11/28/2556

“3 Jenazah dibakar kedalam tangki merah” khabaran ini dari penduduk pakla


   Membunuh juga membakar kedalam tangki 200 liter adalah satu tindakan yang petik untuk di bandingkan seperti kes “tangki merah” pada zaman komunis perkenaan hal kuasa dari beberapa tahun yang lalu, dengan alasan apa yang tidak mungkin ketahui bahawa manusia dapat membuat kejam sesama manusia seperti itunya, tetapi bagi percanggahan pendapat selatan Negara Thailand dapat kembali sebagai isu utama dalam penghasutan rakyat untuk mengetahui dan timbulkan kata tindakan itu adalah perbuatan pegawai, sedangkan hal ini berlaku hingga peduli manakala orang mengenali tetapi tidak berani cakapkan.
Kami menuju kekawasan pakla bersembang dengan penduduk perkenaan kes di atas maka timbul perasaan ingin ikut media massa yang mendapatkan berita bahawa “angkatan tentera adalah orang yang melakukannya” juga merebak secara meluas bersembang dalam beberapa isu, tetapi setiap kedai teh penduduk katakan yang sama iaitu“membakar 3 jenazah itu berkaitan dengan hal dadah”
“Kakya” seorang yang hidup kawasan phong-phong ceritakan bahawa hal penyebaran dadah dalam tempatan semua penduduk amat ketahui juga di lihatkan kata semua tempatan adalah samanya, tetapi tidak fikirkan bahawa akan buat kejam seperti ininya “hari itu ada kenderaan sedang pemandu pada waktu paginya tetapi tidak fikirkan apa-apa, apabila ketahui kata ada 3 orang jenazah meninggal dunia maka kembalilah bahawa hal ini bukan perkara yang normal” kerana penyebaran dadah dalam tempatan ini dapat ketahuikan bahawa ahli politik adalah pengaruh di belakangnya, manakala pemimpin kampong tidak bersatu tetapi tidak bolih mengdorongkan hingga mesti di terima kumpulan dengan memejam sebelah mata tidak tahu apa-apa, akhirnya datang bersatu dalam kumpulannya.
“Penduduk telah ketahui tetapi tidak bolih buat apa-apa kerana takut kebahayaan lebih lagi ada kesan bunuh membunuh membakar kedalam tangki seperti ini lebih besar lagi akan memberitahu kepada siapapun tidak berani kerana mereka mesti hidup kawasan ini maka banyakan kesabarannya” kejadian ini telah di ceritakan olih pemuda kakya.
Ceritaan Encik Sara Sohmak ibu si mati Sulaiman Sala adalah satu orang pertama di buktikan dari dompet yang jatuh di kawasan katakan bahawa menyesalkan aku terhadap kematian kanak lelaki dan ketahuikan bahawa anak sudah berkaitan dengan dadah, sebelum itu anak telah di huraikan bahawa ada seorang sedang memujuk untuk menyertai membebaskan patani, tetapi anak tidak pergi kerana itu adalah mustahil hingga di ancam dengan seterusnya, akhir meninggal dunia, kesan dari hal apa tidak pernah ketahui, tetapi yang dapat di lihat terdapat 2 hal iaitu  dadah dan hal menolak kenyertaannya.
Beberapa kali tembakan yang penduduk dengar sebelum ditemui jenazah hingga mendapat ketahuikan bahawa“jangan berganggu-ganggu” kerana pemimpin kampong sudah ketahui dalam hal ininya.
Akhir mendapatkan bahawa kenderaan isuzu bagi si mati yang di jangkakan bahawa penjenayah akan membawa untuk melaku pengeboman memusnah rakyat dengan seterusnya, tetapi tatakala itu kenderaan sedang memandu ke jalan empangan patani sepaya sembunyi, tetapi jalan itu sangat kerikil bersama hujan dan licin memberikan kenderaan itu gelincir di tepi jalan hingga tidak dapat memandunya, penjenayah dapat membakar untuk memusnahan buktinya, kini mungkin langit dan bumi tidak suka terhadap jenayah, jikalau penjenayah bolih membawa ke ngemboman mungkin membangun kerugian hidupan dan harta benda rakyat murninya.
Sudah tentu bahawa tindakan di atas penjenayah dapat memutarbelitkan bahawa perkara itu adalah perbuatan pegawai juga menghadirkan khabar angin merebak secara meluas, tetapi apabila timbul kebenaran semua itu hilang seperti tiada apa yang berlakukan.
Pemuda kakya berkata lagi bahawa “yang benar adalah kebenaran akhir sekali semua hal itu di yakinkan bahawa berlaku dari konflik perdadahan yang menjadi satu masalah pada kawasan ini ,apabila ada menafat, pemimpin kampong tuntut kata keganasan memberikan pihak kerajaan berkeliru dalam pekerjaan akhirnya siapalah yang tanggung tindakan itu bukan penduduk ke” kakya berkata.
Kami hidup dalam tempatan dapatkan ketahui perbuatan seperti ini sangat banyaknya, juga memastikan diri bahawa jikalau mahu hidup di tempat ini masti ikut air , tetapi di hari ini adalah hari yang paling ganasnya.    

Khonthaiplaidamkwan

11/23/2556

“เผาถังแดง 3 ศพ” คำบอกเล่าจากชาวปากล่อ


       เหตุฆ่าแล้วเผายัดถัง 200 ลิตร เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ถูกยกมาเปรียบเปรยเหมือนกรณี “ถังแดง” สมัยพรรคคอมมิวนิสต์เรืองอำนาจเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ด้วยเหตุผลใดที่ไม่อาจทราบได้ว่ามนุษย์จะทำแบบโหดเหี้ยมได้กับมนุษย์ด้วยกันถึงเพียงนั้น แต่สำหรับพื้นที่แห่งความขัดแย้งทางความคิดในภาคใต้ของประเทศไทย มันได้กลับมาเป็นประเด็นหลักในการปลุกปั่นให้พี่น้องประชาชนรับรู้และเข้าว่าเกิดจาการกระทำของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาจนเป็นที่ชินชาในขณะที่ชาวบ้านรับรู้และแบ่งแยกได้แต่ไม่กล้าพูด

          ผมลงพื้นที่ปากล่อและได้พบปะพูดคุยกับชาวบ้านถึงกรณีข้างต้นด้วยความสงสัยใคร่รู้ตามประสาสื่อมวลชนที่ได้รับข่าวสารว่า “ทหารเป็นคนทำ”  และได้พูดคุยแบบปากต่อปาก จับเข่าคุยกันในหลายประเด็น แต่ที่ชาวบ้านพูดเหมือนกันในทุกๆ ร้านน้ำชาที่ได้ไปคือ “เผาสามศพเป็นเรื่องของพวกค้ายา”

          “ก๊ะยา” ซึ่งอยู่อาศัยในบ้านโผงโผงนี้มาตั้งแต่เกิดเล่าว่า เรื่องการแพร่ระบาดของยาเสพติดในพื้นที่ปากล่อเป็นเรื่องที่ชาวบ้านรู้กันทั่วไป และมองว่าทุกพื้นที่ก็เป็นเหมือนๆ กัน แต่ไม่คิดว่าจะทำให้เกิดการฆ่าอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ “วันนั้นพวกเราเห็นรถขับมาวนเวียนตั้งแต่ช่วงเช้าแต่ก็ไม่ได้คิดอะไร พอมารู้ว่ามีคนตายถึงสามคนก็คิดได้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ” เพราะการแพร่ระบาดของยาเสพติดในพื้นที่นี้เป็นที่รู้ๆ กันว่านักการเมืองท้องถิ่นซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่ ในขณะที่ผู้ใหญ่บ้านที่ไม่อยากร่วมด้วยแต่ก็ไม่สามารถขัดขวางจึงต้องยอมร่วมขบวนการโฉดด้วยการหลับตาข้างเดียวทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นในช่วงแรก สุดท้ายก็ลงมาร่วมขบวนการแบบเต็มตัว

          “ชาวบ้านรู้...แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะกลัวอันตราย ยิ่งมีเหตุฆ่ากันแล้วเผาใส่ถังแบบนี้ยิ่งไปใหญ่       จะบอกใครก็ไม่กล้าเพราะเขาต้องอยู่ที่นี่ ก็ต้องทนทั้งๆ ที่รู้” ก๊ะยากล่าวถึงความเป็นไปในหมู่บ้าน
          จากปากคำของนางซารอ โซ๊ะมะ แม่ของนายสุไลมาน  สาลา ผู้เสียชีวิตซึ่งพิสูจน์ตัวตนได้คนแรกจากกระเป๋าสตางค์ที่ตกในที่เกิดเหตุกล่าวว่าเสียใจกับการเสียชีวิตของลูกชายและรู้ดีว่าลูกเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด และลูกเคยเล่าให้ฟังว่ามีคนเคยชักชวนให้เข้าร่วมการกู้ชาติฟาตอนี แต่ลูกไม่ไปเพราะเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ จึงถูกตามข่มขู่เรื่อยมา สุดท้ายก็ต้องมาเสียชีวิต แต่สาเหตุมาจากเรื่องใดตนไม่ทราบได้ แต่เท่าที่เห็นคิดว่ามีสองเรื่องคือ ยาเสพติดและการไม่ยอมเข้าขบวนการ

          เสียงปืนดังหลายนัดที่ชาวบ้านได้ยินก่อนพบศพจึงเป็นที่รู้กันว่า “อย่ายุ่ง” เพราะผู้นำหมู่บ้านมีส่วนรู้เห็น

ล่าสุดทราบว่ารถยนต์อีซูซุ ของผู้เสียชีวิตซึ่งคาดว่าคนร้ายจะนำไปประกอบระเบิดเพื่อก่อเหตุทำร้ายประชาชนต่อไป แต่ขณะที่ขับผ่านถนนข้างเขื่อนปัตตานีเพื่อนำไปหลบซ่อน ซึ่งเป็นถนนดินลูกรังประกอบกับฝนตกถนนลื่น ทำให้เสียหลักลงข้างทางไม่สามารถขับต่อไปได้ คนร้ายจึงได้เผาทำลายหลักฐาน นี่คงเป็นเพราะฟ้าดินไม่เป็นใจกับคนชั่วจึงทำให้เป็นเช่นนี้ ถ้าคนร้ายสามารถนำไปประกอบระเบิดได้คงสร้างความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์อีกมาก

และแน่นอนว่าเหตุการณ์ข้างต้นฝ่ายคนร้ายได้บิดเบือนว่าเจ้าหน้าที่เป็นผู้กระทำซึ่งปรากฎข่าวลือแบบปากต่อปากอย่างรวดเร็ว แต่สุดท้ายเมื่อความจริงปรากฎ ทุกอย่างก็จะเลือนหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ก๊ะยากล่าวเพิ่มเติมว่า “แต่ความจริงก็คือความจริง ท้ายที่สุดเรื่องทั้งหมดก็เป็นที่แน่ชัดว่าเกิดขึ้นจากความขัดแย้งเรื่องยาเสพติด ซึ่งเป็นปัญหารากเหง้าส่วนหนึ่งของพื้นที่นี้ เมื่อผลประโยชน์ยังมี ผู้นำยังคล้อยตาม แอบอ้างการก่อเหตุรุนแรงเพื่อสร้างความสับสนให้ฝ่ายรัฐในการดำเนินธุรกิจเถื่อนต่อไป สุดท้ายใครล่ะที่ต้องรับกรรม ไม่ใช่ชาวบ้านหรือ” ก๊ะยากล่าวในที่สุด

