บทสารคดีนี้ได้คัดสำเนามาจากวารสารคู่สร้างคู่สม ฉบับที่ ๗๗๒
ประจำวันศุกร์ที่๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๕ ซึ่งมีเนื้อหาสาระกล่าวถึง บทบาทของเยาวชนชาวปากีสถาน
ผู้หนึ่ง ชื่อ เด็กหญิงมาลาลา ยูซาพไซ อายุ ๑๔ ปี เป็นชาวเมืองมิงโกรา อำเภอสวัต
จังหวัดไคเบอร์พัคทุงหวา ประเทศปากีสถานโดยเป็นเยาวชนที่รักใฝ่หาความรู้
ชื่นชอบในเรื่องการศึกษาและมีอุดมการณ์ในการพัฒนาบทบาทของสิทธิสตรีมุสลิม
ถึงแม้จะเป็นเยาวชนที่มีอายุเพียง ๑๔ ปี แต่ได้รับการยกย่องมีชื่อเสียงไปทั่วโลก
จากการได้รับรางวัล”สันติภาพแห่งชาติ” ของรัฐบาลปากีสถาน และ “รางวัลสันติภาพเด็กนานาชาติ”
ซึ่งเป็นรางวัลระดับโลกจากอาร์คบิชอบ เดสมอนด์ ตูตู แห่งประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๕ แต่แล้วเพราะความใฝ่หาความรู้
เป็นผู้ใฝ่สันติภาพ
และมีอุดมการณ์ในการส่งเสริมสิทธิของสตรีได้ก่อให้เกิดความไม่พอใจ แก่กลุ่ม
“นักรบตอลีบัน” จึงถูกทำร้ายร่างกายด้วยการจ่อยิงบนรถรับ-ส่งนักเรียนเมื่อ วันที่ ๙
ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๔ ผลการจ่อยิง เด็กหญิง มาลาลา ยูซาฟไซ ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ศรีษะและคอ
ผู้เห็นเหตุการณ์ได้นำเด็กหญิงมาลาลา ยูซาฟไซ ส่งโรงพยาบาล ช่วยชีวิตเป็นผลสำเร็จ
ขณะนี้เด็กหญิง มาลาลา ยูซาฟไซ มีอาการดีขึ้น และอยู่ในการดูแลของรัฐบาลปากีสถาน
และรัฐบาลอังกฤษ ที่โรงพยาบาลควีนเอลิซาเบธ เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ
ข้าพเจ้าได้นำเรื่องมาเผยแพร่ด้วยมีเหตุผลสำคัญคือ
ประสงค์ให้พี่น้องประชาชนชาวไทย ที่นับถือศาสนาอิสลาม
ทั้งที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และนอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
รวมทั้งพี่น้องมุสลิมในทุกภาคส่วนได้ใช้ดุลยพินิจต่อการที่ จะยินยอมให้สังคมมุสลิมของเรามีแนวความคิดของความเป็น
“สุดขั้ว” ปิดกั้นการพัฒนาทั้งวิถีชีวิต คุณภาพชีวิต และสิทธิเสรีภาพภายในกรอบของศาสนารวมทั้งสถานะที่ควรจะเป็นดังบทสารคดีที่นำเสนอต่อไปนี้
มาลาลา ยูซาฟไซ
เด็กหญิงปากีฯถูยิงหัวเพราะอยากไปโรงเรียน
ในขณะที่รัฐบาลไทยเปิดโอกาสให้”เด็กนักเรียนไทย”ทั้งหญิงชายได้รับการศึกษาอย่างเต็มที่เท่าเทียมกัน
และมีอิสระในการเลือกเรียนตามความต้องการกลับมีเด็กจำนวนไม่น้อยที่ละเลย
ไม่สนใจเรียน วันๆ เอาแต่เที่ยวเตร่มั่วสุมอยู่ในสถานเริงรมย์ ติดยา ติดเกม
ติดการพนัน แต่ในทางตรงกันข้ามได้มี “เด็กหญิง”ผู้รักเรียนคนหนึ่งในประเทศ”ปากีสถาน”พยายามต่อสู้เรียกร้องให้กลุ่มติดอาวุธ “ตอลีบัน”
ยกเลิกกฎข้อบังคับ “ห้ามผู้หญิงเรียนหนังสือ” เพื่อตัวเองและเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ
จะได้มีโอกาสเรียนหนังสือเช่นเด็กผู้ชายดังเดิม และเด็กหญิงชาวปากีฯผู้กล้าหาญที่พูดถึงคนนี้คือเด็กหญิงมาลาลา
