ในขณะที่ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงได้ในเร็ววัน ในส่วนของกำลังรบทั้งสองฝ่ายต่างมีการบาดเจ็บล้มตายไปบ้างตามธรรมชาติของการต่อสู้ที่เหมือนกับการสาดน้ำเข้าหากัน
ในอีกแนวรบหนึ่งที่ฝ่ายขบวนการมักนำมาใช้และมักจะได้ผลดีเสมอคือ การปล่อยข่าวลือโดยใช้เงื่อนไขทางศาสนาที่มีความละเอียดอ่อนเปราะบางนำมาบิดเบือนโดยการให้ข่าวสารด้านเดียวอยู่เนืองๆ
เหตุการจราจลที่เรือนจำจังหวัดนราธิวาสเมื่อกลางปี 53 เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ชี้ชัดได้ว่าการปล่อยข่าวลือนั้นได้ผล และสร้างความแตกแยกล่วงหน้าได้ทันทีทันใด ที่สำคัญความแตกแยกนั้นยังได้ถูกขยายผลโดยความพยายามที่จะนำขึ้นสู่เวทีสากลเพื่อขอรับการสนับสนุนจากองค์กรมุสลิมต่างๆ ในต่างประเทศด้วย เรื่องเริ่มจากเจ้าหน้าที่เรือนจำกลางจังหวัดนราธิวาสได้สืบทราบว่ามีการลักลอบนำยาเสพติดและโทรศัพท์มือถือเข้ามาในเรือนจำ จึงได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ 3 ฝ่ายจากทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ประมาณ 150 นาย เข้าตรวจค้นเรือนนอนนักโทษชาย จากการตรวจค้นพบ ยาบ้า ยาไอซ์ อุปกรณ์การเสพ และโทรศัพท์มือถือพร้อมซิมโทรศัพท์ ซุกซ่อนอยู่จึงได้ตรวจยึดไว้ ระหว่างนั้นมีนักโทษชายผู้ต้องหาคดีความมั่นคง จำนวน 2-3 คน ได้ตะโกนเรียกร้องปลุกระดมให้กลุ่มนักโทษชายที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน ให้ลุกฮือขึ้นต่อต้านขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ โดยได้กล่าวอ้างใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ว่าเหยียบย่ำฉีกทำลายคัมภีร์อัลกุรอานและผ้าละหมาด ซึ่งบรรดานักโทษได้ขว้างปาก้อนหิน ก้อนอิฐ ขวดน้ำ ท่อนไม้ ท่อนเหล็กของมีคมและเข้ารุมทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ทำให้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 25 นาย
การก่อเหตุจลาจลที่ทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บในครั้งนั้น สาเหตุมาจากนักโทษชายในคดีความมั่นคงต้องการปกปิดอำพรางความผิดหรือหลักฐานที่ได้จากการตรวจค้นภายในเรือนจำ ซึ่งมีระเบียบไม่อนุญาตให้นักโทษในเรือนจำใช้โทรศัพท์มือถือโดยเด็ดขาด การปล่อยข่าวว่าเจ้าหน้าที่ดูหมิ่นคัมภีร์อัลกุรอานจึงเป็นการปลุกระดมที่ได้ผลชงัดนัก ตามด้วยการรับลูกต่อของนักเคลื่อนไหวจากองค์กรสิทธิมนุษยชนนำโดย นางแยนะ สะแลแม ที่ออกมาโหมกระพือโดยการให้ข่าวแบบไหลตามน้ำกับสื่อมวลชนเสมือนหนึ่งเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์และเห็นกับตาตัวเอง ขณะที่ในโลกไซเบอร์ก็มีเครือข่ายสร้างกระแสข่าวและความขัดแย้งให้กว้างไกลออกไป ซึ่งความพยายามในลักษณะนี้เป็นที่ทราบกันดีว่ามีความเชื่อมโยงเกี่ยวเนืองกันอย่างเป็นขบวนการ
