DNA…พิสูจน์ความจริง...หนทางสู่ใต้สันติสุข
‘อิมรอน’
เป็นที่ทราบกันดีว่าพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดเหตุความไม่สงบอยู่บ่อยครั้ง
การจะนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษ
จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน
แต่จะต้องยึดหลักความยุติธรรมเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ซึ่งต้องตอบคำถามของสังคมได้อย่างไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัย
หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์จึงมีความจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการตรวจ DNA
ที่ผ่านมากลุ่มภาคประชาสังคมยื่นหนังสือให้หน่วยงานความมั่นคงชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นใน
2 ประเด็น กล่าวคือ การตรวจ DNA โดยมิชอบ
การใช้กฎหมายโดยไม่สุจริต และการโจมตีใส่ร้ายป้ายสี กล่าวหาอย่างเสียหายในสื่อสังคมออนไลน์
และกลุ่มสหพันธ์นิสิตนักศึกษา เยาวชน และประชาชนทั่วไป
ล้วนตั้งข้อสงสัยถึงการปฏิบัติของภาครัฐต่อประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ท่านผู้ชมครับ
ข้อมูลสถิติความมั่นคงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ถึงวันที่ 31 พ.ค.2558
ซึ่งเป็นตัวชี้วัดของการส่งตัวผู้ต้องหาดำเนินคดีในชั้นพนักงานสอบสวน
ชั้นอัยการ และชั้นศาล คดีที่เกิดขึ้นทั้งหมดซึ่งเป็นคดีอาญามีมากถึง 163,085 คดี
แยกเป็นคดีความมั่นคงที่ 9,933 คดี ในจำนวนนี้ไม่รู้ตัวผู้กระทำผิด 7,634 คดี
เจ้าหน้าที่รู้ตัวผู้กระทำผิด 2,299 คดี
ในชั้นพนักงานสอบสวนส่งฟ้อง 1,904 คดี ชั้นอัยการส่งฟ้อง 827
คดี แต่เมื่อเข้าสู่การพิจารณาชั้นศาลได้ยกฟ้อง 431 คดี คิดเป็นร้อยละ 60.79 จะเห็นได้ว่าหลักฐานไม่แน่นหนาพอ ผู้ที่ถูกดำเนินคดีจะได้รับการยกฟ้องซึ่งมีจำนวนสูงมาก
ท่านผู้ชมครับ
คำถามที่ว่าการเก็บ DNA
ของบุคคลของเจ้าหน้าที่นั้นกระทำได้หรือไม่ อย่างไร และมีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด การตรวจ DNA ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
เป็นที่ถกเถียงของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายเจ้าหน้าที่บอกว่ากระทำได้
ฝ่ายที่ถูกกระทำออกมาเคลื่อนไหวกล่าวหาว่าเป็นการละเมิด
ที่ผ่านมา ในทางปฏิบัติเจ้าหน้าที่รัฐจะต้องปฏิบัติภายใต้กรอบของกฎหมาย
โดยจะต้องคำนึงถึงหลักสัดส่วนของกฎหมายมหาชน กล่าวคือ “ชั่งน้ำหนักการคุ้มครองสิทธิของประชาชน” กับ“อันตรายที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน” ให้อยู่ในระดับพอดี
ซึ่งพื้นที่ จชต. เหตุการณ์ความไม่สงบได้เกิดขึ้นเป็นวงกว้าง
เจ้าหน้าที่รัฐจึงจำเป็นต้องใช้มาตรการในการป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่เข้มข้นมากกว่าปกติ
อาจไปกระทบสิทธิของประชาชนบ้างแต่ก็ใช้อย่างระมัดระวัง เช่นการตรวจเก็บ DNA
บุคคลหรือการไม่ได้รับความสะดวกในการตรวจค้น
ท่านผู้ชมครับ
อำนาจในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่มาจากไหน? ก็มาจากกฎหมายปกติ คือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความซึ่งบังคับใช้ทั่วประเทศอยู่แล้ว
ในมาตรา 17 กล่าวคือ
พนักงานฝ่ายปกครองหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน
และเพื่อจะทราบรายละเอียดแห่งความผิดหลังเกิดเหตุ ดังนั้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชนนั้น
เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถใช้อำนาจดังกล่าวได้ แต่อาจไปกระทบสิทธิของบุคคลบ้าง
ต้องสมเหตุสมผล ไม่ใช่การที่เจ้าหน้าที่รัฐลุแก่อำนาจ ไปจับตัวใครก็ได้มาทำประวัติตรวจ
DNA
โดยไม่มีเหตุผล
เจ้าหน้าที่อาจมีการใช้กฎหมายมาตรา
131/1 ป.วิ.อาญา ซึ่งเป็นการใช้อำนาจของพนักงานสอบสวน
ที่จะต้องปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหา หากผู้ต้องหาไม่ยินยอมให้ตรวจ DNA ให้สันนิษฐาน ว่าผลเป็นไปตามที่ตรวจพิสูจน์ คือเป็นผลร้ายต่อผู้ต้องหา
ซึ่งจะเห็นได้ว่า มาตรา 17 เป็นเรื่องของการรักษาความสงบเรียบร้อย (ก่อนเกิดเหตุ)
ส่วนมาตรา 131/1 เป็นเรื่องของการสอบสวน(หลังเกิดเหตุ)
การเก็บ DNA ไว้ในฐานข้อมูลเป็นสิ่งที่ดี แม้กระทั่งภาครัฐเองได้ร่วมกับศูนย์พิสูจน์หลักฐาน
10 สำนักงานตำรวจแห่งชาติทำการเก็บ DNA เจ้าหน้าที่
โดยเฉพาะอาสาสมัครทหารพราน อาสาสมัครรักษาดินแดนและอื่นๆ รวมทั้งการจัดเก็บหลักฐานจากอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ทุกกระบอกไว้เป็นหลักฐาน
การที่ภาครัฐจัดเก็บข้อมูล “ดีเอ็นเอของเจ้าหน้าที่” เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นมา หรือบางเหตุการณ์ที่มีการกล่าวหาว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐศูนย์พิสูจน์หลักฐาน
10 สามารถตรวจสอบได้ทันทีว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ หรือใครเป็นผู้กระทำ
สิ่งที่เคลือบแคลงสงสัย
โดยเฉพาะการเก็บ DNA ของญาติผู้ต้องสงสัยตามกระบวนการทางกฎหมาย และประโยชน์ของ DNA ตามที่กล่าวมา คงจะสามารถลดความหวาดระแวงซึ่งกันและกันได้แล้วนะครับ
ดังนั้นผู้ที่ ถูกตรวจ DNA ทั้งๆ ที่มิได้กระทำความผิดก็สบายใจได้แล้ว
หากท่านไม่ผิดใครก็ไม่สามารถยัดเหยียดความผิดให้ท่านได้ หรือใครคือผู้สร้างความเดือดร้อน
สร้างความเสียหายทั้งต่อชีวิตทรัพย์สินในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็จะสามารถตรวจสอบได้จากฐานข้อมูล
DNA
----------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น