11/19/2556

ทำร้ายพระ ฆ่าครู เพราะอยู่ใกล้ทหาร เหตุผล (พล่อยๆ) อ้างสิทธิสังหารคนของคณะพูดคุยสันติภาพ



           ในการพูดคุยสันติภาพครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นโรคเลื่อนมาหลายครั้งโดยเหตุผลการเลื่อนไม่ได้อยู่ที่ผู้แทนของรัฐบาลไทย แต่เป็นผลสืบเนื่องจากความไม่พร้อมของผู้แทนของกลุ่มต่างๆ นำโดยกลุ่มบีอาร์เอ็นที่ยังปรากฎการกีดกันกันเองเพื่อสร้างเครดิตให้กลุ่มของตนได้มีบทบาทในการนำการพูดคุยหรือต่อรองกับรัฐบาลให้มากที่สุด ด้วยหวังผลในการชิงการนำเป็นผู้ที่มีบทบาทสูงสุดเพื่อเรียกคะแนนสะสมส่วนตัวไว้ ก่อนที่การพูดคุยจะถึงวาระที่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้มากที่สุด เพราะนั้นหมายถึงการได้รับโอกาสเป็นชนชั้นปกครองอย่างที่ผู้แทนกลุ่มต่างๆ พยายามช่วงชิงและวาดหวังมาโดยตลอด ซึ่งบทบาทนี้คงหนีไม่พ้นฮัสซัน ตอยิบ ที่พยายามยกตัวเองเป็นพี่ใหญ่ชี้นิ้วบงการ

และแม้แต่กลุ่มพูโลโดยกัสตูรี มะห์โกตา ผู้ซึ่งแสดงจุดยืนมาอย่างชัดเจนที่จะใช้แนวทางการพูดคุยเพื่อแก้ไขปัญหาในภาคใต้ของไทย และประกาศตนเองว่ามีความพร้อมเข้าร่วมพูดคุยเพื่อเสนอทางออกร่วมกันด้วย ก็ยังถูกกีดกันจากกลุ่มบีอาร์เอ็นด้วยเช่นกัน แม้ว่าล่าสุดพูโลจะมีที่นั่งในโต๊ะเจรจาแต่ก็เป็นเพียง 2 ที่จากทั้งหมด 15 ที่ ซึ่งไม่แน่ใจนักว่าความตั้งใจใช้แนวทางสันติของพูโลกับการเป็นเสียงข้างน้อยจะสามารถคานอำนาจความมักใหญ่ใฝ่สูงและฝักใฝ่การใช้ความรุนแรงเพื่อต่อรองกับรัฐบาล ไทยของ ฮัสซัน ตอยิบ ได้มากน้อยเพียงใด

          การสร้างกระแสด้วยการบิดเบือนปล่อยข่าวต่างๆ นาๆ ของบีอาร์เอ็นโดยฮัสซัน ตอยิบ ผ่านสื่อนอกประเทศซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในมาเลเซีย และในประเทศไทยผ่านสื่อที่มักเป็นกระบอกเสียงให้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าการใช้สื่อเพื่อ “การโฆษณาชวนเชื่อ” หรือ IO ของบีอาร์เอ็นจะมีเนื้อหาที่หมิ่นแหม่ต่อการเกิดผลกระทบต่อความมั่นคงภายในประเทศ แต่ก็ยังเห็นสื่อเหล่านั้นช่วยกันโหมกระพือแบบไม่รู้สึกรู้สา เหมือนกับไม่ใช่คนที่บอกว่าทำเพื่อสร้างความสงบสุขอย่างที่ควรจะเป็น

          การเผยแพร่คำให้สัมภาษณ์ของแกนนำกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ (ซึ่งจริงๆ แล้วควรจะเรียกว่าอาชญากร) และเป็นผู้ที่ได้นั่งร่วมโต๊ะพูดคุยสันติภาพด้วยนั้น ได้สะท้อนให้เห็นถึงสภาวะแห่งจิตใจในความเป็นตัวตนที่ยืนอยู่บนความไร้เหตุผลอย่างแท้จริงของผู้ให้สัมภาษณ์ ทำให้เกิดคำถามว่าขบวนการนำคนแบบนี้มาร่วมโต๊ะพูดคุยได้อย่างไร

