11/27/2557

ศาลตัดสินประหารชีวิต 5 โจรใต้


     แบมะ ฟาตอนี

          เมื่อ 26 พ.ย.57 เวลา 13.30 น. ที่ศาลจังหวัดปัตตานีได้มีการนัดไต่สวนพิพากษาผู้ต้องหา คดีคนร้ายใช้รถกระบะเป็นพาหนะไล่ยิงถล่มเจ้าหน้าที่ทหารชุดร้อย ร.15323 สังกัดหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี 25 ขณะลาดตระเวนเส้นทางด้วยรถจักรยานยนต์ 3 คันในพื้นที่ อ.มายอ จ.ปัตตานี เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิตทันที 4 นาย


          โดยเหตุการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 28 กรกฎาคม 2555 ขณะเจ้าหน้าที่ทหาร ร้อย ร.15323 หน่วยเฉพาะกิจปัตตานี 25 จำนวน 6 นาย ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ 3 คัน เป็นพาหนะออกจากฐานปฏิบัติการ บ้านกระหวะ ต.กระหวะ อ.มายอ จ.ปัตตานี เพื่อลาดตระเวนเส้นทางดูแลความปลอดภัยให้กับครู และประชาชน ช่วงถนนสาย มายอ - บ้านปาลัส ม.3 บ้านดูวา ต.ถนน อ.มายอ จ.ปัตตานี

          ในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังขับขี่รถจักรยานยนต์อยู่นั้น ได้มีคนร้ายจำนวน 18 คน มีอาวุธปืนครบมือ ใช้รถกระบะเป็นพาหนะ จำนวน 3 คัน ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน ขับตามประกบรถจักรยานยนต์ของเจ้าหน้าที่ทหารทั้งสามคัน จากนั้นได้ใช้อาวุธปืนสงครามหลายกระบอก กราดยิงเข้าใส่ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที 4 นาย ส่วนอีก 2 นายได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนขึ้นรถหลบหนีไปกลุ่มคนร้ายได้ขโมยอาวุธปืนเอ็ม 16 จำนวน 4 กระบอก พร้อมกับวิทยุ เสื้อเกราะของเจ้าหน้าที่ทหารไปด้วย


          เจ้าหน้าที่ทหารที่เสียชีวิต 4 นาย ได้แก่ สิบเอกลือชัย จุลทอง, พลทหารเบญจรงค์ สีแก้ว, พลทหารเอกลักษณ์ สีดอกไม้ และ พลทหารภาคิน หงส์มาก ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส จำนวน 2 นาย สิบเอกปรีดา นพคุณ และ พลทหารอาคม ชูกล่อม

        ภายหลังจากที่ผู้พิพากษาศาลจังหวัดปัตตานีได้ขึ้นนั่งบัลลังค์อ่านคำพิพากษา ร่วม 4 ชั่วโมง ต่อหน้าโจทก์และจำเลย รวมไปถึงพยาน และญาติที่มาร่วมรับฟังอยู่ในห้องพิจารณาคดีกว่า 20 คน ซึ่งปรากฏว่า ศาลได้ตัดสินพิพากษาลงโทษด้วยการประหารชีวิต จำเลยทั้ง 5 คน ดังนี้
          1.นายอิสมาแอ ดาโอง
          2.นายมะซาฮาฟี มีทอ
          3.นายกอเดร์ เจะแต
          4.นายนิมูหัมหมัด นิเซ็ง
          5.นายฮิสบุลลอฮ บือซา

          เมื่อสิ้นสุดการอ่านคำพิพากษาของศาล ถึงกับทำให้ญาติ และเพื่อนของจำเลยทั้ง 5 คนที่มาร่วมฟังคำตัดสินของศาล มีสีหน้าที่เคร่งเครียด บางคนถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ อย่างไรก็ตามก็ต้องยอมรับคำตัดสินของศาล เป็นไปตามพยานหลักฐาน และกระบวนของศาลสถิตยุติธรรม

