“ซอเลาะห์
บินคอลีฟ”
จากกรณีที่
สำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพ หรือ LEMPAR ได้ออกแถลงการณ์พิเศษ
จี้ภาครัฐให้ความเป็นธรรมต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชน จากการที่ กอ.รมน.ภาค 4 สน. ได้แจ้งความดำเนินคดีกับ
3 นักสิทธิมนุษยชนชายแดนใต้ มีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติแบบสองมาตรฐาน
โดยเลือกที่จะไม่ดำเนินคดีกับองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ แต่เลือกที่จะดำเนินคดีกับองค์กรสิทธิมนุษยชนภายในประเทศ
ทำให้นักสิทธิมนุษยชนทั้ง 3 ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการบังคับใช้กฎหมายโดยรัฐ
ซึ่งส่งผลต่อบรรยากาศความเชื่อใจของภาคประชาสังคมต่อกระบวนการสันติสุข
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม กลุ่มด้วยใจ และองค์กรเครือข่ายมนุษยชนปาตานี
เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร (มีผู้เคลื่อนไหวหลายองค์กรร่ำรวยผิดปกติ) ซึ่งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีองค์กรเหล่านี้กว่า
420 องค์กร ปีหนึ่งๆ รับเงินทุนสนับสนุนมหาศาล
แต่กลับมีองค์กรบางองค์กรไม่น่าจะเป็นคนไทย
และไม่สมควรเอาดินในผืนดินไทยกลบหน้าศพยามตายไปด้วยซ้ำ มีความพยายามนำประเด็นข้อผิดพลาดในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ
นำชื่อเสียงของประเทศที่เป็นบ้านเกิดเมืองนอนไปนำเสนอให้กับฝรั่งตาน้ำข้าวเพื่อแลกเศษเงินตรา
โดยขาดการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน ทั้งๆ ที่สามารถดำเนินการได้ และเจ้าหน้าที่รัฐก็พร้อมให้เข้าตรวจสอบข้อเท็จจริง
รวมทั้งในบางกรณี ก็ได้แสดงเจตนาบิดเบือนข้อเท็จจริงที่สร้างความเสียหายแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
ด้วยความทุ่มเทเสียสละ
ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในอำนาจรัฐและทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในเวทีสากล
ย้อนรอยไปดูที่ต้นเหตุความอัปยศที่เกิดขึ้นของ
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม กลุ่มด้วยใจ และองค์กรเครือข่ายมนุษยชนปาตานี ได้เก็บข้อมูลและจัดทำรายงานสถานการณ์การทรมาน
และการปฏิบัติที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรีในจังหวัดชายแดนใต้ ปี 2557
– 2558 ออกเผยแพร่สู่สาธารณชน และมีการแถลงข่าว ณ มหาวิทยาลัยของรัฐในเวลาต่อมา
จุดเริ่มต้นของความอดสู
เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2559
นางสาวอัญชนา หีมมิน๊ะห์ ประธานกลุ่มด้วยใจได้ยื่นหนังสือให้ พลเอก อักษราเกิดผล
หัวหน้าคณะพูดคุยฯ และ พลโท วิวรรธน์ ปฐมภาคย์ แม่ทัพภาคที่ 4
ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ณ
ค่ายจุฬาภรณ์ จังหวัดนราธิวาส
เกี่ยวกับสถานการณ์การซ้อมทรมานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งแม่ทัพภาคที่ 4
ได้รับปากจะทำการตรวจสอบให้ข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วน ก่อนที่จะนำออกมาเผยแพร่
แถลงข่าวอันเป็นเท็จไม่รอผลการตรวจสอบจากรัฐ
เมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2559