ผมอยู่ในพื้นที่และได้รับรู้ถึงพฤติกรรมแบบนี้มามากมาย และย้ำกับตัวเองเสมอว่าถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ที่นี่ต่อไปต้อง “ตามน้ำ” แต่ถึงวันนี้ วันที่ทุกอย่างเลวร้ายสุดขั้ว ในฐานะสื่อผมก็ต้องบอกเล่าให้ได้รับรู้ต่อไป ในเรื่องที่ไม่เคยมีใครรู้ข้อเท็จจริงเหมือนก๊ะยาพูด  แต่ถ้านึกเรื่องเลวร้ายที่จะตามมาไม่ออกหากไม่มีใครพูด ดูสามศพที่เหลือแต่กระดูกซิ ยังอยากจะให้มีแบบนี้อีกมั้ย
         

                                                                                                ตนไทยปลายด้ามขวาน

11/19/2556

ทำร้ายพระ ฆ่าครู เพราะอยู่ใกล้ทหาร เหตุผล (พล่อยๆ) อ้างสิทธิสังหารคนของคณะพูดคุยสันติภาพ



           ในการพูดคุยสันติภาพครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นโรคเลื่อนมาหลายครั้งโดยเหตุผลการเลื่อนไม่ได้อยู่ที่ผู้แทนของรัฐบาลไทย แต่เป็นผลสืบเนื่องจากความไม่พร้อมของผู้แทนของกลุ่มต่างๆ นำโดยกลุ่มบีอาร์เอ็นที่ยังปรากฎการกีดกันกันเองเพื่อสร้างเครดิตให้กลุ่มของตนได้มีบทบาทในการนำการพูดคุยหรือต่อรองกับรัฐบาลให้มากที่สุด ด้วยหวังผลในการชิงการนำเป็นผู้ที่มีบทบาทสูงสุดเพื่อเรียกคะแนนสะสมส่วนตัวไว้ ก่อนที่การพูดคุยจะถึงวาระที่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้มากที่สุด เพราะนั้นหมายถึงการได้รับโอกาสเป็นชนชั้นปกครองอย่างที่ผู้แทนกลุ่มต่างๆ พยายามช่วงชิงและวาดหวังมาโดยตลอด ซึ่งบทบาทนี้คงหนีไม่พ้นฮัสซัน ตอยิบ ที่พยายามยกตัวเองเป็นพี่ใหญ่ชี้นิ้วบงการ

และแม้แต่กลุ่มพูโลโดยกัสตูรี มะห์โกตา ผู้ซึ่งแสดงจุดยืนมาอย่างชัดเจนที่จะใช้แนวทางการพูดคุยเพื่อแก้ไขปัญหาในภาคใต้ของไทย และประกาศตนเองว่ามีความพร้อมเข้าร่วมพูดคุยเพื่อเสนอทางออกร่วมกันด้วย ก็ยังถูกกีดกันจากกลุ่มบีอาร์เอ็นด้วยเช่นกัน แม้ว่าล่าสุดพูโลจะมีที่นั่งในโต๊ะเจรจาแต่ก็เป็นเพียง 2 ที่จากทั้งหมด 15 ที่ ซึ่งไม่แน่ใจนักว่าความตั้งใจใช้แนวทางสันติของพูโลกับการเป็นเสียงข้างน้อยจะสามารถคานอำนาจความมักใหญ่ใฝ่สูงและฝักใฝ่การใช้ความรุนแรงเพื่อต่อรองกับรัฐบาล ไทยของ ฮัสซัน ตอยิบ ได้มากน้อยเพียงใด

          การสร้างกระแสด้วยการบิดเบือนปล่อยข่าวต่างๆ นาๆ ของบีอาร์เอ็นโดยฮัสซัน ตอยิบ ผ่านสื่อนอกประเทศซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในมาเลเซีย และในประเทศไทยผ่านสื่อที่มักเป็นกระบอกเสียงให้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าการใช้สื่อเพื่อ “การโฆษณาชวนเชื่อ” หรือ IO ของบีอาร์เอ็นจะมีเนื้อหาที่หมิ่นแหม่ต่อการเกิดผลกระทบต่อความมั่นคงภายในประเทศ แต่ก็ยังเห็นสื่อเหล่านั้นช่วยกันโหมกระพือแบบไม่รู้สึกรู้สา เหมือนกับไม่ใช่คนที่บอกว่าทำเพื่อสร้างความสงบสุขอย่างที่ควรจะเป็น

          การเผยแพร่คำให้สัมภาษณ์ของแกนนำกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ (ซึ่งจริงๆ แล้วควรจะเรียกว่าอาชญากร) และเป็นผู้ที่ได้นั่งร่วมโต๊ะพูดคุยสันติภาพด้วยนั้น ได้สะท้อนให้เห็นถึงสภาวะแห่งจิตใจในความเป็นตัวตนที่ยืนอยู่บนความไร้เหตุผลอย่างแท้จริงของผู้ให้สัมภาษณ์ ทำให้เกิดคำถามว่าขบวนการนำคนแบบนี้มาร่วมโต๊ะพูดคุยได้อย่างไร

            ไม่มีนโยบายทำร้ายครู – พระ
          การลอบสังหารครูในโรงเรียนของรัฐไปแล้วกว่า 160 คนไม่รวมที่บาดเจ็บโดยให้เหตุผลว่าเพราะทหาร  ลากครูเข้าไปเกี่ยวข้อง ไปตั้งฐานในโรงเรียน เลยทำให้ครูต้องเป็นเป้าหมายในการต่อสู้ด้วย ดูจะเป็นเหตุผลให้ผู้ที่มีวิจารณญาณได้รับฟังคงถึงกับอึ้ง เพราะเหตุลอบสังหารครูในพื้นที่นี้ซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่เริ่มเหตุรุนแรง ที่จำกันได้ดีคือ กรณีครูจูหลิง ปงกันมูล ครูสาวผู้อุทิศตัวเพื่อเด็กๆ ด้อยโอกาสในพื้นที่แต่กลับถูกชาวบ้านทั้งชายหญิง ในบ้านกูจิงลือปะ ตันหยงลิมอจำนวนหลายสิบคนจับเป็นตัวประกันเพียงเพราะต้องการให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาซึ่งกระทำผิด สุดท้าย ต้องถูกรุมทำร้ายจนเสียชีวิตอย่างน่าสงสารเป็นที่สะเทือนใจไปทั้งประเทศ  หรือครูชลธี เจริญชล ครูโรงเรียนบ้านตันหยง
 จ.นราธิวาส  ซึ่งเป็นครูมุสลิมที่สั่งสอนให้เด็กๆ ได้รับทราบความเป็นจริงของปัญหาในบ้านของเขา จนถูกขบวนการมองว่าจะเป็นต้นเหตุให้เกิดการต่อต้านตามมา จึงส่งสมุนเข้าไปยิงถึงในโรงอาหารภายในโรงเรียนจนเสียชีวิต ขณะที่กำลังดูแลเด็กรับประทานอาหาร ยิงต่อหน้าต่อตาเด็กไร้เดียงสาขณะที่ไม่มีทหารอยู่ในโรงเรียน “นี่หรือไม่มีนโยบายฆ่าครู” และนี่เป็นเพียงเสี้ยวนึงของการก่อกรรมทำเข็ญกับแม่พิมพ์ของชาติที่ทำหน้าที่สั่งสอนเด็กให้เป็นคนดีและเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ

          บอกได้เลยว่าไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากสร้างความหวาดกลัว บีบให้ครูไทยพุทธออกนอกพื้นที่ ปิดโรงเรียนรัฐที่จะสอนให้เด็กมีโอกาสได้เรียนต่อสูงๆ ซึ่งทำให้ยากต่อการควบคุม กดดันให้พ่อแม่ผู้ปกครองย้ายลูกหลานไปเรียนในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา ซึ่งเป็นรู้ๆ กันถึงผลประโยชน์จากเงินสนับสนุนต่อหัวต่อปีที่ได้รับจากรัฐบาลจำนวนไม่น้อยพร้อมด้วยการกีดกันไม่ให้สำนักงานการศึกษาเอกชนเข้าตรวจสอบยอดนักเรียนที่แท้จริง แต่กลับมีการเรียนการสอนภาครัฐที่ไม่มีคุณภาพ เพราะไม่ได้มุ่งสร้างเด็กให้มีความรู้อย่างแท้จริง ทำให้ไม่สามารถสอบแข่งขันกับเด็กๆ ในภาคอื่นๆ ได้ แล้วยังอ้างว่าไม่มีสิทธิในการเข้าเป็นข้าราชการ  ผลเสียทั้งหมดนั้นต้นเหตุมาจากใคร  คงเดาได้ไม่ยาก

          การลอบวางระเบิดพระขณะกำลังบิณฑบาตของผู้ก่อเหตุรุนแรงเป็นภาพที่น่าเศร้าใจที่สุดสำหรับพุทธ   ศาสนิกชน และผู้เขียนค่อนข้างแน่ใจว่าเหตุเลวร้ายสุดขั้วนี้จะไม่มีเกิดขึ้นที่ใดในโลกเว้นภาคใต้ของประเทศไทย การสังหารพระอย่างโหดเหี้ยมที่วัดพรหมประสิทธิ์ อ.ปะนาเระ ปัตตานี หรือการลอบยิงพระที่เกิดขึ้นเนื่องๆ โดยที่พระซึ่งเป็นเป้าหมายอ่อนแอไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้จนต้องมรณะภาพไปมากมายหลายรูปทั้งที่ไม่ได้มีทหารอยู่ในวัด “นี่หรือไม่มีนโยบายฆ่าพระ”


          และการฆ่าพระฆ่าครูนี้ แม้แต่แกนนำกลุ่มพูโลเก่ายังเคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่า น่าตกใจและไม่คิดว่ากลุ่มบีอาร์เอ็นรุ่นใหม่จะสามารถทำได้ 
พระวัดพรหมประสิทธิ์ถูกฆ่าแล้วเผาอย่างโหดเหี้ยม

          การให้สัมภาษณ์ดังกล่าวตามมาด้วยหลากหลายเหตุผลเสียสติของแกนนำบีอาร์เอ็นเหล่านั้นที่นำเสนอผ่านสื่อได้อย่างน่าละอาย การลอบสังหารไทยพุทธเพราะฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐไปติดอาวุธให้ หรือการลอบสังหารไทยพุทธบางครั้งไม่ได้เกิดจากการกระทำของฝ่ายตนโดยตรง แต่เป็นคนมลายูที่มีความเครียดแค้นเจ้าหน้าที่จึงไปลงที่ชาวไทยพุทธที่ไม่รู้เรื่อง  นี่หรือคือแนวความคิดของกลุ่มคนที่รัฐบาลไทยกำลังพูดคุยเพื่อร่วมกันแก้ปัญหา

