11/23/2556

“เผาถังแดง 3 ศพ” คำบอกเล่าจากชาวปากล่อ


       เหตุฆ่าแล้วเผายัดถัง 200 ลิตร เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ถูกยกมาเปรียบเปรยเหมือนกรณี “ถังแดง” สมัยพรรคคอมมิวนิสต์เรืองอำนาจเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ด้วยเหตุผลใดที่ไม่อาจทราบได้ว่ามนุษย์จะทำแบบโหดเหี้ยมได้กับมนุษย์ด้วยกันถึงเพียงนั้น แต่สำหรับพื้นที่แห่งความขัดแย้งทางความคิดในภาคใต้ของประเทศไทย มันได้กลับมาเป็นประเด็นหลักในการปลุกปั่นให้พี่น้องประชาชนรับรู้และเข้าว่าเกิดจาการกระทำของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาจนเป็นที่ชินชาในขณะที่ชาวบ้านรับรู้และแบ่งแยกได้แต่ไม่กล้าพูด

          ผมลงพื้นที่ปากล่อและได้พบปะพูดคุยกับชาวบ้านถึงกรณีข้างต้นด้วยความสงสัยใคร่รู้ตามประสาสื่อมวลชนที่ได้รับข่าวสารว่า “ทหารเป็นคนทำ”  และได้พูดคุยแบบปากต่อปาก จับเข่าคุยกันในหลายประเด็น แต่ที่ชาวบ้านพูดเหมือนกันในทุกๆ ร้านน้ำชาที่ได้ไปคือ “เผาสามศพเป็นเรื่องของพวกค้ายา”

          “ก๊ะยา” ซึ่งอยู่อาศัยในบ้านโผงโผงนี้มาตั้งแต่เกิดเล่าว่า เรื่องการแพร่ระบาดของยาเสพติดในพื้นที่ปากล่อเป็นเรื่องที่ชาวบ้านรู้กันทั่วไป และมองว่าทุกพื้นที่ก็เป็นเหมือนๆ กัน แต่ไม่คิดว่าจะทำให้เกิดการฆ่าอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ “วันนั้นพวกเราเห็นรถขับมาวนเวียนตั้งแต่ช่วงเช้าแต่ก็ไม่ได้คิดอะไร พอมารู้ว่ามีคนตายถึงสามคนก็คิดได้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ” เพราะการแพร่ระบาดของยาเสพติดในพื้นที่นี้เป็นที่รู้ๆ กันว่านักการเมืองท้องถิ่นซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่ ในขณะที่ผู้ใหญ่บ้านที่ไม่อยากร่วมด้วยแต่ก็ไม่สามารถขัดขวางจึงต้องยอมร่วมขบวนการโฉดด้วยการหลับตาข้างเดียวทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นในช่วงแรก สุดท้ายก็ลงมาร่วมขบวนการแบบเต็มตัว

          “ชาวบ้านรู้...แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะกลัวอันตราย ยิ่งมีเหตุฆ่ากันแล้วเผาใส่ถังแบบนี้ยิ่งไปใหญ่       จะบอกใครก็ไม่กล้าเพราะเขาต้องอยู่ที่นี่ ก็ต้องทนทั้งๆ ที่รู้” ก๊ะยากล่าวถึงความเป็นไปในหมู่บ้าน
          จากปากคำของนางซารอ โซ๊ะมะ แม่ของนายสุไลมาน  สาลา ผู้เสียชีวิตซึ่งพิสูจน์ตัวตนได้คนแรกจากกระเป๋าสตางค์ที่ตกในที่เกิดเหตุกล่าวว่าเสียใจกับการเสียชีวิตของลูกชายและรู้ดีว่าลูกเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด และลูกเคยเล่าให้ฟังว่ามีคนเคยชักชวนให้เข้าร่วมการกู้ชาติฟาตอนี แต่ลูกไม่ไปเพราะเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ จึงถูกตามข่มขู่เรื่อยมา สุดท้ายก็ต้องมาเสียชีวิต แต่สาเหตุมาจากเรื่องใดตนไม่ทราบได้ แต่เท่าที่เห็นคิดว่ามีสองเรื่องคือ ยาเสพติดและการไม่ยอมเข้าขบวนการ

          เสียงปืนดังหลายนัดที่ชาวบ้านได้ยินก่อนพบศพจึงเป็นที่รู้กันว่า “อย่ายุ่ง” เพราะผู้นำหมู่บ้านมีส่วนรู้เห็น

ล่าสุดทราบว่ารถยนต์อีซูซุ ของผู้เสียชีวิตซึ่งคาดว่าคนร้ายจะนำไปประกอบระเบิดเพื่อก่อเหตุทำร้ายประชาชนต่อไป แต่ขณะที่ขับผ่านถนนข้างเขื่อนปัตตานีเพื่อนำไปหลบซ่อน ซึ่งเป็นถนนดินลูกรังประกอบกับฝนตกถนนลื่น ทำให้เสียหลักลงข้างทางไม่สามารถขับต่อไปได้ คนร้ายจึงได้เผาทำลายหลักฐาน นี่คงเป็นเพราะฟ้าดินไม่เป็นใจกับคนชั่วจึงทำให้เป็นเช่นนี้ ถ้าคนร้ายสามารถนำไปประกอบระเบิดได้คงสร้างความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์อีกมาก

และแน่นอนว่าเหตุการณ์ข้างต้นฝ่ายคนร้ายได้บิดเบือนว่าเจ้าหน้าที่เป็นผู้กระทำซึ่งปรากฎข่าวลือแบบปากต่อปากอย่างรวดเร็ว แต่สุดท้ายเมื่อความจริงปรากฎ ทุกอย่างก็จะเลือนหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ก๊ะยากล่าวเพิ่มเติมว่า “แต่ความจริงก็คือความจริง ท้ายที่สุดเรื่องทั้งหมดก็เป็นที่แน่ชัดว่าเกิดขึ้นจากความขัดแย้งเรื่องยาเสพติด ซึ่งเป็นปัญหารากเหง้าส่วนหนึ่งของพื้นที่นี้ เมื่อผลประโยชน์ยังมี ผู้นำยังคล้อยตาม แอบอ้างการก่อเหตุรุนแรงเพื่อสร้างความสับสนให้ฝ่ายรัฐในการดำเนินธุรกิจเถื่อนต่อไป สุดท้ายใครล่ะที่ต้องรับกรรม ไม่ใช่ชาวบ้านหรือ” ก๊ะยากล่าวในที่สุด

ผมอยู่ในพื้นที่และได้รับรู้ถึงพฤติกรรมแบบนี้มามากมาย และย้ำกับตัวเองเสมอว่าถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ที่นี่ต่อไปต้อง “ตามน้ำ” แต่ถึงวันนี้ วันที่ทุกอย่างเลวร้ายสุดขั้ว ในฐานะสื่อผมก็ต้องบอกเล่าให้ได้รับรู้ต่อไป ในเรื่องที่ไม่เคยมีใครรู้ข้อเท็จจริงเหมือนก๊ะยาพูด  แต่ถ้านึกเรื่องเลวร้ายที่จะตามมาไม่ออกหากไม่มีใครพูด ดูสามศพที่เหลือแต่กระดูกซิ ยังอยากจะให้มีแบบนี้อีกมั้ย
         

                                                                                                ตนไทยปลายด้ามขวาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น