ชะบา สีขาว
ข่าวคราวที่เกิดขึ้นภายในของขบวนการ
ได้มีการหลุดกระเด็นออกมาสู่หูของพวกเราเป็นระยะพวกเราเองก็คิดอยู่เสมอว่า “ทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนเป็นไปตามประสงค์ของอัลลอฮ์
ผู้ที่ไม่ยึดมั่นและไม่ปฏิบัติตามแนวทางของอัลกุรอ่านย่อมไม่ได้รับการโปรดปราน ความเมตตา
ดังเช่นขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือที่รัฐเรียกว่า “บีอาร์เอ็น.” ผู้หวังผลประโยชน์บนแผ่นดิน โดยมิได้มองเห็นความทุกข์ ความโศกเศร้า
หรือการสูญเสียของผู้อื่น”
ที่ผ่านมา มีบรรดาสมาชิกระดับแก่นนำของขบวนการที่หันหลังให้ขบวนการ สาเหตุหนึ่งมาจากความแตกต่างทางความคิด ต่างก็มีความเห็นไปคนละทิศละทางอย่างหลากหลาย จนกลายเป็นความแตกแยก
หลายคนเห็นว่าการต่อสู้ของขบวนการอย่างที่ทำอยู่ไม่มีทางชนะ เพราะขบวนการเองก็ต้องพึ่งพาคนอื่นอยู่ แล้วจะมีโอกาสชนะเพื่อแบ่งแยกประเทศได้อย่างไร จุดนี้ทำให้แกนนำแต่ละกลุ่มคิดกันไปต่างๆ นานา ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ได้ชัยชนะ
หรือวางจังหวะทิศทางเพื่อก้าวเดินต่อไปอย่างไร ซึ่งแต่ละคนก็คิดไม่เหมือนกัน การแบ่งพรรคแบ่งพวกจึงเกิดขึ้นตามมา
เรื่องของผลประโยชน์ก็เป็นปัจจัยสำคัญ
ที่ทำให้ขบวนการปฏิวัติรัฐปัตตานีเดินไปไม่ได้ แต่การที่ยังมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นอยู่ เพราะยังมีแนวร่วมคอยก่อเหตุ ซึ่งการจะยับยั้งแนวร่วมเหล่านี้ทำได้ยากมาก เพราะพวกเขาถูกใส่ความเชื่อเข้าไปแล้วก็จะไม่รับฟังคนอื่น
เนื่องจากทางกลุ่มขบวนการเขาปลูกฝังอุดมการณ์
ความคิด ความเชื่อมากว่า 20 ปี ใครก็เปลี่ยนความคิดความเชื่อไม่ได้นอกจากคนในขบวนการเท่านั้น
นอกจากนั้นแล้ว ปัญหาใหม่ที่สำคัญไม่แพ้ปัญหาความแตกแยกทางความคิดของกลุ่มระดับแกนนำ
นั่นคือปัญหากลุ่มติดอาวุธ หรือ “อาร์เคเค.”
ซึ่งขณะนี้กลุ่มอิทธิพลในพื้นที่รู้ช่องทาง
จึงสร้างฐานอำนาจโดยนำ อาร์เคเค. มาเลี้ยงไว้
แล้วต่างฝ่ายต่างก็พึ่งพากัน กลุ่มอิทธิพลได้ใช้ อาร์เคเค.เป็นกองกำลังส่วนตัว
โจมตีเจ้าหน้าที่รัฐบ้าง โจมตีปรปักษ์ของตนเองบ้าง ขณะที่ อาร์เคเค.ก็ได้เงิน ได้อาวุธ ได้กระสุน
และมีคนคอยปกป้อง ที่แย่ก็คือเมื่อก่อนกลุ่มติดอาวุธมักอยู่ในป่า
ปฏิบัติการในเขตป่า แต่วันนี้มาอยู่ในเมืองซึ่งเป็นเรื่องน่าห่วง
เพราะสามารถก่อเหตุ ก่อวินาศกรรมได้ทุกเวลา แต่ก็ยังพบว่าเมื่อไปปฏิบัติจริง
กลับไม่ได้รับการสนับสนุนจากปีกแนวร่วมเพื่อรับประกันความปลอดภัย 100%
เหมือนเมื่อก่อน ทำให้เริ่มมีความสูญเสีย จึงสะท้อนให้เห็นว่า ขบวนการหรือกลุ่มอิทธิพลปัจจุบันไม่สามารถพูดคุยหรือขอความร่วมมือจากชาวบ้านได้มากเหมือนเดิม
ถึงวันนี้แม้จะมีปัญหาความขัดแย้งในขบวนการเข้ามารุมเร้าและมีกลุ่มอิทธิพลเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จาก อาร์เคเค. แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้จะเดินทางถึงจุดเปลี่ยน
เพราะภาครัฐยังไม่สามารถเปลี่ยนจาก "ฝ่ายรับ" มาเป็น
"ฝ่ายรุก" ได้ดังที่ทุกคนเห็นกันอยู่
“ประชาคมอาเซียน”น่าจะทำให้สถานการณ์เบาบางลง
เนื่องจากเยาวชนจะเริ่มให้ความสนใจเรื่องการศึกษามากขึ้น
กลุ่มขบวนการหมดน้ำยาที่จะโน้มน้าว ข่มขู่หรือบังคับ การเกิดประชาคมอาเซียนจะเป็นเหมือนกับการแยกสายน้ำ
หรือเส้นทางออกเป็น 2 สาย จากเมื่อก่อนมีเพียงสายเดียว ทำอะไรก็ไปในแนวทางเดียวกัน
แต่เมื่อแยกเป็นสองแล้วจะทำให้มีตัวเปรียบเทียบว่าฝ่ายไหนจะดำรงอยู่ได้
แม้ฝ่ายที่เลือกแนวทางก่อความไม่สงบจะยังก่อเหตุได้ แต่ก็เชื่อว่าจะค่อยๆ
ลดจำนวนลง
ส่วนแนวทางที่บางฝ่ายพยายามรณรงค์ให้เกิดโมเดลปกครองตนเองหรือ
“เขตปกครองพิเศษ” นั้น ในทางปฏิบัติยังเร็วเกินไปยังไม่ถึงเวลา
เพราะชาวบ้านยังไม่มีความรู้พอ หากตั้งเขตปกครองพิเศษ
ประโยชน์จะไปตกอยู่กับคนแค่บางกลุ่ม
และชาวบ้านส่วนใหญ่ก็จะกลายเป็นเบี้ยล่างเหมือนเดิม
แนวคิดที่แตกต่างของระดับแกนนำ นำไปสู่ความแตกแยก การเอาตัวรอดของ อาร์เคเค.ที่หันไปพึ่งพาผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ด้วยเหตุผลขบวนการเริ่มเอาตัวไม่รอด ชาวบ้านเองก็เห็นธาตุแท้ของขบวนการ นี้คือจุดเปลี่ยนและความล้มเหลวของอุดมการณ์ที่มุ่งหวังผลประโยชน์เฉพาะตนมากจนเกินไป
จนลืมไปว่าอุดมการณ์ที่ประกาศไปคืออะไร…….
----------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น