          น่าสงสารแทนพี่น้องประชาชนในพื้นที่บางส่วนที่สนับสนุนคนกลุ่มนี้จริงๆ  ลองมโนภาพดูว่า หากคนกลุ่มนี้ได้เป็นใหญ่ขึ้นมาวันใด พี่น้องกลุ่มนี้แหละที่ต้องทนถูกกดขี่บนความหวาดกลัวต่อไป  และนี่จะเป็นการกดขี่ในชีวิตจริงที่ไม่ใช่เพียงข้ออ้างว่าถูกกดขี่จากเจ้าหน้าที่รัฐที่ยังหาความจริงไม่ได้

          “ถอนทหารออก เราก็จะหยุด”  การถอนกำลังทหารดูจะเป็นความต้องการของแกนนำที่ถูกนำมาเรียก ร้องสร้างกระแสในพื้นที่มากที่สุด เพราะถ้าไม่มีกำลังทหารอยู่ในพื้นที่แล้ว การเคลื่อนไหวตามยุทธศาสตร์การแบ่ง แยกดินแดนในปีกของการทหารโดยทำพื้นที่ให้เกิดความรุนแรงจะดำเนินไปได้อย่างเสรี  ซึ่งจะนำไปสู่การบรรลุวัตถุประสงค์ในที่สุด  แต่ในวันที่ยังมีทหารอยู่ในพื้นที่กลุ่มขบวนการนอกจากจะไม่สามารถเดินเกมส์ได้อย่างเต็มที่แล้ว ยังต้องถูกการติดตามจับกุมอย่างไม่ลดละของฝ่ายความมั่นคงจนต้องหลบหนีออกนอกประเทศ บางส่วนถูกจับกุมหรือถูกวิสามัญฆาตกรรมไปหลายราย  การเรียกร้องโดยอ้างความต้องการของมวลชนจึงเป็นกลยุทธ์หลัก   ที่ช่วยสนับสนุน ขณะที่ความพยายามเรียกร้องสิทธิในการกำหนดใจตนเอง  การยอมรับความเป็นชนชาติ ยังคงมีความพยายามเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยองค์กรนักศึกษาและภาคประชาสังคมภายในพื้นที่ที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ ดังนั้น หากการถอนทหารจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น  คำว่าดีในที่นี่จึงไม่ใช่เหตุการความไม่สงบจะดีขึ้น แต่เป็นการดำเนินยุทธศาสตร์ของขบวนการต่างหากที่ดีขึ้น

                รู้ๆ กันอยู่อย่างนี้แล้วใครจะยอมถอนทหารเพื่อให้ประชาชนเดือดร้อน

          ทั้งหมดนั้นคงช่วยให้มองเห็นได้ว่า เหตุผลไร้สติของขบวนการนั้นมีจุดมุ่งหมายดีเพื่อฝ่ายเดียว

          การนำเสนอการให้สัมภาษณ์ผู้อ้างตัวว่าเป็นนักรบโดย “กรุงเทพธุรกิจ” โดยให้เหตุผลว่าไม่มีเจตนาเผยแพร่ข้อมูลของฝ่ายที่ประกาศจุดยืนต่อต้านรัฐ แต่มีเจตนาเปิดพื้นที่สร้างความเข้าใจเพื่อสถาปนาสันติสุขที่ปลายด้ามขวานนั้น ผู้เขียนในฐานะเป็นสื่ออีกแขนงหนึ่ง ยังมองไม่เห็นว่าการนำเสนอข้อมูลภายใต้จรรยาบรรณสื่อมวลชนโดยขาดการวิเคราะห์ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น จะเป็นผลดีต่อการสร้างความเข้าใจได้อย่างไร

          แต่หากยังยืนยันว่าเป็นการสร้างความเข้าใจ ก็น่าจะเป็นการสร้างความเข้าใจผิด โดยการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เป็นผลดีต่อการสถาปนาสันติสุขที่ปลายด้ามขวานซะมากกว่า  เพราะนี่ควรเป็นสาระที่ผู้แทนของทั้งสองฝ่ายต้องไปถกแถลงกันในโต๊ะพูดคุยสันติภาพ การนำเสนอในลักษณะดาบสองคมนี้ระวังจะกลายเป็นแนวร่วมของฝ่ายขบวนการโดยไม่รู้ตัว

          หรือว่ารู้....แต่จะทำ..ใครจะทำไม



 ซอเก๊าะ  นิรนาม

11/15/2556

จับสัญญาณจนท.รัฐ “รุกทั้งกระดาน” ผลักขบวนการเข้า “ตาจน”





จากสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่แม้จะยังคงมีความรุนแรงต่อเนื่อง แต่กลับมีสัญญาณบวกสวนทางขึ้นมาอย่างมีนัยยะ โดยเฉพาะการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่รัฐในช่วงหลังที่มีจุดสังเกตสำคัญ คือ การปฏิบัติการที่ตรงเป้าหมายและ เข้าถึงมวลชนมากขึ้น
ที่สำคัญกับยุทธศาสตร์ของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ปฏิบัติและบรรลุผล จนกลายเป็น ขวัญและกำลังใจ จากสังคม ที่ส่งผลในเชิงยุทธศาตร์ กับความได้เปรียบอย่างต่อเนื่อง และเป็นความสำเร็จส่วนหนึ่งจากปฏิบัติการจิตวิทยาที่กำลังผลิดอกออกผล

กรณีการจับกุม นาย อาหามะ กาเจ” แกนนำคนสำคัญกลุ่มอาร์เคเค  ที่มีส่วนกับเหตุการณ์การจับ น.ส.จูหลิง ปงกันมูล ครูโรงเรียนบ้านกูจิงลือปะ เป็นตัวประกันและถูกทำร้ายจนเสียชีวิต ในปี 2549 กลายเป็นกระแสฮือฮาในโลกออนไลน์ ที่เรียกขวัญและกำลังให้ให้กับผู้ปฏิบัติงาน

แม้เหตุการณ์จะผ่านพ้นมากว่า 7 ปีแล้ว แต่ความทรงจำและความรู้สึกร่วมของคนส่วนใหญ่ในสังคม ยังคงเป็นเหตุผลสำคัญที่เกิดเสียงตอบรับจากกรณีนี้ดีเกินคาด และมีผลต่อ จิตวิทยามวลชน” กลายเป็นคลื่นใต้น้ำผลักดันให้เกิดปฏบัติการเชิงรุกที่จะติดตามและจู่โจมกลุ่มแกนนำและแนวร่วมของกลุ่ม
ขบวนการ ที่มีทั้งความแม่นยำ และได้ผลในเชิงยุทธศาสตร์อย่างมีเป้าหมาย

เป็นที่น่าสังเกตว่า ในแต่ละครั้งของปฏิบัติการโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐ ในช่วงหลังที่ผ่านมาจะมีความแม่นยำในเชิงข้อมูล โดยเฉพาะการปฏิบัติการตรวจค้นและล้อมจับจะเป็นไปอย่างรอบคอบและมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น

สังเกตได้จากเหตุการณ์การล้องจับ นายมามะ สะอิ แกนนำอาร์เคเค และแนวร่วมเครือข่ายจำนวน 3 ศพ หรือแม้แต่กรณีของการจับตาย นาย อุสมาน เด็งสาแมและ นายอับดุลรอฮิง ดาอีซอ” หรือ เปเล่ดำ แกนนำระดับปฏิบัติการ ที่ถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญพร้อมลูกน้อง 4 ศพ ซึ่งก็เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความมีเอกภาพ และความชัดเจนในเชิงยุทธศาสตร์ และยุทธวิธี ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ

สู่ยุทธวิธีไล่ล่าอย่างมีเป้าหมาย ไม่ปล่อยให้ตกเป็นฝ่ายตั้งรับแต่เพียงฝ่ายเดียว!!
หลากหลายปฏิบัติการอันเกิดผลบรรลุผลได้อย่างน่าพอใจ ยังแสดงให้เห็นอีกว่า ข้อมูลที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐมีอยู่นั่น เริ่มเป็นข้อมูลที่ได้รับการกลั่นกรองและมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่า ข้อมูล ของเจ้าหน้าที่รัฐส่วนหนึ่ง มาจากแนวทางด้านมวลชน หลังความระส่ำระส่ายของขบวนการ ที่สะท้อนภาพของฐานมวลชนที่สั่นคลอนและสิ้นหวัง

ทำให้ประชาชนในพื้นที่จำนวนหนึ่งเริ่มหันกลับมามองสันติภาพ ที่น่าจะเป็นไปได้มากกว่าบนโต๊ะเจรจา และเป็นส่วนหนึ่งจากความสำเร็จโดยปฏิบัติการจิตวิทยา!!

ซึ่งผลที่ตามมาคือข้อมูลเกี่ยวกับ แกนนำและแนวร่วมของขบวนการ รวมถึงการแจ้งข่าวความเคลื่อนไหวต่างๆ มีผลให้เกิดยุทธวิธีจู่โจมแบบไม่ให้ตั้งตัว  และบนปฏิบัติการที่ได้ผลในทางยุทธวิธีนี่เอง  ก็สร้างเส้นทางให้เกิดการโจมตีโต้กลับแล้วล้างแค้น ซึ่งในการตอบโต้แต่ละครั้งของขบวนการที่เกิดขึ้น แทนที่จะกลับมาเป็นฝ่ายชิงพื้นที่ข่าวดังที่เคยเป็นมาในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้  แต่การปฏิบัติการของกลุ่มเคลื่อนไหวกลับมีผลสะเทือนไปถึงสังคมส่วนใหญ่

กลายเป็นผลของข่าวในเชิงลบต่อขบวนการเคลื่อนไหวเสียเอง!!

