"แบมะ ฟาตอนี"
อีกเพียงไม่กี่วันปีเก่าก็กำลังจะผ่านไปปีใหม่กำลังย่างเข้ามา
แม้จะก้าวสู่ปีที่ 14 ของเหตุการณ์ไฟใต้ แต่เหตุร้ายยังคงเกิดขึ้นไม่เว้นวัน
แต่ในภาพรวม ณ วันนี้สถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ดีขึ้นมากแล้ว
และกำลังจะดีขึ้นเรื่อยๆ ในวันนี้สิ่งที่นับเป็นความสำเร็จของเจ้าหน้าที่รัฐคือ
“กลุ่มอาชญากรชายแดนใต้” ที่ถูกจับกุมดำเนินคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ถูกจำคุกไปแล้วถึง 70% จากในอดีตที่อาชญากรชายแดนใต้ส่วนใหญ่จะถูกศาล
“ยกฟ้อง” หรือถูก “สั่งไม่ฟ้อง” เพราะพยานหลักฐานอ่อน จนมีผู้ได้รับโทษไม่ถึง 30% ด้วยซ้ำ
จากความสำเร็จดังกล่าวส่งผลให้ “กลุ่มอาชญากรชายแดนใต้” พยายามดิ้นและได้หยิบยกวันครบรอบแห่งการสูญเสียมารำลึก
เพื่อเป็นการ “ตอกย้ำ” ให้คนในพื้นที่คิดถึงเรื่องราวในอดีตที่เคยเกิดขึ้น
โดยหวังผลให้เกิดความเคียดแค้นชิงชังเจ้าหน้าที่รัฐ
จากในอดีตที่อาชญากรชายแดนใต้ส่วนใหญ่จะถูกศาล
“ยกฟ้อง” หรือถูก “สั่งไม่ฟ้อง” เป็นเหตุให้ “คนผิด” ที่ถูกปล่อยตัวลอยนวล แนวร่วมสื่อนำมาโฆษณาชวนเชื่อ
นี่คือ “แพะ” ที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐใส่ความ กลายเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมสำหรับคนมุสลิมที่ได้รับ
กล่าวหาเจ้าหน้าที่เลือกปฏิบัติ เป็นความเหลื่อมล้ำทางสังคมของมลายูมุสลิม ส่งผลให้นักสิทธิมนุษยชนนำไปขยายผลบนเวทียูเอ็นและโอไอซี
ที่แน่ๆ คือกลุ่มอาชญากรชายแดนใต้ยังคงเคลื่อนไหว และมีการ “สร้างเซลล์ใหม่” ขึ้นมาเพื่อทดแทนคนเก่าที่เสียชีวิตหรือติดคุกเพื่อดำรงในการก่อเหตุ
“อาชญากรชายแดนใต้”
ที่ถูกจับกุมเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวตามกฎอัยการศึกได้ไม่เกิน 7 วัน และควบคุมตัวตาม
พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ ไม่เกิน 30 วัน วันนี้!! เรามาเปิดปากคำให้การของคนเหล่านี้กันว่า เมื่อถูกซักถาม!!
จะให้การกับเจ้าหน้าที่ว่าอย่างไร?
