จากสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ที่แม้จะยังคงมีความรุนแรงต่อเนื่อง แต่กลับมีสัญญาณบวกสวนทางขึ้นมาอย่างมีนัยยะ
โดยเฉพาะการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่รัฐในช่วงหลังที่มีจุดสังเกตสำคัญ คือ “การปฏิบัติการที่ตรงเป้าหมาย”
และ “เข้าถึงมวลชน” มากขึ้น
ที่สำคัญกับยุทธศาสตร์ของเจ้าหน้าที่รัฐ
ที่ปฏิบัติและบรรลุผล จนกลายเป็น “ขวัญและกำลังใจ” จากสังคม ที่ส่งผลใน“เชิงยุทธศาตร์” กับความได้เปรียบอย่างต่อเนื่อง
และเป็นความสำเร็จส่วนหนึ่งจากปฏิบัติการจิตวิทยาที่กำลังผลิดอกออกผล
กรณีการจับกุม
นาย “อาหามะ กาเจ” แกนนำคนสำคัญกลุ่มอาร์เคเค
ที่มีส่วนกับเหตุการณ์การจับ น.ส.จูหลิง ปงกันมูล ครูโรงเรียนบ้านกูจิงลือปะ
เป็นตัวประกันและถูกทำร้ายจนเสียชีวิต ในปี 2549 กลายเป็นกระแสฮือฮาในโลกออนไลน์
ที่เรียกขวัญและกำลังให้ให้กับผู้ปฏิบัติงาน
แม้เหตุการณ์จะผ่านพ้นมากว่า
7 ปีแล้ว แต่ความทรงจำและความรู้สึกร่วมของคนส่วนใหญ่ในสังคม
ยังคงเป็นเหตุผลสำคัญที่เกิดเสียงตอบรับจากกรณีนี้ดีเกินคาด และมีผลต่อ “จิตวิทยามวลชน” กลายเป็นคลื่นใต้น้ำผลักดันให้เกิดปฏบัติการเชิงรุกที่จะติดตามและจู่โจมกลุ่มแกนนำและแนวร่วมของกลุ่ม
ขบวนการ
ที่มีทั้งความแม่นยำ และได้ผลในเชิงยุทธศาสตร์อย่างมีเป้าหมาย
เป็นที่น่าสังเกตว่า
ในแต่ละครั้งของปฏิบัติการโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐ
ในช่วงหลังที่ผ่านมาจะมีความแม่นยำในเชิงข้อมูล
โดยเฉพาะการปฏิบัติการตรวจค้นและล้อมจับจะเป็นไปอย่างรอบคอบและมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
สังเกตได้จากเหตุการณ์การล้องจับ “นายมามะ สะอิ” แกนนำอาร์เคเค
และแนวร่วมเครือข่ายจำนวน 3 ศพ หรือแม้แต่กรณีของการจับตาย
นาย “อุสมาน เด็งสาแม” และ “นายอับดุลรอฮิง ดาอีซอ” หรือ เปเล่ดำ
แกนนำระดับปฏิบัติการ ที่ถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญพร้อมลูกน้อง 4 ศพ ซึ่งก็เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความมีเอกภาพ
และความชัดเจนในเชิงยุทธศาสตร์ และยุทธวิธี
ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ
สู่ยุทธวิธีไล่ล่าอย่างมีเป้าหมาย
ไม่ปล่อยให้ตกเป็นฝ่ายตั้งรับแต่เพียงฝ่ายเดียว!!
หลากหลายปฏิบัติการอันเกิดผลบรรลุผลได้อย่างน่าพอใจ
ยังแสดงให้เห็นอีกว่า “ข้อมูล” ที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐมีอยู่นั่น
เริ่มเป็นข้อมูลที่ได้รับการกลั่นกรองและมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่า
ข้อมูล ของเจ้าหน้าที่รัฐส่วนหนึ่ง มาจากแนวทางด้านมวลชน
หลังความระส่ำระส่ายของขบวนการ ที่สะท้อนภาพของฐานมวลชนที่สั่นคลอนและสิ้นหวัง
ทำให้ประชาชนในพื้นที่จำนวนหนึ่งเริ่มหันกลับมามองสันติภาพ
ที่น่าจะเป็นไปได้มากกว่าบนโต๊ะเจรจา
และเป็นส่วนหนึ่งจากความสำเร็จโดยปฏิบัติการจิตวิทยา!!
ซึ่งผลที่ตามมาคือข้อมูลเกี่ยวกับ
แกนนำและแนวร่วมของขบวนการ รวมถึงการแจ้งข่าวความเคลื่อนไหวต่างๆ
มีผลให้เกิดยุทธวิธีจู่โจมแบบไม่ให้ตั้งตัว
และบนปฏิบัติการที่ได้ผลในทางยุทธวิธีนี่เอง
ก็สร้างเส้นทางให้เกิดการโจมตีโต้กลับแล้วล้างแค้น
ซึ่งในการตอบโต้แต่ละครั้งของขบวนการที่เกิดขึ้น
แทนที่จะกลับมาเป็นฝ่ายชิงพื้นที่ข่าวดังที่เคยเป็นมาในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้
แต่การปฏิบัติการของกลุ่มเคลื่อนไหวกลับมีผลสะเทือนไปถึงสังคมส่วนใหญ่
กลายเป็นผลของข่าวในเชิงลบต่อขบวนการเคลื่อนไหวเสียเอง!!
ปฏิบัติการการตอบโต้ที่ถือเป็นจุดผิดพลาดครั้งสำคัญหลังขบวนการเคลื่อนไหวต้องสูญเสียแกนนำและแนวร่วม
ทั้งที่ถูกจับเป็นและจับตายไปหลายคน
คือกรณีของการลอบวางระเบิดสังหารชุดเก็บกู้ระเบิด (EOD)หน่วยปฏิบัติการพิเศษ (นปพ.)