ปฏิบัติการการตอบโต้ที่ถือเป็นจุดผิดพลาดครั้งสำคัญหลังขบวนการเคลื่อนไหวต้องสูญเสียแกนนำและแนวร่วม ทั้งที่ถูกจับเป็นและจับตายไปหลายคน คือกรณีของการลอบวางระเบิดสังหารชุดเก็บกู้ระเบิด (EOD)หน่วยปฏิบัติการพิเศษ (นปพ.) ตำรวจภูธร จ.นราธิวาส เสียชีวิต 3 นาย คือ ร.ต.ต.แชน วรงคไพสิฐหัวหน้าชุด  ร.ต.ต.จรูญ เมฆเรือง รองหัวหน้าชุดฯ และจ.ส.ต.นิมิตร ดีวงศ์ ผบ.หมู่ นปพ. เหตุเกิดในพื้นที่ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส

สิ่งที่ชี้วัดว่าเป็นความผิดพลาดเนื่องจากหลังเกิดเหตุ ในวันที่ 28 ตุลาคม 2556 เกิดกระแสต่อต้านจากสังคมทั่วไปรวมถึงสังคมออนไลน์ที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเผ็ดร้อน ทำให้ผู้เสียชีวิตกลายเป็น วีรบุรุษ” และ ก่อให้เกิดกระแสเรียกร้องให้มีการติดตามและจับกุมผู้ก่อเหตุ ซึ่งได้ผลในทันที
 ถัดจากเหตุการณ์เพียง 2 วัน ( 29 ตุลาคม 2556) เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมผู้ต้องสงสัย 4คน ซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยที่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่สุด ทั้งหมดเป็นบุคคลในพื้นที่ และนำตัวมาซักถามข้อมูล โดยทันที แม้การควบคุมผู้ต้องสงสัยทั้งหมดอาจะไม่ใช่ผู้ก่อเหตุที่แท้จริง แต่ก็เป็นฐานข้อมูลสำคัญในการนำไปสู่การไล่ล่าผู้ก่อเหตุ
จึงไม่น่าแปลกใจที่เจ้าหน้าที่จะมีบัญชีดำของ นาย มะรอมมือรี กาแจกาซอ  ที่มีตำแหน่งเป็น ผบ.ร้อยกองกำลังติดอาวุธอาร์เคเค รับผิดชอบการเคลื่อนไหวในพื้นที่ อ.บาเจาะ ชื่อของนาย อับดุลเลาะ อูแลซึ่งเชี่ยวชาญการประกอบระเบิด และชื่อของ นายอาแว แฆแหละหนึ่งในแกนนำสำคัญเจ้าของพื้นที่ ที่อยู่ในระหว่างการไล่ติดตามอย่างกระชั้นชิด โดยเจ้าหน้าที่รัฐ

และเชื่อกันว่าน่าจะได้ตัวในเร็วๆ นี้ ไม่ว่าจะเป็นการจับเป็นหรือจับตาย ..!!

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงภาพ ความผิดพลาด” ของกลุ่มขบวนการเคลื่อนไหว ที่หันมาเล่นงานเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ป้องกันตนเองไม่ได้ (ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด) ซึ่งแม้จะประสบผลในทางยุทธวิธี แต่เป็นการเดินหันหลังให้กับ ปฏิบัติการจิตวิทยา” ที่ชัดเจน เพราะทันทีที่เกิดเป็นกระแสสังคมกลายเป็นแรงกระตุ้น ให้เกิดการทำงานอย่างแข็งขัน รวมถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับมวลชนอันเป็นผลจากปฏิบัติการด้านจิตวิทยาที่มีผลโดยตรงต่อสังคมโดยรวม ประชาชนในพื้นที่ หรือแม้แต่ผู้ปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่รัฐ

ที่เรียกได้ว่าพร้อมทั้งขวัญและกำลังใจ รวมไปถึงฐานข้อมูลที่มีความแม่นยำจากประชาชนในพื้นที่ซึ่งในระยะหลังจะเห็นได้ชัดว่า “มีความคล้อยตามกระแสสังคมส่วนใหญ่ในระดับหนึ่ง

กลายเป็นจุดพลิกผันสำคัญที่ทำให้ฝ่ายขบวนการเอง “ต้องอยู่ในภาวะกดดัน เพราะนอกเหนือจากจะไม่ได้พื้นที่ข่าวดังที่เคยเป็นมาแล้ว การเดินผิดพลาดในสงครามจิตวิทยา” ยังกลายเป็น หอกที่ย้อนหวนกลับมาทิ่มแทงตัวเอง” ในที่สุด

ซึ่งทั้งหมดนี้คือ ยุทธศาสตร์รุกทั้งกระดาน” ที่มีปฏิบัติการจิตวิทยาเป็นธงนำ กับการกวาดล้างและจัดการกับขบวนการเคลื่อนไหวอย่างมีประสิทธิภาพ ที่บวกกับความระส่ำระส่ายในขบวนการเคลื่อนไหวจากการเปิดเวทีเจรจาเพื่อสันติภาพ เองแล้ว เค้าลางแห่งความพ่ายแพ้ของขบวนการเคลื่อนไหวย่อมอยู่ไม่ไกล



และนี่อาจเป็นสัญญาณของสันติภาพในพื้นที่ซึ่งกำลังจะมาถึงในไม่ช้าค่อยๆ บีบต้อนให้ขบวนการเคลื่อนไหวในพื้นที่ ถึงกับเข้าตาจน !!

ทับ  ภารณ

จับตา “มือมืดนอกศาสนา” ป่วนเจรจาสันติภาพรอบ 4


สิ้นเดือน ก.ย. ฝ่ายไทยได้นัดเจรจาสันติภาพนอกรอบกับทางมาเลเซียอีกครั้ง

โดยไทยได้ส่งประเด็นที่จะพูดคุยให้ทางมาเลเซียรับทราบล่วงหน้าก่อนแล้ว โดยเฉพาะเรื่องก่อเหตุความรุนแรงที่มีมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงข้อเสนอของฝ่ายขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี หรือ BRN 5 ข้อ ที่ไทยไม่สามารถยอมรับได้ เพื่อให้ทางมาเลเซียได้รับทราบก่อน และขณะนี้รอคำตอบจากมาเลเซีย ซึ่งจะมีการกำหนดวันเจรจานอกรอบให้ชัดเจนมาอีกครั้ง ก่อนนัดเจรจาสันติภาพ 3 ฝ่าย กับทาง BRN และมาเลเซีย

ประเด็นก็คือ ขณะที่คนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ส่วนใหญ่ขานรับและดีอกดีใจกับการเจรจาสันติภาพ แต่กลุ่มที่ปฎิเสธสันติภาพหรือฝ่าย “ผู้เห็นต่างจากรัฐ ก็ยังคงก่อการความไม่สงบและปฎิบัติการใช้ความรุนแรงอยู่อย่างต่อเนื่อง ราวกับไม่ต้องการให้เกิดสันติภาพบนดินแดนมลายูผืนนี้ 

ถามว่านอกเหนือจากเป้าหมายที่ เข้าใจกันว่าต้องการแบ่งแยกดินแดน อ้างว่าเป็นเรื่องของศาสนา (จีฮัด) และเรียกร้องความยุติธรรมเท่าเทียมจากภาครัฐที่พยายามส่งสัญญาณเปิดทางเจรจาอย่างเต็มที่ชนิดที่ไม่เคยมีรัฐบาลยุคใดสมัยใดพยายามจะทำอย่างจริงจังมาก่อน....ขนาดนี้แล้ว ขบวนการ บางกลุ่มก็ยังปฎิเสธหนทางเจรจาที่ว่า มันน่าสงสัยและใคร่ครวญกันหรือไม่ว่าเพราะเหตุใดกันแน่?

เบื้องหลังเบื้องลึกของการก่อเหตุความรุนแรงที่ดูท่าว่าจะไม่จบสิ้นไปง่ายๆ ห่างไกลจากความต้องการสันติภาพอย่างแท้จริงออกไปทุกทีนั้น....มีใคร? หรือมีความลับดำมืดอะไรที่ไม่อยากให้คนนอกพื้นที่ ไม่ว่าจะเจ้าหน้าที่ หรือประชาคมอื่นใดเข้ามาข้องเกี่ยว หรือล่วงรู้ความเป็นจริงบางอย่าง?!? 

ลองมาย้อนดูเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงกลุ่มก่อความไม่สงบที่ปฎิบัติการเป็น มือมืดนอกศาสนา” ที่มีความเกี่ยวพันกับผลประโยชน์มหาศาล และนักการเมืองบางกลุ่มที่ทำตัวเสมือนมาเฟียคุมพื้นที่สามจังหวัด โดยเฉพาะช่วงหลังการเจรจาสันติภาพทั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมา มีการพบป้ายที่เขียนข้อความโดยใช้อักษรรูมีในหลายพื้นที่ของสามจังหวัดชายแดนใต้ เนื้อหาแสดงการไม่ยอมรับกระบวนการเจรจาสันติภาพอย่างชัดเจน

การติดป้ายหรือพ่นสีข้อความลักษณะนี้เคยเกิดมาแล้วหลายครั้งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และพุ่งเป้าการก่อเหตุไปที่เจ้าหน้าที่ทหาร โดยเฉพาะทหารพรานที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด จะตกเป็นเป้าของการโจมตีเป็นพิเศษ ในขณะที่การปิดล้อม ตรวจค้น จับกุมผู้ต้องสงสัยจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจลดน้อยลง

ข้อสังเกตอีกประการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องก็คือ มีผู้นำศาสนา เช่น โต๊ะครู โต๊ะอิหม่ามประจำมัสยิดต่างๆ รวมถึงครูสอนศาสนา (ครูตาดีกา) ตกเป็น เหยื่อของสถานการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ นับจากเดือนรอมฎอนจนถึงขณะนี้มีผู้นำศาสนา ครูสอนศาสนา ถูกยิงเสียชีวิตไปแล้วนับสิบๆ ราย 

...ซึ่งแทบทุกรายประกาศตัวชัดเจนว่าสนับสนุนการเจรจาสันติภาพ!


ทำไม? กลุ่มมือมืดที่อ้างศาสนาเพื่อความชอบธรรมในการก่อการร้าย อ้างโน่นนี่สารพัดเพื่อสร้างความปั่นป่วนแตกแยก ด้วยวิธีการใช้ความรุนแรงให้ผู้คนทั้งในและนอกพื้นที่หวาดกลัวเกรง จึงไม่อยากให้การเจรจาสันติภาพไปสู่จุดที่บรรลุเป้าหมาย หากย้อนดูคดีการจับกุมทั้ง น้ำมันเถื่อนและ ยาเสพติดที่จนท.สามารถจับได้อย่างต่อเนื่องแบบถี่ยิบตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

เช่นเมื่อเร็วๆ นี้ทางตำรวจภูธรภาค 7 ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.)สามารถจับกุมขบวนการค้ายาบ้าได้ล็อตใหญ่ จากการสอบสวน ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า มีหน้าที่ในการรับจ้างขนส่งยาบ้าดังกล่าวมาจาก จ.เพชรบุรี มุ่งหน้าไปส่งยัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยจะมีผู้มารับช่วงต่อส่งไปจำหน่ายในเขตสามจังหวัดชายแดนใต้ โดยผู้ต้องหารับค่าจ้างขนส่งเที่ยวละ 1 แสนบาท ผู้กำกับการ 7 ยังพบว่า ผู้ต้องหาทั้งสองคนที่ขนยาบ้ามีความเชื่อมโยงกับขบวนการค้ายาเสพติดใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ด้วย

ต่อมากลางเดือนกันยายนที่ผ่านมาสดๆ ร้อนๆ ตำรวจสังกัดกองกำกับการสืบสวนสอบสวน 2 ศูนย์ปราบปรามน้ำมันเถื่อน ร่วมกับ ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปนม. ศชต.) ก็สามารถจับคนร้าย 6 คน พร้อมอาวุธปืนสงครามเพียบ ขณะเดินทางเข้าพื้นที่ 3 จว.โดยใช้เส้นทางถนนสายชนบทบ้านจะมือฆา หมู่ 7 ต.ปากู อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี เพื่อลำเลียงน้ำมันเถื่อนไปขายล็อตใหญ่ เหตุการณ์เข้าจับกุมขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนครั้งนี้ เป็นผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตไป 5 นาย