ได้ตอกย้ำต่อสังคมได้รับรู้โดย กลุ่มเครือข่ายองค์กรที่จัดทำรายงาน
ซึ่งประกอบด้วย มูลนิธิผสานวัฒนธรรม กลุ่มด้วยใจ
และองค์กรเครือข่ายสิทธิมนุษยชนปาตานี ได้ร่วมกันแถลงข่าวและเปิดตัวหนังสือ “รายงานสถานการณ์การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม
หรือย่ำยีศักดิ์ศรีในจังหวัดชายแดนภาคใต้ปี 2557– 2558” ณ
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี และต่อมาภายหลังได้มีการนำไปเผยแพร่
ผ่านสื่อต่างๆ อย่างกว้างขวาง ซึ่งข้อมูลดังกล่าวในรายงานแม่ทัพภาคที่ 4 ขอให้รอตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนที่จะนำเสนอ
แต่กลุ่มองค์กรดังกล่าวไม่รอผลการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ ชิงแถลงข่าวเปิดตัวรายงานดังกล่าวต่อสังคม
นำมาซึ่งความเสื่อมเสียชื่อเสียง ของหน่วยงานที่ตกเป็นจำเลย
หน่วยงานรัฐตกเป็นจำเลยของสังคม
เมื่อรายงานได้ถูกเผยแพร่ออกไป
แม่ทัพภาคที่ 4 จึงได้สั่งการให้หน่วยที่เกี่ยวข้องเร่งรัดตรวจสอบข้อเท็จจริง ด้วยความโปร่งใส
เพื่อนำมาสู่การลงโทษผู้กระทำความผิด และใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ให้เป็นที่ยอมรับ
และสร้างความเชื่อมั่นโดยเร่งด่วนต่อไป
รวมทั้งได้ทำหนังสือถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวอีกทางหนึ่งด้วย
ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง 54
ราย ระบุตัวตนได้เพียง 18 ราย
คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้จัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากรายงานดังกล่าว
จำนวน 54 ราย พบว่าสามารถตรวจสอบ และระบุตัวบุคคลได้เพียง 18 ราย
ซึ่งผลจากการตรวจหลักฐานที่หน่วยนำมาชี้แจง ทั้งก่อน ระหว่าง
และหลังการควบคุมตัวไม่พบหลักฐานที่น่าเชื่อได้ว่ามีการซ้อมทรมานแต่อย่างใด ทั้งนี้ก็ได้เชิญ
คุณอัญชนาฯ มาร่วมประชุมหารือ เมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2559 รวมทั้งได้ประสานขอข้อมูลบุคคลที่กล่าวอ้างกับผู้จัดทำรายงานอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง
เพื่อร่วมกันตรวจสอบความจริงให้ปรากฏแต่ไม่ได้รับความร่วมมือจากบุคคล
และองค์กรที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด และได้ บ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด
โดยอ้างว่า ลืมบ้าง กำลังตรวจสอบข้อมูลบ้าง และอีกหลาย ๆ เหตุผล ที่จะไม่ให้ ข้อมูลดังกล่าวแก่เจ้าหนาที่รัฐ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่รัฐพร้อมที่จะให้
ผู้จัดทำรายงานเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ตลอดเวลา
เปิดศูนย์ซักถามนำสื่อมวลชนเข้าตรวจสอบ
กอ.รมน.ภาค 4 สน.เปิดให้สื่อมวลชน
และภาคประชาสังคมต่างๆ ได้เข้าไปสังเกตการณ์ และสัมภาษณ์ผู้ต้องสงสัยต่อกระบวนการซักถามของเจ้าหน้าที่รัฐในค่ายอิงคยุทธบริหาร
เพื่อให้เห็นการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่มีความโปร่งใส
เจ้าหน้าที่รัฐไม่มีการซ้อมทรมาน และข่มขู่ครอบครัวผู้ต้องสงสัยแต่อย่างใดตามกล่าวอ้าง
และพร้อมที่จะให้ตรวจสอบได้ อีกทั้งได้เชิญนางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ
และนางสาวอัญชนา หีมมีนะ เข้ามาพูดคุย
