เสียงเล็กๆ ของคนในพื้นที่...ต่อการแก้ไขปัญหาไฟใต้
‘แบดิง โกตาบารู’
เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องจริง
ของผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ระบายออกมาเป็นตัวอักษรแทนความรู้สึก...เป็นแค่เสียงเล็กๆ
ไม่ได้มีอะไรที่แอบแฝงหรือหมกเม็ดต่อสิ่งที่ได้เขียน แต่ต้องการสะท้อนปัญหาที่แท้จริงให้ผู้ที่มีอำนาจได้ตัดสินใจ เป็นมุมมองอีกด้านหนึ่งในการแก้ปัญหาด้วยการคิดวิเคราะห์ด้วยข้อมูล ข้อเท็จจริง และที่สำคัญการดำเนินการแก้ปัญหาไฟใต้ได้ถูกทาง
ไม่ต้องคลำทางเหมือนคนตาบอดดั่งเช่นที่ผ่านมา ผู้เขียนอยากให้ทุกท่านได้อ่านให้จบแล้วเราจะได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน...ลองมาอ่านดูกันครับ....
เมื่อไม่นานมานี้ผมเห็นผู้หลักผู้ใหญ่ท่านหนึ่งออกมาให้สัมภาษณ์
ว่าถ้าไทยทำตามข้อเรียกร้อง 7 ข้อ ของ "ฮัจยีสุหลง" และอีก 5 ข้อ ของ BRN ได้ “ภาคใต้ก็จะสงบ” ผมอ่านแล้วถึงกับตกใจ
เพราะเหตุผลที่ท่านนั้นยกมาไม่ว่าจะเรื่องข้อเรียกร้องหรือเหตุผลที่ทำให้
อาเจะห์สงบ
มาจากการโอนอ่อนผ่อนตามผู้ที่ต่อต้านรัฐ
แล้วการเจรจาจึงจะดำเนินไปได้ด้วยดี
ผมก็เพิ่งเคยเห็นทฤษฎีนี้ครั้งแรกจริงๆ
ที่กล่าวว่าถ้าจะเจรจาต่อรองกับใครต้องยอมฝ่ายตรงข้ามก่อน
เพราะโดยปกติแล้วผู้ที่เสนอขอเจรจาจะต้องเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ หรือเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติของตนเพิ่มมากขึ้นต่างหาก
ลองจินตนาการดูสิครับ
ถ้าคนตัวใหญ่เจรจากับคนตัวเล็กอะไรจะเกิดขึ้น คนตัวเล็กก็ต้องยอมทุกข้อแม้ว่าจะเสียเปรียบอยู่เห็นๆ ก็ตาม
นั้นเป็นเพราะเค้าไม่สามารถต่อรองอะไรได้เลย ซึ่งการเจรจาแบบนี้นำไปสู่ความเสียเปรียบของคนตัวเล็กอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นในขณะที่การเจรจายังดำเนินอยู่
การบังคับใช้กฎหมายของรัฐก็ต้องกระทำควบคู่ไปด้วยครับ จะปล่อยให้เกิดเป็นสุญญากาศ ในพื้นที่ของความขัดแย้งนี้ไม่ได้เด็ดขาด
คนที่ทำผิดก็ต้องถูกไล่ล่าและนำตัวมาดำเนินคดีรับกรรมที่เค้าก่อต่อไป
แต่ถ้าใครที่ทำไปแล้วสำนึกได้ก็เชิญมามอบตัว รัฐก็มีทางออกที่ผ่อนปรนกว่าการดำเนินคดีไว้รองรับอยู่หลายทางแล้วในขณะนี้ ยิ่งถ้าพูดถึงเรื่องอาเจะห์
ผมเชื่อว่าผู้ที่ติดตามสถานการณ์ของอาเจะห์ต้องทราบดีแน่นอน ว่าที่อาเจะห์สงบลงได้ทุกวันนี้เป็นเพราะอะไร
อาจมีคนบอกว่าใช้หลักทางศาสนาแต่จริงๆแล้วไม่ใช่ เพราะอาเจะห์สงบก่อนที่จะเจรจาแล้ว โดยสาเหตุสำคัญที่สุดที่เป็นจุดผกผันของกลุ่มต่อต้านเลย ก็คือ “ซึนามิ” ครับ
ซึ่งแม้แต่กลุ่มต่อต้านและรัฐบาลอินโดนีเซียก็เห็นตรงกันในเรื่องนี้ เพราะเหตุการณ์ซึนามิในครั้งนั้น สร้างความเสียหายให้กับ
อาเจะห์เป็นอย่างมากจนไม่สามารถพื้นตัวได้ด้วยตนเอง
ทำให้กองกำลังติดอาวุธต้องยอมจำนนเจรจาสงบศึกกับรัฐบาลอินโดนีเซียในที่สุด
เพื่อรับการช่วยเหลือจากภายนอกนั้นเอง
ผมใช้ชีวิตใน จชต.