ความเป็นจริงของสถานการณ์ ณ วันนี้ ภาพรางๆ ขมุกขมัวตลอดหลายปีที่ผ่านมา ค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นทุกทีว่า เราแทบจะเรียกกลุ่มผู้ใช้ความรุนแรงแบบนี้อย่างให้เกียรติเสมอมาว่า เป็น ผู้เห็นต่างหรือ ผู้ก่อความไม่สงบหรือ ขบวนการแบ่งแยกดินแดนหรืออะไรก็ตามนั้น....แทบจะใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะผิดฝาผิดตัวเกินไปที่จะต้องให้เกียรติกับคนที่ก่อกรรมชั่วช้าฆ่าคนอย่างเลือดเย็น แม้แต่คนในศาสนาเดียวกับตัวเอง จนแทบจะกล่าวได้ว่า แท้แล้วคนเหล่านี้น่าจะเป็นคนไร้ศาสนาเสียด้วยซ้ำและที่ถูกต้องเราควรเรียกกลุ่มคนที่ก่อเหตุทำร้ายแบบไม่เลือกหน้าผู้บริสุทธิ์ ทั้งเด็ก คนชรา และเพศแม่ ว่า กลุ่มก่อการร้ายอย่างที่สากลเรียกกัน ถึงจะถูกต้องเหมาะสมกว่า หรือจะบอกว่าเป็นกลุ่ม มือที่สามที่ไร้อุดมการณ์ใดๆ นอกจากหวังเพียงเศษเงินเล็กๆ น้อยๆ อำนาจหรือตำแหน่งจอมปลอม และเป็นเพียงสาวกรับใช้นักการเมืองชั่วที่ค้าความรุนแรงเพื่อผลประโยชน์ในทางธุรกิจมืดของตัวเองอย่างราบรื่นเท่านั้นเอง!! 

แท้แล้วนี่ก็คือ กลุ่มผู้อยู่เบื้องหลังในการก่อเหตุรายวัน ที่พยายามสร้างสถานการณ์ความเข้าใจผิดให้เกิดขึ้นกับประชาชนในจังหวัดชายแดนใต้ ใช้ความรุนแรง ใช้การข่มขู่คุกคาม และปฎิเสธการเจรจาสันติภาพทุกวิถีทาง ก็เพื่อให้ดินแดนนี้เป็นดินแดนที่ปลอดจากกฎหมายเพื่อผลประโยชน์ในการสร้างเม็ดเงินจากธุรกิจมืดอย่างสะดวกดาย และเพื่อการแบ่งแยกดินแดน....ให้เป็นดินแดนแห่งการเสวยสุขของคนเพียงไม่กี่คน ไม่กี่กลุ่มเท่านั้น

คำถามก็คือ ผู้หลงผิดที่ยอมทำตามคำสั่งเพราะเคลิ้มไปกับคำสวยหรูแห่งอุดมการณ์ อำนาจ และการยอมรับนับถือบนความหวาดกลัวของชาวบ้าน หาใช่การยอมรับนับถือด้วยการยกย่องอย่างแท้จริงนั้น....ยังคิดกันไม่ได้อีกหรือว่าโดนหลอกใช้บนข้ออ้างของศาสนา กับความเพ้อฝันลมๆ แล้งๆ ที่ไม่มีอยู่จริง หรือว่า รู้เขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอก” 


เพราะโดนสนตะพายจนเคยชินเสียแล้วกันแน่!! 

โดย : ฌงกีย์  Fatonionline

11/11/2556

BRN นักสู้ อาชญากรหรือผู้ก่อการร้าย

                                                                               
      
   
             สถานภาพใดที่ BRN ควรมี ? ยังคงเป็นคำถามที่ได้แย้งกันอยู่ องค์กรอิสระ (NGO) บางองค์กรสื่อภาพของคนกลุ่มนี้เป็นเหยื่อของเจ้าหน้าที่และวีรบุรุษในสายตาสมาชิกBRN แต่ในสายตาของประชาชนและชาวโลกแล้ว เป็นได้เพียงแค่อาชญากรและผู้ก่อการร้ายภายในประเทศเท่านั้น สมาชิกระดับปฏิบัติการของ BRN ที่เรียกตนเองว่า RKK ซึ่งอ้างตนว่าเป็นนักสู้ แต่อย่างไรก็ตามกิจกรรมความรุนแรงมากมายที่คนกลุ่มนี้เกี่ยวข้อง อาทิ การโจมตีเป้าหมายอ่อนแอ ได้แก่ พลเรือน พระสงฆ์ ครู รวมถึงเจ้าหน้าที่ทำให้สถานภาพของคนเหล่านี้ห่างไกลจากคำว่านักรบ  

ลอบวางระเบิดพระภิกษุขณะกำลังบิณฑบาต
            การฆ่าพระสงฆ์เป็นสิ่งที่แม้แต่อดีตแกนนำพลูโลยังต่อต้าน และกล่าวว่าเป็นเรื่องน่าอายและคาดไม่ถึงว่า ผกร.รุ่นใหม่จะคิดและทำ การฆ่านาวิกโยธินเมื่อปี 48 ที่ ต.ตันหยงลิมอ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งเข้าข่าย การก่อการร้ายแบบลูกผสม กล่าวคือ สังหารพวกเดียวกันแล้วโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่ เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อผู้ก่อเหตุรุนแรงกราดยิงร้านน้ำชาแล้วร้องตะโกนป่าวประกาศจนทั่วหมู่บ้านว่าเจ้าหน้าที่เป็นผู้ก่อเหตุ นาวิกโยธินผู้เคราะห์ร้ายเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ จึงถูกป้ายสีว่าเป็นมือปืน เจ้าหน้าที่ดังกล่าวถูกหยามเกียรติ โดยให้สตรีมุสลิมปัสสาวะรดใบหน้า ทรมานต่างๆ นานา เช่น นำรังมดแดงมาใส่บนร่ายกายและสังหารอย่างทารุณ สภาพศพทูกแทงด้วยเหล็กแหลมหลายที่ บริเวณข้อมือมีรอยฉีกขาดจนเห็นกระดูก หลักฐานทางการแพทย์ยืนยันว่าเกิดจากการดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด ทำให้ข้อมือครูดกับพื้นอย่างแรงติดต่อกันหลายครั้ง

           มีการฆ่าครูซึ่งเป็นเป้าหมายอ่อนแอ ทั้งที่ครูทำหน้าที่ให้การศึกษาลูกหลานพี่น้องไทย จีน และมลายู โดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติศาสนา เหตุการ์ที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดคือ การฆ่าครูจูหลิง ปงกันมูล ครูฉัตรสุดา นิลสุวรรณ และครูชลธี เจริญชล ครูจูหลิงฯ ถูกกลุ่มสตรีมุสลิมจับเป็นตัวประกันเพื่อต่อรองให้ปล่อยสมาชิก RKK ที่ถูกจับ เนื่องจากภรรยาของ RKK รายนั้นได้ออกเสียงตามสายในหมู่บ้านว่าสามีซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ถูกเจ้าหน้าที่จับกุม ต่อมากลุ่มวัยรุ่นได้เข้าไปในที่กักขังครูจูหลิงและทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ส่วนกรณีครูฉัตรสุดาฯ เสียชีวิตขณะตั้งครรภ์ เหตุการณ์เกิดปี 56 ที่ อ.เจาะไอร้อง นราธิวาส จากคำสารภาพของผู้ต้องหาได้ใช้ปืนสั้นขนาด .22 มม. ยิงเข้าที่กลางหน้าอกผู้ตายจนรถเสียหลัก แต่ยังไม่เสียชีวิตทันที ครูฉัตรสุดาฯ พยายามเอาชีวิตรอดโดยคลานหนี ผู้ก่อเหตุรุนแรงจึงหยุดรถจักรยานยนต์แล้วเข้ายิงซ้ำจนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ เห็นได้ว่าเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ มิใช่การกระทำของนักรบอย่างที่ประกาศตัว 

ยิงครูเสียชีวิตขณะรับประทานอาหารในโรงเรียน
 ส่วนการเสียชีวิตของครูชลธีฯ เสียชีวิตเนื่องจากพยายามเกลี้ยกล่อมให้ลูกศิษย์ที่เข้าร่วมขบวน การยุติการต่อสู้โดยใช้อาวุธและเข้ามอบตัว สร้างความไม่พอใจให้กับขบวนการจนถูกขู่เตือนหลายครั้งก่อนถูกสังหารและโจรกรรมรถยนต์ โดยค้นหากุญแจจากศพอย่างใจเย็น การฆ่ากรณีนี้หวังผลให้เกิดความเกลียดชังระหว่างพี่น้องไทย – พุทธและมลายู – มุสลิม รวมทั้งสร้างอคติระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชนในพื้นที่ 

       นอกจากเจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติยังมีการสังหาร จนท.ระดับสูง เช่น การสังหารผู้พิพากษารพินทร์ เรือนแก้ว เมื่อปี 47 กลางใจเมืองปัตตานี ขณะรถติดไฟแดงในเวลากลางวันต่อหน้าแม่ของผู้ตาย และกรณีล่าสุดคือ รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ซึ่งเสียชีวิตขณะเดินทางไปร่วมงานเทศกาลไก่เบตงเพื่อเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของเบตง

          การฆ่ายกครัวพี่น้องไทย – พุทธ ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เมื่อปี 53 ราษฎรชาวไทยอีสานได้ย้ายถิ่นฐานเข้ามาซื้อสวนยางที่ บ.ฮแตยือลอ ต.บาเระใต้ อ.บาเจาะ นราธิวาส และประกอบอาชีพด้วยความขยันขันแข็ง ครอบครัวประกอบด้วย พ่อ แม่ ตา ยายและลูกชายหญิง 2 คน จำนวน 6 คน ทั้งหมดถูกบังคับให้นั่งคุกเข่าแล้วจ่อยิงที่ศรีษะทีละคน ยายก้มลงกราบเพื่อขอขีวิตและตายในท่ากราบ เด็ก 2 คนใช้ช่วงเวลาจ่อยิงวิ่งหนีจากที่เกิดเหตุมาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน ซึ่งได้นำเด็กไปซ่อนในตู้เสื้อผ้าทำให้รอดชีวิต หลังจากผู้ก่อเหตุตามมาตรวจค้นในบ้านเพื่อนบ้าน เมื่อสังหารครอบครัวดังกล่าวแล้วคนร้ายได้จุดไฟเผาบ้าน ผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าวคือ นายมะรอโซ จันทรวดี ขณะนี้เด็กทั้งคู่ได้เดินทางออกนอก 3 จังหวัดชายแดน ไปพักพิงกับญาติและไม่กล้ากลับเข้าพื้นที่อีก การฆ่าล้างครัวเช่นนี้มีเจตนาเพื่อให้เกิดความเกรงกลัวในหมู่พี่น้องไทย-พุทธ เป็นการบังคับให้ต้องละทิ้งถิ่นที่อยู่ แม้ว่าประชาชนเหล่านี้จะมีสิทธิและความชอบธรรมในการยึดครองกรรมสิทธิ์ที่ดินก็ตาม ขบวนการจึงอยู่ในสถานภาพอาชญากรและผู้ก่อการร้ายในประเทศ มิใช่นักรบหรือผู้เคลื่อนไหวทางการเมือง 

