8/04/2556

จากสงครามป้ายสี ถึงวลี “ทหารออกไป” แผนร้าย BRN บนเส้นทางสันติภาพจอมปลอม

    
 

      แล้วการคาดการณ์ของนักวิชาการและฝ่ายความมั่นคงถึงแนวโน้มการก่อเหตุรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยภายหลังการระงับการลงนามในข้อตกลงลดเหตุรุนแรงร่วมกันระหว่างผู้แทนกลุ่ม BRN และรัฐบาลไทยอย่างกระทันหันด้วยข้ออ้างในความไม่พร้อมของกลุ่ม BRN ก็เป็นจริง

          ไม่ว่าการ “เบี้ยว” การลงนามร่วมกันในครั้งนี้จะเกิดจากความไม่พร้อมจริงๆ ตามที่กล่าวอ้างหรือมีเหตุผลอื่นใดแอบแฝงซึ่งอาจคาดเดาไปถึงการ “ล้มโต๊ะพูดคุยสันติภาพ” ของกลุ่ม BRN ก็ตาม  อย่างไรก็ดีอดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติมาเลเซียกลับเป็นฝ่ายแถลงซะเองว่ารัฐบาลไทยและกลุ่ม BRN มีข้อตกลงลดเหตุรุนแรงระหว่างเดือนรอมฎอนร่วมกันทั้งๆ ที่ไม่มีผู้แทนของทั้งสองฝ่าย  ซึ่งยังคงเป็นที่กังขาอยู่ว่าเจตนาที่แท้จริงของมาเลเซียต่อเหตุการณ์ในประเทศไทยจะเป็นไปในทางใดแน่ 

แต่ที่แน่ๆ ถึงวันนี้เจตนาที่เริ่มปรากฏชัดว่าเป็นแผนของ BRN ที่ได้ถูกวางไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อยกระดับเหตุรุนแรงในประเทศไทยไปสู่สังคมโลกอีกครั้ง  ภายหลังจากที่ได้ทำสำเร็จไปแล้วขั้นหนึ่งคือ การทำให้ BRN เป็นที่รู้จักและยอมรับว่าเป็นคู่ขัดแย้งที่มีตัวตนของรัฐบาลไทย

          การก่อเหตุอย่างมีเงื่อนงำหวังสร้างผลกระทบเพื่อเดินเกมส์รุกด้านการเมืองต่อไปอย่างถี่ยิบ  โดยการสังหารเป้าหมายประชาชนกลุ่มต่างๆ ที่ประกันความสำเร็จได้ว่าเมื่อก่อเหตุแล้วจะสามารถสร้างกระแสปลุกปั่นมวลชนได้อย่างแน่นอนได้แก่ กลุ่มผู้นำศาสนาที่เป็นที่ยอมรับนับถือของคนในพื้นที่  ครูตาดีกา  ประชาชนไทยมุสลิมและพุทธ

ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่เคยร่วมอุดมการณ์เดียวกันที่มีแนวโน้มว่าได้ให้ข้อมูลของขบวนการกับฝ่ายรัฐ  ที่ถูกจับกุมตามหมาย ป.วิอาญาซึ่งอยู่ระหว่างการประกันตัว และผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมตามหมายป.วิอาญาเช่นกันแต่ศาลพิพากษายกฟ้องก็ถูกสังหารไปหลายคน นัยว่าเป็นกลุ่มที่ขบวนการไม่สามารถไว้วางใจได้อีกต่อไป 
5 กลุ่มเป้าหมายนี้ถูกแกนนำระดับปฏิบัติการสั่งการสังหารเสียชีวิตเป็นใบไม้ร่วง

พร้อมกับการโฆษณาชวนเชื่อโหมประโคมข่าวลือทั้งแบบปากต่อปาก ใช้ป้ายผ้าติดทั่วพื้นที่กว่า 100 จุด ใช้สีสเปยร์พ่นบนพื้นถนน และใช้เครือข่ายโซเชียลมีเดียทั้งสื่อสังคมออนไลน์  เว็บไซต์ทั้งภายในและภายนอกประเทศบิดเบือนข่าวสารอย่างที่ทุกฝ่ายทราบกันดี  มุ่งประเด็นฟันธงว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นการกระทำของฝ่ายเจ้าหน้าที่ไทยจนนำไปสู่วลีบนท้องถนน “ทหารออกไป”


การยื่นหนังสือในทำนอง “ประท้วง” มาเลเซียโดย 4 เครือข่ายภาคประชาสังคมดูจะเป็นการรับลูกต่อภายหลังจากการก่อเหตุต่อเป้าหมาย 5 กลุ่มข้างต้นได้อย่างสอดคล้อง โดยการเรียกร้องให้มาเลเซียร่วมออกมาตรการคุ้มครองประชาชนมุสลิมในประเทศไทยให้ได้รับความปลอดภัย  แต่ด้วยเหตุผลที่ทุกฝ่ายต่างทราบดีถึง “มารยาท” ในการไม่แทรกแซงกิจการภายในระหว่างประเทศซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติที่เป็นสากล  จึงแน่ใจได้ว่า  งานนี้มาเลเซียคงไม่สามารถเข้ามาก้าวก่ายบูรณภาพเหนือดินแดนของไทยได้  หรือถึงได้ก็คงไม่อยากเข้ามายุ่ง