มาหลายสิบปีแล้ว จนกระทั้งบัดนี้ผมยังไม่ทราบเลยว่า แท้จริงแล้วรัฐเอาเปรียบคนมุสลิมหรือคนมุสลิมเอาเปรียบกันเองกันแน่ อย่างหนึ่งที่รัฐต้องยอมรับในความผิดพลาดในอดีตก็คือ เมื่อสมัยก่อนพื้นที่
จชต.เป็นพื้นที่ที่รัฐมักจะโยกย้ายข้าราชการที่ทำผิดจากที่อื่นให้มาอยู่ที่นี่ นั้นเป็นเพราะว่าพื้นที่ จชต.นี้
ไม่มีใครอยากมาทำงาน
ยกเว้นแต่คนที่มีภูมิลำเนาอยู่ที่นี่นั้นเอง แต่ปัญหานี้ในปัจจุบันผมไม่เห็นว่ามันจะมีอีกแล้ว หนำซ้ำข้าราชการที่มีความสามารถและต้องการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาของชาติกลับอยากมาทำงานที่นี่มากขึ้น
แต่หากมองในมุมของคนมุสลิมด้วยกันแล้ว คนมุสลิมที่อยู่ในเมืองหรือคนพอมีฐานะ ก็จะส่งให้ลูกหลานได้เรียนสูงๆ ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็จะไม่ได้รู้สึกถูกเอาเปรียบมากมายนัก เพราะเค้าสามารถทำอะไรได้เหมือนคนอื่นๆทั่วประเทศ แต่คนมุสลิมที่อยู่ในชนบทนั้น
ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยสนใจเรื่องการศึกษาสายสามัญเท่าไรนัก ยิ่งมีกลุ่มก่อความไม่สงบพยายามยุแหย่อีกว่า “อย่าไปเรียนโรงเรียนรัฐนะมันบาป มันจะทำลายอัตลักษณ์ของเรา
มันพยายามกลืนชาติของเรา” ก็ยิ่งทำให้คนกลุ่มนี้ไม่อยากจะไปเรียนกันมากขึ้นไปอีก
หนักไปกว่านั้นมีถึงขั้นการปล่อยข่าวว่า "การหยอดยาปอริโอ คือการทำหมันคนมุสลิม" ก็ไม่มีใครไปหยอด.....สุดท้ายคนที่ลำบากก็คือคนในชนบทนั้นเอง
เมื่อเกิดความเดือดร้อนก็เป็นช่องว่างให้ผู้ไม่หวังดีมาชักจูงได้ง่ายเข้าไปอีก ว่ารัฐเค้าไม่รับคนมุสลิมหรอกเค้ารับแต่คนพุทธเป็นข้าราชการ ทั้งๆที่ไม่ได้มองว่าแท้จริงแล้วตนให้ความสำคัญกับการศึกษาหรือไม่ หรือจบทางด้านไหนมา
ซึ่งนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนในชนบทเรียนแต่ศาสนาแล้วก็หางานทำตามมีตามเกิดไม่สามารถเข้ารับราชการได้เลย ยิ่งถ้าสังเกตเหตุการณ์ที่ผ่านมาจะเห็นว่าเป้าหมายที่โจรใต้ต้องการมากที่สุดก็คือครูสายสามัญนี่เอง เพราะสิ่งที่องค์กรพวกนี้กลัวที่สุดคือ "ประชาชนของที่นี่มีการศึกษา" และ "การพัฒนาที่เข้าถึงชนบท" เพราะจะทำให้แนวคิดหัวรุนแรงและไร้เหตุผลสูญพันธุ์ไปในที่สุด
ผมจึงอยากขอร้องให้กระทรวงศึกษาได้เห็นความสำคัญของการแก้ปัญหาในจุดนี้ด้วยครับ อย่าปล่อยให้เจ้าหน้าที่ความมั่นคงแก้ไขอยู่ฝ่ายเดียว ยิ่งโรงเรียนปอเนาะที่ผุดขึ้นมาเหมือนดอกเห็ด ก็ไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งไม่ดี แต่มีใครสามารถความคุมมาตรฐานได้หรือไม่ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าจุดเริ่มต้น
ของคนหัวรุนแรงใน จชต. ก็ถูกกล่อมเกลามาจากสถาบันลักษณะนี้ทั้งสิ้น แม้ว่าปอเนาะส่วนใหญ่จะสอนตามแนวทางศาสนาที่ถูกต้องแล้วก็ตามแต่มันไม่ใช่ทุกแห่งเสมอไป
มามองในแง่ของเศรษฐกิจกันบ้าง เหมือนว่ามีคนพยายามเรียกร้องว่าเงินภาษีที่จัดเก็บได้ในสาม จชต. ต้องใช้ใน
จชต.เท่านั้น ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าข้อนี้จะเป็นประโยชน์กับคน จชต.จริงหรือไม่ เพราะลองพิจารณาดูดีๆ สิครับ เงินภาษีที่เก็บได้ของ จชต.