      จากประจักษ์พยานหลักฐานและความรุนแรงที่เกิดขึ้นเพื่อหวังทำลายชีวิตและบรรยากาศความสงบสุขสามารถสรุปได้ว่าผู้ก่อเหตุรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดน มีสถานภาพเป็นได้แค่เพียงอาชญากรและผู้ก่อการร้ายภายในประเทศเท่านั้น แม้จะมีความพยายามนำเสนอภาพบุคคลเหล่านี้ในฐานะนักสู้หรือวีรบุรุษก็ตาม 

ซอเก๊าะ นิรนาม

11/07/2556

เปิดแนวรบชิงเก้าอี้ประธานพูโล ศึกนี้เพื่อใคร


    ภายหลัง ตนกูบีรอ กอตอนีลอ ประธานผู้ก่อตั้งขบวนการป่วนใต้พูโลคนแรกได้เสียชีวิตลงเมื่อ พ.ศ.2551 ขบวนการ Pulo หรือ  Patani United Liberation Organisation แปลเป็นไทยว่าองค์การกู้เอกราชสหปาตานี ซึ่งในเบื้องต้นได้กำหนดวัตถุประสงค์การก่อตั้งไว้อย่างสวยหรูว่า เป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อกู้เอกราชแผ่นดิน       ปาตานีรายาอันเป็นสิทธิของชาวมลายูผู้นับถือศาสนาอิสลาม แต่กลับมีบทบาทโดดเด่นเข้าข่ายโจรคือ การเรียกค่าไถ่หรือค่าคุ้มครองกับผู้ประกอบการซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจในสมัยนั้น ที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักกันดีแต่ถูกจับกุมและถูกตัดสินประหารชีวิตแต่ได้รับความปราณีลดโทษให้เหลือจำคุกตลอดชีวิตคือ หะยีดาโอ๊ะ ท่าน้ำ ซึ่งวันนี้ก็ยังชดใช้กรรมที่ก่อไว้อยู่ในเรือนจำ

          ใครจะรู้บ้างว่าวันนี้ Pulo ถึงคราวตกอับถึงขนาดบรรดาสมาชิกซึ่งมีทั้งเก่าและใหม่ต่างรุมแย่งชิงเก้าอี้ประธานพูโลและใช้การโฆษณาชวนเชื่อตามความถนัดดิสเครดิตกันไปมา ไม่เว้นแม้แต่ในเว็บไซต์ Puloinfo.net   ซึ่งเป็นของกลุ่มที่ทำขึ้นเพื่อโจมตีรัฐบาลไทยแต่วันนี้กลับถูกสมาชิกระดับแกนนำทั้งเก่าและใหม่ในแต่ละกลุ่มซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 กลุ่ม ใช้ในการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อสร้างการยอมรับในฐานะประธานพูโลจนเป็นที่ตลกขบขันทั้งฝ่ายรัฐบาลและกลุ่มก่อการร้ายอีกกลุ่มที่เดินเกมส์ได้เหนือกว่าคือ BRN
          นิยายศึกชิงเก้าอี้นี้แน่นอนว่าย่อมมีที่มาที่ไป มีผลได้ผลเสียและผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับตนเองและพวกพ้องของเหล่าสมาชิก แล้วมีใครบ้างล่ะ

          นูร อับดุรเราะห์มาน หรือ กาแม ยูโซ๊ะ ซึ่งอ้างว่าได้รับแต่งตั้งเป็นประธานองค์การแนวร่วมปลดปล่อย  ปาตานี หลังจาก ตนกูบีรอ กอตอนีลอ ประธานคนแรกเสียชีวิต หลังจากนั้นไม่นานได้ออกแถลงการณ์โจมตี     นายกัสตูรีฯ กรณีได้รับความไว้วางใจจากคะแนนเสียงข้างมากของคณะกรรมการกลางพูโลว่าไม่เป็นความจริง ซึ่งหลังจากนั้นการออกมาแสดงบทบาทนำในลักษณะขัดแย้งของทั้งคู่ก็มีมาโดยต่อเนื่อง

          นอกจากนี้ยังมีนายซัมซูดิง คาน ประธานกลุ่มพูโลเก่าซึ่งเป็นอีกคนหนึ่งที่พยายามมีบทบาทนำด้วยจุดยืนแข็งกร้าวที่ไม่ต้องการเพียงเขตปกครองพิเศษหรือการปกครองตนเองนอกจากการได้รับเอกราชเท่านั้น ขณะที่กลุ่มของนายกาแม  ยูโซ๊ะ ก็มีจุดมุ่งหมายแบบเดียวกัน

          ล่าสุดเมื่อวันที่ 29 ต.ค.๕๖  นายกัสตูรีฯ ได้ประกาศผ่านเว็บไซต์ของกลุ่มโดยอ้างตัวเองว่าเป็นประธานขบวนการพูโล พร้อมด้วยการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวอาวุโสในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ขณะนี้ขบวนการพูโลที่แตกออกมาเป็น 3 กลุ่มได้รวมเป็นหนึ่งแล้ว เพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมพูดคุยสันติภาพกับตัวแทนรัฐบาลไทยที่ได้ดำเนินการพูดคุยกับตัวแทนขบวนการบีอาร์เอ็นไปก่อนหน้านี้แล้ว และยังเปิดเผยด้วยว่าได้เดินทางไปที่ประเทศมาเลเซีย เพื่อพบกับผู้อำนวยความสะดวกในการพูดคุยเพื่อสันติภาพระหว่างตัวแทนรัฐบาลไทยกับฝ่ายขบวนการต่อสู้ที่ปาตานี เพื่อหารือถึงเรื่องการเข้าร่วมวงการพูดคุยดังกล่าวแล้วด้วย  โดยพูโลจะส่งตัวแทนเข้าร่วมวงพูดคุยเพื่อสันติภาพจำนวน 2 คน ซึ่ง ตนจะเป็นคนหนึ่งที่จะเข้าร่วมการพูดคุยครั้งต่อไปด้วย

          อย่างไรก็ดีทั้ง 3 กลุ่มนี้หากมองด้วยสายตาสร้างสรรค์แล้วจะเห็นว่ากลุ่มที่มีท่าทีใฝ่สันติภาพด้วยแนวทางการพูดคุยคงมีเพียงนายกัสตูรีฯ ซึ่งหากเป็นไปตามการกล่าวอ้างแล้ว น่าจะได้รับการยอมรับทั้งจากมาเลเซียในฐานะผู้อำนวยความสะดวกและ BRN ซึ่งยอมที่จะให้เข้าร่วมโต๊ะพูดคุยสันติภาพ 

          แม้ว่านายกัสตูรีฯ จะอ้างว่าทั้ง 3 กลุ่มได้รวมกันเป็นหนึ่งแล้ว แต่การอ้างคำแถลงของสำนักเลขาธิการพูโลระบุว่า แกนนำ Pulo MKP และ Pulo MKP-PERPADUAN   ซึ่งจัดการประชุมเมื่อวันที่ 8 ต.ค.56 ได้เห็นชอบให้นายมะมูด มะห์ยีดดีน เป็นประธานพูโล และ นายกาบีร อับดุลเราะห์มาน ซานี หรือนายกาแม ยูโซ๊ะ เป็นเลขาธิการพูโล ซึ่งมีน้ำเสียงชัดเจนว่าหากมีกลุ่มใดอ้างตัวเองเป็นประธานพูโลนั้นเป็นความเท็จ

          นี่จึงแสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งแย่งเก้าอี้ประธานของทั้ง 3 กลุ่มยังไม่จบลง ก็น่าอยู่หรอก เพราะใครก็ตามที่ได้เข้าร่วมโต๊ะพูดคุย ย่อมหมายถึงการได้รับการยอมรับ และหากมีการบรรลุข้อตกลงกับรัฐบาลไทยตามข้อเสนอเพ้อเจ้อทั้ง 5 ข้อของฝ่าย BRN แล้ว ย่อมส่งผลให้เส้นทางก้าวสู่การเป็นชนชั้นปกครองในอนาคตแจ่มใสขึ้นมาทันที 

          สุดท้ายก็ไม่พ้นเรื่องอยากเป็นใหญ่เป็นโต ตามมาด้วยเม็ดเงินจากการสนับสนุนที่ประเทศในกลุ่มมุสลิมหลับหูหลับตาบริจาคให้อีกปีละไม่น้อย การได้เป็นผู้นำจึงสร้างผลประโยชน์ให้ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ                 

          ยุทธศาสตร์การก่อการร้ายของกลุ่มที่ว่า “แยกกันเดิน ร่วมกันตี” ในมิติต่างๆ ทั้งกองกำลังติดอาวุธและการเมืองระหว่างประเทศ จึงมีทีท่าว่าจะไปไม่รอด เพราะเป้าหมายที่พวกเขาต้องการไม่ได้อยู่ที่ความสงบสุขของพื้นที่ ความอยู่ดีกินดีของพี่น้องประชาชนเหมือนอุดมการณ์สวยหรูตามที่กล่าวอ้าง

          สงครามกองโจรไม่อาจกำหนดการแพ้ชนะได้ เพราะชัยชนะที่แท้จริงอยู่ที่ประชาชน  แต่ในวันนี้ วันที่พวกเขาเอาประชาชนมาอ้าง วันที่ประชาชนไม่ได้โง่อย่างที่พวกเขาคิดอีกต่อไป  เดาได้เลยว่าคงไปไม่ถึงไหนหรอก เพราะธาตุแท้มันโผล่ออกมาให้เห็นแล้ว


          ซอเก๊าะ  นิรนาม

11/06/2556

จดหมายข่มขู่เจ้าหน้าที่รัฐ “PULO” หรือ “BRN” ปริศนา (ไม่ลับ) ที่รอการเปิดเผย




               ข่าวความเคลื่อนไหวการพูดคุยสันติภาพกำลังเดินหน้า “PULO” รวมเป็นหนึ่งเตรียมร่วมวงเจรจา “BRN” รับคำตอบ 5 ข้อจากฝ่ายไทย นายกัสตูรี มะห์โกตา เผยขบวนการพูโล 3 กลุ่ม รวมเป็นหนึ่งเดียว เพื่อเตรียมส่งตัวแทน 2 คน ร่วมทีม BRN ในวงพูดคุยสันติภาพกับฝ่ายไทย ยันหารือผู้อำนวยการพูดคุยฝ่ายมาเลเซียแล้ว ฮัสซัน ตอยิบ ระบุไม่มีปัญหาแต่ให้รวมเป็นหนึ่งก่อนแล้วส่งตัวแทนมา