          นี่คือผลของกรรม ผลจากการกระทำ เนื่องมาจากการหลงผิดเข้าร่วมบวนการโจรใต้ทำการก่อเหตุเข่นฆ่าผู้คนโดยไม่กลัวเกรงต่อบาป มีความหย่ามใจเพราะโดนปลุกระดมให้ลงมือก่อเหตุแล้วไม่ถูกลงโทษ แต่ในความเป็นจริงกฎหมายมีไว้บังคับใช้สำหรับผู้ที่กระทำความผิด และจะต้องรับโทษทัณฑ์ที่ตัวเองได้ก่อกรรมทำชั่วไว้

          หากท่านผู้อ่านจำเหตุการณ์เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2555 กันไม่ได้ ผู้เขียนขอย้อนรอยเรื่องราวในวันนั้นกันอีกสักครั้ง ทั้งที่ในความรู้สึกส่วนตัวไม่อยากรื้อฟื้นความทรงจำที่ไม่ควรจะจดจำ กับการกระทำที่อุกอาดป่าเถื่อน ไร้มนุษยธรรม ของขบวนการโจรใต้ ซึ่งได้มีการวางแผนเตรียมการมาเป็นอย่างดี กำหนดจุดในการลงมือก่อเหตุประกบยิง ใช้กล้องวงจรปิดในบริเวณดังกล่าวบันทึกการกระทำเหมือนรู้เห็นเป็นใจกัน เพื่อต้องการสื่อภาพชั่วร้ายให้สังคมเกิดการรับรู้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นไม่เกินชั่วโมงคลิปวีดีโอดังกล่าวได้หลุดออกไปเผยแพร่ในฟรีทีวีทุกช่อง เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกลุ่มขบวนการ

          เหตุการณ์ในวันนั้น มีกลุ่มขบวนการ ผกร.ร่วมทำการก่อเหตุ จำนวน 18 คนด้วยกัน มีอาวุธปืนครบมือ ใช้รถยนต์กระบะ 3 คัน เป็นยานพาหนะในการก่อเหตุสังหารเจ้าหน้าที่ และวันนี้ผลของการกระทำดังกล่าวได้ย้อนกลับมาลงโทษประหารชีวิต 5 โจรใต้ด้วยการตัดสินของศาล

           ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2557 ศาลแพ่งได้มีคำสั่งให้ผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ร่วมก่อเหตุยิงเจ้าหน้าที่ทหารเหตุการณ์ข้างต้น ให้เป็นบุคคลที่ถูกกำหนดตามมาตรา 5 แห่ง พรบ. ป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ.2556 จำนวน 4 คน คือ นายปาตะ ลาเต๊ะ, นาย อาหาหมัด ดือราแม, นายอับดุลฮาดี ดาหาเล็ง และ นายระรูดิน ตาเฮ

4 ผกร.บึ้มเทพากลับลำไม่เข้าร่วม ม.21 เจอคุก

          อีกคดีหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือ คดีลอบวางระเบิดตลาดนิคมเทพา อ.เทพา จ.สงขลา ซึ่งมีผู้ต้องหา 8 ราย ถูกจับกุมเมื่อเดือน เมษายน 2554 และมี 4 ราย ที่แสดงความจำนงเข้ารับการอบรมแทนการฟ้องคดี อันเป็นกระบวนการตามมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 หรือ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ที่ฝ่ายความมั่นคงเดินหน้าใช้เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยประกาศนำร่องในพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ด้วยการเปิดโอกาสให้บุคคลที่ถูกต้องหาว่ากระทำความผิดอันมีผลกระทบต่อความมั่นคง แต่กลับใจยอมเข้ามอบตัว หรือกระทำไปเพราะหลงผิด ได้เข้ารับการฝึกอบรมจากรัฐเป็นเวลาไม่เกิน 6 เดือน แทนการถูกดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม

          ผู้ต้องหา 4 รายนี้ ถือเป็น 4 รายแรกที่เข้าร่วมกระบวนการตามมาตรา 21 ทว่าเมื่อถึงขั้นตอนที่ต้องขึ้นศาลจังหวัดนาทวี เพื่อให้ศาลสั่งเข้ารับการอบรมแทนการฟ้องคดี ช่วงเดือนธันวาคม 2554 ปรากฏว่าผู้ต้องหาทั้ง 4 คนดังกล่าวกลับลำ ไม่ยอมเข้าร่วมกระบวนการ โดยอ้างว่าถูกบังคับ ถูกซ้อมทรมาน และถูกข่มขู่ ขณะที่หน่วยงานด้านความมั่นคง ยืนยันว่ากระบวนการเป็นไปตามความสมัครใจ และได้บันทึกภาพวีดีโอไว้ทุกขั้นตอน