ยูซาฟไซ
เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๕
กลุ่มตอลีบันได้จ่อและกราดยิง ด.ญ.มาลาลา อายุ ๑๔ ปี ขณะเดินทางกลับบ้าน
เมื่อสื่อมวลชนเผยแพร่ข่าวนี้ไปทั่วโลก ก็ได้สร้างความสะเทือนขวัญให้แก่สาธารณชนทั่วโลกเป็นอย่างยิ่ง
ผู้อยู่ในเหตุการณ์กล่าวว่า
กลุ่มคนร้ายได้โบกให้รถนักเรียนหยุดแล้วขึ้นไปถามเด็กนักเรียนที่โดยสารมาในรถว่า “คนไหนคือ...มาลาลา
?” เมื่อผู้ก่อการร้ายรู้ว่ามาลาลานั่งอยู่ตรงไหนจึงจ่อยิงตรงที่ “ศรีษะ” และ
“คอ” ของเด็กหญิงผู้เคราะห์ร้ายอย่างโหดเหี้ยมทันที นอกจากจะเป็นเป้าหมายหลักแล้วเพื่อนอีก
๒ คนของเธอก็ได้รับบาดเจ็บด้วย
...........................................................
หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้นำร่างของมาลาลาขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปส่งที่โรงพยาบาล
ทหารในเมืองเปชวาร์เพื่อเข้ารับการผ่าตัดด่วน ซึ่งแพทย์บอกกับผู้สื่อข่าวในเวลาต่อมาว่า
“โชคดีที่วิถีกระสุนไม่ได้ผ่านสมอง” “สมองของเธอปลอดภัย” แหล่งข่าวเปิดเผยว่า
เมื่อประธานาธิบดี อาซีฟ อาลี ซาร์ดารี ของปากีสถานทราบข่าว
ก็ได้ให้ความสนใจกับเหตุการณ์ในครั้งนี้มาก ขณะนั้นท่านได้เตรียมการไว้ว่าหากเธออยู่ในขั้นโคม่า
ต้องได้รับการผ่าตัดที่ยุ่งยากซับซ้อน ท่านก็จำเป็นต้องส่งตัวเธอไปรักษาที่ประเทศอังกฤษ
และจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อช่วยชีวิตเธอให้ได้ หลังเกิดเหตุ
โฆษกของกลุ่มตอลีบันได้ออกมายอมรับในเรื่องที่เกิดขึ้นทันที
แถมขู่สำทับด้วยว่า...จะโจมตีเธออีก หากเธอรอดชีวิต
กลุ่มตอลีบันโกรธแค้นมาลาลามากที่ไปสนับสนุนประเทศตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกา
มีความนิยมชมชอบในตัวประธานาธิบดีบารัก โอบามา
ส่งเสริมวัฒนธรรมทางตะวันตกในบริเวณพื้นที่ พัชทุน (Pashtun areas) และยังชอบพูดต่อต้านกลุ่มตอลีบัน เด็กหญิงมาลาลา ยูซาฟไซ
มีภูมิลำเนาอยู่ที่เมืองมิงโกรา (Mingora) ในเขตอำเภอสวัต (Sawat
District) จังหวัดไคเบอร์ พัคทูงหวา (Khyber Paktoonkhwa) ซึ่งเป็นเมืองชายแดนในหุบเขาสวัต (Sawat Valley)
ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถาน พ่อของเธอ ไซอุดดิน ยูซาฟไซ
เป็นเจ้าของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง และเป็นนักเคลื่อนไหวที่ต่อสู้เพื่อสิทธิทางการศึกษามาตลอดจนเคยถูกกลุ่มตอลีบันขู่ฆ่ามาแล้ว
พ่อกับแม่ต่างสนับสนุนให้ลูกสาวเขียนบล็อกรณรงค์เรื่องสิทธิสตรีให้เด็กผู้หญิงสามารถเข้าเรียนหนังสือได้เช่นเดียวกับเด็กผู้ชาย
มาลาลาในวัยเพียง ๑๑ ขวบ เริ่มพูดอังกฤษได้บ้างแล้วได้ใช้วิธี
“รณรงค์เพื่อสิทธิสตรี” ด้วยการให้ข่าวต่อสื่อมวลชนเธอได้เขียน “บันทึกประจำวัน”
บอกเล่าเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน
ภายใต้การถูกกดขี่ของกลุ่มตอลีบันทางตะวันตกเฉียงเหนือที่มักเผาและสั่งปิดโรงเรียนในแถบนั้นทั้งหมดไว้ในเว็บไซต์ของบรรษัทการกระจายเสียงแห่งอังกฤษ
(บีบีซี) ภาคภาษาอูรดู โดยใช้นามแฝงว่า “กัลป์ มาไค (GUL MAKAI)” ด้วย
ในช่วงเดือนมกราคม ปี๕๒ เด็กหญิงนักต่อสู้ผู้นี้ได้ส่งข้อความในไดอารีไปยังสื่อติดต่อกันหลายครั้ง
เช่น บันทึกไดอารี่ของ วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๒, วันที่ ๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๒, วันที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๒
และวันที่ ๑๕ ม.๕.๕๒ ปรากฏรายละเอียดของข้อความดังนี้
ฉันกลัว
(๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๒)
เมื่อคืนที่แล้วหนูหลับไปและฝันด้วยความหวาดกลัวเกี่ยวกับเฮลิคอปเตอร์ของทหารและนักรบตอลีบัน
หนูเคยฝันเช่นนี้ตั้งแต่มีการปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่หุบเขาสวัต
หนูกลัวเรื่องการเดินทางไปโรงเรียน
เพราะพวกตอลีบันเคยประกาศห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าเรียน ปัจจุบันที่โรงเรียนของหนูมีนักเรียนหญิง
๑๑ คน (จากทั้งหมด ๒๗ คน) ที่เข้าเรียนอยู่ และจำนวนนักเรียนก็ลดลงเรื่อย ๆ
จากประกาศ (คำสั่ง) ห้ามดังกล่าวของตอลีบัน
เมื่อหนูเดินทางกลับบ้าน หนูได้ยินชายคนหนึ่งพูดว่า
“ฉันจะฆ่าแก” ทำให้หนูต้องวิ่งหนีโดยเร็วด้วยความกลัว และได้ยินทหารพูดทางโทรศัพท์เคลื่อนที่สร้างความตระหนกตกใจแก่นักเรียนคนอื่นอย่างมาก
ในช่วงปี
พ.ศ.๒๕๕๒ทหารตอลีบันเข้าควบคุมหมู่บ้านในหุบเขาสวัตได้ทั้งหมดและเข้มงวดกวดขันในเรื่องการแปลหรืออธิบายกฎหมายอิสลาม (SHARIA LAW)
ตลอดจนห้ามผู้หญิงไปตลาดหรือซื้อสิ่งของในตลาดด้วย
อย่าแต่งกาย
ด้วยเสื้อผ้าสีฉูดฉาด
(๕
มกราคม พ.ศ.๒๕๕๒)
หนูเตรียมตัวจะไปโรงเรียน
และกำลังแต่ตัวด้วยเครื่องแบบนักเรียน
แต่หนูจำได้ว่าอาจารย์ได้บอกนักเรียนว่าอย่าแต่งกายด้วยเครื่องแบบนักเรียน
แต่ให้แต่งเสื้อผ้าธรรมดาแทน ดังนั้นหนูจึงตัดสินใจแต่งชุดสีชมพูที่หนูชอบไปแทน
นักเรียนคนอื่นๆ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหลากสี แต่พอไปถึงโรงเรียน
คุณครูก็สั่งพวกเราไม่ให้ใส่เสื้อผ้าที่มีสีสันฉูดฉาด
เพราะจะเป็นเป้าให้พวกตอลีบันโจมตีได้
ฉันอาจไม่ได้ไปโรงเรียนอีก
(๑๔
มกราคม พ.ศ.๒๕๕๒)
หนูอารมณ์ไม่ดีเลยขณะเดินทางไปโรงเรียน
เพราะวันหยุดเรียนในฤดูหนาวจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้
อาจารย์ใหญ่ประกาศให้หยุดเรียน แต่ไม่ได้บอกว่าจะเปิดเรียนอีกเมื่อใด
เด็กนักเรียนส่วนมากไม่ได้ตื่นเต้นที่จะได้หยุดเรียน
เพราะรู้ดีว่าถ้าพวกตอลีบันมีประกาศห้ามไม่ให้นักเรียนหญิงเรียนหนังสือ
พวกเราก็ไม่สามารถไปโรงเรียนได้อีก
หนูมีความเห็นว่าโรงเรียนควรเปิดเรียนได้ใหม่ภายในวันเดียว
แต่ขณะที่หนูเดินออกจากโรงเรียน (กลับบ้าน)