จนเมื่อฝ่ายเจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงและได้นำหลักฐานที่ได้ตรวจพบ ที่ถือว่าเป็นหลักฐานเด็ดที่หักล้างข้อกล่าวหารุนแรงได้อย่างดีคือ คัมภีร์อัลกุรอานที่ได้ถูกนักโทษคดีความมั่นคงที่เป็นมุสลิมและเป็นผู้ปลุกระดมได้ถูกตัดเจาะเป็นช่องไว้ซุกซ่อนโทรศัพท์มือถือ ซึ่งนอกจากจะผิดกฎระเบียบของเรือนจำแล้วยังกระทำผิดหลักศาสนาด้วยการทำลายคัมภีร์อัลกุรอานซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย และที่สำคัญที่สุดเจ้าหน้าที่ทุกคนที่เข้าปฏิบัติการตรวจค้นเป็นมุสลิม ย่อมมีความเลื่อมใสนับถือเคารพและศรัทธาในคัมภีร์อัลกุรอานเรื่องเลยกลับกลายเป็นว่าผู้ที่เหยียบย่ำหรือทำลายคัมภีร์อัลกุรอาน นั้นไม่ใช่เจ้าหน้าที่แต่กลับเป็นฝ่ายนักโทษที่กระทำเสียเอง
เมื่อความจริงปรากฏฝ่ายปล่อยข่าวลือก็เถียงไม่ออก แล้วก็ยอมถอยกลับไปตั้งหลักเพื่อหาประเด็นอื่นๆมาปล่อยข่าวต่อไป หากมองอย่างผิวเผินอาจดูว่าฝ่ายปล่อยข่าวลือนั้นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในเกมส์นี้ แต่จริงๆ แล้วฝ่ายปล่อยข่าวก็ยังได้เปรียบอยู่ดี เพราะข่าวการลบหลู่คัมภีร์อัลกุรอานและความขัดแย้งได้ถูกเผยแพร่สร้างความเสียหายทางจิตใจของพี่น้องมุสลิมไม่เพียงแต่ใน3 จังหวัดชายแดนภาค ใต้ แต่เป็นของพี่น้องมุสลิมทั้งประเทศหรือทั้งโลกไปแล้วเรียบร้อย
และด้วยสงครามช่วงชิงความได้เปรียบด้านข่าวสารในพื้นที่เพื่อสนับสนุนงานด้านการแย่งชิงมวลชนของทั้งสองฝ่ายยังคงมีความเข้มข้น จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าฝ่ายขบวนการจะยังคงใช่เงื่อนไขทางศาสนามาปลุกกระแสเพื่อสร้างความได้เปรียบและเป็นฝ่ายรุกอยู่อย่างต่อเนื่อง ใครจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำในสมรภูมินี้คงยากที่จะคาดเดา แต่ที่แน่ๆประชาชนผู้บริโภคข่าวสารคงต้องพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนปักใจเชื่อฝ่ายไหน ซึ่งเชื่อได้เลยว่าด้วยสามัญสำนึกของประชาชนผู้รักความสงบและใฝ่สันติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้แห่งนี้ที่ต้องทนรับเคราะห์กรรมจากการกระทำของผู้ก่อเหตุรุนแรงมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ต่างทราบดีอย่างแน่นอนว่า ใครคือผู้ที่ต้องการสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างแท้จริง และใครคือผู้ที่ให้ความช่วยเหลือกับพี่น้องประชาชนอย่างไม่เลือกเชื้อชาติศาสนา เพราะถึงตอนนี้ด้วยการกระทำแบบตรงกันข้ามและป่าเถื่อนของขบวนการ ที่ฆ่าไม่เลือกทั้งไทยพุทธและมุสลิม ทำให้ชาวบ้านเค้าไม่เชื่อขบวนการกันแล้ว รู้ไว้ซะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น