักมาก แต่พอเข้าโรงพยาบาลแล้วรอดกลับมาได้ จึงรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่
"ขบวนการเคยบอกว่าเกิดอะไรขึ้นจะดูแลทุกอย่าง แต่พอเกิดจริงๆ กลับไม่ได้ดูแล ตรงนี้ทำให้เราคิดหนัก ผมหายป่วยกลับมาก็โดนหมาย พ.ร.ก. (ออกตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548) เมื่อปีที่แล้ว ถูกจับอยู่ 6 วัน ออกมาได้ผมก็เลยหนีไปมาเลย์ ตอนหลังผมได้แฟน และแฟนก็ท้องด้วย ก็เลยเห็นใจเขาและอยากเลิกทำงานให้ขบวนการเสียที"
นอกจากผลกระทบที่เกิดกับครอบครัวแล้ว สิ่งที่ทั้ง "มะนาวี" และ "บักรี" พูดออกมาตรงกันก็คือ ความรู้สึกของพวกเขาที่เหมือนถูกขบวนการหักหลังและหลอกใช้
"ใครถูกจับ ขบวนการบอกว่าเท่ากับไปพักผ่อน ไม่ต้องทำอะไร แต่ใครล่ะจะอยากพักผ่อนแบบนี้ และตลอดมาขบวนการไม่เคยช่วยเหลืออะไรเลย" มะนาวี ระบุ
ขณะที่ "บักรี" ตั้งคำถามว่า ไหนบอกทำเพื่อศาสนา เคยถามคนในขบวนการด้วยกันว่าเพื่อศาสนาอย่างไร ให้พาคนที่เหนือกว่ามาคุยก็ตอบไม่ได้ ที่สำคัญพรรคพวกที่ติดคุก กลับบอกให้ไปพักผ่อน ทั้งๆ ที่คุกมันไม่ใช่สถานที่พักผ่อน
"การกระทำของเราไม่ได้ยกระดับความเป็นอยู่ของชาวบ้าน วางระเบิดตูม ชาวบ้านกรีดยางไม่ได้ 2 อาทิตย์ แล้วเราได้อะไร เราเองก็ไม่ได้อะไร ชาวบ้านก็ไม่ได้ ถ้าเราไม่ระเบิด ไม่ยิง ชาวบ้านก็กรีดยางได้" บักรี บอกพร้อมกับบทสรุปในความคิดของเขา
"ที่ขบวนการเคยบอกพวกเรามันไม่จริงสักอย่าง แล้วผมจะพาลูกน้องไปไหน ขบวนการจะพาเราไปที่ไหน เราจะรบไปถึงเมื่อไหร่ และสุดท้ายคงไม่พ้นถูกจับ ถ้าไม่ถูกจับก็ตาย"
ด้วยเหตุผลดังว่านี้เองที่ทำให้ "มะนาวี" และ "บักรี" กับเพื่อนๆ อีกราว 80 ชีวิตซึ่งฝ่ายความมั่นคงจัดกลุ่มพวกเขาว่าเป็น "นักรบ" ในฐานะผู้ที่คิดเห็นแตกต่างจากรัฐ พร้อมใจกันออกมาแสดงตัวและพบปะกับ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 ที่สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส เมื่อวันอังคารที่ 11 ก.ย.2555 เพื่อพูดคุยถึงแนวทางในการกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุขหลังวางปืน
แน่นอนว่าสิ่งที่เป็นความปรารถนาขั้นพื้นฐานก็คือ ให้รัฐถอนหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และหมายจับตาม ป.วิอาญา (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา) ดูแลความปลอดภัยหลังจากออกจากป่ากลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวแล้ว และหางานให้ทำ
อย่างไรก็ดี นั่นเป็นเพียงความรู้สึกจาก "นักรบอาร์เคเค" วัยไม่ถึง 30 ปีที่โดนเพียงหมาย พ.ร.ก. แต่สำหรับอดีตนักต่อสู้ผู้สูงวัยกว่าและผ่านเรื่องร้ายๆ มามากกว่านั้นอย่าง อับดุลรอซะ การ์เดซึ่งถูกจับกุมในคดีความมั่นคงหลายคดี และใช้ชีวิตในเรือนจำมานานกว่า 3 ปี เขาย่อมมีข้อเสนอในใจมากกว่า "มะนาวี" กับ "บักรี" เป็นแน่
"ในสามจังหวัด สิ่งที่ต้องมาอันดับต้นๆ คือความจริงใจ รัฐต้องจริงใจก่อน ทุกคนพอถึงจุดนี้ต้องการความยุติธรรม ผมติดคุกมาแล้ว ผมเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมมีจริง แต่ปัญหาอยู่ในช่วงก่อนจะถึงกระบวนการยุติธรรม นั่นก็คือกระบวนการสรรหาพยานหลักฐานว่ามีความยุติธรรมหรือไม่ มีการใส่ร้ายหรืออาศัยเพียงคำซัดทอดหรือเปล่า"
"ผมได้พิสูจน์แล้วว่าถ้าคดีถึงศาล ศาลมีความยุติธรรมจริง ศาลพิจารณาตามพยานหลักฐาน ฉะนั้นปัจจัยของความเป็นธรรมคือกระบวนการก่อนถึงศาลยุติธรรม"
เขาขยายความอีกว่า หลายคดีเจ้าหน้าที่มีแค่คำซัดทอดก็ออกหมายจับ เมื่อออกหมายแล้วก็ต้องจบด้วยการจับ อายุความ 20 ปี ทำให้คนที่ถูกออกหมายหนีไปมาเลย์ เพราะจะไปจ้างทนายก็ไม่มีเงิน แต่ข่าวออกว่าหนีไปกบดาน
"พอเกิดเหตุปุ๊บ ชื่อออกมาแล้วว่าคนโน้นทำ คนนี้สั่งการ สังคมสื่อเขาแย่งกันขายข่าว แต่คนที่อ้างถึงไม่มีพื้นที่ที่จะชี้แจง"
อับดุลรอซะให้น้ำหนักกับเรื่องความเป็นธรรมเป็นพิเศษ เพราะเขาถูกจับกุมดำเนินคดีไม่ต่ำกว่า 5 คดี ทั้งในพื้นที่ อ.แว้ง อ.สุไหงปาดี และ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส แต่สุดท้ายศาลยกฟ้องหมด เขาเพิ่งได้อิสรภาพเมื่อ 2 เดือนเศษที่ผ่านมา โดยระหว่างอยู่ในเรือนจำ เขาได้รับการยอมรับเสมือนหนึ่ง "ผู้นำ" และเคยเป็นตัวแทนเจรจากับเจ้าหน้าที่รัฐเมื่อครั้งจลาจลในเรือนจำนราธิวาสเมื่อปีก่อน
3 ปีในเรือนจำเปลี่ยนแปลงความคิดของอับดุลรอซะไปมากทีเดียว...