ตำรวจภูธร จ.นราธิวาส เสียชีวิต 3 นาย คือ ร.ต.ต.แชน วรงคไพสิฐหัวหน้าชุด ร.ต.ต.จรูญ เมฆเรือง รองหัวหน้าชุดฯ
และจ.ส.ต.นิมิตร ดีวงศ์ ผบ.หมู่ นปพ. เหตุเกิดในพื้นที่
อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส
สิ่งที่ชี้วัดว่าเป็นความผิดพลาดเนื่องจากหลังเกิดเหตุ
ในวันที่ 28 ตุลาคม 2556 เกิดกระแสต่อต้านจากสังคมทั่วไปรวมถึงสังคมออนไลน์ที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเผ็ดร้อน
ทำให้ผู้เสียชีวิตกลายเป็น “วีรบุรุษ” และ ก่อให้เกิดกระแสเรียกร้องให้มีการติดตามและจับกุมผู้ก่อเหตุ
ซึ่งได้ผลในทันที
ถัดจากเหตุการณ์เพียง 2 วัน ( 29 ตุลาคม 2556) เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมผู้ต้องสงสัย 4คน ซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยที่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่สุด
ทั้งหมดเป็นบุคคลในพื้นที่ และนำตัวมาซักถามข้อมูล โดยทันที
แม้การควบคุมผู้ต้องสงสัยทั้งหมดอาจะไม่ใช่ผู้ก่อเหตุที่แท้จริง
แต่ก็เป็นฐานข้อมูลสำคัญในการนำไปสู่การไล่ล่าผู้ก่อเหตุ
จึงไม่น่าแปลกใจที่เจ้าหน้าที่จะมีบัญชีดำของ
นาย “มะรอมมือรี กาแจกาซอ” ที่มีตำแหน่งเป็น
ผบ.ร้อยกองกำลังติดอาวุธอาร์เคเค รับผิดชอบการเคลื่อนไหวในพื้นที่ อ.บาเจาะ
ชื่อของนาย “อับดุลเลาะ อูแล” ซึ่งเชี่ยวชาญการประกอบระเบิด
และชื่อของ “นายอาแว แฆแหละ” หนึ่งในแกนนำสำคัญเจ้าของพื้นที่
ที่อยู่ในระหว่างการไล่ติดตามอย่างกระชั้นชิด โดยเจ้าหน้าที่รัฐ
และเชื่อกันว่าน่าจะได้ตัวในเร็วๆ
นี้ ไม่ว่าจะเป็นการจับเป็นหรือจับตาย ..!!
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงภาพ “ความผิดพลาด” ของกลุ่มขบวนการเคลื่อนไหว
ที่หันมาเล่นงานเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ป้องกันตนเองไม่ได้ (ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด)
ซึ่งแม้จะประสบผลในทางยุทธวิธี แต่เป็นการเดินหันหลังให้กับ “ปฏิบัติการจิตวิทยา” ที่ชัดเจน
เพราะทันทีที่เกิดเป็นกระแสสังคมกลายเป็นแรงกระตุ้น ให้เกิดการทำงานอย่างแข็งขัน
รวมถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับมวลชนอันเป็นผลจากปฏิบัติการด้านจิตวิทยาที่มีผลโดยตรงต่อสังคมโดยรวม
ประชาชนในพื้นที่ หรือแม้แต่ผู้ปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่รัฐ
ที่เรียกได้ว่าพร้อมทั้งขวัญและกำลังใจ
รวมไปถึงฐานข้อมูลที่มีความแม่นยำจากประชาชนในพื้นที่ซึ่งในระยะหลังจะเห็นได้ชัดว่า “มีความคล้อยตามกระแสสังคมส่วนใหญ่ในระดับหนึ่ง”
กลายเป็นจุดพลิกผันสำคัญที่ทำให้ฝ่ายขบวนการเอง “ต้องอยู่ในภาวะกดดัน” เพราะนอกเหนือจากจะไม่ได้พื้นที่ข่าวดังที่เคยเป็นมาแล้ว “การเดินผิดพลาดในสงครามจิตวิทยา” ยังกลายเป็น “หอกที่ย้อนหวนกลับมาทิ่มแทงตัวเอง” ในที่สุด
ซึ่งทั้งหมดนี้คือ “ยุทธศาสตร์รุกทั้งกระดาน” ที่มีปฏิบัติการจิตวิทยาเป็นธงนำ
กับการกวาดล้างและจัดการกับขบวนการเคลื่อนไหวอย่างมีประสิทธิภาพ
ที่บวกกับความระส่ำระส่ายในขบวนการเคลื่อนไหวจากการเปิดเวทีเจรจาเพื่อสันติภาพ
เองแล้ว เค้าลางแห่งความพ่ายแพ้ของขบวนการเคลื่อนไหวย่อมอยู่ไม่ไกล
และนี่อาจเป็นสัญญาณของสันติภาพในพื้นที่ซึ่งกำลังจะมาถึงในไม่ช้าค่อยๆ
บีบต้อนให้ขบวนการเคลื่อนไหวในพื้นที่ ถึงกับเข้าตาจน !!
ทับ ภารณ
ทับ ภารณ
คิดอย่างคุณคงอีกไกลทีจะเข้าจัยตืนเถอะว่ะในเมือมีปัญญาควายอย่าโชว์ว่าคุณนะควายอายยกกำลังสองเลยรือโง่ยกกำลังสอง
ตอบลบ