               นายกัสตูรี มะห์โกตา ซึ่งอ้างตัวเองว่าเป็นประธานขบวนการพูโล (Patani United Liberation Organisation : PULO) มีถิ่นพำนักอยู่ที่ประเทศสวีเดน ให้สัมภาษณ์กับ นายอัศโตรา โต๊ะราแม ผู้สื่อข่าวอาวุโสในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ขณะนี้ขบวนการ PULO ที่แตกออกมาเป็น 3 กลุ่ม ได้รวมเป็นหนึ่งแล้ว เพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมวงพูดคุยสันติภาพกับตัวแทนรัฐบาลไทยที่ได้ดำเนินการพูดคุยกับตัวแทนขบวนการBRN ไปก่อนหน้านี้แล้ว นายกัสตูรี เปิดเผยด้วยว่า เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2556 ที่ผ่านมาตนได้เดินทางไปยังประเทศมาเลเซีย เพื่อพบกับผู้อำนวยความสะดวกในการพูดคุยเพื่อสันติภาพระหว่างตัวแทนรัฐบาลไทยกับฝ่ายขบวนการต่อสู้ปาตานี เพื่อหารือถึงเรื่องการเข้าร่วมวงการพูดคุยดังกล่าว การหารือดังกล่าวมีข้อตกลงว่าจะให้ฝ่ายขบวนการ PULO ส่งตัวแทนเข้าร่วมวงพูดคุยเพื่อสันติภาพจำนวน 2 คน ซึ่งหากเป็นความประสงค์ของพระเจ้า ตนก็จะเป็นคนหนึ่งที่จะเข้าร่วมการพูดคุยครั้งต่อไปด้วย

               ขบวนการพูโล (Patani United Liberation Organisation : PULO) ประสบความสำเร็จในการรวม 3 กลุ่ม ให้เป็นหนึ่งเพื่ออำนาจต่อรองเข้าร่วมวงพูดคุยเพื่อสันติภาพ จำนวน 2 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นจะมีนายกัสตูรี มะห์โกตา ซึ่งอ้างตัวเองว่าเป็นประธานขวนการ PULO รวมอยู่ด้วยในการพูดคุยครั้งต่อไป จากการตั้งข้อสังเกตการก่อเหตุในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก่อนการพูดคุยสันติภาพทุกครั้ง จะมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นถี่ยิบ ซึ่งไม่แน่ใจแล้วว่าเป็นการกระทำของกลุ่ม BRN เพียงกลุ่มเดียว แน่นอนกลุ่มขบวนการ PULO เริ่มแสดงศักยภาพมีการผสมโรงในการก่อเหตุด้วยเพียงเพราะเหตุผลในการพยายามสร้างผลงานบนความเดือดร้อนของชาวบ้านนำไปสู่การมีส่วนร่วมในโต๊ะการพูดคุยสันติภาพ

               ล่าสุดขบวนการ PULO ได้ส่งเอกสารทางไปรษณีย์ มายังบ้านพักของเจ้าพนักงานปกครองฝ่ายป้องกันและปราบปรามยาเสพติดคนหนึ่งในลักษณะข่มขู่ให้ จนท.ดังกล่าวเดินทางออกนอกพื้นที่ ๓ จังหวัด ชายแดนภาคใต้ หากยังต้องการความปลอดภัยในชีวิต และหน้าที่การงานโดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งลงลายมือชื่อ โดย นายอาบูยีฮัล ยาลีล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ขบวนการ PULO

                 นายกัสตูรี มะห์โกตา ซึ่งอ้างตัวเองว่าเป็นประธานขวนการ PULO กล้าที่จะรับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าวหรือไม่ ในการส่งจดหมายข่มขู่เจ้าหน้าที่รัฐตัวเล็กๆ คนหนึ่งผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ด้วยความทุ่มเท เอาจริงเอาจังกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้ลูกหลานของพี่น้องในพื้นที่ห่างไกลจากปัญหาการระบาดของยาเสพติด หากไม่กล้ารับผิดชอบแสดงให้เห็นว่าขวนการ PULO กับขบวนการค้ายาเสพติดมีความเชื่อมโยงกันอย่างแยกกันไม่ออก เป็นเนื้อเดียวกัน เป็นส่วนหนึ่ง หรือเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังขบวนการค้ายาเสพติดที่คอยมอมเมาลูกหลานพี่น้องประชาชนในพื้นที่ หรือสนับสนุนให้มีการกระทำความผิดต่อกฎหมายทุกชนิด รวมทั้งการลักลอบสินค้าหนีภาษี น้ำมันเถื่อน เพื่อเป็นแหล่งเงินทุน สนับสนุนการเคลื่อนไหวในการก่อเหตุของขวนการ PULO ในการสร้างผลงานเพื่อเป็นอำนาจต่อรองในการเข้าร่วมในกระบวนการพูดคุยสันติภาพ มันช่างบังเอิญเสียเหลือเกินที่จดหมายฉบับดังกล่าวได้รับการเปิดเผยความชั่วร้ายกระชากหน้ากากที่แท้จริงของขบวนการ PULO ออกมาให้ชาวโลกได้รับรู้ อนิจจาประชาชนอย่างเราๆ เจอแต่เรื่องร้ายๆ อยู่กับปัญหาความรุนแรงที่กระทำโดยกลุ่มคนที่ขาดความยั้งคิด เพื่อตัวเอง เพื่อกลุ่มตน สุดท้ายคนที่รับกรรมหนีไม่พ้นประชาชนเจ้าของพื้นที่ตัวจริง ที่ไม่มีสิทธิกำหนดชะตากรรมอนาคตของตัวเอง

             อีกมุมมองหนึ่งของการตั้งใจส่งจดหมายข่มขู่ดังกล่าว มีความผิดปกติบางอย่างว่าทำไมจึงมาเกิดช่วงการเตรียมการพูดคุยสันติภาพ หรือเป็นเพราะขบวนการพูโล 3 กลุ่ม สามารถรวมเป็นหนึ่งเดียว และเตรียมส่งตัวแทน 2 คน ร่วมทีม BRN ในวงพูดคุยสันติภาพกับฝ่ายไทย เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น รวมทั้งการก่อเหตุรุนแรงก่อนการพูดคุยสันติภาพทุกครั้งเป็นการกระทำของกลุ่ม BRN แล้วโยนความผิดให้ขบวนการ PULO เพื่อใส่ร้ายอีกกลุ่มหวังผลด้านมวลชนในพื้นที่ แย่งชิงการเป็นองค์กรนำ ในเวทีการพูดคุยสันติภาพ สักวันความจริงจะปรากฏ กับการกระทำที่เลวร้ายสุดโต่ง ก่อเหตุร้ายรายวัน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหนเป็นผู้กระทำ สุดท้ายประชาชนคือผู้รับกรรม ได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า อนิจจากับเสียงโหยหาสันติภาพที่ริบหรี่เหมือนแสงไฟที่ปลายอุโมงค์

ตนไทยปลายด้ามขวาน

11/02/2556

BRN คือ “อาชญากรทำร้ายผู้บริสุทธิ์”



           ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จชต.ย่างเข้าสู่ปีที่ 10 ยังไม่มีทีท่าจะสงบ หลังจากเหตุการณ์ปล้นปืนกองพันพัฒนาที่ 4 เมื่อต้นปี 2547 แม้จะมีการพูดคุยสันติภาพระหว่างรัฐไทยกับตัวแทนกลุ่ม BRN โดยมีมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการพูดคุย แต่ BRN ยังคงเดินหน้าสร้างผลงานฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ ฆ่าคนศาสนาเดียวกัน เด็ก สตรี และผู้พิการ ไม่เว้นแต่ละวัน จากการกระทำของกลุ่ม BRN อาชญากรเลือดเย็นผู้ซึ่งยกระดับตัวเองว่าเป็นผู้ปลดปล่อย “รัฐปาตานี” สถาปนาตัวเองคือ “ตัวแทนคนมลายู” โดยที่ไม่เคยถามประชาชนที่เป็นเจ้าของพื้นที่ตัวจริงว่าต้องการอะไร

            ยุทธศาสตร์อย่างหนึ่งของ BRN คือ การสร้างความแตกแยกของประชาชนในพื้นที่ ควบคู่กับงานมวลชนของกลุ่มและองค์กรที่ขับเคลื่อนในการสร้างกระแสความรักชาติปาตานี สร้างความชอบธรรมในการฆ่าคน ใส่ร้ายป้ายสีแล้วโยนความผิดว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ มีการบิดเบือนหลักคำสอนศาสนาอิสลาม ปลูกฝังแนวความคิดแก่เยาวชน สร้างความแตกแยกระหว่างชาวไทยพุทธ-ชาวไทยมุสลิม ไล่ล่าเข่นฆ่าผู้นำศาสนา พระสงฆ์ หรือโต๊ะอิหม่าม ผู้ที่ปฏิบัติศาสนกิจซึ่งเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา สร้างกระแสเพื่อนำไปสู่ความขัดแย้งทางด้านเชื้อชาติ สร้างความโกรธแค้น เกลียดชัง นำไปสู่สงครามระหว่างศาสนาและประชาชน

          กรณีการก่อเหตุยิงชาวไทยพุทธ 2 ศพ ในวันเดียวกัน พื้นที่ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่บ่งชี้ถึงเจตนาในการสร้างสถานการณ์ความแตกแยก โดยการกล่าวอ้างว่าทำเพื่อแก้แค้นให้กับสมาชิก BRN ซึ่งถูกวิสามัญไป 3 ราย เมื่อวันก่อน แสดงให้เห็นถึงแก่นแท้ของความขี้ขลาดตาขาวของโจรที่บังอาจยกหางตนเองเป็นนักรบที่กระทำต่อ “ชาวบ้านที่ไม่มีทางต่อสู้” การกระทำต่อเป้าหมายที่อ่อนแอในพื้นที่ความขัดแย้ง ไม่ใช่สิ่งที่สิ่งพึงกระทำของผู้ที่กล่าวอ้างว่าเป็นนักรบปาตานี พฤติกรรมที่ผ่านมาหลายต่อหลายครั้ง มีการกระทำต่อเป้าหมายที่ไม่มีทางต่อสู้ เป็นที่หดหู่ สะเทือนใจต่อความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประชาชนทั้งประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าการฆ่ากรณีนี้หวังผลให้เกิดความเคียดแค้นเกลียดชังระหว่างพี่น้องไทยชาวไทยพุทธและพี่น้องมลายูชาวไทยมุสลิมให้เป็นศัตรูกันรวมทั้งสร้างผลกระทบต่อความหวาดระแวงไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน 

         การเสียชีวิตของสมาชิก BRN จากการปะทะหรือติดตามจับกุมของเจ้าหน้าที่ที่ผ่านมา มีการยกย่องเชิดชูเกียรติให้เป็นวีรบุรุษ สอดรับการเคลื่อนไหวของ NGOs เถื่อน กับนักวิชาการรับจ้างทำวิจัยความขัดแย้งผลักดันให้ตัวเองมีชื่อเสียง เพื่ออัพค่าตัวดึงทุนสนับสนุน พร้อมทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้ BRN อยากจะถามสมควรแล้วหรือที่ตั้งตัวเองเป็น “นักรบปาตานี” แต่พฤติกรรมสุดโต่ง เลวสุดขั้ว ทำตัวเป็นอาชญากรฆ่าคนโดยไม่เลือกหน้า เป็นสิ่งน่าละอายเป็นอย่างยิ่ง ทุกวันนี้ประชาชนได้อะไรจาก BRN บ้างนอกจากความเดือดร้อนรายวันที่ BRN หยิบยื่นให้ มันน่าเศร้าใจที่คนกลุ่มหนึ่งไม่ต้องการเห็นความสงบสุข เห็นความทุกข์ของชาวบ้านเป็นของเล่น ทำเพื่อตัวเอง แล้วกล่าวอ้างเหมารวมยกเข่งว่าเป็นความต้องการของประชาชน โดยไม่สนใจความรู้สึกที่แท้จริงว่าประชาชนเจ้าของพื้นที่ต้องการอะไร


ตนไทยปลายด้ามขวาน

11/01/2556

Bicara Patani เสียงเรียกร้องนี้ของประชาชนจริงหรือ?