หนูหันมองไปที่อาคารเรียนแล้วเหมือนมีลางสังหรณ์คล้ายกับว่าหนูจะไม่มีโอกาสกลับมาเรียนที่นี่อีก
มาลาลาได้ดำเนินกิจกรรมรณรงค์เพื่อสิทธิสตรีให้ได้รับการศึกษาเรื่อยมาจนกระทั่งนิตยสารไทมส์
(TIMES) ได้นำเรื่องราวของเธอและครอบครัวไปพิมพ์เผยแพร่ในปี
พ.ศ.๒๕๕๒ บรรยายเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ บุคลิกของเธอ
(ใบหน้ามนนัยน์ตาสีเหลืองอ่อน ชอบสะพายกระเป๋าหนังสือที่มีรูปแฮรี่
พอตเตอร์ติดอยู่) จึงทำให้เธอมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป
เรื่องที่ทำให้มาลาลามีชื่อเสียงก้องโลกคือ
เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๔ อาร์คบิชอป เดสมอนต์ ตูตู แห่งแอฟริกาใต้และมูลนิธิสิทธิเด็กได้เสนอชื่อเธอเข้ารับรางวัล
“สันติภาพเด็กนานาชาติ” และก่อนนี้เมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๓ รัฐบาลปากีสถานได้มอบรางวัล “สันติภาพแห่งชาติ”
ให้แก่มาลาลา แล้วได้นำชื่อของเธอไปตั้งเป็นชื่อรางวัล
รางวัลสันติภาพแห่งชาติมาลาลา (THE
NATIONAL MALALA PEACE
PRIZE) เพื่อมอบให้เยาวชนที่อายุต่ำกว่า ๑๘ ปีด้วย
สิ่งที่มาลาลาทำและได้ผลตอบรับทั้งหลายทั้งปวงนี้ทำให้กลุ่มตอลีบันไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งจึงหาทางกำจัดเธอ
และในที่สุดก็ได้ก่อความรุนแรงขึ้นเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๕
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น หลังเกิดเหตุการณ์ ประธานนาธิบดีปากีสถาน
องค์กรสิทธิมนุษย์ชน และผู้นำต่างประเทศต่างๆ
ได่ร่วมกันประณามกลุ่มติดอาวุธตอลีบันว่า เป็นการกระทำที่ป่าเถื่อนโหดร้ายทารุณ ไร้มนุษยธรรม
และทางรัฐบาลปากีสถานประกาศให้รางวัล ๑๐๕,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ (ราว ๓.๒๕ ล้านบาท) แก่ผู้ที่สามารถจับกุมมือปืนที่ยิงมาลาลา
ยูซาฟไซได้
และต่างภาวนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอพรให้เธอปลอดภัยจากเหตุการณ์ร้ายครั้งนี้.
“สิ่งที่หนูเบื่อที่สุดคือ.....การที่ไม่มีหนังสือให้อ่าน”
นี่คือคำให้สัมภาษณ์ของมาลาลา
ซึ่งจะเห็นได้ว่า เด็กหญิงคนนี้เป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่เด็กและเยาวชนทั่วโลกจริงๆ
เพราะเธอสนใจการเรียนและการอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ
นอกจานี้เธอยังเคยบอกด้วยว่าจะต่อสู้เพื่อการศึกษาและการทำงานให้แก่เด็กหญิงชาวปากีฯ
ไปเรื่อยๆ รวมถึงเธอยังฝันอยากเป็น “นักการเมือง”อีกด้วย
โชคดีที่ขณะนี้อาการของมาลาลาดีวันดีคืนขึ้นแล้ว
เชื่อว่าผู้คนทั่วโลกคงได้เห็นเด็กหญิงผู้กล้าหาญคนนี้ลุกขึ้นยืนหยัดต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่ง
“การศึกษา” ของเด็กผู้หญิงปากีสถานอีกครั้ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น