นับวันการใช้สื่ออีเล็คทรอนิคส์อย่างเว็บไซต์และเครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อสร้างการรับรู้ด้วยข้อมูลทั้งที่เป็นจริงและไม่เป็นจริงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ดูจะมีการขยายตัวขึ้นอย่างรุนแรง
โดยเฉพาะกับกลุ่มแนวร่วม ของฝ่ายก่อเหตุรุนแรงได้มีการใช้ประโยชน์ด้วยการบิดเบือนข่าวสารที่เกิดขึ้นในพื้นที่ทั้งบางส่วนด้วยการนำเสนอด้านเดียวและการบิดเบือนทั้งหมดชนิดที่ว่าได้อ่านแล้วเกิดอาการสับสนว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นในพื้นที่ที่เคยสงบสุขมาช้านานแห่งนี้ได้อย่างไร
โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ยังปรากฎเงื่อนไขสนับสนุนจากความแตกต่างที่เป็นตัวเร่งให้เกิดเหตุรุนแรงซึ่งมีความเปราะบางเช่นจังหวัดชายแดนภาคใต้แห่งนี้
ด้วยความที่เป็นสื่อที่สามารถนำส่งข่าวสารที่รวดเร็ว และสร้างการรับรู้ได้อย่างที่วันนี้อาจเรียกได้ว่าไร้ขีดจำกัด ทำให้องค์กรหรือบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐซึ่งมีที่ตั้งอยู่ทั้งภายในและนอกประเทศต่างร่วมกันนำเสนอและบิดเบือนข่าวกันอย่างมากมายทั้งที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความแตกแยกภายในประเทศและสร้างความเข้าใจผิดไปยังกลุ่มประเทศมุสลิมที่ให้การสนับสนุนการก่อเหตุรุนแรงได้รับรู้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน
ด้วยหวังผลอย่างที่กล่าวข้างต้น
จากการเฝ้าติดตามการต่อสู้ด้วยสงครามข่าวสารอย่างฝุ่นตลบของข้างฝ่ายขบวนการเมื่อไม่กี่วันมานี้ได้พบข้อมูลการบิดเบือนอย่างน่ารังเกียจของเวบเพจเฟสบุ๊คแห่งหนึ่งซึ่งเป็นเพจคู่ขนานของเว็บไซต์
www.suara-ampera.com ซึ่งเป็นที่รู้กันในวงการว่าบิดได้ชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้าชื่อเพจ
www.facebook/Patani Fakta Dan Opini ที่ทุกคนดูอย่างไรก็รู้ว่าเป็นการทำขึ้นโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเดียวกัน
และได้นำเสนอมาในหลายเรื่องหลายประเด็น แต่ผู้เขียนอยากจะขอยกตัวอย่างการบิดเบือนซักหนึ่งตัวอย่างเพื่อให้ผู้อ่านได้พิจารณากัน
เพจดังกล่าวได้นำเสนอข่าวสารในภาษามาเลเซียเกี่ยวกับจำนวนตัวเลขในการนำกำลังทหารเข้าแก้ไขปัญหาในพื้นที่ภาคใต้ของรัฐบาลไทยว่ามีจำนวนถึงกว่าหกหมื่นคนเข้าประจำการในพื้นที่
รวมทั้งการฝึกอาสาสมัครชาวไทยพุทธอีกถึงแปดหมื่นคน
ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงอย่างมาก เพราะเป็นการนำตัวเลขทั้งของกำลังประจำพื้นที่และเจ้าหน้าที่ในส่วนของฝ่ายพัฒนาซึ่งเป็นพลเรือนเข้ามารวมด้วย
ในความเป็นจริงทหารที่เดินทางมาจากนอกพื้นที่นั้นมีเพียงประมาณสองหมื่นเก้าพันคนและกำลังทยอยถอนกำลังออก
ในส่วนของอาสาสมัครชาวไทยพุทธนั้นก็จัดการฝึกให้เฉพาะในชุมชนไทยพุทธที่มักตกเป็นเป้าหมายในการลอบทำร้ายจากขบวนการที่เกิดขึ้นอยู่เนืองๆ
ซึ่งขณะนี้มีเพียงไม่กี่ชุมชนเท่านั้น ด้วยว่าจำนวนไทยพุทธในพื้นที่กำลังลดจำนวนลงทุกวันจากการถูกข่มขู่คุกคามให้อพยพออกจากพื้นที่
นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องจริงที่คาดว่าผู้ดูแลเว็บเพจนี้ก็รับรู้
แต่ยังมีเจตนาบิดเบือนเพื่อสร้างภาพให้เกิดความเข้าใจผิดว่าพี่น้องมุสลิมในพื้นที่กำลังถูกคุมคามจากทหารและชาวไทยพุทธ ซึ่งหลายๆ ประเทศกำลังจับตามองและมีความเข้าใจสถานการณ์ดีว่าขณะนี้เรื่องจริงๆ
เป็นอย่างไร
และแน่นอนว่าหมายความรวมถึงองค์กร Human Right
Watch (HRW) ซึ่งเว็บเพจนี้ระบุว่าส่วนใหญ่ ชาวมลายูมุสลิมจะถูกลักพาตัวไปทรมานและฆ่าโดยทหารภายใต้
พรก.ฉุกเฉิน และกฎหมายพิเศษอื่นๆ โดยทหาร ที่กระทำไม่ต้องถูกลงโทษ ทั้งๆ ที่ Human
Right Watch เองเพิ่งจะประณามการทำร้ายเป้าหมายอ่อนแอ
เช่น ครู และเด็กเล็กของกลุ่มที่มีความพยายามแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ของไทยเมื่อไม่นานมานี้
ซึ่งเพจนี้ไม่เคยหยิบมานำเสนอเพราะเป็นเรื่องจริง
เพจ Patani Fakta Dan Opini |
ที่เลวสุดๆ คือ การก่อเหตุยิงชาวบ้านสองพ่อลูกในพื้นที่ ม.1 บ.เจาะโบ ต.แป้น อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ขณะกำลังเดินทางกลับจากมัสยิด ทำให้นายมะนูซี สะมะแอ อายุ 32 ปี บ้านเลขที่ 105/6 ม.3 ต.แม่ดง อ.แว้ง จ.นราธิวาส เสียชีวิต และ ด.ช.มูซา สะมะแอ อายุ 2 ปี บ้านเลขที่ 5 หมู่ 2 ต.เกียร์ อ.สุคิริน จ.นราธิวาส ได้รับบาดเจ็บ เด็กอายุแค่สองขวบมันยังทำได้ แล้วท่านผู้ดูแลเว็บเพจข้างต้นเคยออกมานำเสนอความเลวร้ายสุดขั้วของฝ่ายที่ตนถือหาง ขออภัยครับ ฝ่ายที่ตนสนับสนุนอยู่หรือไม่ คำตอบคือไม่ นี่ถ้าเป็นครอบครัวของตัวเองคงจะสำนึกอะไรได้บ้าง
คนละเรื่องเลยมั้ยครับ
เรื่องจริงเป็นอย่างไรตนเองรู้ดี
แต่ยังบิดเบือนได้อย่างน่ารังเกียจอย่างที่กล่าวแต่ต้น การนำเสนอเช่นนี้อาจเป็นการดูถูกภูมิปัญญาขององค์กรภาคประชาสังคมดีๆ
ที่ยัง (อาจ) มีอยู่ในพื้นที่นี้หรือแม้แต่องค์กรระดับโลกว่าด้อยปัญญาได้ ซึ่งเมื่อความจริงปรากฏอย่าหวังเพียงบิดเบือนให้คนอื่นเข้าใจผิดเพื่อกลุ่มของตนจะได้เป็นใหญ่และแบ่งแยกดินแดนเลย
แผ่นดินที่ได้อยู่ทุกวันนี้คนกลุ่มนี้จะอยู่ได้ต่อไปหรือไม่ก็ยังไม่รู้
การใช้กำลังทหารและการฝึกอาสาสมัครรวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายพิเศษนั้น
ในความเป็นจริงแล้ว เป็นการตอบสนองความต้องการในการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ของประชาชนส่วนใหญ่ที่ต้องการสันติสุข
เพราะมาตรการทั้งหมดนั้นไม่ได้กระทบกับการดำรงชีวิตของประชาชน
คงมีเพียงผู้ที่มุ่งร้ายต่อสังคมเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะไม่สามารถก่อเหตุร้ายได้สะดวก
และหากมีเบาะแสเจ้าหน้าที่ก็สามารถเชิญไปพูดคุย
ได้ตามกรอบของกฎหมายหากพบว่าไม่เกี่ยวข้องก็ปล่อยตัวไป
โดยสรุปคือกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงเท่านั้นที่จะเป็นฝ่ายเสียประโยชน์จากการใช้บังคับใช้กฎหมายพิเศษนี้
แต่น่าแปลกที่ยังมีบุคคลบางกลุ่มที่บอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุรุนแรง
แต่ก็เห็นสนับสนุนกันดีอย่างไม่น่าจะเป็น
ทั้งยังช่วยเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายพิเศษรวมทั้งโจมตีเจ้าหน้าที่ในทุกเรื่องทั้งๆ
ที่หลายเรื่องเกิดประโยชน์กับประชาชนส่วนใหญ่มากมาย
ออกมาโวยวายมากๆ
เดี๋ยวคนอื่นเค้าหาว่าเป็นโจรไม่รู้ด้วยนะ หรือจะยอมรับว่าเป็น
ซอเก๊าะ นิรนาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น