 เพราะในสภาพปัจจุบันมาเลเซียเป็นแค่ผู้อำนวยความสะดวก   ความพยายามผลักดันให้ประเทศอื่นเข้ามาแทรกแซงจึงไม่ใช่ความต้องการที่จะให้เหตุรุนแรงยุติ  แท้จริงแล้วเป็นความพยายามของกลุ่มปีกการเมืองขบวนการในคราบกลุ่ม NGO จอมปลอม รวมทั้งเครือข่ายต่าง ๆ ที่พยายามเสนอหน้ายกเอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างเพื่อหวังผลทางการเมือง  โดยไม่แคร์สายตาชาวโลกที่กำลังมองเกมส์บ้องตื้นนี้อย่างขบขัน เพราะไม่มีที่ไหนทำกัน

          ที่สำคัญเป็นการ “ละเมิดพิธีการระหว่างประเทศ” อย่างชัดเจน  การกระทำของเครือข่ายที่เรียกตัวเองว่า “เครือข่ายภาคประชาสังคมชายแดนใต้” จำเป็นสิ่งที่สมควรตำหนิ  เข้าทำนองเผาบ้านตัวเองยังไม่พอยังเรียกร้องให้คนอื่นเอาน้ำมันมาราดซ้ำ  อย่างนี้จะเรียกว่าทำเพื่อความถูกต้อง เพื่อความยุติธรรมได้อย่างไร 

          แต่ที่แน่ๆ กลุ่มนักศึกษาภายใต้การสนับสนุนของกลุ่ม NGO เหล่านี้ไม่เคยออกมาเรียกร้องในสิ่งที่เป็นความเดือดร้อนส่วนรวมที่เกิดจากการกระทำของขบวนการ  นอกจากคนของขบวนการถูกจับกุมหรือสังหาร  และมีความเคลื่อนไหวที่เอนเอียงชัดเจนจนเป็นที่รู้กันว่ากลุ่มคนเหล่านี้เป็นปีกหนึ่งของขบวนการ ที่กำลังอยู่ในอาการกำเหริบ แข็งกร้าวจนแม้ภาครัฐยังแตะต้องไม่ได้  ขณะที่องค์กรที่มีบทบาทโดยตรงอื่นๆ ก็ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ด้วยต่างได้รับประโยชน์ร่วมในทางเดียวกัน

การก่อเหตุร้ายต่อเนื่องภายหลังจากเดินเกมส์การเมืองแล้ว ที่กำลังเกิดขึ้นโดยมุ่งเป้าหมายทำลายเศรษฐกิจด้วยการลอบเผาโรงงานยางปักษ์ใต้และอีกหลายจุดเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา เป็นอีกเกมส์หนึ่งที่ขบวนการได้ดำเนินต่อไปโดยไม่คำนึงถึงประชาชนผู้ทำสวนยางที่เป็นผู้รับกรรม โดยข้ออ้างเพื่อตอบโต้ที่ฝ่ายรัฐละเมิดข้อตกลงสันติภาพ  เป็นเหมือนความพยายามทิ้งไพ่ใบสุดท้ายของขบวนการในช่วงเดือนรอมฎอนเพื่อบีบให้รัฐบาลถอนทหารออกจากพื้นที่  ซึ่งกรณีนี้หลายฝ่ายประเมินแล้วยังไม่มีทางเป็นไปได้ในขณะที่ยังมีการปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายขบวนการอยู่ในขณะนี้

เหตุรุนแรงในช่วง 10 วันสุดท้ายของเดือนรอมฎอนยังคงดำเนินต่อไปพร้อมกับความเดือดร้อน การสูญเสียชีวิตของพี่น้องประชาชนและฝ่ายเจ้าหน้าที่  คงต้องคอยดูกันต่อไปว่าสันติภาพที่ทุกฝ่ายโหยหาจะเกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ของไทยได้หรือไม่  แต่ขอตอบตรงนี้ในฐานะที่ได้ติดตามสถานการณ์มาโดยตลอดว่ามันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร  ในเมื่อกลุ่ม BRN ยังคงหลับหูหลับตาเข่นฆ่าประชาชนแบบไม่เลือกเป้าหมาย ฆ่าได้แม้แต่พวกเดียวกันเพียงเพื่อต้องการป้ายสีอีกฝ่าย  ทำลายเศรษฐกิจหลักในพื้นที่ซึ่งหาเลี้ยงปากท้องของประชาชนไปวันๆ อย่างนี้  หาก BRN บอกว่านี่คือหนทางสู่สันติภาพ มันคงเป็นได้เพียงสันติภาพจอมปลอมที่กลับกลอกโดยขบวนการและองค์กรภาคประชาสังคมฝ่ายสนับสนุนฝ่ายเดียว  นี่จึงเป็นหนทางที่เห็นได้ชัดที่สุดในเวลานี้

ซอเก๊าะ  นิรนาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น