ตลอดระยะเวลาที่ผู้เขียนได้ติดตามข่าวสารชายแดนใต้ เมื่อ “อาชญากร”
ที่กระทำความผิดไม่ว่าจากเหตุลอบวางระเบิด ทำการซุ่มยิง หรือก่อเหตุในลักษณะใดก็แล้วแต่
เมื่อเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุม มีการบังคับใช้กฎหมายต่อกลุ่มบุคคลดังกล่าว มีการควบคุมตัวเข้าสู่กระบวนการซักถามหรือสอบสวน
พบว่าส่วนใหญ่จะให้การยอมรับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ แต่จะให้การต่อเจ้าหน้าที่ในลักษณะ
“เป็นแค่คนดูต้นทาง เป็นผู้ชี้เป้า เป็นคนขับรถให้ผู้ก่อเหตุ เป็นผู้คอยดูความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่
เป็นผู้ขับรถที่ประกอบระเบิดเสร็จแล้วไปส่งเท่านั้น”
ซึ่งไม่เคยมีเลยที่จะยอมรับความจริงว่า เป็นผู้ลงมือก่อเหตุด้วยตัวเอง เป็นผู้กดระเบิด
เหนี่ยวไกปืนยิงสังหารผู้บริสุทธิ์ นอกเสียแต่ว่าจนมุมด้วยหลักฐานจริงๆ
จนดิ้นไม่หลุดจึงจะยอมรับว่าเป็นผู้กระทำ อย่างกรณีล่าสุดเจ้าหน้าที่จับกุม นายหามะ
หะยีมะ บุคคลตามหมายจับ ป.วิอาญา คดีลอบวางระเบิดรถบัสรับ-ส่งนักเรียน ยอมรับว่าเกี่ยวข้องกับเหตุความรุนแรง
2 เหตุด้วยกัน คือเหตุลอบวางระเบิดรถบัสรับ-ส่งนักเรียน ซึ่งนายหามะฯ ยอมรับว่าทำหน้าที่ขับรถจักรยานยนต์ พ่วงข้างประกอบระเบิดไปจอด ณ จุดเกิดเหตุ อีกทั้งยังมีส่วนร่วมก่อเหตุลอบวางระเบิด
2 จุด ในบริเวณตลาดบ่อทอง อ.หนองจิก ซึ่งนายหามะฯ ยอมรับเป็นแค่ผู้ที่ติดตามความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ก่อนลงมือก่อเหตุเท่านั้น
นั่นคือเสียงของคนร้ายที่ยอมปริปากพูด แต่ดูเหมือนว่าคำให้การของอาชญากรเหล่านี้ นับตั้งแต่ปี
47 จนกระทั่งถึงปัจจุบัน จะให้การในแนวทางเดียวกัน เนื่องจากมีการอบรมให้ความรู้ในข้อกฎหมายจากองค์กร
ในพื้นที่ เพื่อเลี่ยงบาลีให้การในชั้นสอบสวน และจะทำอย่างไร? เพื่อให้ตัวเองพ้นผิดจนนำไปสู่ศาล “ยกฟ้อง” หรือถูก “สั่งไม่ฟ้อง”
จะเห็นได้ว่าในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ได้มีองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ตั้งตนขึ้นมาเพื่อให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย
ให้ความรู้ในเรื่องสิทธิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมได้เปิดศูนย์ให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมาย
แต่เชื่อเถอะ! ถึงแม้อาชญากรชายแดนใต้จะให้การเช่นไร!! หากพยานหลักฐานเพียงพอก็หนีไม่พ้นผิดอยู่ดี
ยิ่งในปัจจุบันมีการนำหลักนิติวิทยาศาสตร์ที่ทั่วโลกให้การยอมรับมาใช้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ในการตรวจหาพันธุกรรม DNA
ส่งผลให้ศาล “ยกฟ้อง” หรือถูก “สั่งไม่ฟ้อง” เพราะพยานหลักฐานไม่เพียงพอเหมือนสมัยก่อนมีน้อยมากหรือไม่ค่อยมีให้เห็น
การที่ “แกนนำอาชญากรชายแดนใต้” ได้พยายามบิดเบือนและปลูกฝังให้สมาชิกหลงเชื่อ
“งมงาย” ในการก่อเหตุ ลองคิดไตร่ตรองดูจะมีใคร
ที่ไหนต้องการ “พลีชีพ” หรือต้องการที่จะ “ติดคุก” เพราะทั้งสองอย่าง “อาชญากร” ทุกคนต้องการที่จะมีชีวิตรอด “หลีกเลี่ยง”
ดังนั้นหากหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ร้ายได้อย่างทันท่วงที และบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง
จะทำให้บรรดา “อาชญากร” เหล่านั้นเกิดเกรงกลัว จนนำไปสู่การเกิดเหตุที่ลดน้อยลง
และจะส่งผลดีต่อสถานการณ์ในพื้นที่ดีขึ้นตามลำดับอย่างแน่นอน.
----------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น