"เราต้องพลัดพรากจากครอบครัว ทุกคนต้องเอาครอบครัวไว้ก่อน เมื่อมีครอบครัวก็ต้องมีงานทำ ฉะนั้นเราจะอยู่แบบเดิมๆ ไม่ได้ ถ้าให้เรากลับไปอยู่ในสังคม สิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือความปลอดภัย ไม่ได้ต้องการ 100% แต่ถ้าเรามีปัญหาอะไรต้องได้พูดคุย และต้องได้รับการตอบรับที่ดี อีกเรื่องคืออาชีพการงาน อย่างผม 3 ปีที่ผ่านมา คดียกฟ้องไปหมด แต่ถามว่ากระบวนการที่พลาดพลั้งไปนี้ ผมจะได้อะไร"
อับดุลรอซะ ยังฝากไปถึงระดับนโยบายที่แก้ไขปัญหาภาคใต้กันมา 7 รัฐบาลแล้วแต่ยังไม่ดีขึ้น
"ที่ผ่านมานโยบายรัฐบาลมาทีก็เปลี่ยนที ทั้งๆ ที่เราทำโครงการต้องมีความต่อเนื่อง แต่นี่รัฐบาลโน้นการเมืองนำการทหาร รัฐบาลนี้ทหารนำการเมือง ทหารเองก็เหมือนกัน พอนายเปลี่ยนคนก็เปลี่ยนนโยบาย ฉะนั้นกว่าจะเริ่มทำงานได้ก็สาย ก็ตามฝ่ายขบวนการอีกก้าว"
"สิ่งที่อยากเห็นก็คือรัฐบาลเปลี่ยน ไม่มีปัญหา แต่นโยบายต้องสอดคล้องกับที่ตั้งต้นมา ใครจะเป็นนายกฯ เป็นแม่ทัพไม่มีปัญหา แต่นโยบายเป็นอย่างไรต้องเป็นอย่างนั้น ว่ากันตรงๆ"
อับดุลรอซะ คาดหวังว่า การพบปะกับแม่ทัพภาค 4 เมื่อวันที่ 11 ก.ย.จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เป็นนิมิตหมายที่จะนำพาสถานการณ์กลับสู่ความสันติ
กิจกรรมพบปะระหว่างกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐกับแม่ทัพภาคที่ 4 เที่ยวนี้ บุคคลที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคือ แวอาลีคอปเตอร์ วาจิ ซึ่งตามข้อมูลของหน่วยงานความมั่นคงระบุว่า เป็นแกนนำคนสำคัญใน จ.นราธิวาส ร่วมในเหตุการณ์ปล้นปืนทหารเมื่อวันที่ 4 ม.ค.2547
แวอาลีคอปเตอร์ ไม่ยอมพูดภาษาไทย โดยบอกว่าพูดไทยไม่ได้ ข้อมูลจากเขาและหน่วยงานรัฐตรงกันว่า เขาไม่ได้ร่วมก่อเหตุรุนแรงมาหลายปีแล้ว แต่กลับยังมีชื่อร่วมในเหตุการณ์ที่เกิดใน จ.นราธิวาส จากการอ้างของบางหน่วยแทบทุกครั้ง
แวอาลีคอปเตอร์ บอกว่า ก่อนถูกติดตามจับกุม เขาเป็นลูกจ้างถ่ายเอกสารอยู่ที่ อ.เจาะไอร้อง ต่อมาหนีเข้ามาเลเซีย ไปรับจ้างกรีดยางพารา
"ตัวผมเหมือนกระสอบใบหนึ่ง มีอะไรเขาก็ยัดใส่" แวอาลีคอปเตอร์ กล่าว และว่าชื่อแวอาลีคอปเตอร์ เป็นชื่อแปลก และอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ถูกเจ้าหน้าที่มองว่าเป็นแกนนำคนสำคัญของขบวนการแบ่งแยกดินแดนทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็น!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น