            ไม่มีนโยบายทำร้ายครู – พระ
          การลอบสังหารครูในโรงเรียนของรัฐไปแล้วกว่า 160 คนไม่รวมที่บาดเจ็บโดยให้เหตุผลว่าเพราะทหาร  ลากครูเข้าไปเกี่ยวข้อง ไปตั้งฐานในโรงเรียน เลยทำให้ครูต้องเป็นเป้าหมายในการต่อสู้ด้วย ดูจะเป็นเหตุผลให้ผู้ที่มีวิจารณญาณได้รับฟังคงถึงกับอึ้ง เพราะเหตุลอบสังหารครูในพื้นที่นี้ซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่เริ่มเหตุรุนแรง ที่จำกันได้ดีคือ กรณีครูจูหลิง ปงกันมูล ครูสาวผู้อุทิศตัวเพื่อเด็กๆ ด้อยโอกาสในพื้นที่แต่กลับถูกชาวบ้านทั้งชายหญิง ในบ้านกูจิงลือปะ ตันหยงลิมอจำนวนหลายสิบคนจับเป็นตัวประกันเพียงเพราะต้องการให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาซึ่งกระทำผิด สุดท้าย ต้องถูกรุมทำร้ายจนเสียชีวิตอย่างน่าสงสารเป็นที่สะเทือนใจไปทั้งประเทศ  หรือครูชลธี เจริญชล ครูโรงเรียนบ้านตันหยง
 จ.นราธิวาส  ซึ่งเป็นครูมุสลิมที่สั่งสอนให้เด็กๆ ได้รับทราบความเป็นจริงของปัญหาในบ้านของเขา จนถูกขบวนการมองว่าจะเป็นต้นเหตุให้เกิดการต่อต้านตามมา จึงส่งสมุนเข้าไปยิงถึงในโรงอาหารภายในโรงเรียนจนเสียชีวิต ขณะที่กำลังดูแลเด็กรับประทานอาหาร ยิงต่อหน้าต่อตาเด็กไร้เดียงสาขณะที่ไม่มีทหารอยู่ในโรงเรียน “นี่หรือไม่มีนโยบายฆ่าครู” และนี่เป็นเพียงเสี้ยวนึงของการก่อกรรมทำเข็ญกับแม่พิมพ์ของชาติที่ทำหน้าที่สั่งสอนเด็กให้เป็นคนดีและเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ

          บอกได้เลยว่าไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากสร้างความหวาดกลัว บีบให้ครูไทยพุทธออกนอกพื้นที่ ปิดโรงเรียนรัฐที่จะสอนให้เด็กมีโอกาสได้เรียนต่อสูงๆ ซึ่งทำให้ยากต่อการควบคุม กดดันให้พ่อแม่ผู้ปกครองย้ายลูกหลานไปเรียนในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา ซึ่งเป็นรู้ๆ กันถึงผลประโยชน์จากเงินสนับสนุนต่อหัวต่อปีที่ได้รับจากรัฐบาลจำนวนไม่น้อยพร้อมด้วยการกีดกันไม่ให้สำนักงานการศึกษาเอกชนเข้าตรวจสอบยอดนักเรียนที่แท้จริง แต่กลับมีการเรียนการสอนภาครัฐที่ไม่มีคุณภาพ เพราะไม่ได้มุ่งสร้างเด็กให้มีความรู้อย่างแท้จริง ทำให้ไม่สามารถสอบแข่งขันกับเด็กๆ ในภาคอื่นๆ ได้ แล้วยังอ้างว่าไม่มีสิทธิในการเข้าเป็นข้าราชการ  ผลเสียทั้งหมดนั้นต้นเหตุมาจากใคร  คงเดาได้ไม่ยาก

          การลอบวางระเบิดพระขณะกำลังบิณฑบาตของผู้ก่อเหตุรุนแรงเป็นภาพที่น่าเศร้าใจที่สุดสำหรับพุทธ   ศาสนิกชน และผู้เขียนค่อนข้างแน่ใจว่าเหตุเลวร้ายสุดขั้วนี้จะไม่มีเกิดขึ้นที่ใดในโลกเว้นภาคใต้ของประเทศไทย การสังหารพระอย่างโหดเหี้ยมที่วัดพรหมประสิทธิ์ อ.ปะนาเระ ปัตตานี หรือการลอบยิงพระที่เกิดขึ้นเนื่องๆ โดยที่พระซึ่งเป็นเป้าหมายอ่อนแอไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้จนต้องมรณะภาพไปมากมายหลายรูปทั้งที่ไม่ได้มีทหารอยู่ในวัด “นี่หรือไม่มีนโยบายฆ่าพระ”


          และการฆ่าพระฆ่าครูนี้ แม้แต่แกนนำกลุ่มพูโลเก่ายังเคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่า น่าตกใจและไม่คิดว่ากลุ่มบีอาร์เอ็นรุ่นใหม่จะสามารถทำได้ 
พระวัดพรหมประสิทธิ์ถูกฆ่าแล้วเผาอย่างโหดเหี้ยม

          การให้สัมภาษณ์ดังกล่าวตามมาด้วยหลากหลายเหตุผลเสียสติของแกนนำบีอาร์เอ็นเหล่านั้นที่นำเสนอผ่านสื่อได้อย่างน่าละอาย การลอบสังหารไทยพุทธเพราะฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐไปติดอาวุธให้ หรือการลอบสังหารไทยพุทธบางครั้งไม่ได้เกิดจากการกระทำของฝ่ายตนโดยตรง แต่เป็นคนมลายูที่มีความเครียดแค้นเจ้าหน้าที่จึงไปลงที่ชาวไทยพุทธที่ไม่รู้เรื่อง  นี่หรือคือแนวความคิดของกลุ่มคนที่รัฐบาลไทยกำลังพูดคุยเพื่อร่วมกันแก้ปัญหา