และขอข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อที่จะร่วมกันหาวิธีแก้ไข หากมีการดำเนินการซ้อมทรมานจริง จะได้ลงโทษผู้ที่กระทำการดังกล่าว
แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้ให้ความร่วมมืออีกเช่นเคย
อัญชนาฯ ตอกย้ำด้วยกล่าวหา
จนท.ละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อผู้ต้องสงสัยเหตุบุกยึด รพ.เจาะไอร้อง
จากเหตุการณ์ล่าสุด
กรณีที่มีกลุ่มคนบุกยึดโรงพยาบาลเจาะไอร้อง นางสาวอัญชนา ฯ
ก็ได้กล่าวอ้างว่าจากการสัมภาษณ์ครอบครัวผู้ถูกเชิญตัวที่มาร้องเรียนว่า
การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ทำให้ ชาวบ้านไม่สบายใจ และมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน
การซ้อมทรมานผู้ต้องหา เช่น แช่ห้องเย็น อยู่ห้องมืด ซึ่งจากคำพูดเหล่านี้
ได้ยินมานานมาก และทุกๆครั้งที่มีการนำมาเผยแพร่ก็จะมี ข้อความเช่นนี้อยู่เสมอ
กอ.รมน.แจงมูลเหตุการณ์ฟ้อง 3 NGOs
กอ.รมน.ภาค 4 สน. ได้ใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องในการประสานความร่วมมือกับองค์กรที่จัดทำรายงาน
เพื่อร่วมกันตรวจสอบความจริงให้ปรากฏ แต่ไม่ได้รับความร่วมมือแต่อย่างใด จึงถือเป็นการเจตนาจงใจปกปิดข้อมูลโดยใช้เหยื่อเป็นเครื่องมือในการจัดทำรายงานมิใช่การนำไปสู่การตรวจสอบข้อเท็จจริง
เพื่อเยี่ยวยา และหาแนวทางแก้ไขตามที่กล่าวอ้าง นอกจากนี้ยังมีบางประเด็นที่สำคัญเช่น
“โดนให้เปลือยกายในห้องเย็นต่อหน้าเจ้าหน้าที่ทหารพรานหญิงและโดนทหารพรานหญิงเอาหน้าอกมาแนบที่ใบหน้า”
ถือเป็นการทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และ ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของสตรีอย่างร้ายแรง
เพื่อธำรง และรักษาไว้ ซึ่งการแก้ไขปัญหาตามแนวทางสันติวิธี
กอ.รมน.ภาค 4 สน. จึงจำเป็นต้องอาศัย กลไกทางกฎหมาย
และกระบวนการยุติธรรมเพื่อนำไปสู่การแสวงหาความจริงร่วมกันในชั้นศาลด้วยการเข้าร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานสอบสวน
โดยเชื่อมั่นว่าหากพยานหลักฐานมีอยู่จริง ผู้จัดทำรายงานต้องนำมาเป็นข้อต่อสู้ในชั้นศาล
แต่หากข้อมูลไม่มีอยู่จริง หรือมีเจตนาบิดเบือนผู้จัดทำรายงาน ก็สมควรได้รับโทษตามกฎหมายในฐานะที่เป็นผู้ละเมิดสิทธิ
ทำลายเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และสิทธิขั้นพื้นฐานของเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ปฏิบัติงานด้วยความทุ่มเทเสียสละ
และหน่วยงานของรัฐที่พยายามมุ่งมั่นตั้งใจเพื่อลดเงื่อนไขหล่อเลี้ยงความรุนแรง พร้อมทั้งขอยืนยันว่ารัฐจะให้ความคุ้มครองทางกฎหมายต่อประชาชนทุกคนอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม
แต่รัฐไม่สามารถเพิกเฉยหรือเลือกปฏิบัติต่อผู้ที่ละเมิดสิทธิ์ผู้อื่น
หรือกระทำผิดกฎหมายได้ ดังนั้น การออกมาเรียกร้องของกลุ่ม LEMPAR และ ฮิวแมนไรท์วอทช์
โดยขาดการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านจะสุ่มเสี่ยงต่อการส่งเสริม และสนับสนุนการใช้กฎหมู่ให้อยู่เหนือกฎหมาย
ซึ่งจะเป็นปัญหาและอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป.
------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น