มากมายหลายคำถามที่พรั่งพรูปนความสงสัยทั้งจากองค์กรภาคประชาสังคมส่วนใหญ่ในพื้นที่และประชาชนทั่วไปว่า นอกเหนือจากการจัดกิจกรรมเสวนาทางการเมืองที่หมิ่นแหม่ไปถึงความมั่นคงของชาติ พร้อมกับคำกล่าวอ้างเกี่ยวกับเจตนาในการจัดกิจกรรมว่า เพื่อเปิดพื้นที่กลางในการระดมความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของประชาชนทุกภาคส่วนต่อรูปแบบทางเลือกการกระจายอำนาจที่สอดคล้อง และสะท้อนความต้องการที่แท้จริงของประชาชนแล้ว  พิจารณาอย่างไรก็ยังไม่เห็นว่าผลผลิตที่ได้จากการเสวนาจะเป็นความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง  เพราะจากพฤติกรรมและรูปแบบ รวมถึงการกำหนดกลุ่มเป้าหมายแบบจำกัดวงของกลุ่มบุคคลนี้น่าจะชวนให้คิดว่าแท้จริงแล้วมีอะไรแอบแฝงอยู่ลึกๆ เหมือนคลื่นใต้น้ำที่กำลังก่อตัวรอเวลาถาโถมใส่ฝั่งให้พังทลายมากกว่า

ด้วยรูปแบบการเสวนาที่ยังใช้บุคคลที่มีแผลในสังคม เกี่ยวพันกับกลุ่มอิทธิพลและกลุ่มค้ายาเสพติดในพื้นที่หรือผู้ร่วมเสวนาที่มีบทบาทใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมายด้วยการบีบบังคับให้เจ้าหน้าที่ปล่อยตัวผู้กระทำผิดมาอย่างต่อเนื่อง  แม้กระทั่งบุคคลที่เป็นผู้รู้ทางกฎหมายที่เรียกว่า “ทนายความ” ที่เป็นตัวแทนของมูลนิธิทางกฎหมายในพื้นที่ที่มักอ้างว่าให้ความช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน จนเรื่องแดงโดยถูกร้องเรียนจากชาวบ้านกรณีเรียกรับเงินจากผู้ต้องหาในคดีความมั่นคงในพื้นที่ จชต. หากช่วยเหลือว่าความให้แล้วชนะคดี แต่ถ้าแพ้ก็ตัดหางทิ้งไปจนเป็นที่รู้กัน  จึงทำให้เวทีนี้ไม่เป็นที่วางใจและไม่อยู่ในสายตาของคนทั่วไป

ความพยายามมุ่งหามวลชนโดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ขัดแย้งยังเป็นความพยายามหลักในการจัดเวทีเสวนา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ปรากฎช่องว่างระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่รัฐ การจำกัดกลุ่มผู้ฟังที่จำกัดวงอยู่เฉพาะพี่น้องที่นับถือศาสนาอิสลาม เป็นกลยุทธที่ใช้เพื่อจำกัดการแสดงออกด้วยความเห็นที่แตกต่าง  แล้วในท้ายที่สุด     คือการป่าวร้องให้ทุกฝ่ายไม่เว้นแม้ในต่างประเทศได้รับรู้ข้อมูลที่เหมาเอาเองว่า “เป็นความต้องการ เป็นเสียงเรียกร้องของประชาชน”

ข้อมูลสำคัญจากการสอบถามกลุ่มผู้รับฟังการเสวนาคือ ผู้ฟังส่วนใหญ่ไม่ได้รับรู้เรื่องการจัดการตนเองตามวัตถุประสงค์ที่สวยหรูมากไปกว่าการบิดเบือนสถานการณ์โดยการให้ข่าวสารด้านเดียวที่ได้รับจากผู้เสวนา ซึ่งนี่เป็นเจตนาที่บ่งชัดว่าการใช้กระบวนการวิจารณญานสาธารณะเป็นกระบวนการที่ไม่ได้เกิดจากการไตร่ตรองโดยใช้เหตุผลอย่างตรงไปตรงมาของผู้ให้ข้อมูล  แต่มันเป็นข้อมูลที่ซ่อนเร้นถึงการปลุกปั่นชี้นำประชาชนให้เชื่อในสิ่งที่พวกเขาต้องการ  ถึงวันนี้แม้ว่าวิถีการยอมรับและเชื่อฟังผู้นำของประชาชนในพื้นที่ที่ยึดถือมาอย่างยาวนานจะยังคงอยู่ แต่สำหรับประชาชนที่อยู่ภายใต้การหลั่งไหลของข้อมูลข่าวสารแล้วคงต้องใช้คำว่า “ชาวบ้านไม่ได้โง่จนสามารถจูงจมูกได้เหมือนสัตว์ที่ใช้ไถนาบางชนิด” อย่างน้อยก็ชาวบ้านส่วนใหญ่ล่ะ

แล้วก็อย่าคิดว่าเศษเงินน้อยนิดที่ใช้เป็นค่าตอบแทนให้ชาวบ้านที่มาร่วมรับฟังการบิดเบือน จะทำให้เขาเหล่านั้นคล้อยตามการยัดเยียดแนวความคิดสร้างความแตกแยกได้

นั้นเป็นสาเหตุให้จากเป้าหมาย 200 เวทีเมื่อเริ่มแรกจนถึงวันนี้ที่ผ่านไปยังไม่ถึงครึ่งร้อยเวที ได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนหลายประการที่แสดงให้เห็นว่าประชาชน “ไม่เอาด้วย” จำนวนคนฟังแต่ละครั้งเพียง 50 คนแล้วสรุปเอาว่าเป็นเสียงคนส่วนใหญ่จึงเป็นเรื่องลวงโลกที่น่าขำ 

อีกมุมมองหนึ่งคือคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธที่นักพูดฝีปากกล้าเหล่านั้นเรียกว่า คนนอกศาสนา ซึ่งอยู่อาศัยมาบนแผ่นดินนี้มาตั้งแต่พวกเก่งแต่ปากยังไม่เกิด  ไม่เคยได้ถูกสอบถามหรือรับรู้ในเรื่องสิทธิในการจัดการตนเองแม้แต่น้อย หรือถึงรู้ก็ไม่อยากฟังเพราะมันริดรอนสิทธิของคนนอกศาสนาอย่างพวกเขามากมาย เหมือนกับว่าคนไทยพุทธเหล่านั้นไม่ใช่เจ้าของแผ่นดิน  

สิทธิความเป็นเจ้าของจำกัดอยู่เพียงคนนับถือศาสนาอิสลามเท่านั้นหรือ?  การแอบอ้างด้วยการบิดเบือนโดยใช้ชาวบ้านที่ไม่รู้สึกหรือรับรู้ได้มากไปกว่าความเป็นพวกเดียวกัน แล้วก็เหมาเอาว่าเป็นความต้องการของชาวบ้านอีกเช่นเคย นี่จึงเป็นการเอาความศรัทธาที่แตกต่างมาสร้างความแตกแยกอย่างน่ารังเกียจ  


ที่สำคัญคือ เป็นวิธีการเดียวกันกับกลุ่มโจรติดอาวุธ BRN ใช้ในการปลุกเร้าลูกสมุนให้ฆ่าคนต่างศาสนาโดยอ้างว่าไม่บาป แตกต่างกันตรงที่การจัดเสวนานี้ทำในที่แจ้ง ไม่เหมือนอีแอบ BRN ที่แอบไปเสี้ยมสอนกันตามป่าเขา ตามโรงเรียนปอเนาะหรือแม้แต่ในมัสยิด  มันช่างเป็นความเหมือนที่ชวนให้คิดว่าเป็นพวกเดียวกัน

การกระทำใดๆ ที่แสดงเจตนาให้เห็นว่าต้องการทำเพื่อบ้านเมือง เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้นรวมทั้งการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิในฐานะพลเมืองของประเทศ โดยการขับเคลื่อนของหลายๆ องค์กรในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้แห่งนี้นับเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง ด้วยว่าได้กระทำในบทบาทฐานะขององค์กรภาคประชาสังคมอย่างแท้จริง แต่สำหรับเวที Bicara Patani แล้ว ความเคลือบแฝงใดๆ ที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหว การมุ่งหวังในสิ่งอื่นโดยเอาประชาชนมาเป็นเครื่องมือ ไม่สามารถหลุดรอดสายตาของพี่น้องประชาชนไปได้แน่นอน

เพียง 47 เวทีที่ผ่านมาได้ทำให้หลายฝ่ายเห็นธาตุแท้ของบุคคลกลุ่มนี้ และชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อสมาชิกกลุ่ม   มีพฤติกรรมฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ร่ำรวยขึ้นทั้งที่ไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง ความฝันที่จะไปให้ถึง 200 เวทีไม่เพียงแต่จะหริบหรี่ หากแต่ได้ดับมืดลงแล้วด้วยเหตุผลเดียวคือความเชื่อมั่นในตัวผู้จัดการเสวนาที่นับวันมีแต่จะหดหาย

แล้วอย่างนี้จะมาอ้างว่าเป็นเสียงของประชาชนได้อย่างไร  เพราะที่ได้ยินชัดๆ มันเป็นเสียงขู่กรรโชกของสัตว์ชนิดนึงที่มักจะขัดแย้งแย่งกันกินอาหารอย่างตระกรุมตระกรามมากกว่า  ต่างกันตรงที่อาหารซึ่งในที่นี้หมายถึงงบประมาณจำนวนมหาศาลที่เขาเหล่านั้นแอบอ้างประชาชนเพื่อเรียกรับจากผู้ให้การสนับสนุนในต่างประเทศ.....ก็เท่านั้น

ไม่เชื่อลองสังเกตดูการเสวนาครั้งต่อไปในวันที่ 4 พ.ย.56 ซิ...บรรยากาศคงวังเวงพิลึก


     ซอเก๊าะ  นิรนาม