ส่วนหลักๆ ก็น่าจะมาจากการนำเข้าและส่งออกสินค้าใช่หรือไม่ครับ แต่ลองย้อนถามกลับไปว่าแล้วผู้บริโภคหรือผู้ผลิตสินค้านำเข้าส่งออกนั้นอยู่ใน
จชต.หรือไม่ครับ ถ้าเป็นอย่างนั้น รายได้ของภาษีที่จัดเก็บได้ ก็ไม่ได้เกิดจาก จชต. เป็นหลัก
แต่เกิดจากอีกหลายพื้นที่สนับสนุนกันใช่หรือไม่
และถ้ามองไปที่ภาษีท้องถิ่น ทุกวันนี้ภาษีท้องถิ่นก็ใช้จ่ายอยู่ที่ อบต.
และ อบจ.ใช่หรือไม่ แล้วนายกอบจ. นายก
อบต.มาจากไหน
มาจากภูมิภาคอื่นหรือไม่
ก็เป็นคนมุสลิมในพื้นที่นั้นๆเอง
ผมไม่แน่ใจว่าเคยมีพี่น้องตามชนบทเคยสนใจหรือไม่ว่าที่ อบต.ของตนเองมีงบให้พัฒนาแต่ละปีรวมแล้วเป็นเงินเท่าไหร่ และมีโครงการจะทำอะไรบ้าง แล้วดำเนินการแล้วหรือไม่ ผมเชื่อว่าคนชนบทใน
จชต.ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ครับ
จะด้วยว่าไม่ทราบหรือกลัวก็เป็นได้
แต่สุดท้ายกลุ่มผู้ไม่หวังดีก็จะบอกว่าที่บ้านเราไม่พัฒนาเพราะรัฐเห็นว่าเราเป็นมุสลิมจึงไม่ยอมให้เงินมาพัฒนา ซึ่งคำถามที่ถูกต้องควรถามว่า
ปีหนึ่งๆ รัฐให้เงินมาพัฒนาเท่าไหร่
และเงินมันไปไหนหมดต่างหากครับ เพราะการจัดสรรงบประมาณของภาครัฐ ไม่ได้นำเรื่องศาสนามาเกี่ยวข้องอยู่แล้ว ไม่ว่าจะศาสนาใดก็มีความเป็นคนเท่าเทียมกันทั้งนั้น หรือถ้าจะมองเรื่องภาษีเงินได้บุคคลที่จัดเก็บเข้าส่วนกลาง ผมเชื่อว่าทุกวันนี้ พื้นที่ จชต.
ได้งบประมาณมาพัฒนามากกว่าที่จัดเก็บภาษีเงินได้จากคนที่นี่อย่างแน่นอน แต่ถ้าจะบอกว่าเงินที่จัดเก็บจากที่นี่ต้องอยู่ที่นี่ แต่ถ้ารัฐจะให้เพิ่มก็ดี
ผมคิดว่าความคิดแบบนี้เป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวอย่างมากๆ เลยล่ะหรือว่าไม่จริง
นี่ยังไม่รวมถึงเมื่อยามมีอุทกภัยหรือวาตภัย ซึ่งในพื้นที่ จชต.มักจะเกิดพร้อมๆ กัน แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น ใครละครับที่จะช่วยได้ถ้าไม่ใช้จากภูมิภาคอื่นๆ ในเมื่อความเสียหายเกิดขึ้นทั่วทั้ง จชต.
พืชผลการเกษตรก็เสียหายหมด และอีกหลายๆคนอาจจะไม่ทราบว่าใน
จชต.ยังมีเงินที่ต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศมุสลิมด้วยกัน
บริจาคมาเพื่อบำรุงศาสนารวมๆอีกเป็นหลายล้านต่อปี
ซึ่งก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเงินเหล่านั้นได้นำไปใช้ในทางที่ถูกต้องตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้ให้หรือไม่อย่างไร.....
ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นอีกหนึ่งเสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งของคน
จชต.
ที่อยากให้คนไทยอยู่ด้วยกัน อย่างพหุวัฒนธรรม การอยู่ร่วมกันของคนหลากหลายเชื้อชาติ ศาสนา ไม่ว่าพุทธ คริสต์ หรือมุสลิม หรือศาสนาใดก็ตามแต่ ผู้เขียนอยากให้ท่านผู้อ่านมองปัญหาใน
จชต.
อย่างมีเหตุมีผลครับ....
------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น