เหตุฆ่าแล้วเผายัดถัง 200 ลิตร
เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ถูกยกมาเปรียบเปรยเหมือนกรณี “ถังแดง” สมัยพรรคคอมมิวนิสต์เรืองอำนาจเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว
ด้วยเหตุผลใดที่ไม่อาจทราบได้ว่ามนุษย์จะทำแบบโหดเหี้ยมได้กับมนุษย์ด้วยกันถึงเพียงนั้น
แต่สำหรับพื้นที่แห่งความขัดแย้งทางความคิดในภาคใต้ของประเทศไทย
มันได้กลับมาเป็นประเด็นหลักในการปลุกปั่นให้พี่น้องประชาชนรับรู้และเข้าว่าเกิดจาการกระทำของเจ้าหน้าที่
ซึ่งเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาจนเป็นที่ชินชาในขณะที่ชาวบ้านรับรู้และแบ่งแยกได้แต่ไม่กล้าพูด
ผมลงพื้นที่ปากล่อและได้พบปะพูดคุยกับชาวบ้านถึงกรณีข้างต้นด้วยความสงสัยใคร่รู้ตามประสาสื่อมวลชนที่ได้รับข่าวสารว่า
“ทหารเป็นคนทำ” และได้พูดคุยแบบปากต่อปาก
จับเข่าคุยกันในหลายประเด็น แต่ที่ชาวบ้านพูดเหมือนกันในทุกๆ ร้านน้ำชาที่ได้ไปคือ
“เผาสามศพเป็นเรื่องของพวกค้ายา”
“ก๊ะยา”
ซึ่งอยู่อาศัยในบ้านโผงโผงนี้มาตั้งแต่เกิดเล่าว่า เรื่องการแพร่ระบาดของยาเสพติดในพื้นที่ปากล่อเป็นเรื่องที่ชาวบ้านรู้กันทั่วไป
และมองว่าทุกพื้นที่ก็เป็นเหมือนๆ กัน
แต่ไม่คิดว่าจะทำให้เกิดการฆ่าอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้
“วันนั้นพวกเราเห็นรถขับมาวนเวียนตั้งแต่ช่วงเช้าแต่ก็ไม่ได้คิดอะไร
พอมารู้ว่ามีคนตายถึงสามคนก็คิดได้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ” เพราะการแพร่ระบาดของยาเสพติดในพื้นที่นี้เป็นที่รู้ๆ
กันว่านักการเมืองท้องถิ่นซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่
ในขณะที่ผู้ใหญ่บ้านที่ไม่อยากร่วมด้วยแต่ก็ไม่สามารถขัดขวางจึงต้องยอมร่วมขบวนการโฉดด้วยการหลับตาข้างเดียวทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นในช่วงแรก
สุดท้ายก็ลงมาร่วมขบวนการแบบเต็มตัว
“ชาวบ้านรู้...แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะกลัวอันตราย
ยิ่งมีเหตุฆ่ากันแล้วเผาใส่ถังแบบนี้ยิ่งไปใหญ่ จะบอกใครก็ไม่กล้าเพราะเขาต้องอยู่ที่นี่
ก็ต้องทนทั้งๆ ที่รู้” ก๊ะยากล่าวถึงความเป็นไปในหมู่บ้าน
จากปากคำของนางซารอ
โซ๊ะมะ แม่ของนายสุไลมาน สาลา
ผู้เสียชีวิตซึ่งพิสูจน์ตัวตนได้คนแรกจากกระเป๋าสตางค์ที่ตกในที่เกิดเหตุกล่าวว่าเสียใจกับการเสียชีวิตของลูกชายและรู้ดีว่าลูกเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด
และลูกเคยเล่าให้ฟังว่ามีคนเคยชักชวนให้เข้าร่วมการกู้ชาติฟาตอนี
แต่ลูกไม่ไปเพราะเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ จึงถูกตามข่มขู่เรื่อยมา
สุดท้ายก็ต้องมาเสียชีวิต แต่สาเหตุมาจากเรื่องใดตนไม่ทราบได้
แต่เท่าที่เห็นคิดว่ามีสองเรื่องคือ ยาเสพติดและการไม่ยอมเข้าขบวนการ
เสียงปืนดังหลายนัดที่ชาวบ้านได้ยินก่อนพบศพจึงเป็นที่รู้กันว่า
“อย่ายุ่ง” เพราะผู้นำหมู่บ้านมีส่วนรู้เห็น
ล่าสุดทราบว่ารถยนต์อีซูซุ
ของผู้เสียชีวิตซึ่งคาดว่าคนร้ายจะนำไปประกอบระเบิดเพื่อก่อเหตุทำร้ายประชาชนต่อไป
แต่ขณะที่ขับผ่านถนนข้างเขื่อนปัตตานีเพื่อนำไปหลบซ่อน
ซึ่งเป็นถนนดินลูกรังประกอบกับฝนตกถนนลื่น ทำให้เสียหลักลงข้างทางไม่สามารถขับต่อไปได้
คนร้ายจึงได้เผาทำลายหลักฐาน นี่คงเป็นเพราะฟ้าดินไม่เป็นใจกับคนชั่วจึงทำให้เป็นเช่นนี้
ถ้าคนร้ายสามารถนำไปประกอบระเบิดได้คงสร้างความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์อีกมาก
และแน่นอนว่าเหตุการณ์ข้างต้นฝ่ายคนร้ายได้บิดเบือนว่าเจ้าหน้าที่เป็นผู้กระทำซึ่งปรากฎข่าวลือแบบปากต่อปากอย่างรวดเร็ว
แต่สุดท้ายเมื่อความจริงปรากฎ ทุกอย่างก็จะเลือนหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ก๊ะยากล่าวเพิ่มเติมว่า “แต่ความจริงก็คือความจริง
ท้ายที่สุดเรื่องทั้งหมดก็เป็นที่แน่ชัดว่าเกิดขึ้นจากความขัดแย้งเรื่องยาเสพติด
ซึ่งเป็นปัญหารากเหง้าส่วนหนึ่งของพื้นที่นี้ เมื่อผลประโยชน์ยังมี
ผู้นำยังคล้อยตาม
แอบอ้างการก่อเหตุรุนแรงเพื่อสร้างความสับสนให้ฝ่ายรัฐในการดำเนินธุรกิจเถื่อนต่อไป
สุดท้ายใครล่ะที่ต้องรับกรรม ไม่ใช่ชาวบ้านหรือ” ก๊ะยากล่าวในที่สุด
ผมอยู่ในพื้นที่และได้รับรู้ถึงพฤติกรรมแบบนี้มามากมาย และย้ำกับตัวเองเสมอว่าถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ที่นี่ต่อไปต้อง “ตามน้ำ” แต่ถึงวันนี้ วันที่ทุกอย่างเลวร้ายสุดขั้ว ในฐานะสื่อผมก็ต้องบอกเล่าให้ได้รับรู้ต่อไป ในเรื่องที่ไม่เคยมีใครรู้ข้อเท็จจริงเหมือนก๊ะยาพูด แต่ถ้านึกเรื่องเลวร้ายที่จะตามมาไม่ออกหากไม่มีใครพูด ดูสามศพที่เหลือแต่กระดูกซิ ยังอยากจะให้มีแบบนี้อีกมั้ย
ตนไทยปลายด้ามขวาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น