          ทั้งนี้ ท้ายที่สุดผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ไม่ได้เข้าร่วมกระบวนการตามมาตรา 21 และเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามปกติร่วมกับผู้ต้องหาคนอื่นๆ กระทั่งเมื่อช่วงปลายเดือนกันยายน 2557 ศาลได้มีคำพิพากษาให้จำคุกจำเลย 4 คน เป็นเวลา 35 ปี และจำคุก 2 ปี 8 เดือนกับจำเลยอีก 1 คน ส่วนอีก 3 คน ศาลพิพากษายกฟ้อง

          สำหรับจำเลย 4 คน ที่โดนลงโทษจำคุกคนละ 35 ปีนั้น เป็นคนที่เคยตัดสินใจเข้ากระบวนการตามมาตรา 21 เพื่ออบรมแทนการฟ้องคดี แต่เปลี่ยนใจในภายหลัง ซึ่งนับเป็นโครงการที่ดีที่หน่วยงานภาครัฐได้เน้นโครงการนี้มาก เพราะเป็นโอกาสของการเอาชนะทางการเมืองเหนือกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ทำให้ฝ่ายขบวนการที่อ้างอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนกระทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้กระบวนการนี้ประสบความสำเร็จ จึงมีการส่งคนไปข่มขู่ตัวผู้ต้องหาและญาติเพื่อไม่ให้เข้าร่วมกระบวนการมาตรา 21

      "ผลคำพิพากษาของศาลทำให้พิสูจน์ได้ว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการบังคับขู่เข็ญให้ใครเข้าร่วมกระบวนการตามที่มีการกล่าวหา แต่เจ้าหน้าที่มองประโยชน์ที่ตัวผู้กระทำผิดแล้วกลับใจเป็นหลัก เพราะการดำเนินคดีมีพยานหลักฐานชัดเจน เมื่อผู้ต้องหาเปลี่ยนใจไม่ยอมเข้ารับการอบรมแทนการฟ้อง และเดินหน้าต่อสู้คดีเอง ผลก็ปรากฏออกมาอย่างที่เห็น" ส่วนจำเลย 3 คน ที่ศาลยกฟ้อง ทางอัยการจะยื่นอุทธรณ์ต่อไป

       อยากให้เป็นอุทาหรณ์สอนใจ เป็นบทเรียนกับญาติ และตัวผู้หลงผิดที่ได้เข้าร่วมกับกลุ่มขบวนการ ไม่อยากให้เหตุการณ์ซ้ำรอยครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อศาลตัดสินประหารชีวิต จะต้องมานั่งเศร้าโศกเสียใจ มีผลกระทบต่อจิตใจของผู้คนรอบข้าง ผู้หลงผิดสามารถเลือกแนวทางของตัวเองได้ด้วยการหยุดกระทำชั่ว หยุดการก่อเหตุ หันหลังให้กับกลุ่มขบวนการ หันหน้ามารายงานตัวแสดงตนร่วมกันพัฒนาแผ่นดินถิ่นเกิด กลับมาใช้ชีวิตเฉกเช่นคนปกติสุขกับครอบครัว....และในวันนี้เป็นที่ประจักษ์แจ้งแน่ชัดแล้วว่าเมื่อสมาชิก ผกร.โดนจับกุมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แกนนำแนวร่วมกลับทอดทิ้งลอยแพให้มวลสมาชิกต่อสู้อยู่เพียงลำพัง..มีเพียงญาติและครอบครัวเท่านั้นที่คอยให้กำลังใจ..แล้วจะท่านจะทำการต่อสู้เพื่อขบวนการไปทำไม? กลับมาต่อสู้ทำมาหากินเลี้ยงครอบครัวลูกเมียไม่ดีกว่าหรือ....!

---------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น