          น่าสงสารแทนพี่น้องประชาชนในพื้นที่บางส่วนที่สนับสนุนคนกลุ่มนี้จริงๆ  ลองมโนภาพดูว่า หากคนกลุ่มนี้ได้เป็นใหญ่ขึ้นมาวันใด พี่น้องกลุ่มนี้แหละที่ต้องทนถูกกดขี่บนความหวาดกลัวต่อไป  และนี่จะเป็นการกดขี่ในชีวิตจริงที่ไม่ใช่เพียงข้ออ้างว่าถูกกดขี่จากเจ้าหน้าที่รัฐที่ยังหาความจริงไม่ได้

          “ถอนทหารออก เราก็จะหยุด”  การถอนกำลังทหารดูจะเป็นความต้องการของแกนนำที่ถูกนำมาเรียก ร้องสร้างกระแสในพื้นที่มากที่สุด เพราะถ้าไม่มีกำลังทหารอยู่ในพื้นที่แล้ว การเคลื่อนไหวตามยุทธศาสตร์การแบ่ง แยกดินแดนในปีกของการทหารโดยทำพื้นที่ให้เกิดความรุนแรงจะดำเนินไปได้อย่างเสรี  ซึ่งจะนำไปสู่การบรรลุวัตถุประสงค์ในที่สุด  แต่ในวันที่ยังมีทหารอยู่ในพื้นที่กลุ่มขบวนการนอกจากจะไม่สามารถเดินเกมส์ได้อย่างเต็มที่แล้ว ยังต้องถูกการติดตามจับกุมอย่างไม่ลดละของฝ่ายความมั่นคงจนต้องหลบหนีออกนอกประเทศ บางส่วนถูกจับกุมหรือถูกวิสามัญฆาตกรรมไปหลายราย  การเรียกร้องโดยอ้างความต้องการของมวลชนจึงเป็นกลยุทธ์หลัก   ที่ช่วยสนับสนุน ขณะที่ความพยายามเรียกร้องสิทธิในการกำหนดใจตนเอง  การยอมรับความเป็นชนชาติ ยังคงมีความพยายามเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยองค์กรนักศึกษาและภาคประชาสังคมภายในพื้นที่ที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ ดังนั้น หากการถอนทหารจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น  คำว่าดีในที่นี่จึงไม่ใช่เหตุการความไม่สงบจะดีขึ้น แต่เป็นการดำเนินยุทธศาสตร์ของขบวนการต่างหากที่ดีขึ้น

                รู้ๆ กันอยู่อย่างนี้แล้วใครจะยอมถอนทหารเพื่อให้ประชาชนเดือดร้อน

          ทั้งหมดนั้นคงช่วยให้มองเห็นได้ว่า เหตุผลไร้สติของขบวนการนั้นมีจุดมุ่งหมายดีเพื่อฝ่ายเดียว

          การนำเสนอการให้สัมภาษณ์ผู้อ้างตัวว่าเป็นนักรบโดย “กรุงเทพธุรกิจ” โดยให้เหตุผลว่าไม่มีเจตนาเผยแพร่ข้อมูลของฝ่ายที่ประกาศจุดยืนต่อต้านรัฐ แต่มีเจตนาเปิดพื้นที่สร้างความเข้าใจเพื่อสถาปนาสันติสุขที่ปลายด้ามขวานนั้น ผู้เขียนในฐานะเป็นสื่ออีกแขนงหนึ่ง ยังมองไม่เห็นว่าการนำเสนอข้อมูลภายใต้จรรยาบรรณสื่อมวลชนโดยขาดการวิเคราะห์ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น จะเป็นผลดีต่อการสร้างความเข้าใจได้อย่างไร

          แต่หากยังยืนยันว่าเป็นการสร้างความเข้าใจ ก็น่าจะเป็นการสร้างความเข้าใจผิด โดยการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เป็นผลดีต่อการสถาปนาสันติสุขที่ปลายด้ามขวานซะมากกว่า  เพราะนี่ควรเป็นสาระที่ผู้แทนของทั้งสองฝ่ายต้องไปถกแถลงกันในโต๊ะพูดคุยสันติภาพ การนำเสนอในลักษณะดาบสองคมนี้ระวังจะกลายเป็นแนวร่วมของฝ่ายขบวนการโดยไม่รู้ตัว

          หรือว่ารู้....แต่จะทำ..ใครจะทำไม



 ซอเก๊าะ  นิรนาม

1 ความคิดเห็น: