นานมาแล้วตั้งแค่ยุคหิน มีผู้คนอาศัยอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิ
(แหลมทองอินโดจีน หรือคาบสมุทรมลายู) ผู้คนในยุคแรกนี้เกิดขึ้นจากการผสมผสานชาติพันธุ์ระหว่างพวกมองโกลอยด์
(มอญ พม่า ลาว เขมร เวียดนาม) พวกนิกริโต (เซมัง ซาไก ปาปวน) และพวกออสตราลอยด์
(ชวา สุมาตรา บาหลี ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย)
ผู้คนเหล่านี้อยู่ร่วมกันมาเป็นเวลาช้านาน
ดังเห็นได้จากเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทิ้งไว้เป็นหลักฐาน ได้แก่ ขวานหิน
หรือขวานฟ้า (บาตูลิตา) ทั้งรูปแบบเหลี่ยม ผืนผ้า และแบบมีบ่า พบอยู่ทั่วไปตั้งแต่ตอนใต้ของประเทศจีน
เรื่อยลงมาถึงบ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี และตลอดปลายแหลมทอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณพื้นที่บ้านป่าบอน อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี
พบขวานหินนี้จำนวนมาก
นอกจากนี้ พระราชกวี หรือท่านเจ้าคุณอ่ำ ธัมมทัตโต วัดโสมนัสราชวรวิหาร
ยังกล่าวไว้ในหนังสือ “พุทธศาสตร์สุวัณณภูมิปกรณ
ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย” ซึ่งท่านได้ค้นคว้าและรวบรวมประวัติศาสตร์ของชนชาติไทยจากการอ่านแผ่นกเบื้องจาน
(กระเบื้องจาร) พบว่าคนไทยได้อาศัยอยู่ในแหลมทองแห่งนี้มาตั้งแต่ก่อนพุทธกาล
คนไทยสร้างบ้านแปลงเมือง มีการปกครอง มีภาษาหนังสือ
และวัฒนธรรมเป็นของตนเองมาเป็นเวลาช้านานแล้ว
พลโทดำเนิร เลขะกุล
ได้กล่าวถึงเมืองปัตตานีเก่าว่า ตามแนวชายฝั่งแม่น้ำปัตตานี
พบหลักฐานการตั้งชุมชนโบราณเรียงรายกันอยู่หลายแห่ง เช่นที่บ้านเนียง – วัดหน้าถ้ำ ในเขตจังหวัดยะลา พบภาพเขียนก่อนประวัติศาสตร์ ในถ้ำในเขตวัดคูหาภิมุข
แสดงให้เห็นว่าบริเวณนั้นเคยเป็นที่อยู่ของผู้คนยุคก่อนประวัติศาสตร์
เมื่อวันเวลาผ่านไป เกิดการอพยพย้ายถิ่น การติดต่อค้าขายกับผู้คนจากภายนอก
สภาวะทางภูมิศาสตร์
รวมทั้งการทำสงครามทำให้ผู้คนในดินแดนแถบนี้มีเลือดผสมผสานระหว่างคนเชื้อชาติต่างๆ
ทั้งไทย จีน อินเดีย อาหรับ เปอร์เซีย กรีก โรมัน พม่า มอญ เขมร มลายู เซมัง ซาไก
ชาวน้ำ และชนพื้นเมืองต่างๆ จึงน่าจะกล่าวได้ว่า
ไม่มีผู้คนกลุ่มใดในดินแดนแห่งนี้ที่มีสายเลือดบริสุทธิ์จากเผ่าพันธุ์ดั้งเดิมของตน
ถิ่นกำเนิดของชนชาติไทย
(ไท) มีอยู่หลายทฤษฏีด้วยกัน
ในทางวิชาการปัจจุบันเชื่อว่าคนไทยมีถิ่นกำเนิดอยู่บริเวณทางตอนใต้ของประเทศจีน
และทางตอนเหนือของภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดจนบริเวณรัฐอัสสัมของอินเดีย
โดยมีแนวคิดจากความคล้ายคลึงของภาษาถิ่น ประเพณี และวัฒนธรรม
นายแพทย์สุด
แสงวิเชียร ผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาคและโบราณคดีไทยยังสนับสนุนทฤษฏีดังกล่าวนี้
โดยการศึกษาเปรียบเทียบมนุษย์สมัยหินที่ได้ทำการขุดค้นพบในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี
ราชบุรี และบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี กับโครงกระดูกคนไทยในปัจจุบัน
พบว่ามีความเหมือนกันทุกอย่าง
แต่เดิม
ดินแดนที่มีชนชาติไทยอาศัยอยู่ ผู้คนในดินแดนนั้นได้เรียกตนเอง
และถูกเรียกจากชนเผ่าอื่นว่า “ชาวเซียม – สยาม
– ชาม – ฉาน – ไต
– ไท” ส่วนชื่อของแว่นแคว้น รัฐ หรืออาณาจักรจะใช้ชื่อเมืองหลวง
หรือราชธานีเป็นสำคัญ เช่น อาณาจักรเงินยางเชียงแสน อาณาจักรสุโขทัย
และอาณาจักรอยุธยา เป็นต้น
จนกระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โปรดเกล้าฯ ให้ใช้ชื่อ “ประเทศสยาม”อย่างเป็นทางการในหนังสือสนธิสัญญาต่างๆ
เพื่อการเจริญสัมพันธไมตรี และการติดต่อค้าขายกับชาวตะวันตก
ต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น
“ประเทศไทย”ตามแนวคิดชาตินิยม เมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ.2482
ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี
พร้อมทั้งเรียกประชาชนและสัญชาติจาก “สยาม”เป็น “ไทย”อันหมายถึงความเป็นอิสระ
ไม่เป็นทาส และได้ใช้มาจวบจนถึงปัจจุบัน
มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์หลายแห่งกล่าวไว้ว่า
ชาวสยามได้มาอยู่บนดินแดนแหลมทองนี้เป็นเวลาช้านานแล้ว
ดังเช่นในจดหมายเหตุจีนราชวงศ์ชิง บันทึกไว้เมื่อ พ.ศ.2311 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงส่งราชทูตไปถวายเครื่องบรรณาการ
และพระราชสาร์นแด่จักรพรรดิเฉียนหลงฮ่องเต้
เจ้ากรมพิธีการทูตของจีนได้ถวายรายงานเรื่อง “เสียมหลอก๊ก”หรือสยามประเทศนั้นมีต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ครั้งราชวงศ์สุย (พ.ศ.1124-1161) ราชวงศ์ถัง (พ.ศ.1161-1451)
สมัยนั้นเรียกว่าประเทศเซี้ยะโท้ว
หรือ ฉีตู (สันนิฐานว่ามีที่ตั้งอยู่ ณ เมืองไทรบุรี สงขลา นครศรีธรรมราช
หรือเวียงสระที่สุราษฎร์ธานี) พระเจ้าแผนดินเซี้ยะโท้ว นับถือศาสนาพุทธ
และมีแซ่เดียวกับพระพุทธเจ้า ชาวเสียมหลอก๊กนั้นเป็นชนชาติเดียวกับชาวฮูหลำ
(อาณาจักรฟูนัน) ประเทศนี้ตั้งอยู่ริมทะเลทางทิศใต้
ในหนังสือสยาเราะห์กรือยาอันมลายูปะตานี
ของอิบรอฮิม ซุกรี ได้บันทึกประวัติศาสตร์เมืองปัตตานีไว้ว่า ในดินแดนแห่งนี้มีชาวสยามตั้งภูมลำเนาอยู่แต่เดิม
หลังจากนั้นจึงมีชาวฮินดูจากอินเดียเดินทางเข้ามา
และมีชาวมลายูเป็นชนชาติหลังสุดที่เข้ามาอาศัย
ตำนานเมืองปัตตานีบันทึกไว้ว่า
ชาวสยามได้พากันอพยพเคลื่อนย้ายลงมสู่ดินแดนคาบสมุทธมลายูแห่งนี้
ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 10 – 11
และมีการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมกับชนพื้นเมืองดั้งเดิม จนกระทั่งชาวสยามได้กลายเป็น
ชนชั้นปกครอง และมีอำนาจเหนือดินแดนคาบสมุทธมลายู
ตำนานเมืองไทรบุรี –
ปัตตานี กล่าวว่า พระเจ้ามะโรงมหาวงศ์ พร้อมเหล่าอำมาตย์
และข้าราชบริพารเดินทางจากอินเดียมาสร้างเมืองไทรบุรี
(รัฐเคดาห์ประเทศมาเลเซียในปัจจุบัน) พบชาวเสียมหรือชาวสยามเป็นหัวหน้า
แสดงให้เห็นว่าชาวเสียมได้เข้าได้เข้ามาอาศัยอยู่ในแหลมมลายูเป็นเวลาช้านานแล้ว วัฒนธรรมและความเจริญของชาวเสียมคงเหนือกว่าชนพื้นเมืองเผ่าต่างๆ
จึงได้การยอมรับและยกย่องให้เป็นผู้นำของชุมชน
สำหรับชนชาติมลายู
พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ (ตุ๋ย บินอับดุลลาห์) อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล
ได้รวบรวมหนังสือพงศาวดาร และประวัติศาสตร์ภาษามลายูหลายเล่ม สรุปความได้ว่าชนชาติมลายูนั้นเกิดมาจากโอรังลาโวค
หรือชาวน้ำ ผสมผสานทางเผ่าพันธุ์กับชนชาติไทยเมืองละโค (นครศรีธรรมราช) ชุมพร ไชยา
และชวาในภายหลัง
ผู้คนในดินแดนแหลมทองหรือคาบสมุทรมลายูนี้ได้อาศัยอยู่ร่วมกัน
เกิดการผสมผสานเผ่าพันธุ์ และรวมตัวกันตั้งเป็นชุมชนปกครองกันเองโดยมีหัวหน้าเผ่าเป็นผู้นำ
ต่อมาชาวอินเดียได้เดินทางเข้ามาเพื่อการค้าขายและเผยแพร่ศาสนา วัฒนธรรม
จึงมีการพัฒนาชุมชนขึ้นเป็นบ้านเมืองและแว่นแคว้นน้อยใหญ่
ดังปรากฏในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เช่นอาณาจักรฟูนัน ทวารวดี ศรีวิชัย พันพัน
ตักโกละ ตามพรลิงค์ และหนึ่งในนั้นคือ “ลังกาสุกะ”
ศาสตราจารย์ ขจร สุขพานิช กล่าวว่า ในพุทธศวรรษที่ 18 ชาวมลายูแต่เดิมอยู่บนเกาะสุมาตรา จนกระทั่งอีกประมาณ 111 ปีต่อมา ราชาปรเมศวร
กษัตริย์ราชวงศ์ไศเลนทร์แห่งอาณาจักรมัชฌปาหิตในเกาะชวา
ได้เข้ามาตั้งรัฐมลายูแห่งแรกบนปลายแหลมทองที่เมืองมะละกา เมื่อปี พ.ศ.1946
โดยมีฐานะเป็นประเทศราชของสยาม (รัชสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราช
กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุทธยา) ทั้งนี้คำว่า “ผู้อพยพ” หรือ “ผู้ข้ามฟาก”
ตนไทยปลายด้ามขวาน
เรียบเรียง